Tuesday, 24 June 2025
ECONBIZ NEWS

‘รมว.ปุ้ย’ ลุยใต้ เปิดงาน ‘MIND : Your Industrial Power’ หนุนผู้ประกอบการ-ยกระดับการลงทุน-เสริมศักยภาพอุตฯ ไทย

เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ค 66 นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนา ‘การส่งเสริมและยกระดับอุตสาหกรรม ในพื้นที่ภาคใต้ MIND : Your Industrial Power’ โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, นายศุภกิจ บุญศิริ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม รักษาการแทนผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม, นายเอกนิติ รมยานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รักษาการแทนผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม, นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม, นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม, นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, นางสาวณิรดา วิสุทธิชาติธาดา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม ณ โรงแรม แกรนด์ ฟอร์จูน จังหวัดนครศรีธรรมราช

ปลัดฯ ณัฐพล กล่าวว่า สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทในการส่งเสริม และสนับสนุนผู้ประกอบการในทุกมิติ สร้างธุรกิจให้เข้มแข็งเติบโตอย่างแข็งแกร่ง นําไปสู่ความสําเร็จอย่างยั่งยืน ภายใต้กรอบความแนวคิดและทิศทางการทํางานด้วย ‘MIND’ ใช้ หัว และ ใจ เพื่อบรรลุเป้าหมาย การสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน เปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมวิถีใหม่

ซึ่งการดําเนินงานภายใต้กรอบแนวคิด ‘MIND’ ของกระทรวงอุตสาหกรรมนั้น มุ่งเน้นความสําเร็จ 4 มิติ ประกอบด้วย มิติที่ 1 ความสําเร็จทางธุรกิจ, มิติ ที่ 2 ความอยู่ดีกับสังคมโดยรวม, มิติที่ 3 ความลงตัวกับกติกาสากล และมิติที่ 4 การกระจายรายได้สู่ชุมชนที่ตั้ง ผ่านการดําเนินการพัฒนาอุตสาหกรรม ไปสู่อุตสาหกรรมศักยภาพสูงและการสร้างธุรกิจรูปแบบใหม่ ควบคู่ไปกับการดูแลสังคม การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก โดยการจะสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนได้นั้น จําเป็นต้องมีความเข้มแข็งของผู้ประกอบการในพื้นที่เป็นองค์ประกอบสําคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งเป็นภาคส่วนที่สําคัญอย่างยิ่ง ในการร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จึงให้ความสําคัญกับการเสริมสร้างองค์ความรู้แก่ผู้ประกอบการ อุตสาหกรรมในประเด็นที่จะช่วยยกระดับการดําเนินธุรกิจอุตสาหกรรมให้แก่ผู้ประกอบการ

รัฐมนตรีฯ พิมพ์ภัทรา กล่าวเพิ่มเติมว่า พื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ มีความโดดเด่นในหลากหลายมิติ เช่น ด้านการท่องเที่ยว ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลระดับโลก เป็นทางเลือกในการพักผ่อนระยะยาว หรือ ‘Long Stay’ ของชาวต่างชาติที่มีกําลังซื้อสูง ในด้านการเกษตร ภาคใต้มีความโดดเด่นเช่นเดียวกัน โดยมีพืชเศรษฐกิจที่สําคัญมากมาย เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ทุเรียน และโกโก้ เป็นต้น

นอกจากนี้ ภาคใต้ ยังเป็นศูนย์กลางการแปรรูปอาหารทะเล รวมทั้งอาหารฮาลาล และมีความโดดเด่นในด้านการค้าและโลจิสติกส์ เนื่องจากทําเลที่ตั้งของ ภาคใต้เป็นประตูสู่ตลาดมาเลเซียและสิงค์โปร์ ซึ่งการดําเนินงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ผู้ประกอบการในพื้นที่จะสอดคล้องกับนโยบายล่าสุดของรัฐบาล ที่ต้องการสร้างความเข้มแข็งให้แก่อุตสาหกรรมฮาลาล ต่อยอดสู่สากล ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลให้ความสําคัญกับภาคใต้เป็นอย่างยิ่ง จึงได้มีการกําหนดทิศทางการพัฒนาเชิงพื้นที่ โดยได้มีการประกาศระเบียงเศรษฐกิจ ภาคใต้ หรือ ‘SEC’ ที่ครอบคลุมพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ได้แก่ จังหวัดระนอง ชุมพร นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี ซึ่งรัฐบาลไทยต้องการผลักดันให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาค เพื่อรองรับการขนส่งทางทะเลและทางบก

นอกจากนี้ ยังกําหนดให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่สําหรับดําเนินโครงการ ‘Land Bridge’ ซึ่งเป็นโครงการสร้างท่าเรือน้ําลึกเชื่อมทะเลอ่าวไทยและอันดามัน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการขนส่งและการค้าของไทย ซึ่งจะทําให้มีความสะดวก และสามารถเชื่อมต่อกับเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรปได้รวดเร็วยิ่งขึ้น กล่าวได้ว่าภาคใต้เป็นพื้นที่ศักยภาพและเต็มไปด้วยโอกาสด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหน่วยงานหลักในการสนับสนุนผู้ประกอบการในการดําเนินธุรกิจอุตสาหกรรม จึงมีความจําเป็นที่จะต้องส่งเสริมสนับสนุนผู้ประกอบการในด้านการเพิ่มขีดความสามารถ การประกอบการและการผลิตอย่างรอบด้าน เพื่อยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรมไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในภาพรวม

การดําเนินงานในปัจจุบันของกระทรวงอุตสาหกรรม มุ่งเน้นไปที่การสร้างธุรกิจ ให้เข้มแข็งเติบโตอย่างแข็งแกร่ง นําไปสู่ความสําเร็จอย่างยั่งยืน ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพเชิงพื้นที่ ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการสร้างงานและ อาชีพให้แก่ผู้คน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้มีความเข้มแข็ง ผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรม มีการดําเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชน สร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่สังคมและอุตสาหกรรมสามารถอยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี

