Tuesday, 17 June 2025
ECONBIZ NEWS

‘หยวนต้า’ วิเคราะห์!! ‘นักลงทุนต่างชาติ’ เริ่มกลับมาสนใจซื้อหุ้นไทย หลังได้นายกฯ คนใหม่-ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว มีโอกาสฟื้นตัวใน 1-2 เดือน

(20 ส.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Business Tomorrow’ โพสต์ข้อความในหัวข้อ ‘1,400 จุดแค่เอื้อม ฝรั่งเล็งเดินเครื่องช้อนหุ้นไทย ‘หยวนต้า’ ชี้เป็นจุดน่าซื้อที่สุดรอบ 2 ปี’ ระบุว่า…

คุณภาดล วรรณรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทาง Live สด กับ Business Tomorrow เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2567 กล่าวว่า…

แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ดีขึ้นจากปัจจัยการเมืองไทยคลายล็อกจุดเปลี่ยนสำคัญคือก้าวขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เบื้องต้นประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีโอกาสเห็นการฟื้นตัวของดัชนีฯ แตะ 1,400 จุดภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า 

สำหรับปัจจัยสนับสนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน คาดว่าเกิดจากกระบวนการแต่งตั้งนายกฯ คนใหม่ดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจะเห็นโฉมหน้า ครม.ชุดใหม่ภายในสิ้นเดือน ส.ค. และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเริ่มทำงานในเดือน ก.ย.นี้ 

นอกจากนี้ ตลาดจับตาการทบทวนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต อาจจะเห็นการเปลี่ยนรูปแบบในมิติลดความเสี่ยงภาระหนี้ของประเทศ หรืออาจปรับเปลี่ยนให้เกิดผลบวกต่อการบริโภคในประเทศโดยตรง เป็นลักษณะนโยบายประชานิยม ส่วนหนึ่งเพื่อปูทางสู่การเลือกตั้งในอีก 3 ปีข้างหน้า

"ตอนนี้ต้องบอกว่าแนวโน้มหุ้นไทยโดยรวมอยู่ในช่วงที่มีนารีขี่ม้าขาวมาช่วย ไม่ใช่ม้าธรรมดาแต่เป็นม้าบินจะพาหุ้นไทยติดปีก ทำให้คาดหวังได้ว่าใน 1-2 เดือนข้างหน้ามีโอกาสเห็น 1,400 จุด และในปีนี้ต้องบอกว่าหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ในความรู้สึกส่วนตัวมองว่าหุ้นไทยกำลังเป็นบรรยากาศที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในรอบ 2 ปีทั้งจากปัจจัยต่างประเทศที่เอื้อและการเมืองไทยคลายกังวล" คุณภาดล กล่าว 

คุณภาดล ยังประเมินอีกว่า มีโอกาสสูงที่นักลงทุนต่างชาติจะเริ่มกลับมาซื้อหุ้นไทยอีกครั้ง เนื่องจากค่าเงินบาทส่งสัญญาณแข็งค่า ทำให้ต่างชาติรับส่วนต่างกำไรเพิ่มขึ้นจากค่าเงิน ถึงแม้ว่าเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ต่างชาติมีสถานะขายสุทธิเกือบ 1.05 หมื่นล้านบาท แต่หากพิจารณาพบเป็นผลกระทบจากรายการบิ๊กล็อตหุ้น SCCC มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท ฉะนั้นหากตัดรายการดังกล่าวจะพบต่างชาติกำลังเดินเครื่องซื้อสุทธิหุ้นไทยราว 1.5 พันล้านบาท

ฟังสัมภาษณ์หุ้นไทยจะบินหรือจะตก ภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ นายกฯ คนใหม่ (ภาดล วรรณรัตน์)
https://www.youtube.com/watch?v=RhrjqiQk-g4

'เซ็นทารา ไลฟ์' ทำถึง!! ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ลูกค้า 'ทรู-ดีแทค' 'จัดส่วนลดห้องพัก-ตักอาหารเช้าได้ถึง 4 โมงเย็น-ไม่จำกัดเวลาเช็กอิน'

(19 ส.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เครือโรงแรมชั้นนำของประเทศไทย ร่วมกับทรู คอร์ปอเรชั่น ประกาศความร่วมมือในการส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าทรูและดีแทค ผนึกกำลังตอกย้ำแนวคิด ‘Better Together’ ภาพของการเติบโตและก้าวใหม่ที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ควบคู่ไปกับแคมเปญจากเซ็นทารา ไลฟ์ ที่ต้องการยกระดับความสุขให้คุ้มกว่าใคร โดยขอมอบอิสระแห่งการพักผ่อนที่มาพร้อมส่วนลดห้องพักและสิทธิพิเศษอีกมากมายให้กับลูกค้าทรูและดีแทค ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ทุกแห่งทั่วไทย เพื่อตอบโจทย์ความตั้งใจของเซ็นทารา ไลฟ์ ที่ต้องการให้ทุกการพัก…อัปไปอีกขั้น

ลูกค้าทรูและดีแทคจะได้สัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวอย่างอิสระและการบริการอย่างสะดวกสบายสูงสุด ตามหัวใจหลักของแบรนด์เซ็นทารา ไลฟ์ คือ Elevating the Essentials หรือ อิสระแห่งการพักผ่อน อาทิ การเข้าพักแบบเต็มอิ่ม 24 ชั่วโมง ไม่จำกัดเวลาเช็กอินและเช็กเอาต์, บริการอาหารเช้าถึง 16.00 น., โปรโมชันซื้อ 1 แถม 1 สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม (เมนูที่ร่วมรายการตลอดการเข้าพัก)

