Monday, 23 June 2025
ECONBIZ NEWS

‘มอเตอร์เวย์ M82’ ช่วง ‘บางขุนเทียน-เอกชัย’ คืบหน้า 74.97% คาด!! พร้อมเปิดให้วิ่งฉิว 10.5 กม. ช่วงกลางปี 2567

(24 ม.ค. 67) กรมทางหลวง อัปเดตความคืบหน้า โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางขุนเทียน - บ้านแพ้ว ‘มอเตอร์เวย์บางขุนเทียนบ้านแพ้ว’ หรือ มอเตอร์เวย์ M82 มีรูปแบบเป็นการก่อสร้างเป็นทางยกระดับบนทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) ตามมาตรฐานทางหลวงพิเศษมีการควบคุมการเข้าออกอย่างสมบูรณ์ โดยดำเนินการก่อสร้างแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ

‘มอเตอร์เวย์บางขุนเทียนบ้านแพ้ว’ หรือ มอเตอร์เวย์ M82 ช่วงที่ 1 ช่วงบางขุนเทียน - เอกชัย

‘มอเตอร์เวย์บางขุนเทียนบ้านแพ้ว’ หรือ มอเตอร์เวย์ M82 โดยมีจุดเริ่มต้นบริเวณ กม. 9+731 ในเขตพื้นที่สมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร กม. 20+295 ในเขตพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร ระยะทาง 10.564 กิโลเมตร เป็นทางยกระดับ 6 ช่องจราจร มีจุดขึ้น - ลง จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ ด่านฯ พันท้ายนรสิงห์ และด่านฯ มหาชัย 1 โดยเก็บค่าผ่านทางแบบคิดตามระยะทาง (ระบบปิด) ปัจจุบัน กรมทางหลวง กำลังดำเนินการก่อสร้างโดยใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน

‘มอเตอร์เวย์บางขุนเทียนบ้านแพ้ว’ หรือ มอเตอร์เวย์ M82 ช่วงที่ 2 ช่วงเอกชัย - บ้านแพ้ว

‘มอเตอร์เวย์บางขุนเทียนบ้านแพ้ว’ หรือ มอเตอร์เวย์ M82 มีจุดเริ่มต้นบริเวณ กม. 20+295 ในเขตพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร และสิ้นสุดบริเวณ กม. 36+645 ในเขตพื้นที่ อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร รวมระยะทางประมาณ 16.350 กิโลเมตร โดยออกแบบเป็นทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร มีจุดขึ้นลงจำนวน 4 แห่ง ได้แก่ ด่านฯ มหาชัย 2 ด่านฯ สมุทรสาคร 1 ด่านฯ สมุทรสาคร 1 และด่านฯ บ้านแพ้ว โดยเก็บค่าผ่านทางแบบคิดตามระยะทาง (ระบบปิด) กรมทางหลวงมีแผนการก่อสร้างโดยใช้แหล่งเงินจากเงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทาง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินโครงการแล้ว เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2564 วงเงิน 19,700 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างหาตัวผู้รับจ้าง

ความคืบหน้าในการก่อสร้าง ‘มอเตอร์เวย์บางขุนเทียนบ้านแพ้ว’ หรือ มอเตอร์เวย์ M82 มีดังนี้ 

-การออกแบบรายละเอียด (Detail Design) แล้วเสร็จ
-รายผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) แล้ว
-งานโยธาช่วงบางขุนเทียน - เอกชัย อยู่ระหว่างก่อสร้าง มีความก้าวหน้า 74.97% คาดว่าจะแล้วเสร็จ กลางปี 2567 
-งานโยธาช่วงเอกชัย - บ้านแพ้ว อยู่ระหว่างก่อสร้าง มีความก้าวหน้า 5.26% คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2568 
-งานระบบพร้อมบริหารจัดการและงานบำรุงรักษาทาง O&M ทั้งโครงการ โดยล่าสุดมีการเปิดจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชน (Market Sounding) โครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 สายทางยกระดับบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว สำหรับการให้เอกชนร่วมลงทุนในการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M)

สำหรับโครงการ ‘มอเตอร์เวย์บางขุนเทียนบ้านแพ้ว’ หรือ มอเตอร์เวย์ M82 เปิดให้เอกชนมีส่วนร่วมลงทุนในการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) ด้วยรูปแบบ PPP Gross Cost รวมระยะเวลาทั้งสิ้นไม่เกิน 32 ปี ดังนี้

ระยะที่ 1 เอกชนเป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้าง และติดตั้งงานระบบและองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องด้วยระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น หรือระบบ M-Flow ทั้งโครงการ 

ระยะที่ 2 เอกชนจะเป็นผู้ดำเนินงานและบำรุงรักษาโครงการทั้งหมด ครอบคลุมงานโยธาที่รัฐเป็นผู้ลงทุน และงานระบบที่เอกชนเป็นผู้ลงทุน ตลอดจนเป็นผู้รับผิดชอบในการสร้างและนำส่งข้อมูลรายการผ่านทาง (Transaction Generation) ให้แก่ภาครัฐ รวมทั้งดำเนินงานอื่นที่เกี่ยวข้องตามขอบเขตงานและเงื่อนไขที่กำหนด โดยกรมทางหลวงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรายได้ค่าธรรมเนียมผ่านทางและทรัพย์สินที่เอกชนได้ลงทุน ส่วนเอกชนจะได้รับค่าตอบแทนที่รัฐจะจ่ายกลับคืนให้เอกชน (AP) แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1) ค่าลงทุนก่อสร้างงานระบบ และ 2) ค่าจ้างการดำเนินงานและบำรุงรักษาโครงการ (O&M)

โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ‘มอเตอร์เวย์บางขุนเทียนบ้านแพ้ว’ เป็นหนึ่งโครงการภายใต้ แผนแม่บทการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองระยะ 20 ปี พ.ศ. 2560 - 2579 ซึ่งจัดว่ามีลำดับความสำคัญสูง มีแนวสายทางเชื่อมต่อกับโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก บริเวณด่านบางขุนเทียนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) 

ดังนั้น การก่อสร้างโครงการจะเป็นการเติมเต็มโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง รองรับการเดินทางและขนส่งสินค้าระหว่างกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ลงสู่พื้นที่ภาคใต้ของประเทศ สามารถแบ่งเบาปริมาณจราจรบนทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) อีกทั้ง จะเป็นโครงข่ายเส้นทางสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การท่องเที่ยว ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงด้านการคมนาคมขนส่งทางถนนในการเดินทางและขนส่งสินค้าลงสู่พื้นที่ภาคใต้ของประเทศ

'BRAVO BKK' โฉมใหม่ SHOW DC ศูนย์รวมความบันเทิงแห่งใหม่กลางกรุง หวังขึ้นแท่นแลนด์มาร์ก 'งานอีเวนต์-คอนเสิร์ต' ที่ครบครันทันสมัย

