Tuesday, 24 June 2025
ECONBIZ NEWS

‘รมช.คลัง’ เล็งพักหนี้เอสเอ็มอีทั้งระบบ ภายใต้กรอบภาระรัฐบาล ย้ำ!! พักหนี้ครั้งนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา ป้องกันเกิด ‘Moral Hazard’

(20 พ.ย. 66) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังกำลังศึกษาเรื่องการพักหนี้ของภาคเอสเอ็มอีทั้งระบบ แต่ก็ต้องดูให้อยู่ในกรอบที่รัฐบาลรับภาระไหว และยังต้องดูว่าการเข้าไปช่วยต้องไม่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และไม่ให้เกิด ‘Moral Hazard’ ด้วย

“ยอมรับว่ามีเม็ดเงินค่อนข้างสูง หนี้ของเอสเอ็มอีเฉลี่ยต่อรายไม่ใช่แค่หลักแสนบาท ถือเป็นภาระที่หนัก ซึ่งก่อนหน้านี้โจทย์ของการช่วยเหลือเรื่องการพักหนี้เอสเอ็มอี ช่วยตามรหัส 21 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งคำอธิบายของกลุ่มนี้ มีแค่เอสเอ็มอีที่เป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) แล้ว ซึ่งรัฐบาลให้ช่วยเหลืออย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ยังมีเอสเอ็มอีอีกจำนวนมากที่ไม่ได้มีปัญหาหนี้สิน ยังไม่ถึงขั้นเป็นเอ็นพีแอล เราจึงต้องดูส่วนนี้ด้วย”

ทั้งนี้ ยอมรับว่า จากมาตรการพักหนี้ต่างๆ นั้น กังวลเรื่อง ‘Moral Hazard’ แต่ว่าในสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ ที่มีแรงกดดันทางเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะคนตัวเล็กตัวน้อย เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องโยกแรงกดดันเหล่านี้ออก ให้ประชาชนสามารถเดินหน้าต่อไปได้ การพักหนี้ครั้งนี้ ยืนยันว่าไม่เหมือนพักหนี้ครั้งก่อน เพราะเรามีกลไกอื่นเข้าไปช่วยด้วย

“ผมไปลงพื้นที่ตรวจงาน ได้ถามชาวบ้าน เกษตรกร ว่าพักหนี้มา 13 ครั้งแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ทุกคนก็บอกว่า ไม่ได้ดีขึ้น มันเป็นเพียงแค่การประวิงเวลาเท่านั้น แต่กลไกครั้งนี้ ประกอบกับนโยบายอื่นๆ ที่รัฐบาลใส่เข้าไป มันจะสามารถให้ประชาชน พลิกฟื้นกลับมาแข็งแรงได้”

ส่วนกรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมแถลงมาตรการแก้ไขหนี้สินประชาชนรายย่อย ในช่วงปลายเดือน พ.ย. 66 นี้ เป็นมาตรการแก้หนี้คนละส่วนกับการมาตรการพักหนี้เกษตรกรที่เคยออกมาแล้ว โดยการพักชำระหนี้เป็นเพียงการต่ออายุ ต่อลมหายใจให้พี่น้องเกษตรกร

ทั้งนี้ มาตรการแก้ไขหนี้สินประชาชนรายย่อยนั้น เป็นการของอีกส่วนงาน โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย ซึ่งเมื่อ 14 พฤศจิกายน ได้มีการประชุมนัดแรก และเห็นชอบแนวทางการแก้ปัญหาหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ไปแล้ว

‘รถไฟฟ้าสีชมพู’ ได้ฤกษ์เปิดให้นั่งฟรี 30 สถานี 21 พ.ย.นี้ ส่วนค่าโดยสารจะเริ่มเก็บหลังเปิดทดลองใช้บริการ 1 เดือน

(20 พ.ย. 66) เพจ รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู แจ้งว่า นับถอยหลังอีก 1 วัน เปิดทดลองให้บริการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู โดยจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการครบทั้ง 30 สถานี ตั้งแต่ ศูนย์ราชการนนทบุรี (PK01) - มีนบุรี (PK30) ช่วงทดลองใช้บริการฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย

ข่าวแจ้งว่า ในวันที่  21 พ.ย.นี้ ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ครม. จะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม และเปิดทดสอบเดินรถเสมือนจริง ช่วงแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กิโลเมตร หลังจากนั้นในช่วงบ่ายวันเดียวกัน จะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการตลอดสาย 30 สถานี เป็นระยะเวลาราว 1 เดือน

ทั้งนี้ ในช่วงการเปิดทดสอบเดินรถเสมือนจริงในวันที่ 21 พ.ย.66 นี้ จะมีบางทางออก (Exit) ของบางสถานีที่ยังไม่พร้อมเปิดให้บริการ แต่สามารถเปิดให้บริการประชาชนและมีความปลอดภัย ทั้งนี้ยืนยันว่าจะเสร็จครบ 100% ก่อนเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ

