Wednesday, 18 June 2025
ECONBIZ NEWS

‘พีระพันธุ์’ ชี้ ‘ราคาน้ำมัน’ ต้องมีกฎหมายให้อำนาจ ‘ก.พลังงาน’ ควบคุมต้นทาง

'พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานตอบทุกประเด็น 'นายศุภโชค ไชยสัจ' สส.พรรคก้าวไกล หลังตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาถึงปมปัญหาด้านราคาพลังงานไทยในปัจจุบัน ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร

ธุรกิจ OR ขึ้นแท่นส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ใน สปป.ลาว เล็งขยายปั๊มเพิ่มเป็น 77 แห่ง-เข็นนอนออยล์รุกเต็มสูบ

(25 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรชา อุทัยจันทร์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านธุรกิจต่างประเทศ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยภายหลังนำสื่อมวลชนเยี่ยมชมสถานีบริการน้ำมันใน สปป.ลาว.ว่า กลยุทธ์หลักของ OR ยังคงเน้นการขยายเครือข่ายสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น (PTT Station) และคาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon) รวมทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่มีศักยภาพ โดยมี สปป.ลาว เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ OR ให้ความสำคัญ

ทั้งนี้ OR ได้จัดสรรงบลงทุนระยะ 5 ปี (ปี 2567-2571) สำหรับกลุ่มธุรกิจ Global ไว้ที่ 8,007 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12% ของงบลงทุนทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดสากล

นายรชา กล่าวว่า สปป.ลาว เป็นประเทศที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และยังมีโอกาสเติบโตได้อีก OR จึงได้วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจทั้งกลุ่มธุรกิจ Mobility ได้แก่ การจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น คลังเก็บผลิตภัณฑ์ ธุรกิจหล่อลื่น พีทีที ลูบริแคนทส์ (PTT Lubricants) และศูนย์บริการยานยนต์ ฟิต ออโต้ (FIT Auto) และ ฟิต เอ็กซ์เพรส (FIT Express) รวมถึงการรุกตลาดธุรกิจพลังงานสะอาดด้วยสถานีชาร์จไฟฟ้า อีวี สเตชั่น พลัส (EV station PluZ) และกลุ่มธุรกิจ Lifestyle มีการดำเนินธุรกิจอย่างหลากหลาย ได้แก่ ร้าน Café Amazon ร้านสะดวกซื้อ และร้านอาหารข้าวเปียกปู เป็นต้น

นอกจากนี้ เมื่อต้นปี 2567 OR ยังร่วมกับพันธมิตร ริเริ่มโครงการใช้ระบบวนเกษตรในการพัฒนาไร่กาแฟต้นแบบให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟใน สปป.ลาว (Agroforestry Coffee Plantation) เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจส่งออกเมล็ดกาแฟ (Roasted Coffee and Green Bean Coffee) ให้แก่บริษัทในเครือของ OR ในต่างประเทศ รวมทั้งยังเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ในกลุ่ม OR อีกด้วย

นายพีรเวท ณ ระนอง Managing Director บริษัท พีทีที(ลาว) จำกัด (PTTLAO) กล่าวว่ากลยุทธ์ของ PTTLAO โดยมุ่งเสริมความแข็งแกร่งในตลาด สปป.ลาว พร้อมขยายฐานธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาธุรกิจของ PTTLAO ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ยังคงเดินหน้าแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ โดยร่วมมือกับพันธมิตรทั้งจากประเทศไทยและพันธมิตรในพื้นที่ที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับกลุ่มธุรกิจ Mobility PTTLAO มีเครือข่ายคลังเก็บผลิตภัณฑ์ 7 แห่ง รองรับการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยความจุโดยรวมกว่า 7 ล้านลิตร รวมทั้งยังมีสถานีบริการ PTT Station รวม 56 แห่ง ครอบคลุมตลอดเส้นทางการเดินทางในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ นับเป็นสถานีบริการน้ำมันที่ผู้บริโภคของ สปป.ลาว นิยมใช้มากที่สุด โดยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 77 ปั๊มในปี 2573 ทั้งนี้ OR มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง ในปี 2065 -2566 รวมทั้งธุรกิจหล่อลื่น PTT Lubricants และศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto และ FIT Express รวมจำนวน 9 สาขา