พร้อมส่วนลดห้องพักเพิ่มเติม 100 บาท เมื่อเข้าพักที่โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ทั้ง 8 แห่งในไทย สามารถรับข้อเสนอสุดเอ็กซ์คลูซีฟนี้ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 กันยายน 2567 ทางแอปทรูไอดี และดีแทคแอป โดยสามารถเข้าพักได้ถึง 31 ธันวาคม 2567

‘อโกด้า’ จัดอันดับให้ ‘หาดใหญ่’ เป็นเมืองคุ้มค่าทางการท่องเที่ยว ช่วยกระตุ้น!! ให้ภาคธุรกิจโรงแรมคึกคัก เพิ่มรายได้ให้คนในพื้นที่

(18 ส.ค.67) อโกด้า เผยผลสำรวจ ‘หาดใหญ่’ เป็นเมืองที่คุ้มค่าที่สุดในเอเชีย ในราคาห้องพักเฉลี่ย 1,250 บาท/คืน ส่งผลบวกต่อการท่องเที่ยวในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาเพิ่มมากขึ้น

ดร.สิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่ สงขลา เผยว่า ผลสำรวจ แพลตฟอร์ม 
อโกด้า ส่งผลเชิงบวกต่อการท่องเที่ยว ทำให้อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ถูกกลับมาพูดถึงอีกครั้ง

โดยเฉพาะในเรื่องราคาห้องพักโรงแรม ที่ถือว่าคุ้มค่าที่สุดในเอเชีย สามารถกระตุ้นกลุ่มนักท่องเที่ยวใน 2 กลุ่มได้อย่างดี คือ กลุ่มที่ไม่เคยมาท่องเที่ยวในอำเภอหาดใหญ่เลย อยากจะลองมาเที่ยวสักครั้ง และ กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่เคยมาแล้ว แต่ไม่ได้กลับมานานแล้ว ก็อยากจะกลับมาอีกครั้ง

ขณะนี้ ผลสำรวจของอโกด้า ได้ถูกนำไปต่อยอด ขยายผล มีการรีวิว การเดินทางมาเที่ยวที่หาดใหญ่ รวมถึง มีอะไรน่าเที่ยว น่ากิน ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเราคึกคักมากยิ่งขึ้น โดยห้องพักโรงแรมในอำเภอหาดใหญ่ขณะนี้มีอยู่กว่า 2 หมื่นห้อง พร้อมให้การต้อนรับนักท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพการท่องเที่ยวในอำเภอหาดใหญ่ ขณะนี้จะเป็นบวก มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจ แต่ก็อยากให้รัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร่วมกันผลักดันการท่องเที่ยวทั้งภาพรวมของประเทศและภาพพื้นที่ เฉพาะจังหวัด เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ตรงเป้าหมาย เพิ่มรายได้ให้กับภาคธุรกิจและประชาชนมากยิ่งขึ้น

'อ.พงษ์ภาณุ' ติง!! 'ภาครัฐ' ปกป้องอุตฯ ไทย จากสินค้าราคาถูกจีนล่าช้า สวนทาง 'ยุโรป-เมกา' เดินเกมเก็บภาษีขาเข้าป้องกันจีนทุ่มตลาดแต่เนิ่นๆ

(18 ส.ค.67) ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ในมุมมองของ 'จีนทุ่มตลาดไทย?' โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการเปิดเผยสถิติการค้าแบบทวิภาคี 'ไทย-จีน' ช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ซึ่งปรากฏว่าไทยขาดดุลการค้าจีนแบบวินาศสันตะโร ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้น ประชาชนยังไม่มีอำนาจซื้อและยังต้องแบกรับหนี้ภาคครัวเรือนจำนวนมหาศาล

ขณะที่เศรษฐกิจจีนเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเมื่อเดือนที่แล้ว กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับการคาดการณ์อัตราเติบโตของ GDP ทั้งปีขึ้นเป็น 5% แม้ว่าการบริโภค/การลงทุนในประเทศยังทรงตัว อันเป็นผลมาจากภาคอสังหาริมทรัพย์จีนที่เกิดฟองสบู่แตกเมื่อหลายปีก่อน และยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวเท่าไหร่ แต่การขยายตัวของจีนขับเคลื่อนจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะการส่งออก ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวเร็วผิดปกติอย่างมีนัยสำคัญ

เมื่ออุปสงค์ในประเทศยังไม่ฟื้น แน่นอนย่อมมีกำลังการผลิตส่วนเกิน (Excess Capacity) ซึ่งหากสามารถผลักดันผลผลิตส่วนเกินนี้ออกสู่โลก แม้ว่าจะต้องกดราคาให้ต่ำเป็นพิเศษ ก็ยังดีกว่าปล่อยให้สินค้าคงเหลือเหล่านี้สูญเปล่าไป ซึ่งจากรายงานมีการส่งออกผลผลิตส่วนเกินออกสู่ตลาดหลายประเทศในราคาต่ำกว่าตลาด

ประเทศตะวันตกหลายประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา และยุโรป ได้รับผลกระทบจากสินค้าถูกจากจีนมาระยะหนึ่งแล้ว จึงได้มีการเก็บภาษีขาเข้าในรูปของ Anti-dumping Duty และ Countervailing Duty จากสินค้าจีน เพื่อป้องกันความเสียหายต่อผู้ประกอบการภายในประเทศจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม แม้ว่าอาจทำให้ผู้บริโภคต้องรับภาระสูงขึ้น

สำหรับประเทศไทย นอกจากจะไม่มีการดำเนินการใด ๆ ในด้านนโยบายการค้า เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมแล้ว ระบบภาษีอากรของไทย ยังเอื้อให้มีการเอาเปรียบผู้ประกอบการในประเทศอีกด้วย ดังนี้...