นับจากเปิดบริการในปี 2560 'โชว์ดีซี' ต้องเผชิญกับวิกฤตต่างๆ มากมาย แม้จะมีการปรับเปลี่ยน เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์หลายรอบ แต่ที่สุดก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์นักช้อปทั้งคนไทยและชาวต่างชาติได้ จนกระทั่งล่าสุดได้ประกาศรีแบรนด์อีกครั้ง ภายใต้การบริหารของกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่จากมาเลเซีย ด้วยการทุ่มงบลงทุน 500 ล้านบาทรีแบรนด์ 'SHOW DC Mall' ให้เป็น 'BRAVO BKK Mall' ภายใต้คอนเซปต์ Fit by Day Fun by Night เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ส่งเสริมสมดุลชีวิตการทำงานและเป็นพื้นที่ผสมผสานความเป็นอยู่ที่ดีผ่านประสบการณ์ที่พอดีและสนุกสนาน

Bravo BKK ภายใต้การบริหารของ นายโกห์ ซู ซิง CEO ของ BRAVO BKK และ CEO ของกลุ่ม BON GROUP ด้วยความเชี่ยวชาญซึ่งเต็มไปด้วยพลังและความสร้างสรรค์ที่ครอบคลุมทั้งด้านการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และการบริหารจัดการห้างสรรพสินค้า มีความมุ่งมั่นในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีขึ้น โดยตอกย้ำหลักการสองประการในด้านนวัตกรรมและการเติบโต ที่พร้อมนำพา Bravo BKK ก้าวสู่อนาคตที่สดใส

นายโกห์ ซู ซิง กล่าวว่า Bravo BKK ตั้งอยู่ในสุดยอดทำเลของกรุงเทพฯ ที่เดินทางได้สะดวกแล้ว ยังมีพื้นที่รวมประมาณ 180,000 ตารางเมตร และมีพื้นที่ให้เช่ามากกว่า 70,000 ตารางเมตร ครอบคลุม 6 ชั้น โดยมีความพร้อมด้วยที่จอดรถที่รองรับได้ถึง 1,200 คัน จึงมั่นใจว่าจะสามารถสร้างประสบการณ์สุดพิเศษให้กับลูกค้า ทั้งที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงหรือนักเดินทาง ให้สามารถมาดื่มด่ำไปกับประสบการณ์สุดพิเศษที่รอคอยอยู่ที่นี่ได้อย่างลงตัว โดยรวบรวมร้านค้า ร้านอาหาร และสถานออกกำลังกายไว้ภายในที่เดียวกัน ภารกิจของเรามีความชัดเจนเพื่อตอบสนองความต้องการแบบไดนามิกของผู้คนด้วยแนวคิด ‘Fit by Day, Fun by Night’

“Bravo BKK มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างชุมชนที่ยั่งยืน มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งและความบันเทิงที่ไม่เหมือนใคร พบกับร้านค้าที่มีเอกลักษณ์ และอาหารรสเลิศที่หลากหลาย พร้อมตื่นตาตื่นใจกับไลฟ์สไตล์ที่เน้นการเป็นอยู่อย่างมีคุณภาพ สนุก และมีความสุข” นายโกห์ ซู ซิง กล่าว

คอนเซปต์ ‘Fit by Day, Fun by Night’ เริ่มต้นด้วย Fit by Day สถานที่ที่เพิ่มความสมดุลของชีวิตที่ดีให้คุณ เติมแรงบันดาลใจให้คุณดูดีและรู้สึกดี และส่งเสริมไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่ง ให้ทุกคนได้เริ่มต้นการเดินทางสู่การมีสุขภาพที่ดี พร้อมสรรพด้วยพื้นที่เพื่อสุขภาพ ฟิตเนส ที่ที่ให้คุณดูดีและรู้สึกดีไปพร้อมๆ กัน โดยออกแบบขึ้นมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ เสียงหัวเราะและความสุข ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของความหลากหลายและความเป็นอยู่ที่ดีของลูกค้า พร้อมด้วยอาหารและเครื่องดื่มฮาลาลที่ตอบสนองความต้องการของชุมชนในวงกว้าง เพื่อให้ทุกคนได้ใช้เวลาด้วยกันและได้รับความสะดวกสบายที่สุดที่ Bravo BKK

Fun by Night พร้อมเปลี่ยนค่ำคืนของคุณให้เป็นการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ จุดหมายปลายทางสุดตื่นเต้น ด้วยอาหารรสชาติดี กิจกรรมที่มีไม่รู้จบ และความบันเทิงที่ให้ทุกคนจดจำไม่รู้ลืมกับค่ำคืนที่มีชีวิตชีวาตั้งแต่ย่ำค่ำจนถึงดึก โดยยามค่ำคืนของที่นี่จะส่องสว่างไสวด้วยแสงไฟอันอ่อนโยนที่เชิญชวนคนทุกวัยมาร่วมสนุกพร้อมเสียงหัวเราะ และบทสนทนาที่ผสมผสานกับจังหวะของดนตรี สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวาสำหรับทุกคน

ไฮไลต์สำคัญของ Bravo BKK: Fit and Fun Mall ที่แตกต่างและไม่เหมือนใคร คือการเป็นศูนย์รวมของ “สถานที่จัดงาน” ที่พร้อมเนรมิตให้ทุกไอเดียกลายเป็นจริงได้ โดยรองรับทั้งการจัดงานสัมมนา งานปาร์ตี้ การประชุม และอื่นๆ อีกมากมาย มุ่งออกแบบมาเพื่อสร้างความทรงจำที่ตื่นตาตื่นใจ เป็นมากกว่าแค่พื้นที่ที่พร้อมรองรับทุกความสร้างสรรค์ สำหรับการแสดงสุดพิเศษ เพื่อสร้างช่วงเวลาพิเศษใดๆ ที่น่าจดจำไม่รู้ลืม ประกอบด้วย

Ultra Arena Hall ที่ชั้น 5 ขนาดพื้นที่ 4,190 ตร.ม. สามารถรองรับผู้เข้าร่วมงานได้ 987 ที่นั่งด้วยความจุที่กว้างขวาง เหมาะสำหรับการพบปะสังสรรค์ที่หลากหลาย รวมถึงงานแฟนมีตติ้ง เปิดตัวผลิตภัณฑ์ คอนเสิร์ต และงานออกบูธที่น่าสนใจ

Atrium Hall ชั้น 1 เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานแฟนมีตติ้ง เปิดตัวผลิตภัณฑ์ คอนเสิร์ต และงานออกบูธ ที่จะให้งานมีความโดดเด่นในพื้นที่อเนกประสงค์และน่าดึงดูด ตอบโจทย์ทุกความคิดสร้างสรรค์ ด้วยพื้นที่ 527 ตร.ม. รองรับผู้เข้าร่วมงานได้ 1,200 คน (ยืน)

MGI Hall ชั้น 6 สถานที่แห่งนี้มีความจุมากที่สุด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการพบปะสังสรรค์ที่หลากหลาย เช่น งานแฟนมีตติ้ง การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ คอนเสิร์ต และงานแสดงบูธแบบมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ด้วยขนาดพื้นที่ถึง 4,165.23 ตร.ม.