สำหรับ การสัมมนา ‘การส่งเสริมและยกระดับอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ : MIND Your Industrial Power’ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคใต้ แนะนําช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่จะเป็นประโยชน์ในการดําเนินธุรกิจ เปิดโอกาสรับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการ ตลอดจนเป็นการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ร่วมกันระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ให้เข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ในจังหวัดพื้นที่ภาคใต้ทั้ง 14 จังหวัด จํานวนกว่า 150 คน โดยมีกิจกรรม 3 กิจกรรม ประกอบไปด้วย

1.) การบรรยาย เรื่อง ‘การส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้’ โดยผู้แทนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ ‘BOI’

2.) การอภิปราย เรื่อง ‘การแนะนําช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุน’ โดยผู้แทนจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และผู้แทนจากธนาคารออมสิน

3.) การเสวนา เรื่อง ‘การส่งเสริมและยกระดับ อุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ : แนวคิดและประสบการณ์’ โดย ผู้แทนจาก คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ผู้แทนภาคการศึกษา ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้แทนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยร่วมเสวนา

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการเน้นย้ำความสําคัญทางเศรษฐกิจของพื้นที่ภาคใต้ สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมยังได้มีการจัดกิจกรรมพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม สู่ต้นแบบอัจฉริยะ หรือ ‘MIND STAR’ เพื่อดําเนินการสร้าง ผู้ประกอบการเกษตรอุตสาหกรรมที่เข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการเกษตรอุตสาหกรรมในพื้นที่อีกด้วย

‘อ.พงษ์ภาณุ’ แนะ!! หวังสร้างท่องเที่ยวฯ ยั่งยืน ความปลอดภัยในไทยต้องยกเป็นวาระอันดับ 1

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'ผลักดันท่องเที่ยวไทย ความปลอดภัยต้องมาอันดับ 1’ การกลับมาทวงบัลลังก์สู้ศึกเลือกตั้งสหรัฐ 2024 ของ ทรัมป์' เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 66 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

อย่าหวังการท่องเที่ยวจะกลับมาเหมือนเดิม หากไม่ปรับปรุงภาพลักษณ์ด้านความสะดวก ความสะอาด และความปลอดภัย 

ควรดูญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง!!

น่าเสียดายที่ช่วงโควิด 3 ปี รัฐบาลชุดก่อนไม่ใช้โอกาสในการปรับปรุงด้านอุปทาน (Supply Side) ของการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะในด้านภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย ซึ่งถือเป็นข้อด้อยของไทยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก 

จากการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของ World Economic Forum (WEF) ซึ่งจัดอันดับความปลอดภัยของไทยไว้ท้ายๆ ตารางเสมอมา และเป็นอันดับที่ต่ำกว่าประเทศในอาเซียนแทบทุกประเทศ รวมทั้งพม่าและลาว

วันนี้ต้องยอมรับว่าโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติ 30 ล้านคนในปี 2566 มีน้อยเต็มที การคาดการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้อยู่ที่เพียง 20 ล้านคน แม้จะมีการออกมาตรการฟรีวีซ่ามา ซึ่งทำให้สูญเสียรายได้ไปมากพอควร โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ที่ก่อนโควิดเคยมีจำนวนสูงถึง 10 ล้านคนในปี 2562 อย่างเก่งปีนี้น่าจะทำได้แค่ 3 ล้านคน 

หากจำกันได้ ตอนนั้นจีนมีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่มาเสียชีวิตในไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะจากการจมน้ำตาย และรัฐบาลที่ผ่านมาก็ไม่ได้พยายามแก้ปัญหาและสื่อสารภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างมีประสิทธิผล 

มาวันนี้ยังมีปัญหาจีนเทา ยาเสพติด และอาวุธปืนผิดกฎหมายเข้ามาเพิ่ม ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสื่อมทรามลง และส่งผลให้มีการยกเลิกทริปมาไทยเป็นจำนวนมาก

ประเทศที่แย่งซีนไทยไปและสมควรยึดถือเป็นตัวอย่างคือ ญี่ปุ่น ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการพัฒนาการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก จากระดับที่แทบไม่มีความสำคัญเลย จนวันนี้ถือได้ว่าแซงหน้าไทยไปแล้ว 

มาตรการสำคัญ ได้แก่ ฟรีวีซ่า การคืนภาษีที่สะดวกรวดเร็ว การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวระดับท้องถิ่น ตลอดจนภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลสมควรจะนำมาเป็นบทเรียนในการพัฒนาการท่องเที่ยวไทยในระยะต่อไป

โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสารภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ควรจะมุ่งเน้นตลาดจีนเป็นหลัก เพราะรัฐบาลจีนมีความวิตกกังวลเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนมีจำนวนหนึ่งในสี่ของของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทย 

ดังนั้นภาครัฐควรกระตุ้นบทบาทในชี้นำภาคการท่องเที่ยว ผ่านกลไกของคณะกรรมการร่วมด้านการท่องเที่ยวไทย-จีน ซึ่งมีอยู่แล้ว และมีปลัดกระทรวงท่องเที่ยวของสองประเทศเป็นประธานร่วมกัน เป็นกลไกหลักในการปรับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยในตลาดจีนต่อไป

‘พีระพันธุ์’ ยัน!! ‘ค่าไฟฟ้า’ จะไม่แพงตามมติ กกพ. ลั่น!! จะดึงราคาลงมาให้ได้ เพื่อไม่ให้ปชช.ลำบาก

(2 ธ.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊กว่า "ขอให้มั่นใจค่าไฟจะไม่สูงอย่างที่เป็นข่าวครับ ผมเข้าใจถึงความกังวลใจของพี่น้องประชาชนที่ถามกันมามากเรื่องราคาค่าไฟฟ้าภายหลังจากสิ้นสุดระยะเวลามาตรการลดค่าไฟฟ้าในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ว่าราคาอาจกระโดดสูงขึ้นถึงหน่วยละ 4.68 บาท หรือ 17% จากราคาปัจจุบันหน่วยละ 3.99 บาทตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)ได้เปิดให้มีการสอบถามและมีมติไป

