Monday, 23 June 2025
NEWS FEED

ผบ.ตร.ประชุมความพร้อมทุกฝ่าย รับมือประชุมผู้นำ APEC ดูแลความปลอดภัย การจราจร ใช้ตำรวจกว่า 20,000 นาย เชิญชวนคนไทยเป็นเจ้าภาพที่ดี

วันนี้ (21 ต.ค.65) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.(มค), พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร.(กม) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชุมเตรียมความพร้อม ซักซ้อมการปฏิบัติด้านการรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกการจราจรเพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี 2565

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ เปิดเผยว่าได้กำหนดแผนการเตรียมการด้านการแพทย์และการสาธารณสุข แผนการสนับสนุนการปฏิบัติในการประชุมฯ (กรุงเทพมหานคร การไฟฟ้านครหลวง การประปานครหลวง และ บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) การเตรียมการด้านกำลังพล ยานพาหนะ สิ่งอุปกรณ์ที่ใช้ในการประชุมฯ งบประมาณและการติดต่อสื่อสาร 

ในส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยรับผิดชอบหลักด้านการรักษาความปลอดภัย (บุคคล สถานที่พัก สถานที่ประชุม งานเลี้ยงรับรอง และเส้นทางการเดินทาง) การจัดขบวนรถผู้นำเขตเศรษฐกิจ และพิธีการคนเข้าเมือง ตลอดจนการสืบสวน ติดตามสถานการณ์ด้านข่าว และการจัดตั้งกองอำนวยการร่วม อำนวยการ ควบคุม สั่งการการปฏิบัติตลอดภารกิจฯ วันนี้เป็นการเก็บรายละเอียดแผนการปฏิบัติและแผนเผชิญเหตุต่างๆ ตลอดจนเป็นการซักซ้อมทำความเข้าใจด้านต่างๆ เพื่อทำงานให้ประสานสอดคล้องกันในห้วงเวลาการปฏิบัติ มีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 20,000 นาย หน่วยปฏิบัติและหน่วยสนับสนุนกว่า 30 หน่วยงาน เฝ้าติดตามสถานการณ์ด้านการข่าวทุกด้านอย่างต่อเนื่อง ร่วมมือและประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานระหว่างประเทศ และการปฏิบัติที่ชัดเจนอย่างใกล้ชิด จัดตั้งศูนย์ประสานงานฯ ศูนย์ติดตามสถานการณ์ฯ กำหนดมาตรการเฝ้าระวังเหตุก่อนการจัดการประชุมฯ การระดมกวาดล้างอาชญากรรม อาวุธปืน ยาเสพติด บุคคลตามหมายจับทุกข้อหา/ฐานความผิดห้วง (10 ต.ค.- 8 พ.ย.65 ก่อนการประชุมฯ) และกำหนดการซักซ้อมการปฏิบัติเสมือนจริง ในห้วงต้นเดือน พ.ย.2565 (แผนการป้องกันเหตุร้ายฯ (1 – 5 พ.ย.65) ซักซ้อมขบวนรถผู้นำฯ (7 พ.ย.65) การซักซ้อมแผนเผชิญเหตุโรงแรม (11 – 13 พ.ย.65)) ซึ่งภายหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมแล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้รายงานผลการประชุมให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะอนุกรรมการฯ ทราบต่อไป

รัฐบาล เฟ้นหา สุดยอดอาหารไทย เสิร์ฟขึ้นโต๊ะประชุมผู้นำเอเปก

(21 ต.ค. 65) นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปก กล่าวว่า การที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 29 หรือ เอเปก 2565 ถือเป็นโอกาสดีที่ไทยจะได้แสดงศักยภาพให้ทั่วโลกได้เห็นว่าไทยมีความสามารถแข่งขันในเวทีโลก

โดย อาหารไทย ถือเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถต่อยอดทางธุรกิจและพัฒนาให้มีความเป็นสากลได้ ทั่วโลกยกย่องอาหารไทย สังเกตได้จากร้านอาหารไทยที่กระจายอยู่หลายประเทศ และเรามีความสมบูรณ์ทางทรัพยากรอาหาร สิ่งนี้ถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งหากเชฟชาวไทยได้มีโอกาส ได้พัฒนาทักษะ ก็จะเป็นหนทางในการสร้างรายได้ ต่อยอดทางธุรกิจการทำอาหาร ตนจึงได้มอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์ จัดทำโครงการ Future Food for Sustainability ส่งเมนูอาหารอนาคต เทรนด์อาหารยุคใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม ผสมผสานกับความเป็นไทย เพื่อเตรียมนำไว้ให้คณะผู้นำเอเปก และชาวต่างชาติได้สัมผัส ในช่วงสัปดาห์การประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก ระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน นี้