ส่วนกลุ่มธุรกิจ Lifestyle มีความโดดเด่นด้วยร้าน Café Amazon เป็นร้านแฟรนไชส์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีจำนวนทั้งสิ้น 92 สาขา และตั้งเป้าขยายสาขาให้ครบ 110 สาขา ภายในปี 2567 นี้ และเพิ่มเป็น 150 สาขา ในปี 2573 โดย OR ได้เปิดร้านคาเฟ่ อเมซอน คอนเซ็ป สโตร์ (Café Amazon Concept Store) สาขาโรงกายะสิน ณ เมืองจันทะบูลี นครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งนับเป็น Café Amazon Concept Store แห่งแรกในต่างประเทศ ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคชาวลาวเป็นอย่างดี และยังมีร้านคาเฟ่ อเมซอน สาขาหลวงพระบาง ณ แหล่งมรดกโลก ที่มีความโดดเด่น ด้วยการผสานแรงบันดาลใจจากเอกลักษณ์วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นไว้อย่างลงตัว

นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจร้านสะดวกซื้อ และธุรกิจร้านอาหารข้าวเปียกปู ที่ PTTLAO พัฒนาขึ้นเป็นแบรนด์ใหม่ เพื่อรองรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในสถานีบริการ PTT Station รวมทั้งในวันที่ 7 เดือน ส.ค. 2567 จะร่วมกับร้านสะดวกซื้อ 7-11 เปิดสาขาแรกในปั๊ม OR ที่สาขาสามแยกเซโน แขวงสะหวันนะเขต อีกทั้งยังตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบของผู้บริโภคที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ด้วยการติดตั้งและเปิดให้บริการสถานีชาร์จ EV Station PluZ จำนวน 6 แห่ง ในสถานีบริการ PTT Station เป็นต้น (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2567)

PTTLAO ยังให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโต ใน 3 มิติ อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย OR 2030 อีกทั้ง ยังเป็นไปตามกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจตามแนวคิด OR SDG ในทุกมิติ ทั้งในด้าน ‘S’ หรือ ‘SMALL’ เสริมสร้างโอกาสเพื่อคนตัวเล็ก ‘D’ หรือ ‘DIVERSIFIED’ การเปิดโอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ และ ‘G’ หรือ ‘GREEN’ ที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment)

‘พีระพันธุ์’ ตอบ ‘สส.ก้าวไกล’ หลังตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจา ปม ‘ปัญหาราคาพลังงานไทย’ ในปัจจุบัน

'พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานตอบทุกประเด็น 'นายศุภโชค ไชยสัจ' สส.พรรคก้าวไกล หลังตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาถึงปมปัญหาด้านราคาพลังงานไทยในปัจจุบัน ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร

‘บางจากฯ’ ส่งต่อพื้นที่สีเขียว ผ่านกิจกรรม ‘พืชพรรณปันสุข’ แจก ‘กล้าไม้-เมล็ดพันธุ์ผักอินทรีย์’ ที่ปั๊มบางจาก-ร้านอินทนิล

(25 ก.ค. 67) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เชิญชวนประชาชนรับกล้าไม้จำนวน 36,000 ต้น และเมล็ดพันธุ์ผักอินทรีย์จำนวน 7,200 ชุด ผ่านกิจกรรม ‘พืชพรรณปันสุข’ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยจะแจกกล้าไม้จาก ‘กรมป่าไม้’ ณ สถานีบริการน้ำมันบางจาก 72 แห่งทั่วประเทศ และแจกเมล็ดพันธุ์ผักอินทรีย์จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ณ ร้านอินทนิล 72 แห่งทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 27-29 กรกฎาคม 2567 (หรือจนกว่ากล้าไม้และเมล็ดพันธุ์จะหมด)

‘พืชพรรณปันสุข’ เป็นหนึ่งในการส่งต่อพื้นที่สีเขียว สนับสนุนนวัตกรรมและเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ในโครงการ ‘เติมสุข สู่สังคม’ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ที่บางจากฯ ร่วมกับพันธมิตรเชิญชวนให้ประชาชนมีส่วนร่วมสร้างพื้นที่สีเขียว โดยเป็นจุดบริการแจกกล้าไม้หลากหลายชนิดจากสถานีเพาะชำกล้าไม้ 29 แห่งและเมล็ดพันธุ์ผักอินทรีย์จากศูนย์ปรับปรุงและผลิตเมล็ดพันธุ์ผักอินทรีย์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้

ทั้งนี้ บางจากฯ ได้ริเริ่ม ‘พืชพรรณปันสุข’ ในปี 2565 เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา และวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2565 โดยใช้พื้นที่สถานีบริการน้ำมันบางจากเป็นจุดบริการแจกกล้าไม้ให้กับประชาชน