ผมเองก็รับไม่ได้ถ้าราคาค่าไฟจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างนั้น เพราะถึง กกพ.จะมีมติแบบนั้น แต่เราก็ต้องบริหารจัดการเอาราคาค่าไฟลงมาให้ได้ ซึ่งผมได้สั่งการให้หน่วยงานต่างๆ เร่งประสานทุกจุดล่วงหน้าด้วยวิธีการใหม่ๆ หลายรูปแบบแล้ว เพื่อไม่ให้ประชาชนไม่แบกรับค่าไฟฟ้าที่มากเกินไป จะพยายามทำให้ใกล้เคียงกับที่จ่ายอยู่ในปัจจุบันให้มากที่สุด

ผมขอให้ความมั่นใจว่ากระทรวงพลังงานยุคนี้ไม่ได้นิ่งนอนใจและทำงานล่วงหน้ามาระยะหนึ่งแล้วเพื่อให้ราคาค่าไฟอยู่ในระดับที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก ซึ่งต้องใช้หลายกลไกพร้อมๆ กันภายใต้โครงสร้างในปัจจุบันที่ไม่ได้ให้อำนาจกับฝ่ายนโยบายมากนัก แต่จะพยายามทำอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้ การที่ กกพ.ประกาศให้ประชาชนเห็นชอบแนวทางในการปรับอัตราค่าไฟฟ้าก่อนหน้านี้ เป็นเงื่อนไขตามกฎหมายที่จะต้องมีการประกาศเพื่อให้ประชาชนแสดงความคิดก่อนที่จะมีมติ แต่ทั้งนี้ไม่ได้เป็นที่สุด จะต้องมีการบริหารจัดการเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดต่อไป ทั้งหมดนี้จะเตรียมการให้เสร็จสิ้นและประกาศโดยเร็วที่สุด

ผมพูดเสมอว่านี่คือการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนภายใต้โครงสร้างแบบปัจจุบัน แต่ที่กำลังดำเนินการแบบเข้มข้นที่สุด และทำงานกันไม่หยุดหย่อนทุกวัน คือการเร่งรวบรวมข้อมูลทุกด้านเกี่ยวกับพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้า พลังงานทดแทน และพลังงานสะอาด ให้ครบทุกมิติ เพื่อนำไปสู่การ รื้อ ลด ปลด สร้าง พลังงานให้มั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืนทั้งระบบ

ไม่ยากครับถ้าแค่พูดเอาเท่ ฟังดูดีทรงภูมิ คนทำแบบนั้นมีเยอะแล้ว แต่ไม่เคยเห็นรูปธรรม พูดไปเรื่อยๆ ใช่ครับ อะไรๆ ก็แก้โครงสร้าง แต่จะแก้อะไร แก้อย่างไรครับ ส่งผลกระทบแบบไหน จะทดแทนด้วยอะไร ทั้งระบบต้องสอดคล้องและไม่ก่อภาระเพิ่มให้กับประชาชน

ย้อนกลับไปดูกันนะครับ กฎหมายแต่ละฉบับ รูปแบบที่ใช้กันอยู่ ใช้มานานเท่าไร ปล่อยกันมาสี่สิบปีแล้วนะครับ

ผมเองหลังแถลงนโยบายมาสองเดือนเศษ ผมไม่พูดมากแต่ลงมือทำ อย่างน้อยผมก็พยายามลดภาระให้ประชาชนไม่ว่าจะตามโครงสร้างแบบไหน ทั้งน้ำมันดีเซล เบนซิน ค่าไฟฟ้า ตรึงราคาค่าแก๊ส ผมดีใจที่พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เวลาเดียวกันก็เร่งดำเนินการรวบรวมข้อมูลชนิดลงลึกทุกขั้นทุกตอน ทำงานกันหลายคณะ ทำมากกว่าพูดลอยๆ ว่า “ปรับโครงสร้างๆๆ”

เมื่อข้อมูลครบถ้วนแล้ว ไม่นานครับ เพราะผมและคณะจะร่างกฎหมายเอง เป็นชุดและครอบคลุมทั้งหมด ตอบได้ทุกคำถาม เพราะยึดเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ผมศึกษา หาข้อมูล ถกเถียง คิดวิเคราะห์ คืบหน้าไปมากแล้ว แต่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะนี่คือการลงมือทำจริง ไม่ใช่เพียงแค่พูดแล้วเสกออกมา ขอให้มั่นใจ ผมเอาจริงแน่นอน"

'อ.เกียรติอนันต์' ชี้!! ความเป็นไปได้ 'ดิจิทัลวอลเล็ต' กระตุ้นเศรษฐกิจไทย สร้างแรงทวีการจับจ่ายที่หดหาย แต่ต้องดีไซน์ไม่ให้ไปกองแค่กลุ่มทุน

(2 ธ.ค.66) จากรายการ 'ถลกข่าว ถลกปัญหา' ทาง THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.66 ได้พูดคุยกับ อ.ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในประเด็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ดีจริงหรือไหม? ว่า…

“ตัวอย่างแรกเลย…เศรษฐกิจต้องการการกระตุ้นไหม? คำตอบคือ 1.ต้องการ และ 2.หากไปดูอีกฝั่งคือนโยบายการเงินเขาพยายามที่จะเบรก ‘เงินเฟ้อ’ ด้วยการปรับอัตราดอกเบี้ย แต่เวลาปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อเบรกเงินเฟ้อมันจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนและทําให้คนระมัดระวังในการใช้เงินมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้บัตรเครดิตหรือการกู้เงิน เพราะฉะนั้นเงินมันก็หายไป นอกจากนี้ พอมองอีกตัวคือเงินที่มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งก็เข้ามาแค่ประมาณ 50-60% ของที่ควรจะเป็น เพราะฉะนั้นโจทย์แรกคือในเมื่อคนซื้อของมันหายไปทั้งหมดเลย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจําเป็นไหม คำตอบคือจําเป็น…