สำหรับอัตราค่าโดยสารของรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี รวม 30 สถานี ราคาเริ่มต้น 15 บาท สูงสุด 45 บาท ส่วนผู้สูงอายุ ราคาเริ่มต้น 8 บาท สูงสุด 23 บาท โดยช่วงทดลองใช้บริการฟรีไปจนถึง 18 ธ.ค.66 จากนั้นจึงจะเริ่มเก็บค่าโดยสาร

สำหรับ 30 สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่เปิดให้บริการประกอบด้วย

1. สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี สถานีต้นทางตั้งอยู่ริมถนนรัตนาธิเบศร์ บริเวณหน้าศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรีและบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) 
2. สถานีแคราย ตั้งอยู่บนถนนติวานนท์ บริเวณด้านหน้าสถาบันทรวงอก
3. สถานีสนามบินน้ำ ตั้งอยู่บนถนนติวานนท์ใกล้กับสามแยกสนามบินน้ำ
4. สถานีสามัคคี ตั้งอยู่บนถนนติวานนท์ ใกล้ทางแยกเข้าถนนสามัคคี ระหว่างคลองบางตลาดกับถนนสามัคคี
5. สถานีกรมชลประทาน ตั้งอยู่บนถนนติวานนท์ ใกล้กับโรงเรียนชลประทานวิทยา
6. สถานีแยกปากเกร็ด ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมทางแยกปากเกร็ด ก่อนเข้าสู่ถนนแจ้งวัฒนะ
7. สถานีเลี่ยงเมืองปากเกร็ด ตั้งอยู่บนถนนแจ้งวัฒนะ บริเวณหน้าห้างบิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์และโฮมโปร ก่อนถึงทางแยกเลี่ยงเมืองปากเกร็ด
8. สถานีแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28 ตั้งอยู่บนถนนแจ้งวัฒนะ ใกล้กับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ บริเวณซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28
9. สถานีศรีรัช ตั้งอยู่บนถนนแจ้งวัฒนะ บริเวณซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 35 ก่อนถึงทางด่วนศรีรัช ใกล้กับหมู่บ้านเมืองทองธานี
10. สถานีเมืองทองธานี ตั้งอยู่บนถนนแจ้งวัฒนะ บริเวณหน้าสำนักงานซ่อมบำรุงกรมทางหลวงและห้างแม็คโครซุปเปอร์สโตร์ สาขาแจ้งวัฒนะ
11. สถานีแจ้งวัฒนะ 14 ตั้งอยู่บนถนนแจ้งวัฒนะ ระหว่างบิ๊กซีแจ้งวัฒนะและซอยแจ้งวัฒนะ 14
12. สถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ตั้งอยู่บนถนนแจ้งวัฒนะ บริเวณหน้ากรมการกงศุล ใกล้กับศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550
13. สถานีโทรคมนาคมแห่งชาติ ตั้งอยู่บนถนนแจ้งวัฒนะ ระหว่างซอยแจ้งวัฒนะ 5 และซอยแจ้งวัฒนะ 7
14. สถานีหลักสี่ ตั้งอยู่บริเวณจุดตัดถนนแจ้งวัฒนะและถนนวิภาวดีรังสิต
15. สถานีราชภัฏพระนคร สถานีสุดท้ายบนถนนแจ้งวัฒนะ ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
16. สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ ตั้งอยู่บริเวณวงเวียนอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ 
17. สถานีรามอินทรา 3 สถานีแรกบนถนนรามอินทราตั้งอยู่บริเวณหน้าโครงการลุมพินี รามอินทรา-หลักสี่ และศูนย์พัฒนากีฬากองทัพบก
18. สถานีลาดปลาเค้า ตั้งอยู่บนถนนรามอินทราระหว่างซอยรามอินทรา 21 และซอยรามอินทรา 23 ใกล้กับห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีเอ็กซ์ตร้า
19. สถานีรามอินทรา กม.4  ตั้งอยู่บนถนนรามอินทรา ระหว่างซอยรามอินทรา 33 และซอยรามอินทรา 37
20. สถานีมัยลาภ ตั้งอยู่บนถนนรามอินทราหน้าปากซอยรามอินทรา 41 ใกล้กับสามแยกมัยลาภ
21. สถานีวัชรพล  ตั้งอยู่บนถนนรามอินทรา ถัดจากทางพิเศษฉลองรัช บริเวณซอยรามอินทรา 59 และซอยรามอินทรา 61
22. สถานีรามอินทรา กม.6 ตั้งอยู่บนถนนรามอินทรา ช่วงระหว่างซอยรามอินทรา 40 และซอยรามอินทรา 42
23. สถานีคู้บอน  ตั้งอยู่บนถนนรามอินทราช่วงระหว่างซอยรามอินทรา 69 และซอยรามอินทรา 46
24. สถานีรามอินทรา กม.9 ตั้งอยู่บนถนนรามอินทรา ใกล้กับโรงพยาบาลสินแพทย์ ช่วงระหว่างซอยรามอินทรา 54 และซอยรามอินทรา 56
25. สถานีวงแหวนรามอินทรา  ตั้งอยู่บนถนนรามอินทราถัดจากถนนวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก ใกล้ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ และ The Promenade
26. สถานีนพรัตน์ ตั้งอยู่บนถนนรามอินทรา ใกล้ซอยรามอินทรา 103/1 และโรงพยาบาลนพรัตน์
27. สถานีบางชัน  ตั้งอยู่บนถนนบริเวณซอยรามอินทรา 113 และซอยรามอินทรา 115
28. สถานีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ ตั้งอยู่บนถนนรามอินทราใกล้กับโรงเรียนเศรษฐบุตรบำเพ็ญ ระหว่างซอยรามอินทรา 121 และ ซอยรามอินทรา 123
29. สถานีตลาดมีนบุรี สถานีแรกบนถนนสีหบุรานุกิจ ตั้งอยู่บริเวณหน้าตลาดนัดจตุจักร 2
30. สถานีมีนบุรี ตั้งอยู่ริมถนนรามคำแหง บริเวณศูนย์ซ่อมบำรุงของระบบขนส่งมวลชนสายสีชมพูฯ ใกล้กับถนนรามคำแหง เป็นสถานีปลายทางของโครงการ 