ร่วมเพิ่มพื้นที่สีเขียวและปลูกผักเพื่อบริโภคที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพกับ ‘พืชพรรณปันสุข’ รับ ‘กล้าไม้’ ได้ที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก 72 แห่งทั่วประเทศ และรับ ‘เมล็ดพันธุ์ผักอินทรีย์’ ณ ร้านอินทนิล 72 แห่งทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 27-29 กรกฎาคม 2567 (หรือจนกว่ากล้าไม้และเมล็ดพันธุ์จะหมด) ตรวจสอบรายชื่อสถานีบริการบางจากและร้านอินทนิลที่ https://www.bangchak.co.th/en/newsroom/bangchak-news/1411/

'พีระพันธุ์' เผย!! ร่าง กม.คุมราคาน้ำมัน เสร็จแล้ว เตรียมปิดฉาก ผู้ค้า 'ขึ้น-ลง' ราคาตามอำเภอใจ

เมื่อวานนี้ (24 ก.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงการดูแลราคาน้ำมันดีเซลในขณะนี้ ว่า ตอนนี้องค์ประกอบต่าง ๆ เป็นไปตามกฎหมายปัจจุบัน อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าราคาน้ำมันขึ้น-ลง ตามอำเภอใจ ทุกวันนี้ไม่มีใครคุมได้ ผู้ค้าคิดจะขึ้นก็ขึ้น คิดจะลงก็ลง ซึ่งวิธีการแก้ปัญหานี้ คือ การแก้กฎหมาย เพราะที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐไม่มีอำนาจ ได้แต่ขอความร่วมมือ 

โดยกฎหมายฉบับนี้จะเป็นกฎหมายฉบับแรกที่เกี่ยวข้องกับระบบบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งขณะนี้ ร่างเสร็จแล้ว ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ โดยหลังจากนี้ จะส่งให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบและส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบอีกครั้งก่อนประกาศใช้ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะทันปีใหม่หรือไม่ แต่จะพยายามให้เร็วที่สุด

สำหรับแต่เดิมการดูแลเรื่องราคาน้ำมันตั้งแต่ปี 2516 เราตั้งกองทุนน้ำมัน แต่ยังไม่มีกฎหมายรองรับ จึงใช้คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 42/2547 โดยให้อำนาจกองทุนดูแลตรึงราคาหรือรักษาระดับน้ำมัน ได้ 2 ขา ขาหนึ่งใช้เงินกองทุน อีกขาหนึ่งให้อำนาจในการกำหนดเพดานภาษี โดยกองทุนน้ำมันไม่มีอำนาจในการจัดเก็บภาษี แต่มีอำนาจในการกำหนดเพดานภาษี เราจึงใช้ตรงนี้ตรึงราคาช่วยดูแลประชาชนได้ นอกจากใช้เงิน ยังใช้เพดานภาษีมาเป็นตัวคุมได้ด้วย โดยเราเป็นคนกำหนดเพดานภาษี แต่คนเก็บคือกระทรวงการคลัง 

แต่ต่อมาปี 2562 มีกฎหมายมารองรับยกฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ไปตัดอำนาจในการกำหนดเพดานภาษีของกองทุนออก เหลือแต่ใช้เงินอย่างเดียว ฉะนั้นนับตั้งแต่ปี 2562 ตัวเลขกองทุนจึงเป็นหนี้ขึ้นมาจำนวนมากและติดลบเป็นต้นมา เพราะการกำหนดเพดานภาษีซึ่งเป็นอำนาจของกองทุนไม่มีแล้ว 

ทั้งนี้ ตนได้พยายามขอให้กระทรวงการคลัง พิจารณาปรับลดเพดานภาษีสรรพสามิต แต่เขาไม่เห็นด้วย ทั้งที่เดิมเป็นอำนาจของกองทุนที่ระบุว่าอย่าเก็บเกินเท่านี้ ดังนั้นตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข โดยที่ผ่านมามีเพียง 3 ประเทศเท่านั้น ที่เก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน คือ ไทย เก็บภาษีสรรพสามิต 5.99 บาทต่อลิตร รวมกับภาษีท้องถิ่นอีก 0.51 บาท รวมเป็นภาษีน้ำมัน 6.50 บาทต่อลิตร เวียดนามเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันลิตรละ 1.70 บาท สิงคโปร์เก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันลิตรละ 5.54 บาท แต่สิงคโปร์มีรายได้ต่อหัวประชากรสูงกว่าไทยประมาณ 10 เท่า