แท็กซี่ซื่อสัตย์ รีบนำเงินส่งคืนผู้โดยสาร หลังพบว่าโอนค่ารถเกินกว่า 2.5 แสนบาท

(21 ต.ค. 65) นายศักรินทร์ อั๋นประเสริฐ อายุ 48 ปี แจ้งผ่านหมายเลขโทรฟรี 1644 ว่า...เมื่อวานนี้ (20 ต.ค.) เวลาประมาณ 20.00 น. ได้ใช้บริการรถแท็กซี่ แต่จำรายละเอียดไม่ได้ โดยเรียกรถจากแถว ๆ เทเวศน์ ไปลงที่ซอยพหลโยธิน 64 ค่าโดยสาร 253 บาท และใช้วิธีโอนเงินจ่ายไป จากนั้นก็ยื่นโทรศัพท์ให้โชเฟอร์แท็กซี่ดูว่าโอนแล้วนะ แล้วก็แยกย้ายลงจากรถ 

ปรากฏว่าพอตื่นเช้ามา มาเช็กเงินในแอปโทรศัพท์มือถือ ก็ตกใจอย่างมาก เพราะเงินในบัญชีหายไปกว่า 2 แสนบาท จึงได้เช็กประวัติการใช้เงิน จึงทราบว่า ที่โอนเงินจ่ายค่าโดยสารแท็กซี่ไป จาก 253 บาท แต่กลับโอนไป 253,303 บาท และปลายทางที่โอนไปคือ คุณธนสรณ์ ทองดี

เชียงใหม่-เปิดอบรมให้ความรู้และประชาสัมพันธ์การประกันภัยอุบัติเหตุการเดินทาง สําหรับธุรกิจนําเที่ยวและมัคคุเทศก์

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2565 เวลา 09.00 น. นายวรญาณ บุญณราช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ อบรมให้ความรู้และประชาสัมพันธ์การประกันภัยอุบัติเหตุการเดินทาง สําหรับธุรกิจนําเที่ยวและมัคคุเทศก์ หัวข้อ “ท่องเที่ยวเบิกบาน ผู้ประกอบการมั่นใจ ด้วยประกันภัยอุบัตเหตุการเดินทาง สําหรับธุรกิจนําเที่ยวและมัคคุเทศก์” ผู้อํานวยการภาคอาวุโส สํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ประกันภัย ภาค 1 (เชียงใหม่) ผู้อํานวยการสํานักงาน คปภ.จังหวัดในสังกัดภาค 1 (เชียงใหม่) 10 จังหวัด และ ผู้มีเกียรติร่วมงาน ณ โรงแรม วินทรีซิตี้ รีสอร์ท จังหวัดเชียงใหม่   

นายวรญาณ บุญณราช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีความสําคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ ถือเป็นแหล่งรายได้ที่สําคัญ ก่อให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน และการกระจายรายได้ไปสู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง ช่วยยกมาตรฐานการครองชีพ ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นแหล่งพื้นที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่สําคัญของภาคเหนือ และเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทย และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ จึงสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์ทางด้านประกันภัย เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นและหลักประกัน การเดินทางให้แก่ทุกฝ่าย อาทิ เช่น ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ผู้เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และประชาชนทั่วไป ให้ได้รับความคุ้มครองเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น อีกทั้งเสริมสร้างความรู้ และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการจัดทําประกันภัยอุบัติเหตุการเดินทางสําหรับธุรกิจนําเที่ยว และมัคคุเทศก์ ปฏิบัติตามข้อกฎหมายกําหนด ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจนําเที่ยวทุกราย ต้องจัดให้มีการทําประกันภัยสําหรับอุบัติเหตุให้แก่นักท่องเที่ยวมัคคุเทศก์และผู้นําเท่ยีว ในระหว่างเดินทางท่องเที่ยว

โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดอบรมในวันนี้ จะทําให้ทุกท่านได้รับความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอน วิธีการยื่นขอเอาประกันภัย และเงื่อนไขตามกรมธรรม์ดังกล่าว อย่างถูกต้อง ครบถ้วน รวมถึงนําความรู้ที่ได้รับในวันนี้ช่วยกันรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ให้สถานประกอบการท่องเที่ยวได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการนําเอาระบบประกันภัย เข้ามาบริหารความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจท่องเที่ยว และปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับ การประกอบธุรกิจท่องเที่ยว เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการของเราเกิดความมั่นใจ ในทริปท่องเที่ยวและได้ท่องเที่ยวได้อย่างเบิกบาน ผู้ประกอบการก็มีความมั่นใจ

นางกาญจนา ศรีคราม ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสรมิการประกอบธุรกิจประกันภัย ภาค 1 (เชียงใหม่) กล่าวว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีความสําคัญโดยตรงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม ของประเทศ ถือเป็นแหล่งรายได้ที่สําคัญ ก่อให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน และการกระจาย รายได้ไปสู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง ช่วยยกมาตรฐานการครองชีพของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่สําคัญของภาคเหนือ โดยมีจํานวนผู้เข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ ในปี 2565 แล้ว จํานวน 5,317,089 คน ซึ่งเมื่อเทียบกับ ปริมาณจํานวนผู้เข้ามาท่องเที่ยวของจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 25.94 ส่งผลให้มีรายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2565 มากกว่า 34,280 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปริมาณ รายได้จากการท่องเที่ยวของจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 42.07 

ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว อีกทั้งสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องเที่ยว หากเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด จะทําให้นักท่องเที่ยวและมัคคุเทศก์ได้รับการเยียวยา บรรเทาความสูญเสีย พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการจัดทําประกันภัยอุบัติเหตุการเดินทาง สําหรับธุรกิจนําเที่ยวและมัคคุเทศก์ อีกทั้งปฏิบัติตามข้อกฎหมายกําหนด

เพื่อให้นักท่องเที่ยวและมัคคุเทศก์ได้รับความคุ้มครองตามสัญญาประกันภัย จึงจําเป็นต้องส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเงื่อนไขกรมธรรม์และรณรงค์ให้สถาน ประกอบการท่องเที่ยว ตระหนักถึงความสําคัญของการประกันภัย ปฏิบัติตามกฎหมาย เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจท่องเที่ยว และตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย สํานักงาน คปภ. ภาค 1 (เชียงใหม่) จึงได้บูรณาการร่วมกับสํานักงานทะเบียนธุรกิจนําเที่ยวและมัคคุเทศก์ สาขาภาคเหนือ, สํานักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่, สถานีตํารวจท่องเที่ยว 1 กองกํากับการ 2 กองบังคับการตํารวจท่องเที่ยว 2 และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัด เชียงใหม่ จัดงานในวันนี้ขึ้น

โดยในช่วงแรกจะเป็นการเสวนา หัวข้อ “กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุเดินทาง สําหรับธุรกิจนําเที่ยวและมัคคุเทศก์ รวมถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง” การบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับ “ความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยว และการช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยว” ในวันนี้มีผู้เข้าอบรม จํานวน 150 คน ประกอบด้วย ผู้ประกอบการท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว นอกจากนี้มีการถ่ายทอดสด ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ชื่อ สํานักงาน คปภ. ภาค 1 (เชียงใหม่) เพื่อให้การประชาสัมพันธ์ แพร่หลายและทั่วถึง 

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เสริมสร้างอนาคตเด็กไทย ลงพื้นที่ภาคเหนือ มอบทุนการศึกษาในระดับชั้นประถม และทุกระดับปีสุดท้าย (ทุนสัญจร) แก่เยาวชนรวม 53 สถาบัน มูลค่ากว่า 2.2 ล้านบาท