‘พิมพ์ภัทรา’ จ่อชง ครม. เคาะราคาชดเชยตัดอ้อยสด 120 บาท/ตัน พร้อมหาแนวทางช่วยเกษตรกร แก้ปัญหาตัดอ้อยสดในฤดูกาลต่อไป

(20 พ.ย. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากที่ตัวแทนสมาคมเกษตรกรชาวไร่อ้อย 37 แห่ง เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อขอรับทราบถึงความคืบหน้าการดำเนินโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ปีการผลิต 2565/2566 ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้เสนอบรรจุวาระการพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป

ในส่วนของการพิจารณาราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2565/2566 ซึ่งเกษตรกรชาวไร่อ้อยได้ร้องขอให้เร่งการประกาศราคาเพื่อให้โรงงานเบิกจ่ายได้อย่างรวดเร็ว โดยคณะกรรมการบริหาร (กบ.) ครั้งที่ 9/2566 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้มีการพิจารณาราคาอ้อยขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2565/2566 และอยู่ระหว่างการเสนอต่อคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) ในลำดับต่อไป 

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหาร (กบ.) ได้กำหนดการประชุมครั้งต่อไป โดยมีวาระพิจารณาเพื่อกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2566/2567 
ในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับข้อเรียกร้องเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมการตัดอ้อยสดฤดูการผลิตปี 2566/2567 ในส่วนนี้ต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐโดยกระทรวงอุตสาหกรรม และพี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อย เพื่อการหาแนวทางที่เหมาะสมร่วมกัน ให้การเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวอ้อยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่กระทบกับต้นทุนราคาอ้อย ทั้งยังจะช่วยให้ชาวไร่อ้อยมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากยิ่งขึ้น โดยในช่วงท้ายของการหารือผู้แทนชาวไร่อ้อยได้กล่าวขอบคุณกระทรวงอุตสาหกรรม ที่สนับสนุนและรับฟังปัญหาของชาวไร่อ้อย พร้อมสนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างสองฝ่ายเพื่อให้สามารถบรรลุความต้องการ

กรณีดังกล่าวเกิดจากการที่นายนราธิป อนันตสุข หัวหน้าสำนักงานสหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย และตัวแทนจากสมาคมชาวไร่อ้อยทั่วประเทศประมาณ 200 คน เดินทางเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อหารือถึงความชัดเจนเกี่ยวกับโครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ตามมติ ครม. ที่จะจัดสรรงบประมาณเพิ่ม ค่าตัดอ้อยให้ตันละ 120 บาทต่อเนื่อง แต่ฤดูหีบปี 2565/66 ที่ผ่านมา ยังคงไม่ได้รับการพิจารณา 

นายนราธิป ระบุว่า ฤดูหีบปี 2566/67 ในเดือน ธ.ค.นี้ ก็ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว เพราะหากมีการเปิดหีบอ้อยแล้วยังไม่ชัดเจน เกรงว่าปัญหาอ้อยไฟไหม้ก็อาจจะไม่ได้ลดลง เพราะต้องยอมรับว่าการตัดอ้อยสดเพื่อส่งเข้าโรงงานยังมีต้นทุนสูง

