Thursday, 12 June 2025
LITE

เกาะยอในความทรงจำ (๑) 

นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว นักเขียนเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงความทรงจำเมื่อครั้งทำงานเก็บข้อมูลชีวิตชาวบ้านที่เกาะยอ จังหวัดสงขลา ว่า 

ดิฉันเข้าไปทำงานเก็บข้อมูลชีวิตชาวบ้านรอบทะเลสาบสงขลากับอ.เขมานันทะ น้องกิ๋ว-คุณปรัศนันท์ กังศศิเทียม และทีมงานคนอื่นๆ เป็นครั้งแรกเมื่อกลางปีพ.ศ. ๒๕๔๒ เขียนเป็นหนังสือ “ทะเลสาบสงขลา” และ “อนุทินทะเลสาบ” ให้กับ สำนักพิมพ์สุขภาพใจ แล้วหลังจากนั้น ในปีพ.ศ. ๒๕๔๔ ดิฉันก็ยังได้เข้าไปเก็บข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตผู้คนและวัฒนธรรมชาวบ้าน ที่เกาะยอ เมืองสงขลา ให้กลุ่มบริษัทแปลน เป็นช่วงที่ดิฉันและน้องกิ๋วพักอยู่สงขลาหลายเดือน นับเป็นความทรงจำที่ยิ้มได้เสมอเมื่อรำลึกถึง

หลังจากนั้น...นานครั้ง ดิฉันถึงมีโอกาสเข้าไปที่เกาะยออีกบ้าง หลักๆ คือไปที่สถาบันทักษิณคดีศึกษา มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เกาะยอ ที่จำได้และถ่ายภาพเก็บไว้ก็คือช่วงปีพ.ศ. ๒๕๔๘ และปีพ.ศ. ๒๕๕๙

มีเรื่องเกี่ยวกับเกาะยอ ที่ดิฉันเขียนไว้ในหนังสือ “อนุทินทะเลสาบ : บันทึกจากแผ่นดินของปู่-ทะเลของย่า” พิมพ์เผยแพร่ในปีพ.ศ. ๒๕๔๔ พลิกดูวันนี้มีหลายเรื่องที่เห็นว่ามีค่า สำหรับคนเกาะยอ-สงขลา รุ่นหลัง จึงนำมาขึ้นเพจ ให้ได้อ่านกัน

สำหรับภาพประกอบนั้น ดิฉันตั้งใจนำมาให้ได้ดูเปรียบเทียบ ๒ ช่วงในห้วงเวลาที่เปลี่ยนไป ภาพเก่านั้นถ่ายไว้เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๘ ภาพสีสดใสบันทึกไว้เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๕๙ 
ซึ่งบัดนี้ คงเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ในช่วงปัจจุบัน
ดูภาพ และอ่านเรื่องเกาะยอกันนะ
#เกาะยอ

"ผ้าดำดี ลูกสาวสวย" คือคำพังเพยที่ชาวสงขลาระบุกันถึงภาพของเกาะยอในวันวาน ผ้าที่ทอขึ้นจาก "ด้ายกุหลี" หรือเส้นไหมละเอียดสีดำ ด้วยฝีมือของสาวเกาะยอ ตาคม ผิวขาวนวล ตามเชื้อสายจีนฮกเกี้ยนของบรรพบุรุษ ได้สร้างชื่อให้เกาะยอเป็นสถานที่อันโดดเด่นในบริเวณปากอ่าวทะเลสาบสงขลา ทั้งยังเป็นแหล่งของผลไม้อร่อยนานาพันธุ์ กระเบื้องดินเผามุงหลังคา และมาตุภูมิของอิงอร-นักเขียนผู้ใช้สำนวนภาษาประดุจปลายปากกาจุ่มหยาดน้ำผึ้ง

ธานี ไพโรจน์ภักดิ์ ชาวเกาะยอ กำนันวัย ๖๗ ปี เล่าว่า ๒-๓ ชั่วอายุคนก่อนนี้ คนเกาะยอส่วนใหญ่เป็นจีนฮกเกี้ยนอพยพมาจาก ต.น้ำน้อย อ.หาดใหญ่ และ ต.ทุ่งหวัง อ.เมืองสงขลา จีนสมัยนั้นแล่นเรือใบมาเห็นเกาะแห่งนี้ร่มรื่นน่าอยู่ มีที่ว่างไร้เจ้าของมากมาย จึงชวนกันมาตั้งรกราก พบว่ามีต้นยอขึ้นอยู่มาก ถึงเรียกกันว่า "เกาะยอ" มาแต่บัดนั้น

จีนเริ่มต้นชุมชนบนเกาะขึ้นที่บ้านนาถิ่น ได้เมียคนไทย พากันทำสวน ปลูกฝ้าย ปลูกครามย้อมผ้าตามถนัด สาวเกาะยอทอผ้าทุกครัวเรือน คิดค้นลายผ้าขึ้นอย่างมีแบบฉบับของตนเอง พื้นดำ น้ำเงินขัดลายยกดอกเป็นลายราชวัตร ลายลูกแก้ว ลายข้าวหลามตัด ลายดอกพริก ลายดอกก้านแย่ง ฯลฯ ทอทั้งผ้าพื้นสีเขียว สีน้ำเงิน เป็นโสร่งทั้งของหญิงและชาย จากฝ้ายเป็นด้ายกุหลีที่ละเอียดกว่าเส้นไหม จนมาถึงไหมเทียมโทเรในปัจจุบัน

ลักษณะโดดเด่นของผ้าเกาะยอก็คือ ความหนาคงทน สวยด้วยลายเฉพาะถิ่น ส่งขายไกลทั่วเมืองไทย เดี๋ยวนี้สาวเกาะยอยังทอผ้ากันอยู่กว่า ๒๐๐ ครอบครัว เสียงกี่กระตุกกึงกังยังกังวานอยู่ยามบ่าย เมื่อเดินผ่านลัดเลาะไปตามถนนคดเคี้ยวในเกาะ