วันนี้ (วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2565) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก พร้อมด้วย นายนิพนธ์ ลีละศิธร กรรมการ และ นายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ  ลงพื้นที่มอบทุนการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษา และทุนทุกระดับปีสุดท้าย (ทุนสัญจร) ประจำปี พ.ศ. 2565 แก่เยาวชนที่ประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีจังหวัดอุตรดิตถ์เป็นศูนย์กลาง รวม 53 สถาบัน 265 ทุน รวมเป็นเงินจำนวน 2,255,000 บาท (สองล้านสองแสนห้าหมื่นห้าพันบาทถ้วน) เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมตามที่มุ่งหวัง เติบโตพร้อมมีวิชาความรู้ สร้างอนาคตของตนเองและครอบครัว เป็นคนดีของสังคมและประเทศชาติ อีกทั้งยังเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมี นายสมหวัง พ่วงบางโพ  

ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย คณะมูลนิธิอุตรดิตถ์สงเคราะห์ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์

การมอบทุนการศึกษาของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง แบ่งเป็นการมอบทุนระดับชั้นประถมศึกษา ทุนต่อเนื่องในทุกระดับชั้น และทุนทุกระดับปีสุดท้าย มอบ ณ ที่ทำการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง กรุงเทพฯ รวม 2,410 ทุน  มอบทุนการศึกษาแก่เยาวชนในถิ่นทุรกันดาร รวม 66 ทุน และมอบทุนการศึกษาสัญจรในระดับชั้นประถม และทุกระดับปีสุดท้ายให้แก่สถาบันการศึกษาในส่วนภูมิภาค โดยปีนี้มูลนิธิฯได้มอบให้กับเยาวชนในพื้นที่ภาคเหนือ รวม 265 ทุน  

รวมทุนการศึกษาที่มอบทั้งหมดในปี พ.ศ. 2565 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 18,330,000 บาท (สิบแปดล้านสามแสนสามหมื่นบาทถ้วน)  

ตลอดระยะเวลากว่า 112 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่างๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายๆ ทาง รวมถึงการพัฒนาด้านการศึกษา เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป 

'ดร.เฉลิมชัย' ร่วมงานครบรอบ 55 ปีกรมส่งเสริมการเกษตร

'ดร.เฉลิมชัย' ร่วมงานครบรอบ 55 ปีกรมส่งเสริมการเกษตร เดินหน้าพัฒนาภาคการเกษตร มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรอย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “9 ความท้าทาย เดินหน้าเติบโตต่อไป Keep Going, Keep Growing”

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมการเกษตรครบรอบ 55 ปี พร้อมมอบรางวัลบุคคล หน่วยงานดีเด่น เกษตรกรดีเด่น สถาบันเกษตรกรดีเด่นระดับประเทศ และผู้ทำคุณประโยชน์กับกรมส่งเสริมการเกษตร และแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมการเกษตรแก่ข้าราชการและลูกจ้างกรมส่งเสริมการเกษตร โดยมี นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมเกียรติ กอไพศาล ประธานคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประยูร อินสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ กรมส่งเสริมการเกษตร ว่า จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนของโลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของผู้คนทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเทศไทยในฐานะที่เป็นครัวของโลก วิกฤตดังกล่าวจึงถือเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำคัญที่จะต้องเร่งพัฒนาการผลิตอาหารให้เพียงพอเพื่อเลี้ยงประชากรไทยและประชากรโลก ดังนั้นการพัฒนาให้ภาคการเกษตรมีความเข้มแข็ง รู้เท่าทัน ปรับตัวพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงของโลก จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการมุ่งพัฒนาเกษตรกรด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ต่างๆ เพื่อให้มีพร้อมทั้งทักษะในการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่า การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การยกระดับคุณภาพสินค้า ตลอดจนการแสวงหาช่องทางตลาดที่หลากหลายรองรับ
ทั้งนี้ ในช่วงระยะเวลา 1 ปี ที่ผ่านมา กรมส่งเสริมการเกษตรมีการพัฒนาและส่งเสริมเกษตรกรในทุกๆ ด้าน โดยได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กรสู่การเป็น Digital DOAE และปรับระบบการทำงานเข้าสู่ New Normal รวมทั้งการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้แนวคิด “Next Step” ขับเคลื่อนองค์กรวิถีใหม่…ก้าวต่อไปด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล มีการดำเนินงาน 2 แนวทาง ได้แก่ การขับเคลื่อนองค์กรและระบบการทำงาน มุ่งพัฒนากรมส่งเสริมการเกษตรสู่การเป็น Digital DOAE และการดำเนินงานภารกิจสำคัญ ซึ่งถือได้ว่าเป็นภารกิจที่ท้าทายการทำงานของนักส่งเสริมการเกษตรเป็นอย่างยิ่ง ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ยังคงดำเนินอยู่ในทั่วทุกภูมิภาคของประเทศและทั่วโลก

