Friday, 27 June 2025
NEWS FEED

‘เยาวราช’ ติดอันดับ 8 ถนนสุดเจ๋งของโลก ที่สุดแห่งถนนสายวัฒนธรรมและสตรีทฟู้ด

เมืองไทยติดอันดับโลกอีกแล้ว เมื่อนิตยสาร Time Out จัดอันดับถนนสุดเจ๋งของโลก โดยมี ‘ถนนเยาวราช’ จากประเทศไทย ติดอยู่ในอันดับที่ 8 และบอกว่าไชน่าทาวน์แห่งนี้เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและเป็นถนนของคนรักสตรีทฟู้ด 

หลาย ๆ ครั้งที่มีการจัดอันดับโลกในด้านต่าง ๆ เมืองไทยของเราก็มักจะติดอับดับไปด้วย อย่างล่าสุดนี้ ‘ถนนเยาวราช’ ไชน่าทาวน์แห่งกรุงเทพมหานคร ก็ติดอันดับโลกไปด้วยเช่นกัน

นิตยสาร Time Out ได้มีการจัดอันดับ 33 ถนนที่เจ๋งที่สุดในโลก โดยได้มีการสัมภาษณ์ผู้คนทั่วโลกกว่า 20,000 คน และมีผู้เชี่ยวชาญในการจัดอันดับถนนสายชั้นนำของโลก ทั้งทางด้านอาหาร ความสนุกสนาน วัฒนธรรม และชุมชน

โดย ‘ถนนเยาวราช’ ของประเทศไทย ได้รับเลือกให้อยู่ในอันดับที่ 8 จากการเป็นถนนสายหลักสายหนึ่งที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงเทพฯ มีประวัติความเป็นมาอย่างยาว ย่านไชน่าทาวน์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาของกรุงเทพมหานครแห่งนี้ เรียงรายไปด้วยป้ายไฟทั้งสองฝั่ง ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนก็มีความพลุกพล่าน เป็นที่ตั้งของวัด ร้านอาหาร ตลาด เป็นแหล่งนักฝังเข็มและยาจีน รวมไปถึงเป็นศูนย์รวมของคนรักสตรีทฟู้ด

ทอล์คเวอร์ กับ Sex Worker ตัวจริง ณ พัฒน์พงศ์มิวเซียม

“พัฒน์พงศ์มิวเซียม” ชวนคุณร่วมบรรยากาศการสนทนาเรื่อง (ไม่) ลับ กับ คนกลางคืน ในหัวข้อที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน พบกับแขกรับเชิญ Sex Worker (นิรนาม) แห่งย่านพัฒน์พงศ์ ที่พร้อมเปิดทุกเรื่องราวหลังจากแขวนเต้าแล้ว

•    ทำไมผู้ชายต้องซื้อกิน? 
•    ขึ้นครูครั้งแรก?
•    ใครว่างานง่ายๆ นอนสบายก็ได้ตังค์!
•    พีคสุดในชีวิต กับอาชีพ Sex Worker
•    เสี่ยงโรค เสี่ยงโดนทุบตี เสี่ยงโดนจับ?

บรรยากาศพูดคุยเป็นกันเอง พร้อมช่วง Q & A ถาม-ตอบ ให้คุณหายข้องใจ กับอาชีพ Sex Worker ที่คุณไม่รู้จะไปถามใคร...

ทอล์คเวอร์ กับ Sex Worker ตัวจริง ณ พัฒน์พงศ์มิวเซียม
•    วันที่ 17 กันยายน 2565
•    เวลา 17:00-20.00 น.
•    สถานที่ : พิพิธภัณฑ์พัฒน์พงศ์ ถนนสีลม
•    เงื่อนไขการเข้าร่วม : ซื้อบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์พัฒน์พงศ์ตามปกติ ในวันดังกล่าว (ราคาบัตร 350 บาท)สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
•    ผู้สนใจลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://bit.ly/3R2uEXP

คนดีศรีบางคล้า 'สราวุฒิ บุญสร้าง' หัวหน้าหน่วยกู้ภัยฉะเชิงเทรา จุดบางคล้า และผู้สื่อข่าวหลายสำนัก ประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา รับรางวัล 'ลูกหลวงพ่อโสธรพันธุ์แท้' ประจำเดือนสิงหาคม 2565