ถนนที่เพิ่งลาดยางช่วงปีพ.ศ. ๒๕๒๗-๒๕๒๘ วกเวียนทับเส้นทางเดินโบราณที่เลี้ยวเลาะเข้าไปตามสวนผลไม้นานา เกาะยอเลื่องชื่อเรื่องผลไม้อร่อย เป็นที่โจษจันกันมานานแล้ว ดังหลักฐานในบันทึกของสมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษี คราวเสด็จออกตรวจราชการภาคใต้ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ว่า "อนึ่งที่ปากช่องทะเลสาบนั้นมีเกาะๆ หนึ่งชื่อเกาะยอ...มีสวนเรียงรายอยู่ในเกาะและรอบเกาะเป็นสวนผลไม้ หมาก มะพร้าว จำปาดะ ขนุน สะตอ พุมเรียง ละมุด ทุเรียน และมีสวนมัน ผักและพลูต่างๆ บริบูรณ์ มีบ้านราษฎรเจ้าของสวนเรียงราย" 

คุณตาประวิทย์ นพคุณ วัย ๘๖ ปี คนย่านถนนนครนอก อำเภอเมืองสงขลา ยืนยันด้วยรอยยิ้มและดวงตาเป็นประกายสดใสเมื่อเล่าถึงเกาะยอครั้งคุณตายังหนุ่มว่า "คนเกาะยอทำสวนทอผ้า ผู้หญิงเกาะยอตัวขาว เชื้อจีนสวยมากๆ ผลไม้เกาะยอขึ้นชื่อ มีทั้งสวา(ละมุด) จำปาดะ มะพร้าว ทุเรียน"

ร้อยกว่าปีหลังบันทึกของเจ้าฟ้าภาณุฯ ผลไม้เกาะยอยังอุดม ผ้าเกาะยอยังดี ลูกสาวชาวเกาะยอยังสวย กระเบื้องเกาะยอเท่านั้นที่กลายไปเป็นตำนาน

เรือนไทยใต้ซ่อนตัวอยู่หลังแมกไม้ครึ้ม แดดสว่างจับหลังคากระเบื้องดินเผา คือภาพงามยามเย็น บ่งบอกถึงวิถีชีวิตสงบเนิบช้า เรือนปั้นหยาทุกหลังที่ผ่านตา ล้วนมุงกระเบื้องเกาะยอ นอกจากจะให้ความงามอันกลมกลืนกับเรือกสวนรอบข้างแล้ว กระเบื้องเกาะยอยังแข็งแกร่ง คงทนอยู่ได้ถึง ๔๐-๕๐ ปี ขึ้นชื่อว่ามุงแล้วร่มเย็นอยู่สบาย ช่วงรุ่งเรืองคนเกาะยอตั้งเตาเผากระเบื้องกันราว ๑๐ เจ้า ขุดดินจากทุ่งนาปั้นกระเบื้อง อิฐ โอ่ง อ่าง กันตั้งแต่เดือนยี่ถึงเดือน ๑๑ มาหยุดเอาหน้ามรสุม ยามฝนชุก ชื้นแฉะจนตากกระเบื้องไม่ได้ คนเกาะยอเล่าว่า เคยบรรทุกกระเบื้องเป็นหมื่นๆ แผ่น ลงเรือใบ รอนแรมไปในเวิ้งทะเลสาบสงขลาแถบเมืองนครศรีธรรมราช พัทลุง ขายไกลถึงเมืองตรัง ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รุ่งเรืองมีชื่อเสียงโด่งดังถึงกลันตัน ตรังกานู ปีนัง สิงคโปร์ จนพวกพ่อค้าพากันเอาเรือสำเภา ๒ หลักขนาดใหญ่ออกทะเลลึก มาบรรทุกกระเบื้องไปขายเอง

กิจการกระเบื้องดินเผาเกาะยอเพิ่งมาสิ้นสูญไปเมื่อราว ๒๐ ปีนี้เอง วันเวลาเคลื่อนไป หากบ้านเก่าที่เคยใช้กระเบื้องเกาะยอกลับอยู่กันยาวนาน มุงหลังคามากว่า ๕๐ ปีไม่มีพัง แทบไม่ต้องซ่อมแซม บ้านใหม่ก็ถูกกระเบื้องโรงงาน ที่แม้จะมุงแล้วร้อนอบอ้าว ทั้งไม่คงทนเท่า แต่ราคาที่ถูกกว่า เบากว่า ใช้ไม้โครงหลังคาน้อยกว่าที่เข้ามาแทน ก็ทำให้ชาวบ้านสมัครใจหันไปใช้ของใหม่ที่ผลิตออกมาตีตลาด จนกระเบื้องเกาะยอค่อยๆ สูญสิ้นความนิยมไปโดยปริยาย คงเหลือเพียงกระเบื้องดินเผาของเมืองสงขลาก็แต่ที่บ้านท่านางหอม นอกเกาะยอห่างไกลออกไป ให้นึกถึงตำนานของบ้านหลังคากระเบื้องดินเผา สวยสงบในดงไม้ จารึกไว้ถึงวันวานอันรุ่งเรืองของ "เบื้องเกาะยอ" ในวันเวลานี้

๒ เมษายน วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต โดยเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ 3 ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ทรงเริ่มการศึกษาที่โรงเรียนจิตรลดา ก่อนจะทรงเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมาทรงสำเร็จการศึกษาและได้รับปริญญามหาบัณฑิตจากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร และคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ณ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2529
 

‘สิว - ดำ - คล้ำ - หมอง’ ต้อง... ‘GLYCOLIC BRIGHT INSTANT GLOWING SERUM’ by L'Oréal ขวดเดียวอยู่!!