และพิเศษสุดให้ทุกคนได้ก้าวเข้าสู่โลกที่ท้องฟ้าเปิดกว้าง และพบกับความเป็นไปได้ไม่รู้จบที่ Bravo BKK ARENA พื้นที่กลางแจ้งที่อยู่เหนือความธรรมดาและจุดประกายช่วงเวลาพิเศษได้ไม่รู้จบ ด้วยขนาดพื้นที่ 21,336 ตร.ม.

และยิ่งไปกว่านั้น Bravo BKK พร้อมจัดงานเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์ 2567 พบกับกิจกรรมสุดพิเศษ พร้อมสาระและความบันเทิงมากมาย ตั้งแต่การเชิดสิงโตและมังกรสุดยิ่งใหญ่, โยคะกลางอากาศ, งานประกวดชุดแต่งกาย Drag Queen CNY, ฟัง “คุยกับซินแส” ว่าด้วยเรื่อง ฮวงจุ้ยปี 2567 พร้อมชมมินิคอนเสิร์ต และดื่มด่ำไปกับเสียงเพลง เสียงดนตรียามค่ำคืน โดยจะมีการจัดพิธีเปิดงานอย่างยิ่งใหญ่ ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ณ Atrium Hall ชั้น 1 พบกับกิจกรรมต่างๆ อาทิ การแสดงบนเวทีลอยฟ้าของ อู๋ ธรรพ์ณธร ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา และงาน “On Lights of Best of Asia Food Street” เป็นต้น

Bravo BKK เป็นส่วนหนึ่งของ BON Group ซึ่งยืนหยัดในฐานะบริษัทที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และมีประวัติที่โดดเด่นมาตลอดสามทศวรรษในการนำเสนอโซลูชั่นที่ครอบคลุม ด้วยการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ เช่น อาบูดาบี เวียดนาม ไทย และมาเลเซีย BON Group ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการตอบสนองต่อความต้องการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลาย Bravo BKK ซึ่งเป็นอีกเสาหลักสำคัญของ BON Group ที่จะมีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานและมุ่งมั่นดำเนินการตามปณิธานของกลุ่มด้วยการสนับสนุนของ Bravo BKK ซึ่ง BON Group ยังคงแน่วแน่ในการแสวงหาโอกาสในการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ

“Bravo BKK เป็นพื้นที่สำหรับทุกคน พร้อมให้ลูกค้า และพันธมิตรต่างๆ เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ที่ทุกช่วงเวลาคือโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ด้วยแนวคิดการค้าปลีกไปจนแนวคิดเชิงนวัตกรรม ให้ทุกคนมาร่วมค้นพบ ดื่มด่ำ และโอบรับชีวิตใจกลางย่านพระราม 9 ร่วมกัน” นายโกห์ ซู ซิง กล่าว

'เศรษฐกิจแฟนคลับจีน' ปลื้มดาราไทย บูม!! หลังภาคเอกชนเข็นจนเกิด ดันธุรกิจ 'บันเทิง-ท่องเที่ยวไทย' พุ่ง!! โจทย์ใหญ่ภาครัฐต้องสานต่อ

(24 ม.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ตี๋น้อย’ ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ ‘เศรษฐกิจแฟนคลับ’ ระบุว่า…

โพสต์นี้ที่อยากเล่าสืบเนื่องจากแฟนคลับดาราไทยที่เป็นคนจีนหลายท่านทักมาหาตี๋น้อยเกี่ยวกับดาราไทยและท่องเที่ยวไทยเยอะมาก ๆ เลยเป็นที่มาของโพสต์นี้ครับ

ช่วงนี้ที่ตี๋น้อยอยู่ไทยมีเพื่อนคนจีนทักมาหาหลายคนเกี่ยวกับการตามดาราและสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศไทยเยอะมาก ๆ ครับ ทำให้ตี๋น้อยได้เห็นในมุมต่าง ๆ ที่แปลกออกไป เลยอยากจะมาเล่าสู่กันฟังครับผม

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีคนจีนที่เป็นแฟนคลับดาราไทยจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จากรุ่นแรก ๆ เลยคือ คนจีนที่เป็นแฟนคลับพี่บี้สุกฤษฎิ์ พี่ป้อง ณวัฒน์ และรุ่นต่อมาคือ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก มาริโอ้ เมาเร่อ (สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก) ไมค์ พิรัชต์ ออมสุชาร์ (วุ่นนักรักเต็มบ้าน) ภาพยนตร์เรื่องฉลาดเกมส์โกง จนมาถึงรุ่นปัจจุบัน พีพี กฤษณ์ และ บิวกิ้น พุฒิพงษ์ (แปลรักฉันด้วยใจเธอ) ไบรท์ วชิรวิชญ์ และ วิน เมธวิน ฯลฯ คนอื่น ๆ อีกมากมาย

ดาราและภาพยนตร์ ซีรีส์ต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เกิดกระแสการท่องเที่ยวและธุรกิจแบบใหม่ ๆ ที่บางครั้งมันก็เปลี่ยนมุมมองของเราหลาย ๆ อย่างเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น แฟชั่นชุดนักเรียนไทย อันนี้ยอมรับว่าคาดไม่ถึงจริงครับว่ามันจะเกิดขึ้นและเป็นกระแสในจีน จนตอนนี้มีร้านชุดนักเรียนไทยเปิดเป็นจำนวนมากในหลายแพลตฟอร์มของจีน เช่น 淘宝 (เถาเป่า) 闲鱼 (เสียนอวี๋) 

ตึกแกรมมี่ นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ แล้ว ตึกแกรมมี่กลายเป็นหมุดหมายหลักที่แฟนคลับจีนจะมาหาดาราท่านต่าง ๆ บางคนบินมาจากจีนเพื่อมาที่ตึกแกรมมี่มาหาดาราท่านต่าง ๆ

การไปตามรอยสถานที่ต่าง ๆ ในซีรีย์ หรือ อินสตาแกรมดารา อันนี้มีจริง ๆ นะครับ แฟนคลับดาราไทยหลาย ๆ ท่านทักมาหาตี๋น้อยว่า รู้จักสถานที่นั้น ๆ ที่ซีรีส์เคยไปถ่ายทำ หรือดาราคนนั้นไปเช็กอินในอินสตาแกรมมั้ย เขาอยากไป ตี๋น้อยพาไปหน่อย อันนี้เข้าใจนะครับ เพราะสมัยก่อนคนไทยก็เคยตามรอยซี่รีส์เกาหลี เช่น coffee prince ฯลฯ เช่นกัน