‘บิ๊กเอ’ มุ่งดัน ‘มวยไทย’ สู่ซอฟต์พาวเวอร์โลกด้านกีฬา ยัน!! ภาครัฐพร้อมหนุน จ่อประเดิม ‘ยุโรป-อเมริกา’ ที่แรก

(20 พ.ย. 66) ผศ.ดร.พิมล ศรีวิกรม์ หรือ ‘บิ๊กเอ’ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ประธานอนุกรรมการด้านกีฬา ในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เปิดเผยว่า สำหรับเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ด้านกีฬาเราจะโฟกัสไปที่ ‘กีฬามวยไทย’ เป็นหลัก ซึ่งจากการที่ตนได้เดินทางไปประเทศอังกฤษเมื่อสัปดาห์ที่้ผ่านมา และได้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับมวยไทยที่ประเทศอังกฤษ น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งว่า ที่อังกฤษมีค่ายมวยไทยกว่า 6,000 ค่าย กระแสตอบรับเรื่องมวยไทยดีมากๆ และเท่าที่ได้พูดคุยกับเจ้าของค่ายมวยไทยในอังกฤษ เขาอยากได้ครูมวยไทย รวมถึงการจัดการสัมมนาให้ความรู้เรื่องของมวยไทย ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งนับเป็นแนวทางที่ดี เราก็จะมีการนำครูมวยไทยดังๆ อาทิ สามารถ พยัคฆ์อรุณ ตำนานนักมวยไทยและครูมวยชื่อดัง ไปร่วมงานดังกล่าว โดยหลังจากได้รับมอบหมายงานดังกล่าวเราจะเรียกประชุมคณะอนุกรรมการฯ ภายในสัปดาห์นี้เพื่อที่จะเริ่มทำงานทันที

ประการแรกเราต้องกำหนดแผนยุทธศาสตร์การทำงานกันก่อน รวมถึงเป้าหมายว่า จะปักหมุดที่ภูมิภาคในเวลาเท่าใด เป้าหมายที่เป็นรูปธรรมเป็นอย่างไร จากนั้นเราจึงเดินตามแผนยุทธศาสตร์ เราคงทำที่ ‘มวยไทย’ อย่างเดียวก่อน เพราะกีฬามวยไทย ชัดเจนในเรื่องชื่อที่มีประเทศไทยต่อท้าย รู้กันทั่วโลกว่ามวยไทยมาจากประเทศไทย

ผศ.ดร.พิมล กล่าวต่อไปว่า เห็นควรว่าเราจะโฟกัสช่วงแรกไปที่ทวีปยุโรป และทวีปอเมริกาก่อนเพราะถือเป็นตลาดใหญ่ในการนำ ‘กีฬามวยไทย’ ไปสู่ซอฟต์พาวเวอร์ เท่าที่มีข้อมูลเบื้องต้นอย่างเช่น ในประเทศฟินแลนด์ เรามี ‘จ้าวสมุทร เกียรติช่องเขา’ นักมวยไทยที่มีภรรยาอยู่ที่ฟินแลนด์และทำธุรกิจค่ายมวยไทยที่นั่น ปรากฏว่า มีครูโรงเรียนในฟินแลนด์มาเรียนมวยไทยที่ค่ายของจ้าวสมุทรและประทับใจ จึงติดต่อให้จ้าวสมุทรไปสอนเด็กนักเรียนในฟินแลนด์เลย สิ่งต่างๆ เช่นนี้มันคือ ซอฟต์พาวเวอร์ของกีฬามวยไทยได้เป็นอย่างดี

“แน่นอนว่าในการดำเนินการ เราก็ต้องสนับสนุนเรื่องงบประมาณให้เขา แต่คงไม่ใช่ลักษณะถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม เราจะมาหารือกันในลักษณะภาครัฐเข้าไปช่วยสนับสนุนอีกแรงหนึ่ง แต่ทั้งนี้ คงต้องรอการตั้งตุ๊กตาแรกเริ่มของการทำงานอนุกรรมการด้านกีฬาก่อน ว่าจะกำหนดยุทธศาสตร์กันออกมาอย่างไร” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีกล่าว

‘พิมพ์ภัทรา’ เร่งขับเคลื่อน ‘อุตสากรรมฮาลาล’ ตั้งเป้า!! GDP เติบโต 1.2% ภายใน 3 ปี

(19 พ.ย.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า คณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามนโยบายการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor : SEC) ได้มีการประชุม ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2566 ได้เล็งเห็นโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยไปยังตลาดโลก

โดยจากข้อมูลในปี 2564 ตลาดอุตสาหกรรมฮาลาลโลกมีมูลค่าสูงถึง 2.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าในปี 2567 จะมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 2.325 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และในปี 2565 มูลค่าการส่งออกอาหารฮาลาลของไทยมีมูลค่า 213,816 ล้านบาท โดยมีส่วนแบ่งในตลาดโลก ร้อยละ 2.7 เป็นอันดับที่ 11 ของโลก