วันนี้ (30 ส.ค.65 ) เวลา 9.30 น. ที่ห้องประชุมมรุพงษ์ศิริพัฒน์ ศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทรา นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นประธานฆราวาส และพระครูโสภณธรรมานันท์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวราราม วรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มอบรางวัลลูกหลวงพ่อโสธรพันธุ์ ประจำเดือนสิงหาคม 2565 โดยมี นายสราวุฒิ บุญสร้าง” หัวหน้าหน่วยกู้ภัยฉะเชิงเทรา จุดบางคล้า และผู้สื่อข่าวไทยรัฐ ประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็น1 ใน 11 คน 11 อำเภอ ที่ได้รับรางวัล “ลูกหลวงพ่อโสธรพันธุ์แท้” ประจำเดือนสิงหาคม 2565 ประเภทประชาชน  ตามโครงการยกย่องเชิดชูคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม “ลูกหลวงพ่อโสธรพันธุ์แท้”  ซึ่งเป็นนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา และเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา

โดยการพิจารณาคัดเลือกคนดีของจังหวัด บุคคลที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์จาก 11 อำเภอ โดยพระราชภาวนาพิธาน เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา และ เจ้าอาวาสวัดโสธรวราราม วรวิหาร ได้เมตตาสนับสนุนรางวัลลูกหลวงพ่อโสธรพันธุ์แท้ เพื่อความเป็นสิริมงคลและเป็นขวัญกำลังใจ  

ทั้งนี้เพื่อส่งเสริม เชิดชูเกียรติ และสนับสนุนให้คนเป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในหลักธรรม ทางพระพุทธศาสนา และบำเพ็ญตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพื่อประกาศยกย่องให้เป็นบุคคลตัวอย่างของจังหวัดฉะเชิงเทราและเป็นแบบอย่างที่ดี ในการประพฤติตนในสังคมไทย มีความเป็นอยู่ที่พอเพียง เจริญรอยตามพระยุคลบาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อันจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศที่ถาวรและยั่งยืนสืบไป

รองปลัดแรงงาน เปิดการประชุม การจ้างงานเยาวชนในประเทศไทย แนวโน้มตลาดแรงงานผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด – 19 นโยบายแรงงาน และการสนับสนุนเยาวชนเพื่อการฟื้นฟูที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางในประเทศไทย

วันที่ 30 สิงหาคม 2565 เวลา 09.30 น. นางบุปผา พันธุ์เพ็ง รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดการประชุม “การจ้างงานเยาวชนในประเทศไทย (Youth employment in Thailand)” แนวโน้มตลาดแรงงานผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด – 19 นโยบายแรงงาน และการสนับสนุนเยาวชนเพื่อการฟื้นฟูที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางในประเทศไทย ณ โรงแรม ดิ แอทธินี กรุงเทพฯ โดยกล่าวว่า เรื่อง NEETs (นีท) เป็นประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งจำนวนเยาวชนอายุ 15 ถึง 24 ปี ที่ไม่ได้อยู่ในการจ้างงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรม มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนั้น ผลกระทบจากวิกฤตโควิด – 19 ทำให้เศรษฐกิจและตลาดแรงงานในประเทศไทยต้องหยุดชะงัก เยาวชนต้องเผชิญกับปัญหาการว่างงาน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว

โดยการส่งเสริมการจ้างงานแก่เยาวชน เพื่อลดปัญหาการว่างงาน รวมถึงการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทย อย่างที่ทุกท่านทราบดีว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” การเตรียมเยาวชนหญิงและชายให้มีทักษะเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน และอยู่ในการจ้างงานที่มีประสิทธิผลและเป็นงานที่มีคุณค่า เป็นสิ่งสำคัญสำหรับอนาคตของเศรษฐกิจ ตลอดจนการพัฒนาประเทศและสังคมโดยรวม ซึ่งการมีทักษะงานที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน รวมถึงระบบแนะแนวด้านอาชีพในสถานศึกษาที่ไม่มีประสิทธิภาพ เป็นเหตุให้เยาวชนต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่าง ๆ เมื่อออกจากโรงเรียนและเข้าสู่การหางานทำ เยาวชนจึงประสบปัญหาในการเปลี่ยนผ่านจากโรงเรียนสู่การทำงานและการเปลี่ยนย้ายงาน ด้วยเหตุนี้ จึงมีเยาวชนหญิงและชายจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ในระบบการจ้างงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรม

'อลงกรณ์' ร่วมเสวนา'สภาผู้แทนฯ' ชู5ยุทธศาสตร์ 'เฉลิมชัย' ปฏิรูปภาคเกษตรแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรเน้นแปรรูปสู่เกษตรมูลค่าสูง 