หรือจะเป็นคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งในจีนและไทยของดาราไทยและจีนท่านต่าง ๆ จะสังเกตได้ว่ามีส่วนดันการท่องเที่ยวของไทยให้โตขึ้นชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นคอนเสิร์ต เจย์โจว ที่ผ่านมา คนจีนซื้อบัตรในหลายแอปพลิเคชันของจีนจนหมด พอคอนเสิร์ตจบ หลายคนก็ท่องเที่ยวในไทยต่อ ดันตัวเลขท่องเที่ยวไทยให้โตขึ้น หรือจะเป็นคอนเสิร์ตหรือแฟนมีตติ้งดาราไทยทั้งในจีนและในไทยเองที่คนจีนไปเยอะมาก ๆ เช่นกัน ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ดันเศรษฐกิจให้โตขึ้น

และนี่คือจุดประสงค์ที่ตี๋น้อยเขียนโพสต์นี้ขึ้นมาคือ เอกชนของเราดันตัวนี้มาได้ถูกจุดมากแล้ว เหลือแค่ภาครัฐช่วยส่งเสริมต่อ นอกจากการส่งออกวัฒนธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ แล้ว ถ้าเราผลักดันในส่วนที่ผมเขียนมาเสริมเข้าไปอีก จะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของไทยให้โตยิ่งขึ้นไปอีกครับ ไม่แน่เราอาจจะทำได้อย่างเกาหลีที่ส่งออกวัฒนธรรมเคป็อบไปทั่วโลกก็ได้ครับ

‘ซาอุฯ’ สั่งรองเท้าเพื่อสุขภาพ 'จะนะ สงขลา' มูลค่ากว่า 150 ล้านบาท ในงาน Thailand Mega Fair 2023 ณ ซาอุดีอาระเบีย

เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 67 ผู้ประกอบการในประเทศซาอุดีอาระเบียให้ความสนใจสั่งซื้อรองเท้าแตะเพื่อสุขภาพ บริษัท ปาปิโล เรียล ไทยแลนด์ จำนวน 50 ตู้คอนเทนเนอร์ ตู้ละ 20,000 คู่ มูลค่ากว่า 150 ล้านบาท 

สืบเนื่องจากที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นำผู้ประกอบการบินร่วมจำหน่ายสินค้าในงาน Thailand Mega Fair 2023 ณ ซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 13-16 ธ.ค. 2566 ที่ผ่านมา เพื่อจำหน่ายสินค้าประเทศไทย และจับคู่ธุรกิจ matching กับคู่ค้าต่างประเทศ โดยกลุ่มนักศึกษาไทยที่กำลังศึกษาในซาอุดีอาระเบีย และเป็นเซลล์แมนประเทศไทย ได้แจ้งข่าวนี้แก่ ศอ.บต. และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง 

พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขอบคุณ นายดามพ์ บุญธรรม เอกอัครราชทูตไทยประจำซาอุดิอาระเบีย ณ กรุงริยาด ที่ให้โอกาสผู้ประกอบการชายแดนใต้ ร่วมเปิดบูธสินค้าและจับคู่ธุรกิจ ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีออเดอร์ส่งไปยังต่างประเทศเป็นจำนวนมากในวันนี้ ซึ่งเท่ากับจะสามารถจ้างงานประชาชนในพื้นที่ได้เป็นจำนวนมาก สามารถสร้างอาชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ได้มากขึ้น ลดจำนวนผู้ว่างงานและมีรายได้น้อยในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการนี้เลขาธิการ ศอ.บต. ยังชื่นชมกลุ่มนักศึกษาชายแดนใต้ในประเทศซาอุดีอาระเบียที่ร่วมกันเป็นเซลล์แมนที่ดีให้กับประเทศไทยด้วย

รองเท้าแตะเพื่อสุขภาพ บริษัท ปาปิโล เรียล ไทยแลนด์ เป็นรองเท้าแตะที่ทำจากวัสดุยาง 100% มีลักษณะปุ่มนวดเท้าเพื่อผ่อนคลายขณะใช้งาน กันลื่นได้ดี เหมาะกับการสวมใส่อาบน้ำละหมาด เมื่อใช้ไปเป็นเวลานาน จะสามารถลดอาการปวดเมื่อยเท้าได้

สำหรับงาน Thailand Mega Fair 2023 ณ ประเทศซาอุดีอาระเบีย จัดโดย บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และบริษัท คอสมอส อีเว้นท์ ภายใต้การสนับสนุนของสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำซาอุดีอาระเบีย โดยมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงานกว่า 200 แบรนด์ ครอบคลุม 9 ธุรกิจ ที่มีศักยภาพ อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม การท่องเที่ยวและบริการ MICE การเกษตรอัจฉริยะและนวัตกรรม น้ำหอม สินค้าสุขภาพและความงาม รวมถึงชิ้นส่วนยานยนต์ สินค้าตกแต่งบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์

‘นทท.ต่างชาติ’ เข้าไทย 15-21 ม.ค. ทะลุ 7 แสนคน อานิสงส์ ‘ฟรีวีซ่า’ ไม่แผ่ว ‘นทท.จีน’ ทะลัก 1.2 แสนคน

(23 ม.ค. 67) นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่า สัปดาห์ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้มีการฟื้นตัว โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามามากที่สุด โดยมีปัจจัยจากความต้องการท่องเที่ยวต่างประเทศ และจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นของจีน การยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง หรือวีซ่าฟรี ให้แก่นักท่องเที่ยวจีน 

ส่งผลให้สัปดาห์ที่ผ่านมา ในภาพรวมไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 715,579 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 20,753 คน หรือ 2.99% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 102,226 คน 

โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน 120,381 คน เพิ่มขึ้น 15.12% มาเลเซีย 73,085 คน บวก 14.37% เกาหลีใต้ 55,218 คน บวก 2.21% ส่วนรัสเซีย 48,114 คน ลดลง 10.12% และอินเดีย 40,300 คน ลดลง 5.11%

น.ส.สุดาวรรณกล่าวว่า สัปดาห์ถัดไป คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับตัวเพิ่มขึ้น จากความต้องการท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวจีน และจำนวนเที่ยวบินขาออกของจีนที่เพิ่มขึ้น วีซ่าฟรีให้แก่นักท่องเที่ยวจีน และคาซัคสถาน การขยายเวลาพำนักแก่นักท่องเที่ยวรัสเซีย และการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกล ทั้งภูมิภาคยุโรป และอเมริกา

น.ส.สุดาวรรณกล่าวว่า จากข้อมูล ณ วันที่ 22 มกราคม 2567 พบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1-21 มกราคม 2567 ที่ผ่านมาทั้งสิ้น 2,015,942 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว ประมาณ 97,911 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 306,805 คน มาเลเซีย 218,453 คน เกาหลีใต้ 153,135 คน รัสเซีย 150,286 คน และอินเดีย 105,740 คน