ซึ่งอาหารฮาลาลส่งออกของไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 78 เป็นฮาลาลโดยธรรมชาติ ส่วนที่เหลือร้อยละ 22 ต้องผ่านการรับรองฮาลาล โดยเฉพาะกลุ่มเนื้อสัตว์และอาหารพร้อมรับประทาน

ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศไทย ผ่านกลไกคณะกรรมการอุตสาหกรรมฮาลาลแห่งชาติ (กอฮช.) และการจัดตั้งศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่งภารกิจของศูนย์ดังกล่าวครอบคลุมทั้งด้านการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

โดยเร่งรัดจัดทำข้อตกลงทางการค้าเพื่อเปิดตลาด ส่งเสริมการขยายตลาดการค้าระหว่างประเทศ และประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ (National Focal Point) และด้านพัฒนาการผลิตและมาตรฐาน ซึ่งเน้นการทำวิจัยนวัตกรรมเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ฮาลาล

โดยกำหนดสินค้าฮาลาลเป้าหมายในแต่ละปี พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ฮาลาล ให้คำปรึกษาและแนะนำทางวิชาการ และเป็นศูนย์กลางบูรณาการข้อมูลด้านการผลิตอุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการของเรื่องดังกล่าว เพื่อนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี/คณะรัฐมนตรี ต่อไป

ทั้งนี้ ศูนย์ฯ จะช่วยสนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมฮาลาลในการขอรับรองมาตรฐานฮาลาลทั่วประเทศต่อไป

นอกจากนี้ กรอบการดำเนินงานของศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล ประกอบด้วย ด้านการขยายตลาดการค้าอุตสาหกรรมฮาลาลใหม่ ๆ ในต่างประเทศ ได้แก่ อาเซียน OIC/ GCC (เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย) แอฟริกา จีน ผ่านการเจรจาจัดทำกรอบความร่วมมือในการขยายตลาดสินค้าและบริการฮาลาล สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานเครือข่ายฮาลาล (Thai Halal Network)

ส่งเสริมและขยายตลาดผ่านกิจกรรมจัดงาน Halal Expo 2024 และกิจกรรมทางการทูต เช่น งาน Thai Night เพื่อเผยแพร่สินค้าฮาลาลไทย ส่งเสริมประชาสัมพันธ์ และสร้างภาพลักษณ์ สินค้าและบริการฮาลาลไทยในภารกิจ MICE

รวมทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ฮาลาลต้นแบบเพื่อผู้บริโภคมุสลิม ได้แก่ การจัดอบรม การวิจัยและพัฒนา (R&D) การยกระดับบุคลากร และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาและจัดทำต้นแบบ (Role Model) เพื่อยกระดับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมฮาลาลเพื่อการส่งออก เช่น โรงงานแปรรูป โรงฆ่าสัตว์ โดยผ่านการให้คำปรึกษา ตรวจประเมิน

โดยกำหนดสินค้าฮาลาลเป้าหมายในระยะแรก เช่น เนื้อสัตว์/อาหารทะเล อาหารแปรรูปพร้อมรับประทาน อาหารฮาลาลโดยธรรมชาติ อาหารมุสลิมรุ่นใหม่ แฟชั่นฮาลาล เครื่องสำอาง ยา/สมุนไพร ท่องเที่ยว เป็นต้น ทั้งนี้ การดำเนินงานภายใต้ศูนย์ฯ คาดว่าจะทำให้ GDP ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวได้ร้อยละ 1.2 ภายในระยะเวลา 3 ปี

'ทรัมป์' ทวงบัลลังก์สู้ศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 ใต้นโยบายที่สุ่มเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'การกลับมาทวงบัลลังก์สู้ศึกเลือกตั้งสหรัฐ 2024 ของ ทรัมป์' เมื่อวันที่ 19 พ.ย.66 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

ประธานาธิบดีไบเดนกำลังจะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค (APEC Summit) ที่เมือง San Francisco เร็ว ๆ นี้ ซึ่งถือเป็นเวทีหารือด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่สำคัญที่สุดของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก 

ประเทศไทยในฐานะสมาชิกก่อตั้ง ก็จะมีนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เข้าร่วมประชุม ที่สำคัญ APEC Summit จะเป็นโอกาสสำคัญที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง แห่งจีน จะมีโอกาสพบกับประธานาธิบดีไบเดน เป็นครั้งแรกในรอบปี เพื่อเคลียร์ประเด็นภูมิรัฐศาสตร์โลกที่อาจเป็นชนวนนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ได้