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้เกียรติร่วมเป็นวิทยากรการสัมมนาและบรรยายในหัวข้อเรื่อง”การแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรโดยการเพิ่มมูลค่าด้านการผลิตการแปรรูป และการตลาด” ร่วมกับ นายวีระกร คำประกอบ ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมมาธิการ นายอุดม ศรีสมทรง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน และมีนายจาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ เป็นผู้ดำเนินรายการเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการผลิต การแปรรูป และการตลาด ของผลผลิตทางการเกษตรให้แก่ผู้เข้าร่วมการสัมมนาครั้งนี้ จำนวน 200 คน ซึ่งจัดโดยคณะกรรมาธิการแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร เมื่อ29ส.ค. ณ ห้องประชุมสัมมนา B 1-1 ชั้น B 1 อาคารรัฐสภา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อเสนอแนะ และระดมข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการเพิ่มมูลค่าด้านการผลิต การแปรรูป และการตลาด เพื่อแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลทางการเกษตร และยกระดับรายได้เกษตรกรให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ  

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ในฐานะประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรอันดับ13ของโลกทำให้สินค้าเกษตรของไทยต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศเป็นหลัก
โดยเฉพาะวิกฤตการณ์ที่ส่งผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบต่อราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก เช่นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ( Climate Change )การแพร่ระบาดของโควิด -19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครนส่งผลให้ปุ๋ยเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง และวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาแพงทำให้ต้นทุนกาคผลิตภาคการเกษตรเพิ่มสูงขึ้น

การแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรจึงต้องขับเคลื่อนเชิงยุทธศาสตร์และแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนที่เรียกว่า "คานงัด" เพื่อรับมือกับสถานการณ์ความผันผวนของโลก

กระทรวงเกษตรฯ จึงสร้างคานงัดเพื่อสร้างจุดเปลี่ยนแบบองค์รวมเป็นกลไกแก้ไขปัญหาและพัฒนาศักยภาพภาคเกษตรของไทยจากต้นน้ำถึงปลายน้ำภายใตั 5 ยุทธศาสตร์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ. ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้แก่ 1) ตลาดนำการผลิต 2) เทคโนโลยี่เกษตร 4.0 3) "3 S"เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคงและเกษตรยั่งยืน 4) เกษตรกรรมยั่งยืน และ 5) บูรณาการทำงานเชิงรุกกับทุกภาคส่วนโดยมีตัวอย่าง คานงัด ที่ดำเนินการเช่น
1. การสร้างหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเกษตร อาทิ การเจรจาความร่วมมือกับประเทศเวียดนามเพื่อยกระดับราคาข้าวในตลาดโลก ถือเป็นความสำเร็จในการสร้างความร่วมมือของ2ประเทศในฐานะประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวอันดับที่ 2 และ 3 ของโลก โดยตั้งกลไกในการขับเคลื่อน เพื่อร่วมกันสร้างอำนาจการต่อรองราคาข้าวในตลาดโลก หรือการยกระดับความร่วมมือกับซาอุดีอาระเบีย และดูไบในการขยายตลาดสินค้าเกษตรในภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกาและยุโรป
2. ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต “เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด”ในรูปแบบ online-offline ทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ.กับกระทรวงพาณิชย์โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์ รวมทั้งความร่วมมือกับหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

3. สร้างโอกาสตลาดใหม่และลดต้นทุนโลจิสติกส์ด้วยแนวทาง "เชื่อมไทย เชื่อมโลก" เช่น กรณีรถไฟจีน-ลาวขนส่งสินค้าเกษตรไปจีนและร่วมมือกับคาซัคสถาน และดูไบในโครงการท่าบกคอคอสเป็นชุมทางรถไฟบริเวณพรมแดนจีน-คาซัคสถานเพื่อขนส่งจากอีสานเกตเวย์ไปเอเซียกลาง ตะวันออกกลาง และยุโรป
4. เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ด้วยนโยบายเทคโนโลยีเกษตรและนโยบายคุณภาพและมาตรฐาน เช่น การจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (ศูนย์AIC) ทุกจังหวัดโดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาไทยยกระดับการผลิตอย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน
5. การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มสร้างแบรนด์สู่เกษตรมูลค่าสูง เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับสภาอุตสาหกรรมแห่ง (กรกอ.) ร่วมเดินหน้าโครงการ 
"1 กลุ่มจังหวัด1นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร" เพื่อกระจายฐานตลาดและฐานการแปรรูปสินค้าเกษตรใน18กลุ่มจังหวัดครอบคลุมทั่วประเทศและโครงการ "เกษตรแม่นยำ 2 ล้านไร่" และขยายเป็น 5 ล้านไร่ เพื่อให้สินค้าเกษตรมีตลาดอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นและมีผลิตภัณฑ์เกษตรมากขึ้นจะทำให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้นและมีเสถียรภาพมากขึ้น