ส่วนอีกคำถามที่พบเจอบ่อย คือ ทำไมราคาน้ำมันในประเทศมาเลเซียจึงมีราคาถูกเพียงลิตรละ 10 กว่าบาทเท่านั้น

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาราคาน้ำมันในมาเลเซียมีราคาถูกเนื่องจากรัฐบาลมาเลเซีย มีรายได้จากปิโตรเลียม จึงนำเงินรายได้ตรงนี้มาอุดหนุนชดเชยปีละ 3-4 แสนล้านบาท ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศมาเลเซียมีราคาถูกแต่หลังจากนี้ไปการอุดหนุนชดเชยเริ่มลดลง จะส่งผลทำให้ราคาน้ำมันในมาเลเซีย เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ในส่วนของไทย ราคาต้นทุนน้ำมันจริง ๆ จะอยู่ที่ราคาประมาณ 21 บาท แต่เราต้องจ่ายจริง 30-40 บาท ก็เพราะมีเรื่องภาษีน้ำมันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

นายพีระพันธุ์ ย้ำด้วยว่า การช่วยเหลือประชาชน คือ การเอาปัญหาของประชาชนมาเป็นปัญหาของเราแทน เพื่อช่วยเหลือประชาชนไม่ให้เดือดร้อน ส่วนเรื่องการชำระหนี้กับ กฟผ. ถ้าต่อไปมีปัญหา รัฐจะต้องเข้าไปช่วยเหลือดูแล

‘พานาโซนิค ขอนแก่น’ ปล่อยเพลง-หนังสั้น ‘พระอาทิตย์ขึ้นที่บ้านฉัน’ ตอกย้ำ!! ‘จ.ขอนแก่น’ ฐานการผลิตที่สำคัญ พร้อมเติบโตไปด้วยกัน

(24 ก.ค. 67) เพจ ‘Panasonic Thailand’ โพสต์เปิดตัว MV และ หนังสั้น ชื่อ ‘พระอาทิตย์ขึ้นที่บ้านฉัน’ พร้อมอธิบายว่า…

“พานาโซนิค ขอนแก่น ครบรอบ 20 ปี ส่ง MV และ หนังสั้น สื่อความผูกพันที่มีร่วมกันมาอย่างยาวนาน เพื่อเป็นการขอบคุณพนักงานและเน้นย้ำถึงความผูกพันที่ต่างมีร่วมกันมาตลอด 20 ปี ที่บริษัท พานาโซนิค แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด สาขาขอนแก่น ได้ดำเนินกิจการในประเทศไทย จึงได้มีการจัดทำ MV และ หนังสั้น ชื่อเรื่อง ‘พระอาทิตย์ขึ้นที่บ้านฉัน’ เพื่อสื่อความหมายของ ‘พระอาทิตย์’ หมายถึงประเทศญี่ปุ่น หรือ บริษัทญี่ปุ่น ขึ้นที่บ้านฉัน ‘บ้านฉัน’ หมายถึงบ้าน ท้องถิ่นบ้านเรา ซึ่งก็คือขอนแก่นของเรา

เพราะเราเชื่อว่า ‘ประเทศไทย’ ก็เปรียบเสมือน ‘บ้านหลังที่สอง’ ที่เราจะยืนหยัดพร้อมพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน...

รับชมหนังสั้น ‘พระอาทิตย์ขึ้นที่บ้านฉัน’
📍 คลิกเลย https://bit.ly/3Ly5oI3”

'ท่องเที่ยวไทย' ไปโลด!! นทท.ทะลุ 19 ล้าน 1 ม.ค. - 21 ก.ค. 2567 ต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยต่อเนื่อง ค่าเฉลี่ย 96,643 คนต่อวัน

เมื่อวานนี้ (23 ก.ค. 67) นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-21 ก.ค. 67 ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศแล้วทั้งสิ้น 19,618,476 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 925,100 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 3,906,735 คน มาเลเซีย 2,744,253 คน อินเดีย 1,149,039 คน เกาหลีใต้ 1,032,169 คน และรัสเซีย 977,215 คน

ทั้งนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (15-21 ก.ค.) จากการเริ่มเข้าสู่ช่วงวันหยุดปิดภาคเรียน (School holiday) ของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) อาทิ จีน เกาหลีใต้ และฮ่องกง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เดินทางเข้ามาไทยเพิ่มขึ้น 1.02% โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวสะสม แตะระดับ 1 ล้านคน ในขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น 0.71% จากการเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว (Summer holiday) ของนักท่องเที่ยวภูมิภาคยุโรป อาทิ เนเธอร์แลนด์