ส่วนคําถามต่อมาคือเราจะกระตุ้นแบบไหน? เวลาเรากระตุ้นเศรษฐกิจแบบนี้มันจะผ่าน ‘ตัว C’ หรือ ‘ตัวการบริโภค’ ดังนั้นอะไรก็ตามที่จะทําให้คนบริโภคเยอะขึ้น มันจะเห็นผลเร็ว เพราะว่าตัว C เป็นเงินที่เดินทางเข้าสู่เศรษฐกิจเร็วที่สุด เช่น ออกไปตลาดเพื่อซื้อของอย่างนี้คือได้เงินเลย แต่ถ้าเป็นนักลงทุน อย่างอนุมัติการลงทุนวันนี้อีกปีกว่าเงินลงทุนจะมา ต้องรอหลายเดือน ส่งออก 6 เดือน 8 เดือนกว่าจะเข้า มันจึงไม่มีทางเลือก ดังนั้นเราจําเป็นต้องทำ

ถัดมา มี 2 ประเด็น ที่ต้องคิดคู่กันคือ 1. เครื่องมือในการกระตุ้นมันดีหรือยัง? และ 2. การกระตุ้นแบบนี้ถูกออกแบบมาให้เงินมันฟู หรือที่เรียกว่าตัวคูณทวี (Multiplier Effect) มันมีพลังมากที่สุดหรือเปล่า? เพราะฉะนั้นถ้าเรามองอย่างแรกคือจะรู้เลยว่าต้องกระตุ้น แต่การกระตุ้นมันมีทั้งแบบเดิมคือนโยบายของรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งก็คือ 'โครงการคนละครึ่ง' ซึ่งอันนี้ไม่ใช่คนละครึ่ง ไม่ใช่การเอาเงินต่อเงิน แต่เอาเงินไปเติมเงินด้วยนโยบาย 1 หมื่นบาท โดยตอนแรกเขาออกมาแค่ 1 หมื่นบาท แต่ว่าไม่ได้พูดถึงรายละเอียดมากนั้น จึงทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้น จากนั้นรัฐบาลได้เก็บคำวิจารณ์เหล่านี้มาปรับปรุงกระบวนการ อย่างเมื่อก่อนบอกเฉพาะในพื้นที่แต่ตอนนี้ใช้ได้ในอําเภอได้แล้ว หรือจาก 25,000 ก็ขยับเป็น 70,000 แล้ว ดังนั้น จะเห็นได้ว่าอย่างน้อยเสียงด่าถึงหูรัฐบาลซึ่งถือเป็นข่าวดี เพราะมีการปรับปรุงและใช้เงื่อนไขที่ตัดข้อกังวลหลายอย่าง เช่น สามารถใช้ซื้อของได้แค่บางอย่าง โดยมีของที่ใช้ในชีวิตประจําวันเป็นหลัก และข้อดีของสิ่งนี้คือมันช่วยให้เงินไปถึงคนที่ต้องการใช้จริง ๆ เพราะคนที่ต้องการใช้เงินและใช้ได้เร็วที่สุดคือคนที่หาเช้ากินค่ำ เพราะเขาสามารถเอาเงินตัวนี้ไปซื้อข้าวของแทนได้ แต่คนที่อาจจะเอ๊ะ…เขาไม่ได้ลําบากขนาดนั้น แต่ด้วยข้อบังคับตัวนี้ มันบังคับให้เขาไม่จําเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้ก็ได้ เพราะว่าสิ่งอื่นที่เขาอยากจะซื้อ มันไม่จําเป็นต้องซื้อ เพราะฉะนั้นมันเหมือนกลยุทธ์ของรัฐบาลที่บอกว่าจะใช้เงิน 500,000 ล้าน แต่เอาเข้าจริงๆ พอใช้มันอาจจะไม่ถึงก็ได้

แต่สิ่งที่กังวลคือ…การบอกว่าตัวคูณทวีจะทรงพลังมากถึง 3 เท่า…ดังนั้น อย่างแรกต้องกลับไปเปิดตํานานเศรษฐศาสตร์มหภาคของปี 1 ก่อน เวลาเราคํานวณตัวคูณทวีมันจะมีสูตรคํานวณ และจะต้องคํานวณเป็นสิบ ๆ บรรทัดกว่าจะได้ตัวเลขมา คือ ฉันจ่ายให้เธอ เธอจ่ายต่อคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย ๆ ยาวเป็นกิโล เพราะฉะนั้นสมมติฐานการคํานวณตัวคูณทวีคือเงินมันจะวิ่งหลายสิบทอดมากกว่าที่มันจะฟู อันนี้คือข้อที่กังวล เพราะเงินดิจิทัลบอกว่า ต้นทางเอาไปซื้อของจากพ่อค้า ไม่ต้องอยู่ในระบบก็ได้แต่ซื้อได้ สมมติได้ไป 500 บาท และทีนี้หากพ่อค้าคนนี้ไปซื้อของจากแม็คโคร โลตัส หรือว่าอะไรก็ตามที่เป็นบริษัทใหญ่เงินมันจะจบแค่นั้น… เขาสามารถเอาไปขึ้นเงินได้เลย ดังนั้น มันจะเดินทางเพียงแค่ 2 ต่อ แต่ในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์บอกว่าต้องเดินทางเป็นสิบ ๆ ต่อ แสดงว่าตัวฟูอาจจะไม่ฟูแล้ว ดังนั้น สิ่งนี้คือสิ่งที่กังวลอย่างมาก และคิดว่ามันอาจจะเกิดขึ้นได้…”

รู้จัก ‘น้องไตตั้น’ แชมป์กอล์ฟเยาวชนโลก วัย 12 มุ่งมั่นความฝัน ‘เทิร์นโปร-ก้าวสู่จักรวาล PGA’

จากรายการ THE TOMORROW ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.66 ได้พูดคุยกับ ‘เจษฎา ช่วงประยูร’ หรือ ‘น้องไตตั้น’ หนุ่มน้อยวัย 12 ปี อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของเยาวชนไทยที่สามารถกวาดรางวัลมามากมายใน รายการ ‘สิงห์ ไทยแลนด์ จูเนียร์ เวิลด์ กอล์ฟ แชมเปี้ยนชิพ 2023’ ครั้งที่ 14 การแข่งขันระดับนานาชาติ ที่จัดขึ้นในไทย ที่ สนามกอล์ฟหลวงหัวหิน ซึ่งรายการนี้มีนักกีฬากอล์ฟจากนานาชาติเข้าร่วมกว่า 17 ประเทศ รวมนักกีฬาประมาณ 140 คน แบ่งเป็นหลายระดับ ตั้งแต่อายุไม่เกิน 12 ปี และ ไม่เกิน 18 ปี ครับ ซึ่งเด็กไทยกวาดได้ถึง 7 แชมป์ นับเป็นอีกรายการสำคัญที่เปิดโอกาสให้เยาวชนโชว์ฝีมือ และเติมประสบการณ์ ก้าวสู่เส้นทางนักกีฬาในอนาคต ‘ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง’ 