ประการแรก 'ไทย-จีน' เป็นเขตการค้าเสรีมาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้น อุปสรรคการค้าทั้งในรูปของอากรขาเข้า และมิใช่อากร ที่พรมแดน ต้องเป็นศูนย์

ประการที่สอง รัฐบาล/กรมสรรพากรในอดีต มีการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แก่สินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาทต่อชิ้น ในขณะที่ผู้ประกอบการไทยต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% โดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ วันนี้ได้รับรายงานว่า มีการยกเลิกข้อยกเว้นนี้ไปแล้ว

ประการที่สาม ภาษีเงินได้นิติบุคคลของไทยและของอีกหลาย ๆ ประเทศยังคงยึดมั่นในหลักสถานประกอบการถาวร (Permanent Establishment) และได้ยึดมั่นในหลักการนี้อย่างเคร่งครัดเสมอมาเป็นเวลากว่า 100 ปี จนการจัดเก็บภาษีเงินได้ปรับเปลี่ยนไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของโลก ซึ่งทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียรายได้ภาษีไปจำนวนมากมายจากที่ควรจะจัดเก็บได้ เพราะการทำธุรกิจในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องทำในรูปของสถานประกอบการถาวร แต่อยู่ในรูปของ Platform Online ซึ่งจะมีสถานประกอบการอยู่ที่ไหนก็ได้ หรือจะบันทึกกำไรในเขตภาษีที่มีอัตราภาษีเงินได้ต่ำที่สุด จึงทำให้กิจการเหล่านี้มีความได้เปรียบเชิงภาษีเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในไทย

นอกจากนี้ ในด้านนโยบายการค้าและการพาณิชย์ นั้น หากทันทีที่มีเหตุต้องสงสัย ว่าสินค้าที่ผลิตในต่างประเทศมีการทุ่มตลาดและ/หรือได้รับการอุดหนุนให้มีราคาขายต่ำกว่าต้นทุน กระทรวงพาณิชย์จะต้องรีบดำเนินการตามกระบวนการ Anti-dumping Duty และ/หรือ Countervailing Duty เช่นที่นานาประเทศเขาทำกันโดยทันที โดยไม่ต้องรอให้ความเสียหายปรากฏชัดเช่นในปัจจุบัน กรอบกฎหมายของประเทศไทยมีหมดอยู่แล้ว ขาดอยู่ก็เฉพาะการบังคับใช้กฎหมาย

ที่พูดมาทั้งหมดไม่ต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยใช้มาตรการกีดกันทางการค้า (Protectionist Measures) ในทางตรงกันข้าม เราอยากเห็นการค้าเสรีที่อยู่บนพื้นฐานของการแข่งขันที่เป็นธรรม (Free and Fair Trade) หากรัฐดูแลให้กรอบการแข่งขันมีความเป็นธรรม แล้วผู้ประกอบการไทยยังไม่สามารถแข่งขันได้ ก็สมควรไปขายเต้าฮวยดีกว่า

‘ชาร์ป’ ประกาศเดินหน้าธุรกิจในอาเซียน หลังตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ายังเติบโตต่อเนื่อง พร้อม!! ลงทุนโรงงานใน ‘ประเทศไทย’ เพื่อส่งออกสินค้าไปไกล ขายให้ทั่วโลก

(18 ส.ค.67) ชาร์ป คอร์ปอเรชั่น (Sharp) ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคและโซลูชันสำหรับภาคธุรกิจ จัดงานใหญ่ระดับภูมิภาค ‘SHARP Sync-Up 2024’ ขึ้นที่ประเทศไทย เพื่อเผยถึงนโยบายการดำเนินธุรกิจ

นายโมโมกิ ทามุระ รองประธานฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศ และผู้จัดการทั่วไปธุรกิจไฟฟ้าและโซลูชั่นอัจฉริยะ บริษัท ชาร์ป คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ภูมิภาคอาเซียน มีประชากรกว่า 671 ล้านคน เป็นตลาดสำคัญของบริษัทฯ สะท้อนจากภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในอาเซียน (อ้างอิง Euromonitor) ปี 2567 คาดการณ์เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 1.4 ต่อปี และชาร์ปยังเป็นแบรนด์อันดับ 1 ของอาเซียน ในกลุ่มตู้เย็นและไมโครเวฟ

ขณะที่ประเทศไทย เป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญ ทั้งการสร้างยอดขาย และเป็นฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าของชาร์ปฯ โดยมี 2 โรงงาน สำหรับผลิตไมโครเวฟ ตู้เย็น และเครื่องปรับอากาศ ส่งออกตลาดทั่วโลก ล่าสุดมีโรงงานเพิ่งย้ายฐานผลิตมาจากประเทศญี่ปุ่น

ทั้งนี้ในอนาคตบริษัทฯ เตรียมจะลงทุนในไทยเพิ่มเติม ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา

นอกจากนโยบายการทำธุรกิจแล้ว ภายในงานยังนำเสนอเครื่องใช้ไฟฟ้า ทีวี สมาร์ทโฮมโซลูชัน ‘Cocoro Home’ และนวัตกรรม ‘AIoT’ ใหม่ ๆ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคนี้ เช่น เตาอบไมโครเวฟแบบลิ้นชักที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร โดยมีการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ (Ergonomic Design) เพื่อความสะดวกสบายในการใช้งาน ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในซีกโลกตะวันตก การันตีด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านเครื่องในประเทศสหรัฐอเมริกา 