สำหรับภาพรวมของสัปดาห์ที่ผ่านมา ไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 709,267 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 6,597 คน หรือ 0.94% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 101,324 คน โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน 162,798 คน มาเลเซีย 90,966 คน อินเดีย 37,758 คน เกาหลีใต้ 35,255 คน และลาว 28,482 คน

ส่วนในสัปดาห์นี้ (22-28 ก.ค.) คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาทรงตัว จากปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว Summer holiday ของตลาดภูมิภาคยุโรป การมีมาตรการ Ease of traveling ของรัฐบาล ช่วยเพิ่มการอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย การยกเว้นบัตร ตม.6 ในด่านทางบก และการกระตุ้นให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน

'ธนกร' ชื่นชม!! 'นายกฯ-พีระพันธุ์' คงมาตรการตรึงค่าไฟ-ดีเซล ช่วย 'กลุ่มเปราะบาง-ประชาชน' ได้มากในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ

(24 ก.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงมาตรการตรึงค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันช่วยลดค่าครองชีพประชาชน ว่า ประชาชนฝากขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล โดยเฉพาะนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงานที่เสนอ ครม.ให้มีมติขยายมาตรการตรึงค่าไฟฟ้าให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยที่หน่วยละ 4.18 บาท โดยเฉพาะช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ที่ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน อยู่ที่หน่วยละ 3.99 บาท และค่าน้ำมันดีเซล ที่ลิตรละ 33 บาท ออกไปอีก 4 เดือน ตั้งแต่ ก.ย.-ธ.ค.67 นี้

โดยต้องขอชื่นชมและขอบคุณนายพีระพันธุ์ ที่มุ่งมั่นสานต่อแนวทางและมาตรการเดิมตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ให้เป็นมาตรการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนของพี่น้องประชาชน นอกจากนั้นทราบว่ากำลังร่างกฎหมายออกมาเพื่อปรับโครงสร้างราคาพลังงานของประเทศแบบระยะยาวให้เกิดความยั่งยืน ตามแนวทาง 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' พลังงานของไทย ซึ่งเชื่อว่า จะได้รับความร่วมมือและสนับสนุน จากกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน เพราะเป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนโดยตรง

“การจะรื้อโครงสร้างพลังงานของไทยที่ใช้ระบบเก่าทำกันมายาวนานเกือบ 50 ปี ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยความมุ่งมั่นตั้งใจและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนอย่างมาก จึงขอเป็นกำลังใจให้นายกฯ และนายพีระพันธุ์ รวมถึงรัฐบาล โดยพรรครวมไทยสร้างชาติในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมร่วมมือผลักดันกฎหมายให้เกิดขึ้น เพื่อแก้ปัญหาพลังงานของบ้านเราให้เกิดความเป็นธรรม ช่วยเหลือประชาชนมากก่อนกลุ่มทุนภาคเอกชน“ นายธนกรกล่าว

‘ดร.สุวินัย’ มองปัญหาของ ‘ไทย’ ไม่ใช่แค่ ‘ปลาหมอคางดำ’ บุกระบบนิเวศ แต่ยังมี ‘ทุนนอก’ บุกระบบเศรษฐกิจ กระตุ้นเกิด ‘วิกฤตฐานรากปี 2567’

(24 ก.ค. 67) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘วิกฤติปลาหมอคางดำ’ กับปัญหา ‘Competitive Exclusion’ ในระบบนิเวศของเศรษฐกิจไทย โดยระบุว่า…

● ปัญหาเรื่องปลาหมอคางดำในเชิงชีววิทยา

ในเรื่องเกี่ยวกับระบบนิเวศนี้ ผู้รู้ทางชีววิทยาเขาจะแบ่งสิ่งมีชีวิตเป็น ...
(1) พวกผลิตเองได้ (autotroph) เช่น พืช 
(2) พวกผลิตอาหารเองไม่ได้ (heterotroph) เช่น สัตว์ทั่วไป ซึ่งจะแบ่งย่อยเป็นพวกกินพืช (herbivores) พวกกินสัตว์ (carnivore) พวกกินทั้งพืชและสัตว์ (omnivore)
(3) พวกผู้ย่อยสลายหรือพวกที่กินซาก (decomposer หรือ saprophytes) เช่น เห็ดรา สัตว์กินซาก นกแร้ง วรนุช ฯลฯ