งานวันพยาบาลแห่งชาติ ปี 2565

งานวันพยาบาลแห่งชาติ ปี 2565

สืบเนื่องจากวันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี หรือ องค์สมเด็จย่าของปวงชนชาวไทยทุกคน ทางกระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดเป็นวันพยาบาลแห่งชาติ เพื่อสดุดีเชิดชูเกียรติ และรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ขององค์สมเด็จย่าที่ทรงอุทิศพระองค์เพื่อช่วยเหลือปวงชนชาวไทยที่ยากไร้ และด้อยโอกาส  

ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ร่วมกับ สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ ศูนย์ฝึกอบรมสภากาชาดไทย ฝ่ายเภสัชกรรม ฝ่ายสวัสดิการสังคม ฝ่ายทันตกรรม และ ฝ่ายเวชศาสตร์ครอบครัว ได้น้อมนำพระปณิธานของพระองค์ท่านในการพัฒนาสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน และพระราชกรณียกิจที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา พระวิริยะอุตสาหะ ที่นำสิริสุขมาสู่ปวงชนในทุกก้าวพระบาทที่เสด็จไปถึง มาเป็นแบบอย่างแก่ผู้ประกอบวิชาชีพการด้านสาธารณสุข จึงได้ร่วมกันจัดงานสัปดาห์วันพยาบาลแห่งชาติ ประจำปี 2565 ระหว่างวันที่ 21-27 ต.ค.65 เวลา 08.00-15.00 น. ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ ชั้น 1 โดยภายในงานจะมีนิทรรศการ    และกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ เชิญชวนประชาชนและผู้สนใจเข้าร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
 

รอง ผบ.ตร.เปิดอบรมการฝึกเอาตัวรอดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ชมการสาธิตการรับมือเหตุกราดยิง (Active shooter) ณ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์ แผนกมัธยม

วันนี้​ (20 ต.ค.)​ เมื่อเวลา 13.00 น.​ ที่ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์ แผนกมัธยม​ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผบ.ตร. เดินทางไปรับชมการฝึกวิธีเอาตัวรอดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ( กราดยิง ) 

โดยมรการฝึกอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมเผชิญเหตุกรณีคนร้ายยิงกราด Active shooter นั้นได้แบ่งเป็น สองส่วนคือการอบรมภาคทฤษฎี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ และการฝึกอบรมภาคปฏิบัติซึ่วแบ่งเป็น 3 ฐาน  และจะแบ่งบุคลากรในการฝึกซ้อม 3 กลุ่มซึ่งมีทั้งนักเรียน ครู และบุคลากรอื่นๆให้ฝึกซ้อมร่วมกัน โดยจะสลับหมุนเวียนกันไปในแต่ละฐาน ได้แก่ ฐานที่ 1 การหนี ซ่อน สู้ ซึ่งจะมีการสาธิตเหตุการณ์จริงว่าเมื่อมีคนร้ายก่อเหตุยิงกราดจะมีวิธีการในการเอาตัวรอดอย่างไร ฐานที่ 2 การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อสร้างความรู้เบื้องต้นในการรักษาบาดแผลและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเหตุร้าย เพื่อลดการสูญเสีย และฐานที่ 3 คือการปฏิบัติเพื่อพบ IED ระเบิด ทำให้รู้ว่าเมื่อพบวัตถุเข้าข่ายที่จะเป็นระเบิดควรปฏิบัติตัวอย่างไร 

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร.  ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มาให้ความรู้เรื่องการรับมือเหตุกราดยิงในสถานศึกษา ซึ่งเราทำเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ยังไม่ทั่วถึง  พอมีเหตุเกิดที่จังหวัดหนองบัวลำภู ก็ได้มีการถอดบทเรียนแล้วว่าการลดความสูญเสียได้มากที่สุดคือการให้ความรู้กับเหยื่อ เพราะเหตุการณ์แบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ถ้าหากเหตุเกิดในโรงเรียนเด็กเล็กต้องทำอย่างไร หากเกิดเหตุในห้างสรรพสินค้าต้องทำอย่างไร ซึ่ง รปภ.ต้องรู้วิธีการับมือ ซึ่งก็ได้ประสานการดำเนินงานกับบริษัท รปภ. ให้มีการฝึกอบรมและออกใบอนุญาตเกี่ยวกับกิจการรักษาความปลอดภัยโดยตำรวจ