'กรมพัฒนาธุรกิจฯ' เผย!! ปี 66 ต่างชาติลงทุนไทยเฉียด 1.3 แสนล้าน พบ!! 'ญี่ปุ่น-สิงคโปร์' มาแรง ส่วนเม็ดเงินสะพัดอยู่ในธุรกิจรับจ้างผลิต

(23 ม.ค.67) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะนำข้อมูลของปีที่ผ่านมาจากคลังข้อมูลธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย DBD DataWarehouse+ มาทำการวิเคราะห์และประมวลผลภาพรวมการลงทุนในประเทศ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจประเทศในสายตานักลงทุนทั้งคนไทยและต่างชาติ รวมทั้ง นักลงทุนสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับวิเคราะห์คู่แข่งทางการตลาดก่อนตัดสินใจลงทุน ทำให้เกิดความมั่นใจและพร้อมลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง  

สำหรับภาพรวมการลงทุนในประเทศไทยตลอดปี 2566 ประมวลผลออกมาเป็น ‘ที่สุดแห่งปี 2566 ด้านการลงทุนในประเทศไทย’ พบว่า ในส่วนของการลงทุนของคนไทยในประเทศไทย : การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในประเทศ พบว่า ปี 2566 เป็นปีที่มียอดการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่สูงสุดในรอบ 10 (ปี 2557-2566) โดยปี 2566 มีนักลงทุนจดทะเบียนฯ จำนวนรวมทั้งสิ้น 85,300 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 8,812 ราย หรือ 12% มูลค่าทุน 562,469.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 132,640.83 ล้านบาท หรือ 31% (ปี 2565 จัดตั้ง 76,488 ราย ทุน 429,828.81 ล้านบาท)

เมื่อทำการวิเคราะห์การจัดตั้งนิติบุคคลปี 2566 พบว่า จำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งเพิ่มขึ้นกว่า 12% ได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากธุรกิจในภาคต่างๆ ทั้งธุรกิจภาคบริการ ภาคค้าส่ง/ค้าปลีก และภาคการผลิต โดยในส่วนของภาคบริการ คิดเป็น 58% ของจำนวนการจัดตั้งทั้งหมด โดยมีธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวของการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น คือ ธุรกิจกิจกรรมเกี่ยวกับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 366 ราย เติบโต 1.46 เท่า ธุรกิจกิจกรรมของสำนักงานจัดหางานหรือตัวแทนจัดหางาน 43 ราย เติบโต 1.39 เท่า และ ธุรกิจกิจกรรมบริการที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง 707 ราย เติบโต 1.36 เท่า

ภาคค้าส่ง/ค้าปลีก คิดเป็น 32% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจทั้งหมด มีธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวของการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ได้แก่ ธุรกิจการขายปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ชนิดใช้ในครัวเรือนบนแผงลอยและตลาด 16 ราย เติบโต 2.20 เท่า ธุรกิจการขายส่งข้าวเปลือกและธัญพืช 203 ราย เติบโต 1.51 เท่า และธุรกิจการขายส่งอิฐหินปูนทรายและผลิตภัณฑ์คอนกรีต 66 ราย เติบโต 1.06 เท่า และเมื่อพิจารณาในส่วนของ

ภาคการผลิต คิดเป็น 10% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจทั้งหมด โดยมีธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวของการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ได้แก่ ธุรกิจการผลิตเครื่องมือกล 18 ราย เติบโต 2.60 เท่า ธุรกิจการผลิตแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ 17 ราย เติบโต 2.40 เท่า และ ธุรกิจการผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ 88 ราย เติบโต 1.59 เท่า

สำหรับการจัดตั้งธุรกิจทั่วประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น 85,300 ราย เป็นการจัดตั้งธุรกิจในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 25,120 ราย (29%) และ ภูมิภาค 60,180 ราย (71%) หากพิจารณาตามเขตภูมิภาค แบ่งออกเป็น 6 ภาค คือ ภาคกลาง มีสัดส่วนการจัดตั้งธุรกิจสูงสุด 17,581 ราย (20.61%) ภาคใต้ 11,675 ราย (13.69%) ภาคตะวันออก 10,948 ราย (12.83%) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8,942 ราย (10.48%) ภาคเหนือ 8,604 ราย (10.09%) และภาคตะวันตก 2,430 ราย (2.85%) โดยทุกภาคมีอัตราการเติบโตของจำนวนการจัดตั้งที่เพิ่มสูงขึ้นจากปี 2565 ที่ผ่านมา ยกเว้น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีอัตราการเติบโตลดลงในปี 2566

ขณะที่พื้นที่การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในเขตภูมิภาค ปี 2566 จังหวัดที่มีการจัดตั้งนิติบุคคลสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ จ.ชลบุรี 7,370 ราย จ.ภูเก็ต 4,983 ราย และจ.นนทบุรี 4,583 ราย โดยจังหวัดที่มีอัตราการเติบโตของจำนวนการจัดตั้งสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ จ.ภูเก็ต เติบโต 40.82% จ.สุราษฎร์ธานี เติบโต 32.16% และ จ.พังงา เติบโต 21.99% ซึ่ง 3 จังหวัดดังกล่าวอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การลงทุน

>> การเลิกประกอบธุรกิจ ปี 2566

ปี 2566 มีจำนวนธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการทั้งสิ้น 23,380 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 1,500 ราย (7%) มูลค่าทุนเลิกประกอบกิจการ 160,056.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 33,008.08 ล้านบาท (26%) (ปี 2565 เลิกประกอบธุรกิจ 21,880 ราย ทุน 127,048.39 ล้านบาท)

ประเภทธุรกิจที่มีการเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 2,166 ราย (9.26%) 2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,146 ราย (4.90%X และ 3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร เลิกประกอบธุรกิจ 699 ราย (2.99%)

นายอรมน ยังกล่าวถึงที่สุดแห่งปี 2566 ด้านการลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542

ปี 2566 อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 รวมทั้งสิ้น 667 ราย เงินลงทุนรวม 127,532 ล้านบาท จ้างงานคนไทยรวม 6,845 คน เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 228 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 439 ราย

>> 10 ประเทศที่เป็นที่สุดของการลงทุนในประเทศไทย

‘ญี่ปุ่น’เป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ทั้งจำนวนนักลงทุนและจำนวนเงินลงทุน โดยมีนักลงทุนจำนวน 137 ราย (20.5 %) เงินลงทุนรวม 32,148 ล้านบาท (25.2%) และลำดับอื่นๆ ที่ไล่ลงมามีดังนี้