'สุริยะ' จี้!! ทุกหน่วยงาน ก.อุตฯ ติดตามสถานการณ์น้ำ หากกระทบ 'ธุรกิจ-ประชาชน' ในพื้นที่ท่วม ให้รุดช่วยทันที

'สุริยะ' สั่งการหน่วยงานกระทรวงอุตสาหกรรม ติดตามสถานการณ์ฝนตกหนัก เตรียมความพร้อมหากเกิดผลกระทบแก่ผู้ประกอบการ และประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในกระทรวงอุตสาหกรรม ติดตามสถานการณ์ เตรียมมาตรการป้องกันน้ำท่วมผลกระทบความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่ผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย โดยให้เข้าช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหาย รวมทั้งให้เตรียมมาตรการต่าง ๆ รองรับในทุกสถานการณ์ ทั้งในส่วนของอุตสาหกรรมจังหวัดที่กำกับดูแลสถานประกอบการอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยที่ดูแลนิคมอุตสาหกรรมในนิคมฯ กรมโรงงานอุตสาหกรรมที่ดูแลเขตประกอบการอุตสาหกรรมทั่วประเทศ และรวมไปถึงธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย กองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ให้ดูแลสินเชื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม

'แก๊งบิ๊กไบก์' จูงรถไปสตาร์ตไกลๆ เหตุเกรงใจเพื่อนบ้าน มีเด็กอ่อน

เพื่อนบ้านที่ดีต้องรู้จักเกรงใจกัน ชาวเน็ตแห่ชื่นชมหลังแก๊งบิ๊กไบค์รวมตัวกันจะกลับบ้านในช่วงดึก แต่ต้องจูงรถไปติดเครื่องไกล ๆ เหตุจากเพื่อนบ้านมีเด็กอ่อน หวั่นเสียงดังรบกวน

เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ผู้ใช้แอปพลิเคชัน TikTok ชื่อว่า meenaxsr900 ได้โพสต์คลิปวิดีโอความยาว 48 วินาที เผยให้เห็นความน่ารักของกลุ่มบิ๊กไบค์ ที่จูงรถกันออกไปเพื่อที่จะไปสตาร์ตรถในที่ห่างไกลเพื่อนบ้าน เนื่องจากเพื่อนบ้านมีเด็กเล็ก ประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงกลางคืน หวั่นว่าจะไปสร้างความรำคาญให้กับเพื่อนบ้านและรบกวนเวลานอนของเด็กน้อย เพราะบิ๊กไบค์เวลาติดเครื่องเสียงท่อจะดังมาก ๆ

สวนนงนุชพัทยา ขยายโปรโมชั่นสำหรับบัตรผ่านประตู ซื้อ1ฟรี 1 ตลอดเดือนกันยายน 2565 เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวแบบไทยเที่ยวไทย

 

นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ขยายเวลาโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวแบบไทยเที่ยวไทย ซื้อบัตรผ่านประตู 1ใบฟรี 1ใบ ออกไปอีก ตลอดเดือนกันยายน 2565  พร้อมชมการแแสดงนงนุชโชว์และช้างแสนรู้ วันละ 2 รอบในราคาพิเศษเพียงจ่ายเพิ่มอีก 100 บาท

สวนนงนุชพัทยาคืองานพืชสวนโลก 365 วันเป็นแห่งต้นๆของโลกที่สามารถเข้าชมเนิร์สเซอรี่ที่เก็บรวบรวมพันธุ์ไม้ต่างๆมากกว่า 18,000 ชนิด ที่มีครบทั้งสวนสวยและแหล่งเรียนรู้โดยเปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 น. -18.00 น. ส่วนเด็กที่มากับครอบครัวความสูงไม่เกิน140 ซม.เข้าฟรี สำหรับผู้สูงอายุเข้าชมสวนฟรีทุกวันศุกร์  สำหรับรอบการแสดงเวลา 10.30 น.และ 13.30 น.   