ปัญหาผิวกวนใจอันดับต้น ๆ ของสาว ๆ ยังไงก็คงหนีไม่พ้น ‘สิว’ ตัวการปัญหาผิวไม่เรียบเนียน และต่อให้มันจะหายไปแล้ว ก็ยังทิ้งรอยให้เจ็บกระดองใจเล่น เรียกว่าปวดใจตั้งแต่เริ่มผุดบนหน้า จนยุบแห้งไปแล้วก็ยังฝากรอยไว้ให้เป็นที่ระทึกอยู่เรื่อย ๆ 

ครั้นเห็นหน้าตัวเองทีไร ก็ได้แต่ภาวนาว่า เมื่อไร จุดด่างดำจากสิวสุดกวนใจเหล่านี้ จะหายไปจากชีวิตเสียที 

เวลามีใครหาสูตรดูแลที่โปรโมตโม้กันว่าดีๆๆ พี่ลองมาหมดแล้ว แต่โป๊ะ!! ผลลัพธ์กลับได้รอยเพิ่มขึ้นมาซะอีก เคราะห์ซ้ำกรรมซัดบางทีโดนยาแรงผื่นแพ้ขึ้นมาเบียด จนแทบไม่เหลือที่ให้สิวผุด

แต่ว่าวันนี้ปัญหาปวดใจเหล่านี้ ก็ไม่มาก่อกวนใจอีกต่อไป เพราะในที่สุดก็ได้เจอเนื้อคู่วววววว อย่างน้อง ‘GLYCOLIC BRIGHT INSTANT GLOWING SERUM’ by L'Oréal เซรั่ม ไกลโคลิค ไบรท์ -57% จุดด่างดำใน 4 สัปดาห์ ด้วยพลังผิวดูใสไกลโคลิคเข้มข้น 1.0% บอกเลยว่า กู้หน้าผุ คืนหน้าใส หน้าสว่างเหมือนติดหลอดไฟให้ผิวกันไปเลยจ้าาา

ความเลิศของน้อง อยู่ที่การช่วยงัดผิวโทรมขึ้นมาได้ทันตา เพราะน้องมี ‘ไกลโคลิค แอซิด’ ตัวช่วยผิวดูโกลว์ กระจ่างใส ขอบอกก่อนว่าเจ้าตัวนี้เนี่ยไม่ได้โบเบ้มามั่ว ๆ นะจ๊ะ เพราะเขามีการทดลองกันจริง ๆ มีผลลัพธ์ทางคลินิกรับรอง ขอบอกเลยว่า ทาไปปุ๊ป จุดด่างดำต้องมีกระเด็นออกกันไปบ้างแหละ!

เคล็ดไม่ลับ ‘ผมสวยตรงปก’ ไม่ต้องง้อซาลอน กับ ‘Lolane Pixxel Hair Bleaching Cream’!

เดี๋ยวนี้เทรนด์ เสื้อผ้า หน้าผมหมุนสลับ ผลัดเปลี่ยนจนตามแทบไม่ทันแล้วจ้าา โดยเฉพาะเรื่องสีผม ที่ช่วงนี้แรงสุดๆ ต้องยกให้เทรนด์สีสไตล์ ‘สาวเกาหลี’  

แต่อย่างที่บอก!! เดี๋ยวนี้เทรนด์เปลี่ยนง่าย เหมือนใจคน (ขอดึงดราม่าหน่อย) จะให้เดินเข้าร้านซาลอน​ เสกผมสวยบ่อยๆ ก็กลัวกระเป๋าจะฉีกซะก่อน

วันนี้เลยจะพามาดูเคล็ดลับง่ายๆ​ ในการทำสีผมแบบ ‘สาวเกาหลี’ โดยไม่ต้องง้อซาลอน กับ ‘Lolane Pixxel Hair Bleaching Cream’ ครีมฟอกสีผม ก่อนการทำสี เพื่อสีผมสวยตรงปก แถมกระเป๋ายังไม่ฉีก!!

ก่อนอื่นต้องขออธิบายคร่าวๆ ก่อนว่า​ การทำสีผมให้สวยตรงปก ไม่ใช่ว่าเลือกสีมาปุ๊บ แล้วจะได้สีสวยดั่งใจเหมือนหน้ากล่องยาย้อมผมนะจ๊ะ แต่จำเป็นต้องมีตัวช่วยอย่าง ‘ครีมฟอกสีผม’ เพื่อมาปรับพื้นสีผม ก่อนลงสี 

เพียงแต่ปัญหากวนใจหลักๆ ที่ต้องเจอเวลาฟอกสีผมแต่ละทีที่ทำเอาชะนีต้องปวดใจ คือ ฟอกแล้ว ‘ผมเสีย’ ไม่ไหว!!! เพราะบางทีกว่าจะได้ระดับสีที่ต้องการ​ ก็ฟอกกันจนผมเสียเป็นวุ้นกันไปเลยจ้าาา 

แต่ ๆๆๆๆ วันนี้ปัญหาปวดใจเหล่านี้ต้องหลบไป! เพราะเราเจอลูกรักคนใหม่ ‘Lolane Pixxel Hair Bleaching Cream’ ที่มาพลิกโฉมวงการนักฟอกมือใหม่และมือเก๋า ชนิดที่ว่าย้อมผมเองได้ ไม่ง้อซาลอนกันไปเล้ยยย

ความเก๋ของ ‘Lolane Pixxel Hair Bleaching Cream’ เนี่ยบอกเลยว่า เลิศอ่ะ! เพราะ​ Lolane เขาเข้าใจชะนีอย่างเรามาก ๆ เนื่องจากบางที้ราก็อยากฟอกผม แต่ไม่ได้อยากให้ขาวจั๊วะ เขาเลยทำมาให้เลือกถึง 3 สูตรด้วยกัน คือ Gentle Level / Medium Level และ Extreme Level ซึ่งความเข้มข้นของไฮโดรเจนก็จะไล่กันไปตามระดับ 6% / 9% และ 12% โดยในกล่องจะประกอบไปด้วย ครีมฟอก และ ไฮโดรเจน

ฟังดูอาจจะมีผวา! ไฮโดรเจนเปอร์เซ็นต์ขนาดนี้ผมจะไม่เป็นวุ้นกันเลยหรอ?!! คำตอบคือไม่จ๊ะ! น้อง ‘Lolane Pixxel Hair Bleaching Cream’เขาเฟรนลี่กับเส้นผมเรามากเวอร์ (ขอแอบกระซิบบอกนิด ๆ ตอนใช้ก็คิดว่าผมต้องเสียแน่ ๆ แต่ผิดคาด!!) พอฟอกเสร็จปุ๊บ ผมนุ่มเฉยเลย!! เพราะว่าเขามี ‘เลซิติน’ ที่มาช่วยปิดเกล็ดผม ทำให้ผมไม่กระด้างเป็นไม้กวาด แถมยังมี ‘โอเมก้าออยล์’ ช่วยเพิ่มความอ่อนโยนให้กับเส้นผมอีกด้วย