การที่ผู้รู้ทางชีววิทยาแยกประเภทแบบนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า พื้นที่ในระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตแต่ละประเภทนี้มันอยู่ที่ไหนในห่วงโซ่อาหาร การที่ปลาหมอคางดำมันสร้างปัญหาอยู่ตอนนี้ ก็เพราะมันกินทั้งพืช สัตว์ และซาก 

เท่านั้นยังไม่พอ ปลาหมอคางดำยังอยู่ได้ทั้ง 4 น้ำคือ น้ำเค็ม น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำร้อน (ทนอุณหภูมิสูงได้) ด้วยเหตุนี้ ปลาหมอคางดำจึงสามารถขยาย ‘พื้นที่ของตัวเอง’ ไปในระบบนิเวศ จนมันไม่เหลือพื้นที่ให้คนอื่นเขาอยู่

แค่นี้ยังไม่พอ ปกติพวกสัตว์จะมีการสืบพันธุ์ แบบ K type กับ R type

K type นี้จะมีลูกน้อย อายุยาวต้องเลี้ยงลูกนาน โอกาสรอดของลูกจึงสูงกว่า ถ้ามีลูกน้อย (สัตว์มนุษย์จัดอยู่ใน K type)

ส่วนพวก R type นี้จะออกลูกมาก เพราะโอกาสรอดของลูกมันจะต่ำ อาจจะถูกสัตว์อื่นกินไปมากก่อนจะโต เช่น นก หนู ปลา 

ส่วนเจ้าปลาหมอคางดำนี้ แม้จะเป็นพวก R type แต่ปลาหมอคางดำกลับมีวิวัฒนาการที่เหนือกว่าปลาทั่วไปที่พอผสมพันธุ์ภายนอกตัวเสร็จ ก็ไม่ดูแลต่อ 

แต่พ่อปลาหมอคางดำกลับอมลูกในปาก ปกป้องลูกของมัน จนมันอัตราการรอดมันสูงแบบ K type ไม่เหมือน R type ชนิดอื่น

มิหนำซ้ำปลาหมอคางดำยังกินทุกอย่าง อยู่ได้ทุกที่ ขยายพันธุ์เร็ว มีโอกาสรอดสูง..ปลาหมอคางดำจึงรุกเข้าไปอยู่ในทุกพื้นที่ ทุกระบบนิเวศ และทุก niche ในน้ำ...มันจึงสร้างปัญหาร้ายแรงต่อระบบนิเวศ

ในทางนิเวศวิทยา มีศัพท์คำหนึ่งคือ ‘Competitive Exclusion Principle’... ซึ่งโดยหลัก ๆ มันคือสิ่งเดียวกับคำกล่าวที่ว่า ‘เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้’

ในระบบนิเวศสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ล้วนต้องผ่านขบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตเขาจะหา ‘พื้นที่’ ของเขาในระบบนิเวศ หรือ niche ในการอยู่อาศัยของเขา เช่น จิ้งเหลนอยู่หากินตามพื้น, กิ้งก่าอยู่หากินบนต้นไม้ ไม่ทับเส้นกัน 

แต่ถ้าเมื่อไรมันทับเส้นกัน มันจะมีแค่สัตว์ชนิดเดียวที่หากินเก่งกว่า ที่มันจะรอด สัตว์ชนิดไหน ตัวไหน ถ้าหา niche ใหม่ไม่ได้ก็ตายหรือสูญพันธุ์ไป 

แล้วอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อเจ้าปลาหมอคางดำนี้ มันกระจายตลาดของมันไปแทบจะทั่วทุก niche ในระบบนิเวศ?

จากหลักการของ Competitive Exclusion Principle ข้างต้น เราย่อมคาดการณ์ได้ว่า ...

มันคงมีหลายชีวิตหลายสายพันธุ์ ที่มันแข่งขันในตลาด ใน niche ของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป...จนอาจจะต้องสูญพันธุ์ไปในที่สุด

แน่นอนว่าในระบบนิเวศนี้มันไม่ได้อาศัยการแข่งขันกันอย่างเดียว แต่มันต้องพึ่งพาอาศัยกันด้วย 

เมื่อเกิดการสูญพันธุ์จำนวนมาก พอมาถึงจุด ๆ หนึ่ง ตัวระบบนิเวศทั้งระบบมันก็คงอยู่ไม่ได้ต้องล่มสลายลง