การประชุมสุดยอดเอเปคครั้งนี้มีขึ้นในระหว่างการเริ่มต้นกระบวนการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาครั้งต่อไป ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2024 ขณะนี้มีการคาดการณ์ว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้กันระหว่างอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีไบเดน และหากการเลือกตั้งมีขึ้นในวันนี้ โพลล่าสุดของ New York Time ก็ชี้ว่าทรัมป์มีโอกาสสูงที่จะชนะการเลือกตั้งได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งหนึ่ง

ในสมัยแรกที่เป็นประธานาธิบดี ทรัมป์ขึ้นชื่อว่าเป็นประธานาธิบดีที่กีดกันการค้ามากที่สุดคนหนึ่ง โดยใช้ภาษีนำเข้า (Import Tariff) และเงินดอลลาร์เป็นอาวุธในการจัดการประเทศที่เป็นศัตรูทางการเมืองและเศรษฐกิจ จนทำให้อัตราภาษีนำเข้าโดยเฉลี่ยของสหรัฐฯ สูงขึ้นกว่าเท่าตัว โดยเฉพาะสินค้าจากจีนที่ต้องเสียภาษีสูงถึงกว่า 20% ส่วนในการเลือกตั้งครั้งนี้ ข้อเสนอหลักของทรัมป์คือ การเก็บภาษีนำเข้า 10% across the board จากสินค้าทุกชนิดของทุกประเทศที่นำเข้าไปยังสหรัฐฯ

น่าจะเป็นการเข้าใจผิดของทีมงานทรัมป์ที่เชื่อว่าการใช้ภาษีขาเข้าจะเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจทุกอย่างที่สหรัฐฯ ประสบอยู่ได้ สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าต่อเนื่องทุกปีเป็นเวลากว่า 50 ปี เนื่องจากมีการใช้จ่ายเกินตัว แต่สหรัฐฯ ก็ยังคงความเป็น Superpower แต่เพียงผู้เดียวของโลกอยู่ได้ เพราะสหรัฐฯ ยึดมั่นในหลักประชาธิปไตยและการค้าเสรี ในทางตรงข้าม นโยบายของทรัมป์ดูเหมือนจะสวนทางกับหลักการนี้ และจะก่อเกิดผลเสียอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ เอง

‘ธนกร’ หนุนตั้ง ‘กาสิโนถูกกฎหมาย’ หวังแก้วิกฤติ ศก.ตกต่ำ เชื่อ!! ช่วยเพิ่มนทท.-สร้างงาน-สร้างรายได้ให้ประเทศเพิ่มขึ้น

(18 พ.ย.66) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า ตนสนับสนุนแนวคิดตั้งกาสิโนถูกกฎหมาย เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำของประเทศ ที่ปัจจุบันมีความจำเป็นให้ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการหาแหล่งที่มาของรายได้เพิ่ม เพื่อนำมาพัฒนาประเทศเชิงรุกด้านธุรกิจเกี่ยวกับสถานบันเทิงในประเทศไทย และเป็นแหล่งที่มีรายได้สูง เนื่องจากประเทศเรามีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูง และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ แต่ในปัจจุบันพบว่ามีการลักลอบเปิดสถานบันเทิง บ่อนการพนันทำธุรกิจแบบผิดกฎหมาย ทำให้ประเทศขาดรายได้จำนวนมาก

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมามีการเสนอให้มีกาสิโนถูกกฎหมายแล้วหลายครั้งแต่ไม่ผ่านความเห็นชอบ นายธนกร กล่าวว่า ตนจึงสนับสนุนให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อพิจารณาศึกษาในการส่งเสริมธุรกิจบันเทิงครบวงจรเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ  ศึกษาผลดี และปิดช่องโหว่ผลเสียของกาสิโนถูกกฎหมาย เพราะหากมีการกำหนดหลักเกณฑ์จำกัดการออกใบอนุญาตอย่างเคร่งครัด,กำหนดหลักเกณฑ์การจัดเก็บภาษี,การจัดระเบียบการเข้าใช้บริการของผู้เข้าใช้ ต้องเป็นต่างชาติ หากเป็นคนไทยก็ต้องแสดงรายได้ที่มีเพียงพอ ไม่มีหนี้สิน เมื่อภาครัฐมีความเข้มแข็งในการควบคุมในเรื่องเหล่านี้ภายหลังการเปิดกาสิโนถูกกฎหมายแล้ว จะช่วยแก้ปัญหาการลักลอบเล่นการพนัน ปัญหาบ่อนเถื่อน ปัญหาเจ้าหน้าที่รับส่วยเงินใต้โต๊ะ รวมถึงปัญหาอาชญากรรมด้านสังคมและเศรษฐกิจได้ การเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว ทำให้ภาครัฐสามารถเก็บภาษีได้จำนวนมาก

“ประเทศไทยมีการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่สวยงามทุกจังหวัด ทุกภาคของไทย หากมีกาสิโนถูกกฎหมายเข้ามาเพิ่ม ก็เชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างงาน สร้างรายได้และมีการจัดเก็บภาษีเข้ารัฐได้อีกจำนวนมาก” นายธนกร กล่าว

CP Seeding 'องค์ความรู้-ศักยภาพ' แห่งเครือ CP หนุน!! ผู้ประกอบการ SME ไทย GO INTER

จากรายการ THE TOMORROW ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 18 พ.ย.66 ได้พูดคุยกับ คุณเอกชัย ตั้งรัตนาวลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ซีดดิ้ง โซเชียลอิมแพคท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ในฐานะขององค์กรที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SME ไทยทั่วประเทศ ได้รับโอกาสทางธุรกิจผ่านแพลตฟอร์ม CPseeding.com และสามารถขยายธุรกิจไประดับโลกได้ ว่า...

CP Seeding เป็นหน่วยงานที่ CP สร้างขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SME เติบโตได้ ด้วยกลไกต่าง ๆที่ทาง CP พร้อมสนับสนุน เนื่องจากมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจประสบความสำเร็จมายาวนาน ซึ่งถ้านำองค์ความรู้ของ CP มาสนับสนุนผู้ประกอบการจะทำให้เติบโตได้เร็วขึ้น รวมทั้งกระบวนการพัฒนาและตลาดรองรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

คุณเอกชัย กล่าวว่า "เรามองผู้ประกอบการคนไทยเป็นดั่งพี่น้อง ดังนั้นการพัฒนาผู้ประกอบการ หรือธุรกิจ ของพี่น้องคนไทย ให้เติบโตไปด้วยกัน จะเป็นการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจทั้งประเทศให้ดีขึ้น และยกระดับสินค้าไทยให้มีมาตรฐานและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น"

คุณเอกชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "ผมมอง Mindset เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะ Mindset เถ้าแก่ เราต้องสร้างความเข้าใจในธุรกิจ เข้าใจกลไกของธุรกิจ โดย CP Seeding มีการวางกรอบการพัฒนาผู้ประกอบการออกเป็น 3 กรอบ ได้แก่ 

1.การเรียนรู้ตลาดก่อน ว่าสินค้าของผู้ประกอบการจะไปในทิศทางไหน ตอบโจทย์ผู้บริโภคหรือไม่ 
2.การทำต้นแบบสินค้าจริง เพื่อทดลองตลาดจริงๆ แล้วนำมาพัฒนาปรับปรุง 
3.การเข้าสู่ตลาด เนื่องจากทาง CP มีฐานตลาดจำนวนมาก ทำให้วิเคราะห์ตลาดให้เหมาะสมกับสินค้าได้"

ปัจจุบัน CP Seeding ได้เปิดรับนักธุรกิจที่สนใจ ได้แก่ 
1.กลุ่มเริ่มคิดทำธุรกิจ หรือยังไม่มีไอเดีย 
2.กลุ่มเกษตรกร 
3.กลุ่มสตรีทฟู้ด 
4.กลุ่มร้านอาหารและโรงแรม 
5.กลุ่มที่มีโรงงานและอยากผลิตสินค้าเข้าห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ 
6.กลุ่มสินค้าที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว ซึ่งจะสามารถขยายเพิ่มเติมไปยังต่างประเทศได้ 

ในส่วนจุดเด่นของ CP Seeding คุณเอกชัย กล่าวว่า "เป็นเรื่องของการ Support ข้อมูลให้กับผู้ประกอบการ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้ประกอบการคือ ข้อมูล และเวลา จะเดินช้าไม่ได้ โดยผู้ประกอบการที่มาปรึกษากับเราส่วนใหญ่นิยาม CP Seeding ว่าเหมือนบันไดเลื่อน ช่วยให้สำเร็จรวดเร็วมากขึ้น ส่วนเป้าหมาย คาดหวังว่าจะช่วยผลักดันธุรกิจ หรือผมใช้คำว่าหาทีมชาติ 100 ผู้ประกอบการให้ไปตลาดโลกให้ได้ ซึ่งในปัจจุบันมีโครงการพาผู้ประกอบการไทยไปสำรวจตลาดที่ต่างประเทศ (Business Survey) ซึ่งเราจะพาไปดูตลาดจริง กับผู้รู้จริง ๆ สำรวจพฤติกรรมของผู้ซื้อในแต่ละประเทศว่าเป็นอย่างไร มี feedback กับสินค้าของเราอย่างไร ซึ่งตอนนี้มี แพลนพาผู้ประกอบการไปในรอบ ๆ บ้านเราก่อน เช่น กัมพูชา มาเลเซีย จีน เป็นต้น" 

สำหรับผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ https://www.cpseeding.com/ ทางบริษัทฯ เชื่อว่ากิจกรรมดังกล่าวจะช่วยพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ เติมเต็มองค์ความรู้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