และอย่างที่บอกว่าการฟอกผมเนี่ย โดยปกติแล้วกว่าจะฟอกออกมาจนได้ระดับสีที่ต้องการ ก็ต้องฟอกแล้วฟอกอีก จนผมช็อต เสีย กลายเป็นวุ้นกันไป แต่ว่า ‘Lolane Pixxel Hair Bleaching Cream’ เขาทำมาให้เลือกตั้ง 3 สูตร ดังนั้นก็แค่เลือกระดับสีผมที่ตรงใจ จากนั้นก็ฟอกเลยจ๊ะบอกเลยว่า ‘ครั้งเดียวรู้เรื่อง’ ! เพราะ น้องเนี่ยสามารถ ‘ยกระดับความสว่างได้ถึงระดับ 10 ในครั้งเดียว’ ลดการฟอกซ้ำ ตัดปัญหาผมเสีย แถมยังได้สีสวยสม่ำเสมอเท่ากันทั้งหัวด้วย!! 

‘บีไนซ์ เชียร์ บัตเตอร์ & พีชชี่ พีช’ สุดยอดตัวช่วย ‘ผิวเด้ง’ เร่งผิวใสให้กลับมาเหมือนผิวเด็ก!!

ไม่ว่าใครๆ ก็อยากจะมีผิวนิ่ม เด้ง เรียบเนียน เหมือนผิวเด็กกันทั้งนั้น เพราะนอกจากจะช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีแล้ว ก็ยังช่วยบำรุงเสน่ห์ให้ใครก็อยากมองอีกด้วย

แต่อย่างที่รู้กันดีว่าผิวนุ่มเรียบเนียน มันพร้อมจะลาจากไปตามวันเวลา ว่าแล้วผู้หญิงอย่างเราก็เลยต้องหาของบำรุงเพื่อสร้างเกราะชะลอความโรยราของผิวออกไปให้ได้นานที่สุด 

ว่าแต่อะไรล่ะ ที่จะเข้ามาเป็นพระเอกที่จะช่วยกู้ร่างโรยรา ให้ผิวออกมาสวยปิ๊งแบบคุณหนูได้หว่า!?

วันนี้จะพาทุกคนมารู้จักอีกผลิตภัณฑ์สุดน่าทึ่ง สุดยอดตัวช่วยกู้ผิวโทรมสาวๆ มานักต่อนัก ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษจนปัจจุบัน ไปกับ ‘เชียร์บัตเตอร์’ (เล่นใหญ่มากเวอร์) สุดยอดส่วนผสมที่กลมกลืนอยู่ใน ‘บีไนซ์ เชียร์ บัตเตอร์ & พีชชี่ พีช’ 

เชียร์บัตเตอร์ (Shea Butter) จัดว่าเป็นอาหารผิวชั้นเลิศ ถ้าเทียบกับภัตตาคาร ก็ระดับ 5 ดาว เพราะสรรพคุณของน้องเขาเรียกว่า ‘ครอบจักรวาล’ สุดๆ ทั้งปกป้องผิว และยังใช้ประโยชน์ในการดูแลบำบัดผิวได้ดี อีกด้วย

‘แทมารีน สปีด ไบรท์เทนนิ่ง’ by เขาค้อทะเลภู เปลี่ยนผิวเสียให้เป็นผิวใส ‘บูสต์ทันใจ’ เห็นผลใน 5 วัน 

ข่าวดีของผู้ใช้แรงงานกับผิวหน้าแบบไร้ความปรานี โดดแดด โดนลม แบบไม่เคยคิดจะเก็บผิวหน้าไว้ให้ใครเชยชม วันนี้มีตัวช่วยที่สะดวก ไว ไม่ทำให้เสียเวลา เพราะเรารู้ดีว่าที่คุณไม่ค่อยดูแล เพราะรู้สึกว่ามันไม่ทันใจใช่ไหมล่าาา

จากผู้ใช้งานจริง ที่เป็นสาวออฟฟิศวัยใส แต่ผิวหน้าไม่ขาวใสกระจ่างเหมือนวัย อ้อนได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ และอยากมาแชร์ประสบการณ์จริงให้รู้กัน

ปกติไลฟ์สไตล์ เป็นคนชอบออกแดด ทำกิจกรรม เล่นกีฬา และอื่นๆ อยู่แล้ว ซึ่งเราก็ยอมรับว่าเคยแอบกังวลอยู่เหมือนกัน เพราะเป็นคนผิวคล้ำจากแดดได้ง่าย แถมส่วนตัวก็เป็นคนไม่ค่อยหันมาดูแลหรือฟื้นฟู เพราะรู้สึกว่ามันยาก กว่าจะคืนผิวกระจ่างกลับมาเหมือนเดิม 

เพราะแต่ก่อน ก็เคยใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มความกระจ่างใส แต่ขอบอกว่า มันใสไม่ทันใจ เห็นผลช้า แถมใช้แล้วเหนียวเหนอะหนะ เลยล้มเลิก 

แต่พอมีโอกาสได้มาลองใช้ เขาค้อทะเลภู แทมารีน สปีด ไบรท์เทนนิ่ง เพราะคุณแม่ใช้อยู่ ก็เซอร์ไพรส์ ซึ่งตอนแรกที่ลองใช้ เพราะคิดว่าไม่เสียหาย ที่สำคัญคุณแม่บอกว่ามันสามารถบูสต์ผิวหน้าใสให้คืนกลับมาได้ภายใน 5 วัน

(จริงๆ ก็เคยแอบดูแม่ใช้ แต่ไม่เคยนับวัน แค่เธอบอก เลยแอบสน 555)

สรุป หลังจากใช้ไป 5 วัน ผิวมันใสติดสปีดจริง เริ่มมีคนทัก จากคนหน้าคล้ำ กลายเป็นคนหน้าปล้ำไปเลย กรี๊ดดอะ!!