สำหรับผลการแข่งขันในครั้งนี้ปรากฏว่า แชมป์โอเวอร์ออลโลว์กรอสส ซี-ดี ได้แก่ ‘น้องไตตั้น’ ที่มีความชื่นชอบกีฬากอล์ฟเป็นชีวิตจิตใจ โดยได้รับการสนับสนุนจากคุณพ่อ คุณรุ่งโรจน์ บุณยทรัพยากร ผู้บริหารผลิตภัณฑ์เจนิฟู้ด ซึ่งคุณรุ่งโรจน์กล่าวว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ “ต้องหากิจกรรมให้ลูกได้ลองเล่นหลายๆ อย่าง เมื่อชอบแล้วก็สนับสนุนให้เรียนฝึกทักษะอย่างจริงจัง บังเอิญเค้าได้ลองเล่นกอล์ฟตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เลยสนับสนุนมาตลอดจนประสบความสำเร็จ หลายคนถามว่าหาตัวตนของลูกได้อย่างไร คำตอบก็คือ ต้องใช้ลูกเป็นตัวตั้งว่าเค้าชอบอะไรและสนับสนุนในสิ่งที่เค้าเก่ง สิ่งที่เค้าชอบ หาให้เจอว่าเค้าเก่งในด้านไหนจะได้ช่วยสนับสนุนได้”

น้องไตตั้น กล่าวว่า “รู้สึกดีใจและตื่นเต้นมากที่ได้แชมป์ในครั้งนี้ ซึ่งตอนนี้ผมก็กำลังเรียนในรูปแบบ Home School หลักสูตรของสหรัฐอเมริกาเพื่อจะได้มีเวลาในการฝึกซ้อมกอล์ฟมากขึ้น โดยตอนเช้าเรียนหนังสือ ตอนบ่ายซ้อมกอล์ฟ ซึ่งต้องมีการแบ่งเวลาเป็นอย่างดี”

เมื่อถามว่าทำไมถึงชอบกีฬากอล์ฟ? น้องไตตั้น เผยว่า “เพราะเคยไปลองตีกอล์ฟกับคุณพ่อตอนเด็ก ๆ เลยชอบมาถึงทุกวันนี้ ทุกวันนี้ซ้อมพัตต์อย่างเดียว วันละ 3-4 ชั่วโมง ตั้งแต่วันอังคาร-วันศุกร์ หยุดพักแค่วันจันทร์” 

เมื่อถามถึงเป้าหมายในอนาคต? น้องไตตั้น กล่าวอย่างมุ่งมั่นว่า “ผมตั้งใจจะสอบโปรให้ผ่าน และตั้งใจเข้า PGA ให้ได้ต่อไป”

ทั้งเรียนและเล่นกีฬาอย่างจริงจังในเวลาเดียวกัน ย่อมมีบ้างที่เด็กวัย 12 จะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่เจ้าตัวก็ตอบปนเปื้อนรอยยิ้มว่า “เหนื่อยแต่มีความสุขในการซ้อม เพราะการเล่นกอล์ฟช่วยฝึกร่างกาย ฝึกความคิดและสภาพจิตใจได้ดีครับ” แชมป์กอล์ฟเยาวชนโลก วัย 12 ปีกล่าว

‘รมว.ปุ้ย’ ประสานช่วยแก้ปัญหาค่าตั๋วเครื่องบินแพง ปมกระทบเป็นลูกโซ่ ฉุดการค้าการลงทุนเมืองคอน

(1 ธ.ค.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภายหลังจากวันที่เริ่มงานอุตสาหกรรมแฟร์ที่นครศรีธรรมราช พบบุคคลสำคัญในสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวนครศรีธรรมราช, หอการค้านครศรีธรรมราช และอีกหลายภาคส่วน ได้บอกเล่าถึงความคับข้องใจ ไม่สบายใจเรื่องตั๋วค่าโดยสารเครื่องบิน จาก ‘กรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช’ หรือ ‘นครศรีธรรมราช - กรุงเทพฯ’ ที่มีราคาสูงในบางช่วงจนถึงขั้นหลายคนที่ต้องการโดยสารจำเป็นต้องขับรถไปจอดแล้วโดยสารเครื่องบินจากท่าอากาศยานจังหวัดใกล้เคียง ที่ทราบว่ามีราคาที่ต่ำกว่าครึ่งต่อครึ่ง หรือบางคนโดยสารมาลงแล้วต่อรถโดยสารหรือให้ญาติขับรถไปรับมาจังหวัดนครศรีธรรมราช 

จากปัญหาดังกล่าวนี้ ทาง ‘รมว.ปุ้ย’ ซึ่งได้รับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนในหลาย ๆ ส่วน กังวลว่าจะกลายเป็นชนวนเหตุสำคัญที่ส่งผลกระทบกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในจังหวัดไม่มากก็น้อย อีกทั้งยังอาจลามเกี่ยวเนื่องไปอีกหลายส่วนเป็นลูกโซ่ กับภาคการค้าการลงทุนที่จะตามมาอีกเป็นขบวน 

“น้ายูร หรือ คุณประยูร เงินพรหม ประธานหอการค้านครศรีธรรมราช ได้เผยกับปุ้ยว่า ได้เดินทางบ่อยเฉพาะค่าตั๋วแต่ละเดือนสาหัสอยู่เหมือนกัน ขณะที่ พี่อุ้ม ศิริกมล แก้วแสงอ่อน นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวนครศรีธรรมราช ก็ได้เป็นตัวแทนทำหนังสือถึงความไม่สบายใจของหลายภาคส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้ และได้ยื่นหนังสือผ่านปุ้ย ซึ่งในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และยังเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นครศรีธรรมราช ปุ้ยได้รับหนังสือฉบับนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว และจะนำไปประสานงานกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง”