ส่วนปัจจัยที่จะทำให้เกิดเหตุการฆาตกรรมหมู่ หรือกราดยิงนั้น (Active shooter) มีสามอย่างคือ 1.ตัวร้ายเอง 2.สภาพสังคมที่กดดันผู้ก่อเหตุจนเกิดความเครียด และ 3.เมื่อเกิดความกดดันมากจึงทำให้เกิดความต้องการตอบโต้แบบเฉียบพลันซึ่งเป็นได้สองลักษณะคือการยิงตัวตายและการฆาตกรรม แต่ถ้าสังคมกดดันจนตัวผู้ก่อเหตุควบคุมตัวเองไม่ได้ก็จะเลือกเป้าหมายที่เป็นกลุ่มเปราะบาง อย่างเช่นโรงเรียนหรือห้างสรรพสินค้าที่ผู้คนไม่ทันระวังตั้งตัว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มีการถอดบทเรียนจากกรณีที่เกิดเหตุจากสหรัฐอเมริกกว่า 280 กรณีนำมาต่อยอดเพื่อให้ความรู้กับประชาชนต่อไป 

และวันนี้จึงเดินทางมาฝึกซ้อมและให้ความรู้กันที่นี่ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือกับทาง ผกก.สน.ปทุมวัน และ ทางโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ด้วย 

ทั้งนี้การมาทำการสาธิตในครั้งนี้จะมีการบันทึกภาพและเสียงทำเป็นวิดีโอเผยแพร่ และผบ.ตร.กับ รมว.ศึกษาธิการกำลังทำข้อตกลงกันเพื่อที่จะส่งครูฝึกที่เป็นตำรวจที่ได้รับการฝึกมาแล้วทุก สน. ให้ไปสอนให้กับคุณครูตามโรงเรียน เนื่องจากโรงเรียนทั้งประเทศมีกว่า 20,000 กว่าโรงเรียน แต่มีโรงพักแค่เพียง 1,400 กว่าโรงพัก ดังนั้นจึงไม่สามารถเข้าไปฝึกได้ทุกโรงเรียนจึงจะจัดฝึกให้กับครูแล้วให้ครูไปถ่ายทอดกับเด็กนักเรียนต่อไป โดยเน้นความเข้าใจที่ง่ายอย่างเช่น Run /Hide/ Fight  คือการหลีกเลี่ยง/ หลบซ่อน /การเข้าสู้ ซึ่งสำหรับการวัดผลไม่สามารถวัดเชิงปริมาณได้ แต่ต้องวัดผลเชิงคุณภาพ นั่นคือความพึงพอใจของประชาชนว่ามีความพึงพอใจหรือไม่ที่ทางตำรวจได้เข้ามาให้ความรู้ตรงนี้  ซึ่งทุกภาคส่วนต้องร่วมกันช่วยเฝ้าระวัง เพราะ "การลดอาชญากรรมได้ดีที่สุดคือ การมีพี่น้องประชาชนเป็นแนวร่วมของตำรวจ" 

ทางด้าน นางพรพรหม ชัยฉัตรพรสุข ผอ.โรงเรียนสาธิตจุฬาฯฝ่ายมัธม กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ก็ได้ให้อาจารย์ในโรงเรียนให้ข้อมูลกับนักเรียนในโรงเรียน ซึ่งก่อนหน้านี้อาจจะมีการอบรมแต่ไม่ได้ตรงกับเหตุการณ์นี้เท่าไหร่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีโอกาสซักซ้อมเหตุการณ์กราดยิงที่อาจจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้รับทราบว่าทางตำรวจสน.ปทุมวันจะมีการให้ความรู้โดยตรงในเรื่องนี้ ซึ่งก็ขอชื่นชมทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะเป็นการให้ความรู้ที่รวดเร็วซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมเนื่องจากพอมีเหตุการณ์กราดยิงเกิดขึ้นอาจมีการเลียนแบบ เพราะถ้าไม่มีการให้ความรู้ที่รวดเร็วถ้ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกน่าจะทำให้มีการสูญเสียมากขึ้น 