สำหรับ เซตเขาค้อทะเลภู สปีด ไบรท์เทนนิ่ง 3 ไอเทม มีดังนี้...

3 STEP เผยใสใน 5 วัน

STEP 1 : เจลสครับล้างหน้ามะขาม ทำความสะอาดและผลัดเซลล์ผิวเก่าอย่างอ่อนโยน เจลล้างหน้า + สครับมะขามในหลอดเดียว มีเม็ดบีดส์จากแอพริคอตที่ช่วยสครับ และผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกอย่างอ่อนโยน พร้อมปรับผิวให้ดูกระจ่างใสด้วย AHA ธรรมชาติจากมะขาม เนเชอรัลอาร์บูตินจากเบียร์เบอร์รี่ และวิตามินซีจากมัลเบอร์รี่อีกด้วย ที่สำคัญสามารถใช้ได้ทุกวันเลย เพราะเม็ดสครับของเค้านิ่มไม่บาดทำร้ายผิวเลยค่า 
ขนาด 95 ml / ราคา 139 บาท

STEP 2 : ซูเปอร์เซรั่มมะขาม ฟื้นฟูผิวคล้ำเสีย ลดเลือนรอยดำ ผิวกระจ่างใส 
เซรั่มเข้มข้นแต่เนื้อบางเบาสุด ๆ สูตรเฉพาะจากเขาค้อ เนื้อเซรั่มเข้มข้น ซึมไว อัดแน่นไปด้วย AHA ธรรมชาติจากมะขาม ตรงเข้าไปจัดการความหมองคล้ำ มีอาร์บูตินช่วยลดการสร้างเม็ดสีใต้ชั้นผิวหนังอย่างล้ำลึก พร้อมเผยผิวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ แถมราคายังน่ารักสุดๆ เชื่อว่าปีนี้น้องเค้าน่าจะได้ขึ้นแท่น #เซรั่มหน้าใส #ถูกและดี ตัวใหม่อย่างแน่นอนค่า
ขนาด 30 ml / ราคา 399 บาท

STEP 3 : ครีมเจลมะขาม บูสต์ผิวนุ่มชุ่มชื้น ผิวโกลว์ใส 
ไฮไลต์ครีมเนื้อเจลบางเบา ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวแบบขั้นสุด นอกจากจะมีส่วนผสมจากมะขามและพืชอื่น ๆ จากธรรมชาติ ที่ช่วยปรับผิวให้ดูกระจ่างใส ลดเลือนจุดด่างดำแล้ว ยังมีเนเชอรัล มอยส์เจอไรเซอร์ ที่ทำให้ผิวดูฉ่ำน้ำ กักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างดีเยี่ยม ทำให้ผิวแข็งแรง และช่วยคงความอ่อนเยาว์ให้ผิวอีกด้วยค่า
ขนาด 45 ml / ราคา 399 บาท

1 เมษายน ‘วันโกหก’ วันที่สามารถแต่งเรื่องหลอกขึ้นมาได้ โดยฝ่ายที่ถูกแกล้งห้าม ‘โกรธ’

ทุกวันที่ 1 เมษายนเป็นวัน April Fool’s Day หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ วันโกหก ซึ่งเป็นวันที่นิยมเล่นสนุกกันในฝั่งชาวตะวันตก โดยความพิเศษของวันนี้ คือ สามารถโกหกหรือปล่อยข่าวลืออะไรก็ได้ และคนถูกหลอกหรือถูกโกหกต้องไม่โกรธกัน

โดยความเป็นมาของ ‘April Fool’s Day มีที่มาจากวันขึ้นปีใหม่ของชาวฝรั่งเศสในช่วงยุคศตวรรษที่ 16 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 เมษายนของทุกปี โดย โป๊ป เกรโกรี หรือสมเด็จพระสันตะปาปาเกรโกรีที่ 13 ได้กำหนดให้ชาวคริสต์ทั่วโลกเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่พร้อมกัน ต่อมาได้มีการกำหนดใหม่ให้วันที่ 1 มกราคมของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ 

แต่ด้วยในสมัยนั้นการกระจายข่าวยังไม่ทั่วถึงมากพอ ทำให้คนในชนบทของประเทศฝรั่งเศสที่อยู่ห่างไกลจึงไม่ค่อยที่จะได้รับข่าวสารใหม่ ๆ เท่าใดนัก ทำให้พวกเขายังเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายนตามเดิม นั่นจึงเป็นเหตุให้กลุ่มคนที่ทันสมัย หรืออยู่บนพื้นที่ที่กำลังพัฒนาแล้วเย้ยหยันคนเหล่านั้นว่า ‘หน้าโง่’ อีกทั้งพยายามจะแกล้งหลอกให้คนกลุ่มนี้หลงเชื่อข่าวสารที่ไม่ได้มีมูลความจริงกันเพื่อความสนุกสนาน
 

States TOON EP.53

ปิ๊บไหม?

ติดตามการ์ตูนอัปเดตได้ทุกสัปดาห์...