● การรุกคืบของทุนต่างด้าวที่หนีตายจากประเทศตัวเอง 

ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็ใช้การแข่งขันตามกลไกตลาด โดยผ่านขบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติ (natural selection) เช่นกัน

การแข่งขันกันในตลาดนั้น ตามหลักเศรษฐศาสตร์มันเป็นสิ่งที่ดี และเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค...คนที่แข็งแกร่งก็อยู่รอด ส่วนคนที่แข่งต่อไม่ได้ก็ต้องล้มตายไป

จะเห็นได้ว่าในที่สุด ‘เศรษฐกิจไทย’ ก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยง Competitive Exclusion Principle นี้ไปได้ ... โรงงานต่าง ๆ ธุรกิจต่าง ๆ ร้านค้าต่าง ๆ แห่ทยอยปิดตัว เพราะแข่งขันในตลาดต่อไปไม่ได้

กล่าวในเชิงระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ...ตอนนี้ธุรกิจคนไทยต้องเผชิญกับ alien species อื่น หรือ ‘กองทัพธุรกิจต่างด้าว’ (ปลาหมอคางดำเวอร์ชันธุรกิจ) ที่เขาหนีตายจากการแข่งขันใน ‘เกมกินรวบ Competitive Exclusion’ ของเจ้าพ่อ Platform ในประเทศของตน โดยหันมายึดตลาดใหม่ในบ้านเราแทน

นอกจากนี้ยังมีการผงาดขึ้นของ AI และหุ่นยนต์ที่ต่อไปก็จะเข้ามากินรวบแบบ Competitive Exclusion ใน ‘ตลาดแรงงาน’ ของจีนและของไทยอีกในไม่ช้า

สุดท้ายเมื่อมันเหลือแต่ ‘สปีชีย์ที่แข็งแกร่งที่สุด’ ที่ครอบครองได้ ‘ทุกตลาด’ ของระบบเศรษฐกิจไทยเท่านั้นที่จะอยู่รอดและเป็นใหญ่ได้

พอเป็นแบบนี้ ต่อไปชนชั้นล่างไทย ชนชั้นกลางไทย และธุรกิจรายเล็กรายน้อยของคนไทย มันจะเหลืออะไร?

~เรียบเรียงจากเพจของ เต่า วรเดช

● ‘วิกฤติฐานรากปี 2567’ น่าจะหนักกว่าและยืดเยื้อกว่า ‘วิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540’ อย่างเห็นได้ชัด

เนื่องเพราะ ‘วิกฤติฐานรากปี 2567’ ประกอบด้วย 2 วิกฤติผสมผสานกันกลายเป็นแรงบวกที่ส่งผลกระทบหนักขึ้นเป็นสองเท่า

2 วิกฤติที่ว่านั้นคือ

(1) ‘วิกฤติหนี้ครัวเรือน’ ที่ตอนนี้ได้สะสมจนทะลุ 91.3% ของ GDP ทำให้กำลังจับจ่ายใช้สอยของครัวเรือนหายไปไม่น้อย

(2) วิกฤติการล่มสลายของ ‘ระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ’ ของธุรกิจ SMEs ในประเทศไทย ที่ถูก ‘ทุนจีน’ บุกเข้ามารุมขยี้ เพื่อยึดพื้นที่ด้วยกลยุทธ์ถล่มราคาแบบบ้าเลือด โดยมุ่งให้ธุรกิจเดิมของคนไทยอยู่ต่อไม่ได้

ธุรกิจไทยที่ร่วงแล้วหรือกำลังจะร่วง เพราะถูกทุนจีนบุกได้แก่…เสื้อผ้า / สินค้าอุปโภคของใช้ในชีวิตประจำวัน / สินค้าบริโภคร้านเล็กร้านน้อย / โรงแรม-รีสอร์ทท้องถิ่นขนาดเล็ก / อุตสาหกรรมการผลิตขนาดเล็ก / ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ของรถยนต์สันดาป / ร้านค้าออนไลน์ 

คนไทยต้องเตรียมรับมือผลกระทบอย่างยืดเยื้อ อันเนื่องมาจาก ‘วิกฤติฐานรากปี 2567’ ให้ดีเถิด

ด้วยความปรารถนาดี

~ สุวินัย ภรณวลัย
Suvinai Pornavalai

'พิชัย' เผย!! เหตุผล ทำไม ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ จึงจำเป็น ชี้!! แม้จะกลัวหนี้ แต่ปชช.-ร้านค้าเดือดร้อน รัฐก็อยู่ไม่ได้