และถ้าพูดในมุมเด็กๆก็จะได้รับความรู้ในเบื้องต้น วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นภาพขั้นตอนที่ชัดเจน เมื่อเห็นแล้วก็จะได้รู้ว่าในอนาคตควรจะเตรียมตัวอย่างไร ส่วนผู้ปกครองก็น่าจะมีความสบายใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าลูกตนได้รับความรู้แล้ว

ทางด้านพ.ต.อ.พันษา อมราพิทักษ์ ผกก.สน.ปทุมวัน กล่าวว่า ในส่วนของตำรวจส่วนหนึ่ง แบะภาคประชาชนอีกส่วนหนึ่ง วันนี้อยากจะทำให้ภาคประชาชนแข็งแรง คือต้องรู้วิธีการแก้ปัญหาเบื้องต้นก่อนที่เหตุจะไปถึงเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่จะมาถึง ซึ่งเป็นช่วงเวลาไม่นานแต่สำคัญที่สุด ซึ่งถ้าสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ และสามารถช่วยเหลือด้วยกันเองได้ก็จะช่วยลดการสูญเสียได้มากขึ้น ซึ่งนอกจากโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์ก็ได้มีการสาธิตอีกหลายที่ อย่างที่ห้างสยามพารากอน ซึ่งจะเป็นแม่แบบของห้างใหญ่เมื่อเกิดเหตุว่าต้องทำอย่างไร  

'มท.1' ลั่น!! ดูแลประชาชนรับผลวิกฤตน้ำท่วมเต็มที่ พร้อมยันจะเล็งเร่งซ่อมแซมบ้านเรือนให้หลังน้ำลด

(21 ต.ค. 65) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ และการเยียวยา ว่า กระทรวงมหาดไทย กำลังดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในจ.อุบลราชธานี ที่ได้รับผลกระทบมากจากปัญหาลุ่มน้ำมูลและลุ่มน้ำชี โดยจะดูเรื่องการดำเนินชีวิตของประชาชนในช่วงนี้ 

หลังจากนั้น เมื่อระบายน้ำจนสามารถฟื้นฟูได้แล้วจะเร่งฟื้นฟูประชาชนตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว และเตรียมให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพได้โดยเร็ว

ส่วนสถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ขณะนี้น้ำได้ไหลลงไปในพื้นที่เกษตรเสียเป็นส่วนใหญ่ หากสามารถฟื้นฟูได้ก็จะคอยดูแลต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้ได้สำรวจความเสียหายตามพื้นที่ต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า "ขณะนี้ดูแลประชาชนความเป็นอยู่ที่ดีให้ได้ก่อน เพราะหลายพื้นที่ประชาชนยังอพยพอยู่ในศูนย์พักพิงจำนวนมาก เช่น จ.อุบลราชธานี ยืนยันว่าหากน้ำลง จะเร่งฟื้นฟูทันที และเร่งซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย รวมถึงการชดเชยการทำมาหากิน โดยเราจะเร่งสำรวจในช่วงสถานการณ์คลี่คลาย ตอนนี้ยังสำรวจไม่ได้เพราะน้ำยังมากอยู่"

มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี นำผู้เสียหายจากลัทธิล้างสมองเข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ คุมคดีค้ามนุษย์

มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี นำผู้เสียหายจากลัทธิล้างสมองเข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ คุมคดีค้ามนุษย์      

จากกรณี เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 65 เวลา 10.00 น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น. เข้าตรวจสอบ ห้องพักเลขที่ 95 ตึก A คอนโดศุภาลัยซิตี้รีสอร์ท พระราม8 ถ.อรุณอมรินทร์ แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด จ.กรุงเทพฯ สามารถช่วยเหลืออดีตพยาบาล และเด็ก รวม5 คน ที่ถูกกักขังอยู่ในห้องพัก ภายในคอนโดหรูแห่งหนึ่ง ถ.อรุณอมรินทร์ แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ โดยมีสภาพถูกกักขัง ถูกทำร้ายร่างกาย และกระทำทารุณกรรมอย่างหนัก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top