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า ปัญหาเหล่านี้จะต้องมีเจ้าภาพหลักในการแก้ปัญหา และตนจะเป็นอีกแรงที่ช่วยเร่งประสานงานให้เร็วที่สุด เพื่อความสะดวกในการเดินทางโดยสายการบินต่าง ๆ ผ่านท่าอากาศยานนครศรีธรรมราชของพี่น้องประชาชน และไม่เกิดปัญหาลุกลาม ส่งผลกระทบอย่างที่ได้รับข่าวสารตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นต่อไป

'สุวัจน์' ลุ้น!! โคราชเจ้าภาพจัดงาน 'พืชสวนโลก 2029' เชื่อ!! ดัน 'ศก.-การท่องเที่ยว' โคราชและภาคอีสานพุ่ง

(1 ธ.ค.66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี จ.นครราชสีมา เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานพืชสวนโลกในปี 2572 ว่า...

"เป็นโอกาสที่ดีที่ประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าภาพจัดงานในระดับโลกอีกครั้ง หลังจากที่เราเคยเป็นเจ้าภาพจัดมาแล้วที่เชียงใหม่ เมื่อปี 2549 ทั้งนี้ จ.นครราชสีมา มีความพร้อมทั้งทางด้านวิชาการ และพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และยังเป็นเมืองเก่าแก่ ที่มีอายุ 555 ปี มีวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามมากมาย ขณะเดียวกันในปี 2572 หรือในอีก 6 ปีข้างหน้า รถไฟความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ ก็จะเสร็จสมบูรณ์ พร้อมอำนวยความสะดวกในการเดินทาง

"ถ้าโคราชได้รับเลือก ก็จะเป็นโอกาสที่ประชาสัมพันธ์ภาพใหญ่ของประเทศว่าเรามีความพร้อมทางด้านเทคโนโลยี เป็นเมืองทันสมัย ที่มีความพร้อมที่จะจัดงานระดับโลกได้ และจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ และ จ.นครราชสีมา จะเป็นผลดีกับเศรษฐกิจของโคราช และภาคอีสานโดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยว" นายสุวัจน์ กล่าว 

ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึง กรณี แอนโทเนีย โพซิ้ว รองนางงามจักรวาล จะเดินทางกลับ จ.นครราชสีมา บ้านเกิด วันที่ 11 ธันวาคม ว่า แอนโทเนีย เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยและคนโคราช ที่สามารถสร้างภาพลักษณ์ให้กับประเทศไทย ในฐานะที่ได้ครองตำแหน่งระดับโลก ได้โปรโมตทั้งความสวย และความเก่งของสุภาพสตรีไทย ซึ่งกว่าจะได้มาเธอต้องต่อสู้อย่างเข้มแข็งมาก การได้ตำแหน่งของเธอในครั้งนี้ เป็นประโยชน์ต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมาก เพราะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่รัฐบาลเองก็ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว จึงถือว่าแอนโทเนียมาถูกสถานการณ์มาก นอกจากนี้เธอยังมีบทบาทในการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ วัฒนธรรม ประเพณี อันดีงามของชาวโคราช ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลกด้วย

‘รมว.พิมพ์ภัทรา’ สั่ง สมอ. คุมเข้มมาตรฐาน ‘คาร์ซีท’ ย้ำ!! เด็กเล็กต้องได้รับการดูแล ขณะโดยสารในรถยนต์

(1 ธ.ค. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการควบคุม ‘คาร์ซีท’ หรือ ‘ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก’ เป็นสินค้าควบคุม เมื่อปี 2565 เพื่อให้เด็กเล็กที่ใช้คาร์ซีทได้รับความปลอดภัยในการโดยสารรถยนต์ โดยควบคุมคาร์ซีทที่ติดตั้งด้วยระบบเข็มขัดนิรภัยก่อน เพราะคาร์ซีทประเภทนี้สามารถใช้กับรถยนต์รุ่นเก่าได้ จะได้ไม่สร้างภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน 

และจากการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ควบคุมคาร์ซีทที่ติดตั้งระบบ ISOFIX เพิ่มด้วย เนื่องจากรถยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้งานในปัจจุบัน จะมีตัวใช้ยึดกับคาร์ซีทที่เรียกว่า ISOFIX กันมากขึ้น ตนจึงสั่งการให้ สมอ. เร่งรัดดำเนินการประกาศบังคับใช้มาตรฐานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อควบคุมคาร์ซีททุกแบบทุกประเภทให้มีความปลอดภัยสำหรับเด็กเล็กในการโดยสารรถยนต์ 

นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ‘คาร์ซีท’ หรือที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กที่ สมอ. ประกาศเป็นสินค้าควบคุมมี 2 ประเภท คือ 

1) คาร์ซีทที่ติดตั้งด้วยระบบเข็มขัดนิรภัย 

2) คาร์ซีทที่ติดตั้งด้วยระบบ ISOFIX ซึ่งจะบังคับใช้เร็ว ๆ นี้ 

มาตรฐานคาร์ซีทแบบติดตั้งด้วยระบบเข็มขัดนิรภัย จะมีข้อกำหนดที่สำคัญ คือ แบ่งน้ำหนักของเด็กเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ 

1) น้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม 
2) น้ำหนักไม่เกิน 13 กิโลกรัม 
3) น้ำหนัก 9-18 กิโลกรัม 
4) น้ำหนัก 15-25 กิโลกรัม 
และ 5) น้ำหนัก 22-36 กิโลกรัม 