(24 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร  รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานการแถลงข่าว ‘ดิจิทัลวอลเล็ต โครงการเพื่อประชาชน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ววันนี้’ โดยมีนาย จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ร่วมแถลงด้วย

นายพิชัย กล่าวตอนหนึ่งว่า คำถามเรื่องรัฐบาลไม่กลัวเรื่องการก่อหนี้หรือ เพราะรัฐบาลต้องใช้เงินก้อนโต แต่หนี้นั้นอาจจะได้รับการชดใช้จากการเก็บภาษี คำตอบคือโครงการนี้จะเก็บภาษีได้เท่าใด แล้วไปสร้างการเติบโตรูปอื่น ๆ ของการลงทุน เพื่อนำมาซึ่งภาษีที่เพิ่มขึ้นอย่างไร ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่โครงการแจกเงินธรรมดา แต่เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบตามห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ทั้งนี้ ตนอยากย้ำว่า วันนี้มี 3 กลุ่ม

1.ประชาชนที่หนี้สูงถึงใกล้จมูก หายใจจะไม่ออก

2.ร้านค้าขนาดเล็กขายของไม่ได้และอาจปิดตัว ซึ่งอาจต้องดูว่าปิดเพราะไม่มีกำลังซื้อ หรือเพราะกำลังเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ธุรกิจสมัยใหม่ ก็อาจต้องดูอีกตัวเลขหนึ่ง คือการลงทุนในแพลตฟอร์มผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Production Platform) โดยเฉพาะจากต่างประเทศที่มาเปิดใหม่ คือต้องดูว่าปิดกิจการเพราะไม่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกับผู้มาลงทุนใหม่ ต้องดูควบคู่กันไปด้วย

3.รัฐบาล แม้จะกลัวเรื่องหนี้ แต่หากอีก 2 เสาอยู่ไม่ได้ รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ เพราะประชาชนและร้านค้าคือพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจ

“ดังนั้นคำว่าวินัยการเงินการคลัง วันนี้เราเดินตามวินัยการเงินการคลังภายใต้ข้อสมมติฐานว่า ไม่อยากเห็นหนี้ของรัฐเกิน 70% ของ GDP เกรงว่าจะผลักภาระนั้นให้ลูกหลาน แต่ถ้าเศรษฐกิจโตได้ รัฐบาลก็สามารถจะมีรายได้ในอนาคตมากขึ้น ก็จะสามารถดูแลภาระนั้นได้ ถ้าเศรษฐกิจไม่โต แน่นอนไม่ว่าจะ 70 หรือต่ำกว่า 70 หรือมากกว่า 70 มีปัญหากันถ้วนหน้า” นายพิชัย กล่าว

รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวว่า หลังจากที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการพิจารณารายละเอียดโครงการฯ อย่างรอบคอบ สอดคล้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ข้อกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมนำความเห็นหน่วยงานต่าง ๆ มาประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบและรัดกุมนั้น โครงการฯ มีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว โดยโครงการนี้มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญเพื่อส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชน ส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนมีความเข้มแข็งในด้านเศรษฐกิจ สามารถพึ่งพาตนเองได้ สร้างและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเมื่อเริ่มดำเนินโครงการฯ แล้ว จะก่อให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจจำนวน 4 ลูก ได้แก่

>> พายุหมุนลูกที่ 1 การใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าขนาดเล็ก ถือเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจไปยังฐานราก กระจายไปพร้อมกันทุกอำเภอทั่วประเทศ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อน ลดภาระค่าใช้จ่ายแก่ประชาชน

>> พายุหมุนลูกที่ 2 การใช้จ่ายระหว่างร้านค้าขนาดเล็กกับร้านค้าขนาดใหญ่

>> พายุหมุนลูกที่ 3 การใช้จ่ายระหว่างร้านค้าขนาดใหญ่กับร้านค้าขนาดใหญ่ซึ่งจะทำให้เกิดการต่อยอดกำลังซื้อ การบริโภค หรือสร้างโอกาสในการลงทุนเพื่อประกอบอาชีพ

>> พายุหมุนลูกที่ 4 พลังการใช้จ่ายของประชาชนแต่ละคนจะเกิดผลต่อการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นทวีคูณ ช่วยฟื้นฟูภาคการผลิตของประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม

ทั้งนี้ รัฐบาลจะเปิดให้ประชาชนที่สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ในระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม ถึง 15 กันยายน 2567 และมีกำหนดการที่จะให้เริ่มใช้จ่ายในโครงการฯ ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top