จากผลตอบรับนี้ ชาร์ป จึงเตรียมเปิดตัวเตาอบไมโครเวฟนี้ในตลาดอาเซียน โดยมีระบบการปรุงอาหารด้วยเซ็นเซอร์ที่ล้ำสมัยแต่ใช้งานง่าย สามารถปรับเวลาในการปรุงอาหารและความร้อนได้หลายระดับ ให้ทุกคนสามารถทำเมนูเพื่อสุขภาพด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน 

นอกจากนี้ ฝาประตูยังมาพร้อมกับระบบ Easy Wave Open ที่ใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจจับความเคลื่อนไหว ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารหกเลอะเทอะ พื้นที่ด้านในกว้างขวาง เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ และระดับความสูงที่เหมาะสมกับสรีระ จึงเหมาะกับผู้ใช้ทุกคน

ประเมินสถานการณ์ 'EV' ปีหน้าจะเริ่มถูกกว่ารถสันดาปในหลายรุ่น หลังราคาแบตฯ รถยนต์ไฟฟ้ากำลังลดลงอย่างรวดเร็วถึง 90%

(18 ส.ค.67) Business Tomorrow เปิดเผยว่า ราคารถยนต์ไฟฟ้า EV กำลังเริ่มใกล้เคียงกับรถยนต์สันดาป โดยการเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นตัวเลือกหลักของผู้บริโภคในอนาคตอันใกล้ จากปัจจัยดังนี้...

1) ราคาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้ทยอยปรับตัวลดลงถึง -90% ตั้งแต่ปี 2008 ถึง 2023 (รายงานจาก Department of Energy สหรัฐฯ)

2) ปัจจุบันราคาแบตเตอรี่ EV อยู่ที่ประมาณ 130 ยูโรต่อ kWh ลดลงจาก 1,319 ยูโรต่อ kWh ในปี 2008

3) การลดลงของราคาแบตเตอรี่ EV เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเพิ่มการยอมรับรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก

4) ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นอาจเท่ากับรถยนต์สันดาปได้เร็วที่สุดในปี 2025

5) ค่าเชื้อเพลิงและค่าบำรุงรักษาที่ต่ำลงทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นตัวเลือกที่น่าดึงดูดสำหรับผู้บริโภคมากขึ้น

6) Gartner ที่ปรึกษาระดับโลกคาดการณ์ว่าภายในปี 2027 ต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะถูกกว่ารถยนต์ 

7) การศึกษาของ JD Power พบว่าต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าในระยะเวลา 5 ปีนั้น ต่ำกว่าการเป็นเจ้าของรถยนต์ ICE ใน 48 จาก 50 รัฐของสหรัฐฯ

8) แม้ว่าต้นทุนแบตเตอรี่จะลดลง แต่การเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้ายังต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จ เพิ่มขึ้นอีกด้วย

#อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในอนาคตอันใกล้ รถยนต์ไฟฟ้า EV กำลังจะมีราคาถูกกว่ารถยนต์สันดาปมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จากต้นทุนแบตเตอรี่ที่ทยอยปรับตัวลดลง ซึ่งจะกลายเป็นอนาคตที่น่าติดตาม 

'ครูเอ้-อัษฎาวุธ' แจ้ง!! เตรียมจัดงานใหญ่ ฉลอง 144 ปี หลวงประดิษฐไพเราะ เผย!! ดีใจ 'เยาวชนไทย-หลากวัย' หันมาสนใจเรียนดนตรีไทยเพิ่มขึ้น

THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ 'อาจารย์อัษฎาวุธ สาคริก' หรือ 'อาจารย์เอ้' เลขาธิการ มูลนิธิหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ถึงความเป็นมาของมูลนิธิหลวงประดิษฐไพเราะ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2524 เพื่อเป็นอนุสรณ์ในโอกาสครบรอบ 100 ปี ของหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) อันเป็นมูลนิธิเกี่ยวกับดนตรีไทยมูลนิธิแรกของประเทศไทย ที่มีวัตถุประสงค์หลาย ๆ ด้าน เช่น การอนุรักษ์สืบสาน, การพัฒนาและสร้างโอกาสใหม่ ๆ เพื่อขับเคลื่อนสังคมดนตรีไทยในระดับต่าง ๆ รวมถึงรวบรวมองค์ความรู้ที่กระจัดกระจาย มาสื่อสารให้คนในยุคปัจจุบันได้รับรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของดนตรีไทย

ช่วงหนึ่งของรายการ อ.เอ้ เล่าให้ฟังว่า โจทย์ที่สำคัญในวันนี้ คือ จะทำอย่างไรให้ดนตรีไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตผู้คนได้เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันทางมูลนิธิฯ ได้มีการจัดทำโครงการเพื่อนดนตรี ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงดนตรี และงานวิชาการกับกลุ่มคนใหม่ ๆ รวมถึงการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ดนตรีไทย ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการจัดแสดงสิ่งของเท่านั้น แต่ต้องการนำเสนอองค์ความรู้ง่าย ๆ เพื่อสร้างการเรียนรู้ได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น

"ในปี พ.ศ. 2568 จะเป็นวาระครบรอบ 144 ปี ของหลวงประดิษฐไพเราะ ทางมูลนิธิฯ จึงเตรียมที่จะจัดกิจกรรมพิเศษมากมาย เพื่อร่วมรำลึกถึงท่าน เช่น การจัดทำละครโทรทัศน์, ละครเวที, การเผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์, การจัดเทศกาลดนตรีไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการวางแผนงาน ฝากติดตามกันในปีหน้า"

เมื่อถามถึงความสนใจดนตรีไทยของเด็กและเยาวชนไทยในปัจจุบัน? อ.เอ้ เผยว่า "มีความสนใจในดนตรีไทยมากขึ้น มีทักษะมากขึ้น และมีความกล้าในการนำเสนอมากขึ้น แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ การถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับดนตรีไทยไปสู่เด็กและเยาวชนอย่างลึกซึ้งเท่านั้นเอง"