โดยคาร์ซีทที่ได้มาตรฐานจะต้องผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยด้วยการจำลองสถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุ โดยการชนด้านหน้าด้วยความเร็ว 50 กม./ชม. การชนด้านหลังด้วยความเร็ว 30 กม./ชม. โดยติดเซ็นเซอร์ไว้ที่หุ่นเด็กจำลอง เพื่ออ่านค่าความรุนแรงจากการกระแทก และจะรายงานผลออกมาเป็นความเสียหายหรืออาการบาดเจ็บตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ต้องไม่เกินเกณฑ์ที่มาตรฐานกำหนดไว้ สำหรับคาร์ซีทแบบติดตั้งด้วยระบบ ISOFIX จะแบ่งขนาดคาร์ซีทตามส่วนสูงของเด็ก และเพิ่มการทดสอบการชนด้านข้าง ที่ความเร็ว 24 กม./ชม. ด้วย ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าคาร์ซีทที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นแบบ ISOFIX หรือแบบเข็มขัดนิรภัย ก็จะช่วยคุ้มครองลูกหลานของท่านให้ได้รับความปลอดภัยในการเดินทาง โดย สมอ. จะเร่งดำเนินการบังคับใช้ให้ได้ภายในปลายปี 2567 ตามข้อสั่งการของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

‘สจล.’ เดินหน้าผลักดันเครือข่าย ‘ไทย-เนเธอร์แลนด์’ นำนวัตกรรม ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ หนุนการเกษตร-อาหาร

(30 พ.ย. 66) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ร่วมกับสถานทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย ระดมเครือข่ายนักวิชาการนานาชาติจากมหาวิทยาลัย ชุมชนธุรกิจ สถาบันวิจัยและพัฒนา และหน่วยงานภาครัฐ ผลักดันความร่วมมือในงาน ‘เนเธอร์แลนด์-ไทย : เทคโนโลยีอวกาศ 2023 เพื่อการเกษตรยั่งยืนและระบบอาหารที่มั่นคง’ (The Netherlands – Thailand Space Technology Forum 2023 : Space Technology for Resilient Agriculture and Food System) เพื่อเป้าหมายยกระดับการทำเกษตรและระบบอาหารที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว พัฒนาการเกษตรดาวเทียม โดยมี รศ. ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สจล. และนายแร็มโก ฟัน ไวน์คาร์เดิน เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ร่วมเป็นประธานเปิดงาน ณ ห้อง The Crystal Box เกษตรทาวเวอร์ ราชประสงค์

รศ. ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า ระบบการเกษตรและอาหารทั่วโลกอยู่ภายใต้แรงกดดัน เนื่องจากจำนวนประชากรโลกที่กำลังเพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว (Climate Change) ความท้าทายของระบบเกษตรกรรมและอาหารของประเทศ ไม่เพียงต้องผลิตอาหารด้วยวิธีที่ปลอดภัย ดีต่อสุขภาพเท่านั้น แต่จะต้องมุ่งเป้าประกันความมั่นคงด้านอาหาร (Food Security) ได้อย่างเพียงพอสำหรับทุกคนด้วย ‘งานเนเธอร์แลนด์-ไทย: เทคโนโลยีอวกาศ 2023 เพื่อการเกษตรยั่งยืนและระบบอาหารที่มั่นคง’ ตอกย้ำความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างไทย-เนเธอร์แลนด์ ในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เชิงพื้นที่ ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ (Space Technology) และ ‘เกษตรกรรมดาวเทียม’ (Satellite Agriculture) เพื่อพัฒนาเกษตรกรรมของทั้งสองประเทศ นับเป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญ นักวิทยาศาสตร์ภูมิสารสนเทศ และผู้มีส่วนกำหนดนโยบาย 140 คน ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยโซลูชั่นที่ก้าวล้ำ และกำหนดภูมิทัศน์ใหม่ของ ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ และ ‘เกษตรกรรมที่ชาญฉลาดต่อสภาพภูมิอากาศ’ อาทิ การใช้ข้อมูลและภาพจากดาวเทียมเพื่อการพยากรณ์อากาศ การวิเคราะห์ดิน และการจัดการพืชผลแบบเรียลไทม์ได้ปฏิวัติการเกษตรกรรมสู่ยุคใหม่ เพิ่มขีดความสามารถสร้าง ‘มาตรฐานสากลเกษตรยืดหยุ่นและยั่งยืน’ ในการทำ ‘เกษตรอัจฉริยะ’ ผ่านปัญญาประดิษฐ์ IoT และการวิเคราะห์ข้อมูล โดยสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ SDG2 - ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security), SDG3 - ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ตลอดจน SDG11 – ชุมชนและเมืองที่ยั่งยืน เราจะร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจอวกาศ ด้วยนวัตกรรมและสร้างแรงบันดาลใจของความร่วมมือไทย - เนเธอร์แลนด์ ในการผลักดันขยายองค์ความรู้และการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นความท้าทายระดับโลก

นายแร็มโก ฟัน ไวน์คาร์เดิน (Remco van Wijngaarden) เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ‘วิทยาศาสตร์ภูมิสารสนเทศ’ มีความสำคัญมากขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา การวางแผนการเดินทาง พยากรณ์อากาศ และอื่นๆ ข้อมูลเชิงพื้นที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหลายภาคส่วน เช่น เกษตรกรรม การวางผังเมือง การจัดการทรัพยากร (ป่าไม้ น้ำ แร่ธาตุ) และเพื่อการออกแบบระบบที่จะลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และภัยพิบัติ อันเป็นความท้าทายของโลกปัจจุบัน เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้น ภัยแล้ง น้ำท่วม การตัดไม้ทำลายป่า การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ มลภาวะทางอากาศ ฯลฯ ล้วนเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และต้นกำเนิดและผลที่ตามมามักจะทับซ้อนกันทางภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ภูมิสารสนเทศช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเราในการคิดค้นวิธีแก้ปัญหาและการตัดสินใจที่ดีขึ้นเพื่อสังคมและโลกอีกด้วย การประชุมเทคโนโลยีอวกาศเนเธอร์แลนด์ - ไทย 2023 ครั้งนี้ มุ่งเน้นไปที่การนำ ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ เข้ามามีส่วนในการทำ ‘ระบบการเกษตรและอาหาร’ ที่มีความยืดหยุ่นคล่องตัวและยั่งยืนมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิสารสนเทศจึงมีบทบาทสำคัญในการทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้