วันเกิด ‘กุหลาบ สายประดิษฐ์’ หรือ ‘ศรีบูรพา’ เจ้าของผลงานอมตะ ‘ข้างหลังภาพ’

“กุหลาบ สายประดิษฐ์” หรือ “ศรีบูรพา” (31 มีนาคม พ.ศ. 2448 - 16 มิถุนายน พ.ศ. 2517) นักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของไทย ในฐานะนักหนังสือพิมพ์ เขามีส่วนสำคัญยิ่งที่ได้ยกสถานะและบทบาทของหนังสือพิมพ์ไทยขึ้นมา ในฐานะนักเขียนเขาเป็นผู้หนึ่งที่ได้นำนวนิยายเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ผลงานของเขาอย่าง “สงครามชีวิต”, “ข้างหลังภาพ”, “แลไปข้างหน้า” ยังคงความเป็นอมตะมาจนถึงทุกวันนี้ 

เขายังเป็นนักต่อสู้กับระบอบเผด็จการและความอยุติธรรมในสังคมอย่างไม่ย่อท้อ แม้จะถูกข่มขู่และถูกจับกุมหลายต่อหลายครั้งก็ตาม

ชนิด สายประดิษฐ์ ภรรยาของ กุหลาบ เคยเล่าเรื่องความสัมพันธ์ที่น่าสนใจว่าระหว่าง กุหลาบ กับ จอมพล ป. พิบูลสงครามที่รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน เมื่อครั้งที่ กุหลาบเขียนบทความเรื่อง เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475 ทั้งหมด 16 ตอน ทำให้รัฐบาลต้องออกมาตอบโต้ทางวิทยุกระจายเสียง และจอมพล ป. ก็ได้เขียนจดหมายมาถึงกุหลาบอย่างเป็นกันเอง ซึ่งกุหลาบได้เขียนตอบกลับไปในคำนำ “เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475” ว่า      

“แม้จะมีความผูกพันฉันไมตรี นับถือกันดีอยู่ แต่ตราบเท่าที่อยู่ในหน้าที่แล้ว เมื่อมีเหตุการณ์สลักสำคัญที่ต้องวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ข้าพเจ้าก็จำเป็นต้องกระทำต่อไป ก็มีทางเหลืออยู่แต่ทางหนึ่งคือ ข้าพเจ้าจะสละตำแหน่งและวางมือจากวงการหนังสือพิมพ์เสีย”

ชนิด เล่าว่า จากนั้น จอมพล ป. จึงได้เขียนจดหมายตอบในทำนองว่า ขอให้ทำต่อไปเถิด…ขอให้เป็นประธานก่อตั้งสมาคมหนังสือพิมพ์ฯ ไปเถอะ จะไม่คิดร้ายเลย

อย่างไรก็ดี กุหลาบได้ถูกจับกุมเป็นครั้งแรกในปี 2485 เนื่องจากวิจารณ์รัฐบาลจอมพล ป. ที่ยอมให้ญี่ปุ่นยึดครองไทย ด้วยข้อหาเป็นกบฏภายในประเทศ ทำให้เขาถูกควบคุมตัวเป็นเวลา 3 เดือน ก่อนได้รับอิสรภาพ เนื่องจากคดีไม่มีมูล

หลังจากนั้นในปี 2495 กุหลาบต้องถูกจับกุมอีกครั้ง ระหว่างการแจกของให้กับประชาชนที่ประสบภัยแล้งในอีสาน ซึ่งทางสมาคมหนังสือพิมพ์ได้ขอให้กุหลาบไปเป็นประธานแจ้งของในงาน
 

วันที่ 30 มีนาคม ตรงกับ ‘วันแพทย์แห่งชาติ’ เพื่อเป็นเกียรติแก่แพทย์ บุคลากรการแพทย์ ที่ช่วยเหลือและรักษาชีวิตทุกคน

ในวันที่ 30 มีนาคม ของทุกปี นับว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ซึ่งตรงกับ ‘วันแพทย์แห่งชาติ’  โดยวันดังกล่าวนั้นมีขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1933 โดย ดร. Charles B. Almond และ Eudora Brown Almond ภรรยาของเขา ตั้งใจที่จะก่อตั้งวันดังกล่าวขึ้นมาเพื่อเป็นเกียรติแก่แพทย์และบุคลากรในแวดวงทางการแพทย์ทุกคน

ต่อมาในปี 1990 วันดังกล่าวก็ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะเริ่มแพร่หลายไปในหลายๆ ประเทศทั่วโลก
 

สถาบันสอนภาษา GLIT ชวนน้องๆ เข้าคอร์สซัมเมอร์ เสริมการเรียนรู้สนทนาภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มต้น

สถาบันสอนภาษานานาชาติ ประเทศไทย (Global Language Institute, Thailand หรือ GLIT ) เปิดหลักสูตร ‘English Summer Course Conversation For Beginner’ เสริมการเรียนรู้การสนทนาภาษาอังกฤษ ช่วงปิดเทอม ตลอดเดือนเมษายนนี้ 

โครงการ GLIT มี Course สำหรับน้องๆ ตั้งแต่ อายุ 9-15 ปี หรือ ป.4 - ม.3 จำนวน 10 ชั่วโมง มีทั้งแบบออนไลน์ และออนไซต์ 

คอร์สนี้ จะเน้นสนทนาภาษาอังกฤษ พร้อมให้เด็กๆ ได้ประสบการณ์ครบทั้ง เรียน เล่น สนุก ในรูปแบบ Play & Learn ที่จัดเต็มทั้งสาระและบันเทิง เพื่อปูพื้นฐานการสนทนาในชีวิตประจำวันแบบง่าย 

29 มีนาคม พ.ศ. 2430 วันเกิด ‘พระยาพหลพลพยุหเสนา’ บุคคลสำคัญผู้มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย

พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา นามเดิม พจน์ พหลโยธิน เป็นนายทหารปืนใหญ่ เชษฐบุรุษ และนายกรัฐมนตรีไทยคนที่สอง ทั้งยังเป็นหนึ่งในสี่ทหารเสือผู้ก่อการปฏิวัติสยามใน พ.ศ. 2475 เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และยังเป็นผู้นำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา

โดยนายพลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา มีนามเดิมว่า “พจน์ พหลโยธิน” เกิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2430 เวลา 03.30 น. ณ บ้านหน้าวัดราชบูรณะ จังหวัดพระนคร เป็นบุตรนายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (ถิ่น พหลโยธิน) (บางตำราว่าเขียนนามบิดาของท่านว่า กิ่ม และบางตำราว่าเขียนนามมารดาของท่านว่า จีบ) กับคุณหญิงจับ พหลโยธิน สมรสกับคุณหญิงบุญหลง พหลพลพยุหเสนา