สวนนงนุชพัทยา ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องปัจจุบันมีสวนสวยมากกว่า 50 จนติดอันดับ 1ใน10สวนสวยที่สุดในโลก ซึ่งสามารถนั่งรถชมสวนสวยบนพื้นที่1,700 ไร่ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ชื่นชอบในการใช้บริการ เพราะประหยัดเวลา สะดวกสบายไม่เหนื่อย ผู้สูงอายุและคนพิการก็สามารถขึ้นรถชมสวนได้ เพราะเรามีรถชมวิวที่ออกแบบมาไว้สำหรับรับรอง ทั้งผู้พิการและผู้สูงอายุ

รัฐบาล ปลื้ม เอเปค สธ.บรรลุ12 ข้อมติ ผสานมือสร้างความมั่นคงทางสุขภาพ

เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมระดับสูงเอเปกว่าด้วยสาธารณสุขและเศรษฐกิจ (The 12th APEC High-Level Meeting on Health and Economy : HLM12) ครั้งที่ 12 ที่กรุงเทพฯ หัวข้อ“เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์กับภาคี เชื่อมโยงกันกับโลก สู่สมดุลระหว่างสาธารณสุขและเศรษฐกิจ”  ได้เสร็จสิ้นลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งมีผลลัพธ์ที่สำคัญจากการประชุมครั้งนี้คือ ข้อมติ 12 ข้อ โดยไทยยังได้รับเสียงชื่นชมจากนานาประเทศถึงการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างดีเยี่ยม โดยข้อมติ 12 ข้อ ถือเป็นผลลัพธ์ที่สำคัญจากการประชุม ที่มุ่งสร้างสมดุลทางด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ สอดคล้องกับแนวคิดหลักของการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปกของไทยในโมเดลเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green (BCG) 

นายอนุชา กล่าวว่า โดยสาระสำคัญของ 12 ข้อมติ ครอบคลุมถึงการส่งเสริมความร่วมมือระดับนานาชาติ และระดับภูมิภาค และความเป็นหุ้นส่วนเพื่อพัฒนาสุขภาพและความมั่งคั่งของผู้คนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก การเปิดพรมแดนเพื่อการเดินทางที่ปลอดภัย การแบ่งปันและถ่ายทอดเทคโนโลยีวัคซีนโควิด-19 โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านสุขภาพดิจิทัล การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับบุคลากรด้านสาธารณสุข การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การเข้าถึงวัคซีน การส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 และการสนับสนุนการเข้าถึงวัคซีน การรักษา และการวินิจฉัยโควิด-19 ที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ และราคาไม่แพง ความเท่าเทียมด้านสุขภาพและจัดการกับอุปสรรคด้านสุขภาพโดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงในภาคแรงงาน ธุรกิจ และผู้ประกอบการ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมจากโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเริ่มต้นของกิจกรรมทางสังคม การเรียน และธุรกิจในเขตเศรษฐกิจเอเปกการสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดใหญ่ครั้งต่อไปผ่านการลงทุนเรื่องระบบสุขภาพ การร่วมมือกับภาคเอกชนให้มากยิ่งขึ้น และการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่เปิดกว้าง เป็นธรรม และครอบคลุม

'วราวุธ' เชื่อมั่น ไทยจะเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ผ่านการดูแลรักษาป่า

วันนี้ (29 สิงหาคม 2565) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "ความสำคัญของทรัพยากรป่าไม้ต่อยุทธศาสตร์ชาติด้านการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสืบสานพระราชดำริพระพันปี" และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ระหว่าง กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ โดยมี หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวถึงความสำคัญของการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ และมีคณะผู้บริหารฯ ผู้แทนภาคเอกชน ตลอดจนเครือข่ายป่าชุมชน เข้าร่วมงาน ณ ห้องอารีย์สัมพันธ์ อาคารกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม

นายวราวุธ กล่าวว่า การสืบสานโครงการพระราชดำริต่างๆ เป็นภารกิจสำคัญอันดับหนึ่งของกระทรวงฯ และถือเป็นโชคดีของพสกนิกรชาวไทย ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงตระหนักถึงความสำคัญของป่าไม้และทรงอุทิศพระวรกายบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในการพัฒนาทรัพยากรป่าไม้ โดยทรงยึดถือแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในการพัฒนาด้วยแนวทางผสมผสาน ให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างเกื้อกูลและยั่งยืน ทั้งนี้ ภาคป่าไม้ มีบทบาทสำคัญต่อการมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065 เนื่องจากเป็นแหล่งสะสมคาร์บอนขนาดใหญ่ของโลก การอนุรักษ์และปลูกป่าจึงเป็นกลไกสำคัญในการช่วยกักเก็บคาร์บอน บรรเทาความรุนแรงของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งสามารถสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนได้ในทุกปีจากการซื้อขายคาร์บอนเครดิต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top