เมื่อพูดถึงการเรียนดนตรีไทย ที่มูลนิธิหลวงประดิษฐไพเราะ อ.เอ้ เผยว่า ปัจจุบันมีการเปิดสอนทุกชนิดของเครื่องดนตรีไทย โดยสอนทุกวันเสาร์และอาทิตย์ 

"การสอนของเรามีลักษณะเป็นชมรม เป็นครอบครัวใกล้ชิดกัน เหมือนพี่สอนน้องกันมากกว่า ซึ่งถ้าผู้สนใจไม่มีพื้นฐานดนตรีไทยก็สามารถเรียนได้ โดยปัจจุบันมีเยาวชนจนถึงผู้สูงวัยให้ความสนใจมาเรียนดนตรีไทยกันจำนวนมาก"

ในช่วงท้ายอาจารย์เอ้ ฝากข้อคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับดนตรีไว้ด้วยว่า "การฟังดนตรี เราฟังผ่านทางหู และรับรู้ด้วยหัวใจ ศิลปะบางอย่างไม่ต้องเข้าใจลึกซึ้ง ขอแค่รู้สึกได้ รับรู้ได้ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราก็พอ"

'ปลากะพง 3 น้ำ' สุดยอดปลาแห่งทะเลสาบสงขลา 'ความฝัน-ความทุ่มเท' ของชายชื่อ 'เจือ ราชสีห์'

ถือเป็นอีกบทบาทคู่ขนานของ 'นายเจือ ราชสีห์' ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนักการเมืองคนสำคัญในจังหวัดสงขลา ที่ THE STATES TIMES ได้มีโอกาสมาทำความรู้จัก ในหมวกอีกใบกับบทบาทผู้อยู่เบื้องหลังและผลักดันคุณภาพชีวิตชาวสงขลา ผ่านการสนับสนุนให้มีการพัฒนาผลผลิตจากปลากะพง ต.เกาะยอ อ.เมือง สงขลา ซึ่งเป็นหนึ่งในปลาเศรษฐกิจของจังหวัดสงขลา ให้มีความโดดเด่น โดยเฉพาะตำบลเกาะยอ จนกลายเป็น 'ปลากะพง 3 น้ำ' (น้ำจืด-น้ำเค็ม-น้ำกร่อย) และได้รับรองคุณภาพด้วยมาตรฐาน GI จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ว่ามีรสชาติเป็นเอกลักษณ์และเนื้อขาว แน่นนุ่ม กลิ่นละมุน

ไม่เพียงเท่านั้น 'เจือ ราชสีห์' ยังได้ผลักดันให้ชาวชุมชนเกาะยอ นำผลผลิตออกมาแปรรูป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดความยั่งยืนในชุมชน แถมสามารถจัดเก็บได้นาน รสชาติยังคงเหมือนเดิม เช่น ปลากะพงแช่แข็งแบบสุญญากาศ ปลากะพงรมควัน ปลากะพงซาชิมิ จนสามารถขึ้นห้างสยามพารากอนได้ในปัจจุบัน

THE STATES TIMES เริ่มบทสนทนา กับ 'เจือ ราชสีห์' ถึงจุดเริ่มต้นและที่มาที่ไปของปลากะพง 3 น้ำ ซึ่ง เจือ ก็เล่าให้ฟังว่า "นี่คือหนึ่งในของเลื่องชื่อของจังหวัดสงขลา และถือเป็นอาชีพที่ทำสืบต่อกันมาในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาไม่น้อยกว่า 50 ปี โดยมีการปรับตัวตามยุคสมัยมาเรื่อย ๆ ซึ่งอาจจะไม่ถึงกับทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาร่ำรวยจนเป็นเศรษฐี เศรษฐีนี แต่อาชีพนี้ก็เลี้ยงปากเลี้ยงท้องมาหลายครอบครัว หลายช่วงอายุคน"

จุดเปลี่ยน!! เจือ เล่าต่อว่า "โอกาสสำคัญที่เริ่มทำให้ผู้เลี้ยงปลากะพง 3 น้ำได้ลืมตาอ้าปาก เกิดขึ้นเมื่อช่วงวิกฤตโควิด-19 หลังจากบรรดาลูกค้าทั้งร้านอาหาร โรงแรม ตลาดในพื้นที่เงียบเหงา เท่านั้นยังไม่พอยังถูกซ้ำเติมด้วยปลากะพงจากมาเลเซียที่ราคาถูกกว่า ช่วงนั้นต้องยอมรับว่าอาชีพนี้เกือบสูญหายจากทะเลสาบสงขลา...

"ช่วงนั้นทั้งผม ทั้งกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพง ได้ไปร้องขอกระทรวงพาณิชย์ มีการอุดหนุนส่วนต่างราคา ทำให้อาชีพนี้ ยังคงดำรงอยู่ได้...

"แต่สุดท้าย ยังไงก็ตาม เราจะไปขอให้รัฐบาลช่วยเหลือตลอดไปไม่ได้ เราต้องยืนหยัดสู้ด้วยลำแข้งลำขาของตัวเราเอง"

นายเจือ ยังได้ขยายความช่วงแห่งการยืนหยัดให้ฟังต่อว่า "เรากลับมาเริ่มต้นค้นหาจุดแข็งของปลากะพงของเรา โดยจุดแข็งของปลากะพงของเรา คือ สถานที่ที่เราเลี้ยง นั่นคือ ทะเลสาบสงขลาที่มีน้ำ 3 น้ำ ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม ทำให้ปลาของที่นี่อร่อยมากเป็นพิเศษ เป็นปลากะพงที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน สร้างเอกลักษณ์ให้รสชาติ ภายใต้เนื้อขาว แน่นนุ่ม กลิ่นละมุน...