ในด้านของการศึกษา นายพลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เริ่มการศึกษาชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดจักรวรรดิราชาวาส (วัดสามปลื้ม) และย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสุขุมาลวิทยาลัย จนกระทั่งเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียน นายร้อยทหารบก โดยมีผลการเรียนดีมาตลอด ต่อมาในปี พ.ศ. 2446 ได้รับทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกในเมืองโกรสลิสเตอร์ เฟล เด ประเทศเยอรมนี ศึกษาอยู่ 3 ปี ต่อจากนั้นได้เข้าประจำอยู่ในกองทัพบกเยอรมัน สังกัดกรมทหารปืนใหญ่ที่ 4 ในปี พ.ศ. 2455 ได้เดินทางไปศึกษาต่อวิชาช่างแสงที่ประเทศเดนมาร์ก เรียนได้ปีเดียวถูกเรียกตัวกลับเนื่องจากเงินทุนการศึกษาไม่เพียงพอ อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

โดย นายพลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา รับราชการครั้งแรกประจำกรมทหารปืนใหญ่ที่ 4 จังหวัดราชบุรี และเลื่อนขั้นขึ้นมาตามลำดับ จนวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2474 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาพหลพลพยุหเสนา” มีราชทินนามเดียวกับบิดา

ในด้านบทบาททางการเมืองของ พระยาพหลพลพยุหเสนา นับว่าสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับประเทศไทยไม่น้อย โดยได้ร่วมกับ “คณะราษฎร” โดยเป็นหัวหน้าคณะราษฎรและเป็นหัวหน้าสายทหารบก ทำการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” มาเป็นระบอบ “ประชาธิปไตย” โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ในปี พ.ศ. 2475 ได้รับตำแหน่งพิเศษ เป็นกรรมการกลางกลาโหม ต่อมาในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2475 จึงได้รับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบก (บางตำราเดือนกรกฎาคม) และดำรงตำแหน่งกรรมการราษฎร รัฐมนตรีในคณะรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา

ในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ได้กระทำรัฐประหารรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา (สมัยที่ 3) อันเนื่องมาจากคณะรัฐมนตรีปิดสภาผู้แทนราษฎร และงดใช้รัฐธรรมนูญ โดยนายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (ยศในขณะนั้น) ได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของประเทศไทยหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ย้อนรำลึก ‘ครูเวส สุนทรจามร’ เจ้าของบทเพลงในตำนาน ‘บุพเพสันนิวาส’

เมื่อพูดถึงบทเพลง ‘บุพเพสันนิวาส’ หรือ ‘พรหมลิขิต’ เชื่อว่าหลายคนต้องร้อง ‘อ๋อ’ เพราะนับได้ว่าบทเพลงเหล่านี้ เป็นบทเพลงคุ้นหูที่หลายคนเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง และอาจเรียกได้ว่าเป็นบทเพลง ‘อมตะ’ ที่เป็นผลงานจากนักประพันธ์เพลงชั้นครูอย่าง ‘ครูเวส สุนทรจามร’

โดย ‘เวส สุนทรจามร’ หรือ ‘ครูเวส’ นักประพันธ์เพลงที่มีผลงานแต่งทำนองให้กับวงสุนทราภรณ์ ร่วมกับครูแก้ว อัจฉริยะกุล ครูสุรัฐ พุกกะเวส เป็นจำนวนมาก เป็นครูเพลงที่มีลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงในวงการหลายคน เช่น วินัย จุลละบุษปะ, เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ประพนธ์ สุนทรจามร, ธนิต ผลประเสริฐ เป็นต้น

แต่หากย้อนกลับไปถึงประวัติความเป็นมาของ ‘เวส สุนทรจามร’ เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2442 ที่อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี มารดาชื่อ นางทองคำ สุนทรจามร บิดาเป็นทหาร ย้ายตามบิดาเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพ เรียนหนังสือที่วัดอนงคาราม พ.ศ. 2457 ขณะอายุได้ 15 ปี ก็สมัครเป็นทหารอยู่ที่ กรมทหารราบที่ 3 ซึ่งอยู่บริเวณกระทรวงกลาโหม และได้ฝึกหัดแตรวงอยู่กับครูฝึกชื่อ สิบตรีอั้น ดีวิมล และครูอั้นได้พาออกไปรับงานนอก เป่าแตรเพลงโฆษณารถแห่หนัง เป่าแตรหน้าโรงหนังก่อนหนังฉาย และเป่าเพลงเชิด เพลงโอด ประกอบภาพยนตร์

ในสมัยรัชกาลที่ 7 มีการยุบ ย้ายหน่วยทหาร จึงลาออกไปสมัครเป็นทหารในกองแตรวงทหารมหาดเล็ก จนกระทั่งถูกยุบวงเมื่อ พ.ศ. 2475 จึงไปเป็นนักดนตรีของวงดนตรีเครื่องสายฝรั่งหลวง กรมมหรสพ ภายใต้การดูแลของพระเจนดุริยางค์ และเล่นดนตรีแนวแจ๊สกับ เรนัลโด ซีเกร่า บิดาของแมนรัตน์ ศรีกรานนท์ในเวลาเดียวกันก็ตั้งคณะละครวิทยุ ชื่อ คณะสุนทรจามร ประพันธ์เพลงร่วมกับครูแก้ว อัจฉริยะกุล บันทึกเสียงวางจำหน่าย

พ.ศ. 2481 หลวงสุขุมนัยประดิษฐก่อตั้ง บริษัทไทยฟิล์มร่วมกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล และนายพจน์ สารสิน จัดตั้งวงดนตรีประจำบริษัทเพื่ออัดเพลงประกอบภาพยนตร์ จึงมาชวนไปอยู่ด้วย โดยมีครูเอื้อ สุนทรสนาน เป็นหัวหน้าวง และมีโอกาสได้อัดเพลงยอดฮิตหลายเพลง เช่น เพลงบัวขาว, ลมหวน ของท่านผู้หญิงพวงร้อย อภัยวงศ์

111 ปี ‘พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว’ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา ‘กรมศิลปากร'