อันดับที่ 2 สิงคโปร์ มีนักลงทุน 102 ราย (15.3%) และทุน 25,405 ล้านบาท (19.9%)
อันดับที่ 3 สหรัฐอเมริกา มีนักลงทุน 101 ราย (15.1%) และทุน 4,291 ล้านบาท (3.4%)
อันดับที่ 4 จีน มีนักลงทุน 59 ราย (8.9%) และทุน 16,059 ล้านบาท (12.6%)
อันดับที่ 5 ฮ่องกง มีนักลงทุน 34 ราย (5.1%) และทุน 17,325 ล้านบาท (13.6%)
อันดับที่ 6 เยอรมนี มีนักลงทุน 26 ราย (3.9%) และทุน 6,087 ล้านบาท (4.8%)
อันดับที่ 7 สวิตเซอร์แลนด์ มีนักลงทุน 23 ราย (3.5%) และทุน 2,960 ล้านบาท (2.3%)
อันดับที่ 8 เนเธอร์แลนด์ มีนักลงทุน 20 ราย (3.0%) และทุน 911 ล้านบาท (0.7%)
อันดับที่ 9 สหราชอาณาจักร มีนักลงทุน 19 ราย (2.9%) และทุน 433 ล้านบาท (0.3%)
อันดับที่ 10 ไต้หวัน มีนักลงทุน 18 ราย (2.7%) และทุน 1,125 ล้านบาท (0.9%)

>> 10 ประเภทธุรกิจที่นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย

อันดับที่ 1 บริการรับจ้างผลิต จำนวน 136 ราย (20.4%) และทุน 42,644 ล้านบาท (33.4%)
อันดับที่ 2 บริการด้านคอมพิวเตอร์ จำนวน 68 ราย (10.2%) และทุน 1,434 ล้านบาท (1.1%)
อันดับที่ 3 บริการให้คำปรึกษา จำนวน 62 ราย (9.3%) และทุน 7,803 ล้านบาท (6.1%)
อันดับที่ 4 ค้าส่งสินค้า จำนวน 58 ราย (8.7%) และทุน 7,873 ล้านบาท (6.2%)
อันดับที่ 5 บริการทางวิศวกรรม จำนวน 46 ราย (6.9%) และทุน 2,756 ล้านบาท (2.2%)
อันดับที่ 6 บริการให้เช่า จำนวน 45 ราย (6.8%) และทุน 16,096 ล้านบาท (12.6%)
อันดับที่ 7 ค้าปลีกสินค้า จำนวน 41 ราย (6.2%) และทุน 1,635 ล้านบาท (1.3%)
อันดับที่ 8 บริการทางการเงิน จำนวน 23 ราย (3.5%) และทุน 6,805 ล้านบาท (5.3%)
อันดับที่ 9 คู่สัญญาเอกชน จำนวน 22 ราย (3.3%) และทุน 689 ล้านบาท (0.5%)
อันดับที่ 10 นายหน้า จำนวน 20 ราย (3.0%) และทุน 1,697 ล้านบาท (1.3%)

'พฤกษา' จับมือ 'ออริจิ้น' ร่วมทุนปั้น 3 โปรเจกต์ 'โรงแรม-คอนโด-บ้านเดี่ยว' มูลค่า 8,700 ล้าน

(22 ม.ค. 67) นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH เปิดเผยว่า ‘พฤกษา’ ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ 3 บริษัทในเครือ ‘ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้’ ได้แก่ บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด หรือ PARK และบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เพื่อก่อสร้างและพัฒนา 3 โครงการ ได้แก่ 

(1) การร่วมทุนในธุรกิจโครงการมิกซ์ยูส ประกอบด้วย โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และศูนย์บริการด้านสุขภาพ ทำเลสุขุมวิท มูลค่าโครงการประมาณ 5,000 ล้ านบาท 

(2) การร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม ย่านพหลโยธิน มูลค่าโครงการ ประมาณ 2,800 ล้านบาท 

และ (3) การพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียม ย่านเพชรเกษม มูลค่าโครงการประมาณ 980 ล้านบาท ในอัตราส่วนการลงทุน 50:50

“สำหรับการร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ครั้งนี้นับเป็นข้อตกลงที่ได้รับประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองบริษัท (Win-Win) และจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด จากการนำทรัพยากรและที่ดินของทั้งสองบริษัทที่มีอยู่แล้วมาพัฒนาโครงการ แชร์เทคโนโลยีและโนว์ฮาวโดยนำจุดแข็งของกลุ่ม ‘พฤกษา’ ที่มีความแข็งแกร่งด้านเงินทุน 

พร้อมมุ่งพัฒนาการอยู่อาศัยที่ ‘อยู่ดี มีสุข’ ด้วยนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยและการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร ด้วยการสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจในเครือที่หลากหลาย ทั้งธุรกิจพัฒนาและก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจเฮลธ์แคร์ ได้แก่ โรงพยาบาลวิมุต และโรงพยาบาลเทพธารินทร์ พร้อมด้วยธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่พัฒนาเทคโนโลยีสมาร์ทโฮม MyHaus ตัวช่วยที่ส่งเสริมเรื่องที่อยู่อาศัย ให้ผู้คนมีชีวิตที่ง่ายและสะดวกขึ้น ไปจนถึงการสร้างที่อยู่อาศัยด้วยความใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วยนวัตกรรมแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำจากอินโน พรีคาสท์ในเครือพฤกษา ประกอบกับความเชี่ยวชาญด้านการควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง เมื่อผนึกกำลังกับจุดแข็งของ ‘ออริจิ้น’ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ 

จึงเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพ และข้อได้เปรียบจากทั้ง ‘พฤกษา’ และ ‘ออริจิ้น’ จะร่วมกันส่งเสริมให้ทั้ง 3 โครงการร่วมทุนนี้ประสบความสำเร็จ ส่งมอบความอยู่ดี มีสุขให้คนในสังคม และจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งความร่วมมือทางธุรกิจครั้งนี้ พฤกษาจะได้ประโยชน์จากการนำที่ดินที่มีอยู่ในมือมาใช้พัฒนาผ่านแบรนด์ใหม่เพื่อสร้างฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น และเป็นการเพิ่มช่องทางเพื่อการสร้างการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง (Recurring Income) อีกด้วย” นายอุเทน กล่าว

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า การได้พฤกษามาเป็นพันธมิตรร่วมพัฒนาโครงการต่าง ๆ จะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนนวัตกรรม เทคโนโลยี องค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญต่าง ๆ ระหว่างกัน และช่วยให้ยกระดับการพัฒนาคุณภาพการก่อสร้างโครงการ การออกแบบฟังก์ชันและพื้นที่ในอาคาร เติมเต็มความต้องการของการใช้ชีวิตในแต่ละทำเลได้อย่างยอดเยี่ยม