"เมื่อปลากะพง 3 น้ำ สร้างเอกลักษณ์สุดพิเศษได้ เราก็นำไปต่อยอดด้วยการขอ GI หรือ สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ เป็นปลากะพงเจ้าแรกและเจ้าเดียวในขณะนี้ที่ได้รับเครื่องหมาย GI ซึ่งสิ่งนี้เป็นมูลค่าเพิ่มที่ทำให้ปลากะพงสามน้ำทะเลสาบสงขลา จนปัจจุบันมีผู้คนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก"

เมื่อพูดคุยกันถึงจุดนี้ ก็ทำให้ผู้สัมภาษณ์นึกย้อนไปถึงตำราของ 'ปีเตอร์ เอฟ ดรักเกอร์' หนึ่งในปรมาจารย์ด้านการบริหารจัดการ ที่มักจะเน้นย้ำถึงการแสวงหาจุดแข็ง และใช้จุดแข็งในการต่อยอดความสำเร็จ ซึ่งในรายละเอียดเชิงที่ไม่ได้ลงไว้ ณ ที่นี้ ช่างสอดคล้องกับวิธีคิดของ 'เจือ ราชสีห์' เหลือเกิน

อย่างไรก็ตาม 'เจือ' ก็ยังกล่าวอย่างถ่อมตนว่าความสำเร็จของปลากะพง 3 น้ำในวันนี้ยังต่อยอดไปได้อีกมาก และยอมรับว่า ยังมีองค์ความรู้บางอย่างที่สามารถค้นหาเพื่อเติมเต็มลงไปในสินค้าได้อีกเยอะ แม้พื้นฐานของผู้คนที่นี่จะมีประสบการณ์ในด้านการเพาะเลี้ยงมาไม่น้อยกว่า 50 ปีก็ตาม

"ในอนาคตเรายังต้องนำองค์ความรู้ใหม่ๆ มาผสมผสานกับผลิตภัณฑ์ปลาของเราอย่างต่อเนื่อง เช่น การถนอมปลาแบบอิเคะจิเมะ (เทคนิคขั้นสูงในการเก็บรักษาปลา ที่ทำให้ปลาตายโดยเฉียบพลัน) ซึ่งจะช่วยคงคุณภาพให้กับตัวสินค้า รวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในรูปแบบใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นปลาเค็ม, ปลารมควัน, หนังปลาทอดกรอบ ซึ่งตอนนี้เราก็กำลังพัฒนาอยู่และไปได้สวย"

ไม่เพียงแค่เรื่องของผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ 'เจือ' ยังมองไกลไปถึงเรื่องของการออกร้านที่ต้องทำให้มีความโดดเด่น น่าสนใจ สร้างแรงดึงดูดต่อผู้มาแวะเวียนอีกด้วย

"ร้านในรูปแบบเดิม ที่เราเอาแค่สินค้าสดออกไปโชว์หรือไปขายอย่างเดียว มันคงไม่พออีกแล้ว เราต้องเพิ่มเติมบางอย่างเข้าไป อย่างเช่น ตอนนี้เราทำอาหารปรุงสำเร็จควบคู่ไปกับขายปลาสดพร้อมๆ กัน เพื่อให้ลูกค้าได้ชิมกันสดๆ ไปเลยว่าถูกปากหรืออร่อยกว่าปลากะพงที่อื่นไหม ตรงนี้ก็กลายเป็นจุดดึงดูดที่ทำออกมาได้ดีทีเดียว"

ท้ายที่สุด 'เจือ' ได้บอกกับ THE STATES TIMES อีกว่า สิ่งหนึ่งที่เขาเน้นย้ำกับชาวประมงและผู้เกี่ยวข้องเสมอ ก็คือ เขาจะไม่ยอมให้ปลากะพง 3 น้ำ ไปสู้ในตลาดที่เน้นการตัดราคากันเด็ดขาด เขาอยากให้ทุกคนสู้ที่คุณภาพ จงเชื่อมั่นและมั่นใจว่าปลากะพง 3 น้ำคุณภาพไม่ด้อยไปกว่าใครแน่นอน...

"ความฝันของผมนะ ผมอยากเห็นปลากะพง 3 น้ำของทะเลสาบสงขลา เป็นเหมือนกับแซลมอนที่ส่งออกไปทั่วโลกได้ ถ้าทำได้อย่างนั้นจริง คุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพงจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน" นายเจือ ราชสีห์ กล่าวทิ้งท้าย

‘กฟผ.’ จับมือ ‘CNOS’ เซ็น MOU แลกเปลี่ยนความรู้-เทคโนโลยี เตรียมความพร้อมพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็กในไทย

กฟผ. และบริษัทยักษ์ใหญ่จีน CNOS ร่วมลงนาม MOU แลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ตลอดจนศึกษาความเป็นไปได้ในการนำโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) มาใช้ในไทย มุ่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความมั่นคงและยั่งยืนด้านการจัดหาพลังงานระยะยาว

เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 67 นายทิเดช เอี่ยมสาย รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ Mr.Qiao Gang, Vice President of China National Nuclear Corporation Overseas Ltd. (CNOS) จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านเทคโนโลยีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ มุ่งส่งเสริมพลังงานสะอาด สร้างความมั่นคงและความยั่งยืนด้านการจัดหาพลังงาน ณ ห้อง Press Conference ชั้น 3 อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ กฟผ.