‘ปตท. - GPSC - Nuovo Plus’ ร่วมมือ ‘TES’ ศึกษาการลงทุนตั้งโรงงานรีไซเคิลแบตเตอรี่ในไทย

เมื่อไม่นานมานี้ ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ Mr. John Jonghun Oh, Chief Strategy Officer, Total Environmental Solutions Company Limited (TES) ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาธุรกิจรีไซเคิลแบตเตอรี่ ระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) บริษัท นูออโว พลัส จำกัด (Nuovo Plus) และ บริษัท โทเทิล เอนไวโรเมนทอล โซลูชั่นส์ จำกัด (TES) 

โดยมี ดร.ยุทธนา สุวรรณโชติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สถาบันนวัตกรรม ปตท. นายมนัสชัย คงรักษ์กวิน รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่พัฒนาธุรกิจ GPSC นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี กรรมการ Nuovo Plus และ Mr. Luc Scholte van Mast, Managing Director, TES ร่วมลงนาม เพื่อแสวงหาโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีและศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโรงงานรีไซเคิลแบตเตอรี่ในประเทศไทย สนับสนุนการดำเนินธุรกิจแบตเตอรี่ครบวงจรในอนาคต พร้อมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีรีไซเคิลมาส่งเสริมธุรกิจด้านพลังงานสะอาดที่เกี่ยวข้องให้แก่กลุ่ม ปตท. นอกจากจะช่วยเสริมศักยภาพการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับประเทศไทยต่อไป

‘นฤมล’ เผย ‘ญี่ปุ่น’ สนใจลงทุนหลากอุตฯ ใหม่ในไทย พร้อมเสนอ ‘ไทย’ เป็นฮับผลิตรถยนต์ EV ของอาเซียน

เมื่อวานนี้ (16 พ.ย. 66) ศาสตราจารย์นฤมล ภิณโญสินวัฒน์ ผู้แทนการค้า เปิดเผยภายหลังต้อนรับและหารือกับนายนะชิดะ คะสุยะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย โดยเอกอัครราชทูตนะชิดะ ได้กล่าวแสดงความยินดีต่อการเข้ารับตำแหน่งของศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ผู้แทนการค้า พร้อมกล่าวยืนยันว่าประเทศญี่ปุ่นทั้งภาครัฐและภาคเอกชนพร้อมที่จะทำงานร่วมมือกับรัฐบาลภายใต้การนำ ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ซึ่งประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์เป็นมิตรที่ดีต่อกันมายาวนาน

ผู้แทนการค้า กล่าวว่า เอกอัครราชทูตนะชิดะ เสนอไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่หลากหลายในช่วงของการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่การเป็นประเทศศูนย์กลางการผลิตรถ EV และสินค้าที่เชื่อมโยงเพื่อส่งไปยังประเทศอาเซียน อีกทั้ง ภายใต้นโยบาย Green Growth ของประเทศญี่ปุ่น ภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่นมีความสนใจร่วมลงทุนในธุรกิจที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกลุ่มใหม่ เช่น AI, Bio Technology, Modern Agriculture และ Clean Energy ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของท่านนายกฯ เศรษฐา ที่ต้องการส่งเสริม Green Economy & Clean Energy เช่นกัน 

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมพลังงานสะอาดจากแสงแดด ลม น้ำ และขยะ ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตอาจมีการนำพลังงานสะอาดเหล่านี้มาใช้ในภาคการผลิตมากขึ้น

นอกจากนี้ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) ยังมองว่า การเปลี่ยนผ่านนโยบายด้านพลังงานของไทยมีความเป็นรูปธรรมชัดเจน จึงพร้อมสนับสนุนนโยบายพลังงานสะอาดร่วมกับไทย และ METI จะเสนอกรอบความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างไทยกับญี่ปุ่น โดยจะเน้นย้ำประเด็น Green Transition

ในส่วนเรื่องการพัฒนาทุนมนุษย์ของไทย ผู้แทนการค้า กล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นมีความตั้งใจที่จะให้การสนับสนุนด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลขั้นสูงต่อไป โดยหวังอย่างยิ่งว่านักธุรกิจรุ่นใหม่ในญี่ปุ่นและไทยจะได้มีการติดต่อแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันมากยิ่งขึ้น ในลักษณะ Business Matching

“เดือนธันวาคม นายกฯ และคณะผู้บริหารรัฐบาล มีกำหนดการไปเยือนประเทศญี่ปุ่น เพื่อหารือและขยายกรอบการลงทุนร่วมกับรัฐบาลญี่ปุ่น ในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ญี่ปุ่น-ไทยในหลายด้านให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นไปอีก” ผู้แทนการค้าย้ำ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top