“ในไทยเราอาจไม่ค่อยเห็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จับมือร่วมทุนกันเอง แต่ในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น มีความร่วมมือระหว่างผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ เพราะแต่ละรายต่างมีความถนัด ความเชี่ยวชาญในเซกเมนตฺและทำเลแตกต่างกัน โดยเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มุ่งมั่นพัฒนาและสร้างสรรค์ฟังก์ชันและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยและการพักผ่อนของคนยุคใหม่ เช่น การพัฒนาคอนโดฯ สำหรับกลุ่ม Pet Lover การพัฒนาห้องแบบ Duo Space เพดานสูง 4.2 เมตร บ้านเดี่ยวที่ใส่ใจ Universal Design ทางด้านพฤกษาเองเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ มีความเชี่ยวชาญในด้านนวัตกรรมการก่อสร้าง และประสบการณ์การพัฒนาโครงการมากมายจึงเชื่อว่าการร่วมมือในครั้งนี้จะสามารถมาช่วยเติมเต็มความถนัดและโอกาสซึ่งกันและกันได้ เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่างออริจิ้นและพฤกษาในครั้งนี้จะเป็นมิติใหม่ของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่บริษัทระดับท็อปของตลาด 2 ราย มารวมพลังกัน พัฒนาทั้งโรงแรม คอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยว ยกระดับการพักผ่อนและการอยู่อาศัยให้แก่ผู้บริโภค” นายพีระพงศ์ กล่าว

สำหรับ บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ธุรกิจการให้บริการด้านสุขภาพ และการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับสองธุรกิจหลัง เพื่อสร้างรายได้ประจำ โดยปัจจุบัน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบ่งเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่

(1) กลุ่มผลิตภัณฑ์ทาวน์เฮาส์ ซึ่งมีโครงการที่เปิดขายภายใต้ชื่อแบรนด์ ดังนี้ บ้านกรีนเฮาส์ (Baan GreenHaus) บ้านพฤกษา (Baan Pruksa) พฤกษาวิลล์ (Pruksa Ville) เดอะ คอนเนค (The Connect) และพาทิโอ (Patio)

(2) กลุ่มผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยว ภายใต้ชื่อแบรนด์ เดอะ แพลนท์ (The Plant) ภัสสร (Passorn) และเดอะ ปาล์ม (The Palm)

และ (3) กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนโดฯ ภายใต้ชื่อแบรนด์ พลัม คอนโด (Plum Condo) เดอะ ทรี (The Tree) แชปเตอร์ (Chapter) แชปเตอร์ วัน (Chapter One) เดอะ ไพรเวซี่ (The Privacy) และเดอะ รีเซิร์ฟ (The Reserve) โดยส่งมอบที่อยู่อาศัยเพื่อคนไทยไปแล้วมากกว่า 260,000 ครอบครัว 

สำหรับธุรกิจด้านสุขภาพมีโรงพยาบาลวิมุต เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของกลุ่มธุรกิจ และในปี 2564 วิมุตฯ ได้เข้าลงทุนในกิจการโรงพยาบาลเทพธารินทร์เพิ่มเติม และ PSH ได้ขยายธุรกิจใหม่ด้านอีคอมเมิร์ซด้วยการก่อตั้งบริษัท ซินเนอร์จี โกรท จำกัด เพื่อใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการขยายธุรกิจ รวมทั้งก่อตั้งบริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด เพื่อรองรับความต้องการด้านพรีคาสท์ในตลาดธุรกิจก่อสร้าง และมีการลงทุนอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมและเพิ่มความสามารถในการสร้างผลกำไร สร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย

1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 158 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 4/2566) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin) โซ ออริจิ้น (So Origin) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) ออริจิ้น เพลส (Origin Place) ดิ ออริจิ้น (The Origin) เคนซิงตัน (Kensington) แฮมป์ตัน (Hampton) ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play) บริกซ์ตัน (Brixton) และบริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 240,661 ล้านบาท

2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ค้าปลีก

3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์

และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร

‘ท๊อป จิรายุส’ แชร์ 3 มุมมอง ‘ทรัพย์สินดิจิทัล’ หากทลายกำแพงนี้ได้ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย

งาน World Economic Forum 2024 หรือ การประชุมสภาเศรษฐกิจโลก ระหว่างวันที่ 15-19 มกราคม 2567 ณ กรุงดาวอส สมาพันธรัฐสวิส เป็นการประชุมสำคัญที่รวมตัวผู้นำของแต่ละประเทศ นักธุรกิจชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ หน่วยงานและนักวิชาการจากทั่วโลกกว่า 2,800 คน มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกในแต่ละปี

โดยนายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ก็ได้เข้าร่วม World Economic Forum 2024 แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกในแต่ละปีด้วยเช่นกัน 

โดย ‘ท๊อป จิรายุส’ ได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมนี้เป็นปีที่ 3 ภายใต้แนวคิด ‘Rebuilding Trust’ หรือการฟื้นคืนความเชื่อมั่นให้กลับมาหลังจากที่เศรษฐกิจทั่วโลกเผชิญกับการชะงักงันในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

‘ท๊อป จิรายุส’ ได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ ‘Clear-Eyed about Crypto’ เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการกำกับดูแลอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่เหมาะสมทั้งต่อการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจและปกป้องผู้บริโภค รวมถึงทิศทางของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนระดับโลก

โดยนายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา กล่าวถึงมุมมองเกี่ยวกับ 3 ประเด็นสำคัญของสินทรัพย์ดิจิทัลบนเวทีโลก ดังนี้

1) การสร้างมาตรฐานของกฎระเบียบและข้อบังคับในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลขึ้นมา เพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของคริปโทเคอร์เรนซีได้อย่างเต็มที่และไม่ขัดต่อกฎหมาย ซึ่งประเทศไทยโชคดีที่มีสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำกับดูแลอุตสาหกรรมนี้ให้ถูกกฎหมายและมีสถาบันการเงินอีก 2 แห่งเข้ามาให้บริการในตลาดด้วย จึงมั่นใจว่าจะมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ถูกพัฒนาต่อยอดอีกมาก

2) การอนุมัติ Spot Bitcoin ETF จะยิ่งเร่งให้มีความต้องการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในปริมาณที่มากขึ้น ซึ่งการออกกฎระเบียบจำเป็นต้องคำนึงไม่ให้กระทบในการลดหรือจำกัดการแข่งขันนี้ โดยหน่วยงานกำกับดูแลควรต้องเข้ามาเรียนรู้และทำความเข้าใจ หรือทดลองใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัล ก่อนออกแนวทางกำกับดูแล เพื่อให้กฎระเบียบมีความสอดคล้องกับสภาพธุรกิจจริง

3) การออกกฎระเบียบด้านสินทรัพย์ดิจิทัลไม่สามารถใช้เป็น one-size-fits-all ได้ จำเป็นต้องพิจารณาบริบทในแต่ละพื้นที่ให้เหมาะสม