นายทิเดช เอี่ยมสาย รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน กฟผ. เปิดเผยว่า กฟผ. มีเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ซึ่งพลังงานนิวเคลียร์เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าสูง ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิตไฟฟ้า สามารถช่วยเพิ่มความมั่นคงและความยั่งยืนด้านการจัดหาพลังงานในระยะยาวได้ 

ปัจจุบัน กฟผ. อยู่ระหว่างศึกษาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor: SMR) ตลอดจนการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อรองรับโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทย ซึ่ง SMR เป็นหนึ่งในพลังงานทางเลือกที่มีความเป็นไปได้ในแผนพลังงานชาติ เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานในอนาคตและเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน นอกจากนี้โรงไฟฟ้า SMR มีขนาดเล็กจึงมีความยืดหยุ่นและความปลอดภัยสูง โดยออกแบบและผลิตเป็นโมดูลในโรงงานแล้วนำไปติดตั้งในพื้นที่ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาการก่อสร้างได้ 

ด้าน Mr.Qiao Gang, Vice President of CNOS กล่าวว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนมีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าแล้ว 57 เครื่อง (Unit) และกำลังก่อสร้างหรืออยู่ในระหว่างขออนุมัติจากรัฐบาล 36 เครื่อง โดยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ของ China National Nuclear Corporation (CNNC) ที่เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าแล้ว 26 เครื่อง และอยู่ระหว่างก่อสร้างหรืออนุมัติ 18 เครื่อง ซึ่ง CNNC เป็นบริษัทแม่ของ CNOS และเป็นบริษัทเดียวในสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ดำเนินธุรกิจด้านนิวเคลียร์อย่างครบวงจรตั้งแต่ การทำเหมืองยูเรเนียมที่เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ การออกแบบและก่อสร้าง จนถึงการจัดการเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว และเป็นกำลังหลักในการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเฉพาะการพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR ที่ทั่วโลกให้ความสนใจเป็นอย่างมาก CNNC อยู่ระหว่างการก่อสร้าง SMR แห่งแรก 

โดยกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในสิ้นปี 2568 สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อทราบว่า กฟผ. เป็นหน่วยงานสำคัญด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย มีความมุ่งมั่นในการสำรวจและพัฒนาพลังงานไฟฟ้าของประเทศไปสู่ความยั่งยืน ตามแนวทางที่รัฐบาลไทยกำลังพิจารณาและวางแผนการใช้โรงไฟฟ้า SMR ในทศวรรษหน้า เนื่องจากพลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานสะอาด มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย รวมทั้งมีบทบาทสำคัญในการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ กฟผ. และ CNOS จะร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ และโรงไฟฟ้า SMR ทั้งในด้านเชื้อเพลิง งานวิศวกรรม งานก่อสร้าง การดำเนินงานและการบำรุงรักษา รวมถึงการจัดการกากกัมมันตรังสีและเชื้อเพลิงใช้แล้ว โดย CNOS จะให้การสนับสนุนการศึกษาและเตรียมการพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR ของ กฟผ. เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ด้านพลังงานนิวเคลียร์และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสู่การดำเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

'GAC Group' ประกาศศักดา 'HYPTEC SSR' ที่สุดแห่งไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า ก้าวกระโดดครั้งใหม่ของอุตสาหกรรมยานยนต์จีน จ่อลุยตลาดโลก

ประกาศศักดาอย่างเต็มตัวไปเมื่อ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา หลังจาก GAC Group ได้เปิดตัว HYPTEC SSR เวอร์ชัน Global Model อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ให้กับไฮเปอร์คาร์จากประเทศจีนที่พร้อมจะทำตลาดในระดับโลก นับเป็นการยกระดับเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ของประเทศจีนไปสู่มาตรฐานระดับโลก โดยรถไฮเปอร์คาร์ถือเป็น 'ที่สุดของรถยนต์สมรรถนะสูง' ในอุตสาหกรรมยานยนต์ การผลิต HYPTEC SSR และจำหน่ายในต่างประเทศได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่เป็นการทำลายการผูกขาดเทคโนโลยีของไฮเปอร์คาร์จากชาติตะวันตกเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี วัฒนธรรม และแบรนด์รถยนต์ระดับสูงของจีนอีกด้วย นับเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหม่ของอุตสาหกรรมยานยนต์จีน

นับตั้งแต่ HYPTEC SSR เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา HYPTEC ได้มุ่งมั่นพัฒนารถยนต์ในทุกด้าน ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนา การออกแบบ การทดสอบ การผลิตอัจฉริยะ และระบบห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาจะช่วยยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมยานยนต์จีน อีกทั้งยังได้ส่งเสริมนวัตกรรมยานยนต์และวงการมอเตอร์สปอร์ตในประเทศ ทำให้จีนก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีอิทธิพลในวงการยานยนต์ระดับโลก

HYPTEC ยึดมั่นในแนวทางที่จริงจังและมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนารถยนต์ระดับพรีเมียม ซึ่งสามารถดึงดูดนักออกแบบดีไซน์รถยนต์ระดับโลกอย่างคุณ Pontus Fontaeus นักออกแบบรถยนต์ชื่อดังที่เคยร่วมงานกับแบรนด์รถยนต์ระดับโลกอย่าง Ferrari, Bugatti และ Lamborghini ได้เลือกที่จะร่วมมือกับ HYPTEC ในการรังสรรค์ HYPTEC SSR ให้เป็นงานศิลปะชิ้นเอก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณภาพสูงสุดของไฮเปอร์คาร์ยุคใหม่