ย้อนกลับไปเมื่อ 111 ปี ก่อน ในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2454 นับเป็นวันที่มีความสำคัญยิ่งกับประเทศไทย เนื่องจากวันนี้ตรงกับ ‘วันสถาปนากรมศิลปากร’ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นถึงความสำคัญของ ‘มรดกศิลปวัฒนธรรม’ 

โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริ ให้โอนกิจการของช่างมหาดเล็ก จากกระทรวงวัง และกรมพิพิธภัณฑ์ จากกระทรวงธรรมการ มาจัดตั้งเป็น ‘กรมศิลปากร’ ซึ่งตลอดระยะเวลากว่าร้อยปี กรมศิลปากรได้ทำภารกิจเกี่ยวกับการคุ้มครอง  ป้องกัน อนุรักษ์ บำรุงรักษา ฟื้นฟู ส่งเสริม สร้างสรรค์ เผยแพร่ศึกษา ค้นคว้า วิจัย พัฒนา สืบทอดศิลปะและทรัพย์สินมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ เพื่อธำรงคุณค่าและเอกลักษณ์ของความเป็นชาติ อันจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของสังคมไทยและความมั่นคงของชาติ  

126 ปี วันสถาปนากิจการ ‘รถไฟไทย’ จากพระราชวิสัยทัศน์กว้างไกลของ ‘ในหลวงรัชกาลที่ 5’

ย้อนกลับไปประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศที่แต่ก่อนนั้น การคมนาคมไม่ได้สะดวกสบายอย่างเช่นทุกวันนี้ ในสมัยก่อนผู้คนยังคงนิยมสัญจรไปมาโดยใช้สัตว์ เช่น โค กระบือ ม้า ช้างและเกวียน เป็นพาหนะ กระทั่งพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ซึ่งทรงเป็นประมุขของประเทศได้ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการคมนาคมซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำความรุ่งเรืองมาสู่ชาติบ้านเมือง หนึ่งในนั้นก็คือการคมนาคมทางรถไฟ

โดยย้อนกลับไปก่อนที่การรถไฟหลวงจะถือกำเนิดขึ้นนั้นปรากฏว่าในปีพุทธศักราช 2398 รัฐบาลสหราชอาณาจักรอังกฤษให้ เซอร์ จอห์น เบาริง (Ser John Bowring) ผู้สำเร็จราชการเกาะฮ่องกง ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็ม พร้อมด้วย มิสเตอร์ แฮรี่ สมิท ปาร์ค (Mr. Harry Smith Parkes) กงสุลเมืองเอ้หมึง เป็นอุปทูต เดินทางโดยเรือรบหลวงอังกฤษเข้ามาเจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญาทางราชไมตรีฉบับที่รัฐบาลอังกฤษที่อินเดีย ทำไว้กับรัฐบาลไทยเมื่อ วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2369 ซึ่งในกาลนั้น มิสเตอร์ แฮรี่ สมิท ปาร์ค ได้นำสนธิสัญญาฉบับใหม่ออกไปประทับตราแผ่นดินอังกฤษ แล้วนำกลับมาแลกเปลี่ยนสนธิสัญญากับฝ่ายไทย 

พร้อมทั้งอัญเชิญพระราชสาส์น และเครื่องราชบรรณาการของสมเด็จพระนางวิคตอเรียแห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษเข้ามาเพื่อทูลเกล้าฯ ถวาย แด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 อาทิ รถไฟจำลองย่อส่วนจากของจริงประกอบด้วย รถจักรไอน้ำ และรถพ่วงครบขบวน เดินบนรางด้วยแรงไอน้ำทำนองเดียวกับรถใหญ่ที่ใช้อยู่ในเกาะอังกฤษ ราชบรรณาการในครั้งนั้นสมเด็จพระนางวิคตอเรีย ทรงมีพระราชประสงค์จะให้เป็นเครื่องดลพระราชหฤทัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ทรงคิดสถาปนากิจการรถไฟขึ้นในราชอาณาจักรไทย แต่เนื่องจากในขณะนั้นภาวะเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในฐานะไม่มั่นคง และมีจำนวนพลเมืองน้อย กิจการจึงต้องระงับไว้

ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เหตุการณ์ทางด้านการเมือง สืบเนื่องมาจากนโยบายขยายอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศส แผ่มาครอบคลุมบริเวณแหลมอินโดจีน พระองค์ท่านทรงตระหนักถึงความสำคัญของการคมนาคมโดยเส้นทางรถไฟ เพราะการใช้แต่ทางเกวียนและแม่น้ำลำคลองเป็นพื้นนั้น ไม่เพียงพอแก่การบำรุงรักษาพระราชอาณาเขต ราษฎรที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงมีจิตใจโน้มเอียงไปทางประเทศใกล้เคียง สมควรที่จะสร้างทางรถไฟขึ้นในประเทศเพื่อติดต่อกับมณฑลชายแดนก่อนอื่น ทั้งนี้เพื่อสะดวกแก่การปกครอง ตรวจตราป้องกันการรุกรานเป็นการเปิดภูมิประเทศให้ประชาชนพลเมืองเข้าบุกเบิกพื้นที่ รกร้างว่างเปล่า ให้เป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ และจะเป็นเส้นทางขนส่งผู้โดยสารและสินค้าไปมาถึงกันได้ง่ายยิ่งขึ้น 

ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2430 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ เซอร์แอนดรู คลาก และบริษัทปันชาร์ด แมกทักการ์ด โลเธอร์ ดำเนินการสำรวจเพื่อสร้างทางรถไฟจาก กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ และมีทางแยกตั้งแต่เมืองสระบุรี - เมืองนครราชสีมาสายหนึ่ง จากเมืองอุตรดิตถ์ - ตำบลท่าเดื่อริมฝั่งแม่น้ำโขงสายหนึ่ง และจากเมืองเชียงใหม่ไปยังเชียงราย เชียงแสนหลวงอีกสายหนึ่ง โดยทำการสำรวจให้แล้วเสร็จเป็นตอนๆ รวม 8 ตอน ในราคาค่าจ้างโดยเฉลี่ยไม่เกินไมล์ละ 100 ปอนด์ ทั้งสองฝ่ายลงนามในสัญญาเมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2430 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top