ดร. นพดล สุกแสงปัญญา ผู้เชี่ยวชาญ วิทยาลัยอุตสาหกรรมการบินนานาชาติ สจล. กล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการวิเคราะห์และติดตามสังเกตการณ์ ‘ภัยแล้ง’ ในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย แบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1. ภัยแล้งเชิงอุตุนิยมวิทยา 2. ภัยแล้งเชิงอุทกภัย 3. ภัยแล้งเชิงเกษตรกรรม เพื่อให้หน่วยงานรัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลและภาพไปใช้ในการวางแผนและบริหารจัดการภัยแล้งได้ดียิ่งขึ้น โดยใช้องค์ประกอบต่างๆ อาทิ ระดับปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิของหน้าดิน สภาพอากาศความอุดมสมบูรณ์ของพันธุ์พืช ระบบชลประทาน และความชื้นของดิน เพื่อใช้ในการวางแผนทำการเกษตรอย่างยั่งยืน ผลักดันเครือข่ายในประเทศไทยและเนเธอร์แลนด์ในการใช้ ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ มาช่วยทางด้าน ‘เกษตรแม่นยำ’ และระบบอาหารที่มั่นคงเพียงพอ หากเกษตรกรสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้จริงจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพียงแต่ในปัจจุบันยังขาดการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ไปยังผู้ใช้ นอกจากนี้ควรออกมาตรการเพื่อความยั่งยืนในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อาทิ เสริมสร้างเกษตรกรที่ไม่ทำลายป่าและไม่ทำการเพาะปลูกมากเกินจนล้นความต้องการของผู้บริโภค

ศาสตราจารย์ ดร. วิคเตอร์ เจตเทน คณะวิทยาศาสตร์สารสนเทศภูมิศาสตร์และการสังเกตการณ์โลก (ITC) มหาวิทยาลัยทเวนเต้ (University of Twente) เนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า การวิเคราะห์ความมั่นคงทางอาหารใน ‘สภาพอากาศสุดขั้ว’ (Extreme Climatic Conditions) ด้วยเทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล หรือ Remote Sensing จากดาวเทียม สามารถช่วยระบุปริมาณผลิตผลที่ชัดเจน ปัญหาการผลิตในเวลาและสถานที่ได้อย่างแน่นอน เราสามารถระบุพื้นที่มีปัญหาเพื่อวางแผนรับมือกับจุดอ่อนได้ทันท่วงทีและแม่นยำ ทั้งนี้เราต้องเข้าใจความซับซ้อนของระบบการเกษตร ความยืดหยุ่น ความเป็นจริงและข้อจำกัดของเกษตรกร จึงจะสามารถใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือในทางปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

งานครั้งนี้ ประกอบด้วยความร่วมมือของ 11 องค์กร ได้แก่ สถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL), คณะวิทยาศาสตร์สารสนเทศภูมิศาสตร์และการสังเกตการณ์โลก (ITC) มหาวิทยาลัย Twente, สำนักงานภูมิภาค FAO ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก, สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ประเทศไทย (GISTDA), กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กรมป่าไม้ ประเทศไทย, ศูนย์ภูมิสารสนเทศสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT), คาดาสเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เนเธอร์แลนด์, ปีเตอร์สัน เทคโนโลยี เนเธอร์แลนด์ และชมรมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ - สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

‘ชัยวุฒิ’ ชมรัฐบาลลุงตู่ หลังความสามารถด้านดิจิทัลไทยพุ่ง 5 อันดับ พร้อมให้กำลังใจรัฐบาลปัจจุบันสานต่อให้ดียิ่งขึ้น

จากผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศโดย World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ ประจำปี 2566 ที่เพิ่งประกาศออกมาล่าสุด ผลปรากฏว่า ปีนี้ไทยมีอันดับดีขึ้น 5 อันดับมาอยู่ในอันดับที่ 35 จาก 64 เขตเศรษฐกิจ โดยปรับตัวดีขึ้นทั้ง 3 ด้าน

ด้านเทคโนโลยี (Technology) เป็นปัจจัยที่มีอันดับดีที่สุด โดยอยู่ในอันดับที่ 15 ดีขึ้นกว่าปี 2565 ถึง 5 อันดับ ในขณะที่ด้านความรู้ (Knowledge) และด้านความพร้อมสำหรับอนาคต (Future Readiness) มีอันดับดีขึ้น 4 และ 7 อันดับ ตามลำดับ แม้ว่าจะยังคงอยู่ในอันดับที่ไม่สูงนัก คือ อันดับที่ 41 และ 42 ตามลำดับ แต่ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โพสต์เฟซบุ๊ก โดยระบุว่า รู้สึกภาคภูมิใจที่ IMD เผยอันดับขีดความสามารถการแข่งขันไทย ปี 66 ไต่ขึ้น 3 อันดับ พบปัจจัยบวกทุกด้าน เศรษฐกิจ ประสิทธิภาพภาครัฐและภาคธุรกิจ โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีเป็นบวก เป็นข่าวดีและความภาคภูมิใจของคนไทยทุกคนครับขอบคุณรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ผลักดันโครงการสำคัญมากมายและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ขับเคลื่อนประเทศของเรามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้อันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยปีนี้ ขยับดีขึ้นครับต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมแรงร่วมใจ ทุ่มเทกำลังช่วยกันทำงานอย่างหนัก 

ที่น่าสนใจคืออันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทยดีขึ้นถึง 5 อันดับ World Digital Competitiveness Ranking ปรับดีขึ้นจาก 40 ในปีที่ผ่านมา เป็นลำดับ 35 ในปีนี้ ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่กระทรวงดีอีเอสได้ทุ่มเทกันไปนั้นไม่สูญเปล่า และเชื่อว่า อันดับของประเทศไทยจะดีขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เพราะเราได้มีการวางรากฐานด้านดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่องและเริ่มปรากฎผลลัพธ์ออกมาให้เห็นแล้วครับ

“ผมขอเป็นกำลังใจให้กับผู้บริหารกระทรวงดีอีเอสเเละรัฐบาล ชุดปัจจุบัน รวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้บรรลุเป้าหมายการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลให้เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ดีขึ้นทุก ๆ ปีครับ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top