ในงาน Thailand International Motor Expo 2023 ที่ผ่านมา HYPTEC SSR ได้สร้างสถิติราคาสูงสุดสำหรับการส่งออกรถยนต์ของประเทศจีน และยังมีการสั่งซื้อจากลูกค้าภายในงานอีกด้วย นอกจากนี้ที่งาน Milan Design Week ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า HYPTEC SSR ได้รับความสนใจจากนักออกแบบทั่วโลก ด้วยการผสมผสานศิลปะจีนและตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว สร้างความประทับใจให้กับผู้คนภายในงานเป็นอย่างยิ่ง และในเดือนตุลาคมนี้ HYPTEC SSR ยังมีแผนที่จะเข้าร่วมงาน Paris Motor Show เพื่อแสดงศักยภาพเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศจีนในภูมิภาคยุโรปอีกด้วย

การเปิดตัวรถเวอร์ชัน Global Model ของ HYPTEC SSR ยังเป็นการเสริมสร้างการยอมรับในความสามารถของอุตสาหกรรมยานยนต์จีนจากผู้บริโภคในต่างประเทศอีกด้วย HYPTEC ได้ก้าวข้ามพรมแดนออกจากประเทศจีน และไม่เพียงแต่แสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาสู่ตลาดโลก แต่ยังยกระดับสถานะของอุตสาหกรรมยานยนต์จีนในระดับสากล HYPTEC ใช้ความสามารถและนวัตกรรมที่โดดเด่น เพื่อเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคที่ให้ความเชื่อมั่นแบรนด์รถยนต์ระดับไฮเอนด์จากฝั่งตะวันตก ให้หันมาสนใจรถยนต์ระดับไฮเอนด์จากประเทศจีนมากยิ่งขึ้น 

ทั้งนี้ การเปิดตัว HYPTEC SSR เวอร์ชัน Global Model เป็นสัญญาณของการก้าวสู่แบรนด์ระดับโลกในระดับไฮเอนด์ โดย HYPTEC SSR ซึ่งเป็นไฮเปอร์คาร์ที่ถูกออกแบบ วิจัย พัฒนา และผลิตขึ้นเองโดย GAC ทั้งหมด ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในวงการซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์ เป็นการเปิดประตูให้กับไฮเปอร์คาร์จากประเทศจีนสู่เวทีระดับโลกอย่างแท้จริง เพื่อสร้างรถไฮเปอร์คาร์หมายเลขหนึ่งของจีน HYPTEC ได้ก้าวผ่านความท้าทายทางเทคนิคหลายประการ ตั้งแต่การออกแบบจนถึงการวิจัยและพัฒนา และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในการสร้างสายการผลิตไฮเปอร์คาร์ของประเทศจีนเป็นครั้งแรก HYPTEC SSR ได้ใช้มาตรฐานการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ถึง 1,184 มาตรฐาน ในการสร้างสรรค์ศิลปะและเทคโนโลยีเพื่อมอบประสบการณ์เหนือระดับให้กับผู้ใช้งาน ทั้งยังเป็นการกำหนดมาตรฐานการผลิตไฮเปอร์คาร์ในระดับสากลอีกด้วย

HYPTEC SSR ได้รับการออกแบบด้วยเทคโนโลยีระดับโลกหลายอย่าง รวมถึงตัวถังที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ 100% โครงสร้างที่ทำจากอะลูมิเนียมมีน้ำหนักเบาและมีความแข็งแรงสูง ในด้านเทคโนโลยีระบบไฟฟ้า HYPTEC SSR ได้พัฒนาระบบแบตเตอรี่ที่สามารถจัดการความร้อนได้ดี ช่วยให้สามารถส่งพลังงานไปสู่ระบบขับเคลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง ในส่วนของมอเตอร์ไฟฟ้า HYPTEC SSR ใช้มอเตอร์สามตัวที่ให้กำลังมากกว่า 1,000 แรงม้า นอกจากนี้ยังใช้ยางที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นยางเกรดเดียวกับที่ใช้ในอากาศยาน พร้อมด้วยจานเบรกที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์คุณภาพสูง ถือเป็นการเติมเต็มช่องว่างในเทคโนโลยีรถสมรรถนะสูงของประเทศจีน

นอกจากนี้ การเปิดตัว HYPTEC SSR เวอร์ชัน Global Model ยังได้รับความสนใจจากผู้บริโภคในต่างประเทศมากมาย ซึ่งเป็นการเริ่มต้นบทใหม่ของแบรนด์ HYPTEC ในระดับสากล HYPTEC SSR จะเริ่มต้นการส่งมอบในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเดือนสิงหาคมนี้ และจะขยายตลาดไปยังตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ และยุโรปอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะทำให้ HYPTEC ได้รับการยอมรับในฐานะแบรนด์รถยนต์ระดับไฮเอนด์ของโลก อีกทั้งการเปิดตัว HYPTEC SSR เวอร์ชัน Global Model ยังเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาที่ครอบคลุมทั้งในด้านการวิจัย การออกแบบ การทดสอบ การผลิตอัจฉริยะ และห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์จีน และเป็นการแสดงให้เห็นถึงเสน่ห์และนวัตกรรมของยานยนต์ระดับไฮเอนด์จากประเทศจีนอีกด้วย

สำหรับลูกค้าที่สนใจรถยนต์ไฟฟ้า AION รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะที่มาพร้อมกับฟีเจอร์และเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับโลก สามารถเข้าไปทดลองขับได้ที่ศูนย์บริการ AION ทั่วประเทศ และสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:

Website : https://www.aionauto.com/
Facebook : https://www.facebook.com/AIONthailand
Instagram : https://www.instagram.com/aion_thailand/
X (Twitter) : https://x.com/AION_TH
Tiktok : https://www.tiktok.com/@aion_thailand


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top