‘สุริยะ’ หนุนโครงสร้างพื้นฐาน กระตุ้น จ.ท่องเที่ยวใต้ ชู!! แผนคล้อง ‘แลนด์บริดจ์’ เชื่อม ‘อ่าวไทย - อันดามัน’

(22 ม.ค.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความคืบหน้าและรับฟังการบรรยายสรุปงานโครงการสำคัญของกระทรวงคมนาคม ณ ห้องประชุมแขวงทางหลวงชนบทระนอง พร้อมตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2567 ณ จังหวัดระนอง ระหว่างวันที่ 22 - 23 มกราคม 2567 พร้อมด้วย นางมนพร เจริญศรี และนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมประชุม และลงพื้นที่ติดตามการก่อสร้างโครงการสำคัญในพื้นที่จังหวัดระนอง โดยมี นายนริศ นิรามัยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ผู้นำท้องถิ่น ผู้แทนภาคเอกชน และประชาชนให้การต้อนรับ ในวันที่ 22 มกราคม 2567

นายสุริยะ กล่าวว่า สำหรับการตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดระนองครั้งนี้ เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการสำคัญต่างๆ ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม พร้อมประชุมมอบนโยบายในการส่งเสริมและพัฒนาระบบโครงข่ายทางถนน ให้ครอบคลุมความต้องการเดินทางของประชาชน ‘ถนน’ ต้องช่วยลดระยะเวลาการเดินทาง ลดต้นทุนการขนส่ง และมีโครงข่ายที่ส่งเสริมต่อภาคการเกษตร การท่องเที่ยว การค้า การลงทุน แหล่งอุตสาหกรรม และสามารถบูรณาการกับระบบขนส่งได้ ในทุกมิติ ลดระยะเวลาต้นทาง - ปลายทาง เนื่องจากกลุ่มจังหวัดฝั่งอันดามัน ได้แก่ ระนอง, พังงา, ภูเก็ต, กระบี่ ตรังและสตูล เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่จะส่งเสริมต่อการเพิ่มขีดความสามารถ สมรรถภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ และเชื่อมโยงการเดินทางได้อย่างไร้รอยต่อ อีกทั้งให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม เร่งพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน เส้นทางคมนาคมขนส่งให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดระนอง และกลุ่มจังหวัดฝั่งอันดามันได้รับประโยชน์สูงสุดในการขนส่งสินค้า การเดินทาง และการท่องเที่ยวตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว โดยได้เน้นย้ำให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม เน้นการดูแลบริการประชาชนด้านการคมนาคมเป็นหลัก รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เส้นทางคมนาคมจากเมืองสู่ชุมชน ให้สะดวกปลอดภัยเชื่อว่าในวาระรัฐบาลชุดนี้จะมีการพัฒนาการคมนาคมขนส่งกระตุ้นเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวได้มากที่สุด 

สำหรับพื้นที่จังหวัดระนอง กระทรวงคมนาคมมีแผนพัฒนายกระดับระบบคมนาคมอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการขยาย 4 ช่องจราจร บน ทล.4 ทล.4006 และถนนสาย รน.1039 รน.1038 รวมทั้งมีแผนการพัฒนาท่าอากาศยานระนอง เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งกระทรวงคมนาคมได้มีการพัฒนาพื้นที่ จังหวัดระนองให้ครอบคลุมทุกมิติ ประกอบด้วย...

1. มิติการพัฒนาทางถนน มีโครงการที่สำคัญในพื้นที่จังหวัดระนอง อาทิ การพัฒนาโครงข่ายทางหลวง ทางหลวงชนบท แผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค MR-MAP โครงการถนนเพื่อการท่องเที่ยว Andaman Riviera และการเชื่อมโยงระบบขนส่งสาธารณะจังหวัดระนอง

2. มิติการพัฒนาทางราง อาทิ โครงการรถไฟสายสุราษฎร์ธานี - ท่านุ่น (MR9) โครงการเส้นทางรถไฟ สายชุมพร - ระนอง (MR8) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการแลนด์บริดจ์ และโครงการรถไฟทางคู่ ชุมพร - ระนองแนวเส้นทางเชื่อมโยงโครงการท่าเรือน้ำลึกฝั่งชุมพร และท่าเรือน้ำลึกฝั่งระนอง 

3. มิติการพัฒนาทางน้ำ มีโครงการที่สำคัญในพื้นที่จังหวัดระนอง และภาคใต้ฝั่งอันดามัน ได้แก่ สะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย - อันดามัน (Land Bridge ชุมพร - ระนอง) การขุดลอกร่องน้ำและบำรุงรักษาร่องน้ำชายฝั่งทะเล จังหวัดระนอง โครงการวงแหวนอันดามัน และโครงการท่าเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal)

4. มิติการพัฒนาทางอากาศ มีท่าอากาศยานภาคใต้ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในปัจจุบัน 8 แห่ง ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี ท่าอากาศยานภูเก็ต ระยะที่ 2 ท่าอากาศยานภูเก็ต แห่งที่ 2 (ท่าอากาศยานอันดามัน) ท่าอากาศยานกระบี่ ท่าอากาศยานตรัง ท่าอากาศยานเบตง ท่าอากาศยานชุมพร และท่าอากาศยานระนอง

จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และคณะ ได้เดินทางไปสมทบกับนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ณ พื้นที่โครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย - อันดามัน อุทยานแห่งชาติแหลมสน (บริเวณชายหาดอุทยาน) ก่อนเดินทางไปยังพื้นที่โครงการถนนเชื่อมโยงแนวเส้นทางเลียบชายฝั่งทะเลอันดามัน ช่วงจังหวัดระนอง - สตูล โดยมีความคืบหน้าโครงการ ดังนี้…

1. โครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลฝั่งอ่าวไทย - อันดามัน (Land Bridge ชุมพร - ระนอง) เป็นโครงการเชื่อมต่อการขนส่งทางทะเลระหว่าง 2 ฝั่งทะเล เชื่อมมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย โดยอาศัยความได้เปรียบของตำแหน่งที่ตั้งประเทศไทย ซึ่งอยู่ในใจกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีโครงข่ายการคมนาคมทางบก ทั้งทางถนน และทางราง ที่เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสมบูรณ์ สิ่งสำคัญที่จะเกิดตามมา คือ การพัฒนาพื้นที่เขตจังหวัดระนอง ที่จะทำให้พี่น้องชาวระนองมีรายได้เพิ่มขึ้น มีการจ้างงาน ซึ่งจะช่วยทำให้พื้นที่ภาคใต้มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดย สนข. ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2567 ให้ดำเนินการศึกษาจัดเตรียมเอกสารและให้คำปรึกษาในการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำร่างขอบเขตของงานจ้างที่ปรึกษา โดยการลงทุนเบื้องต้นในระยะที่ 1 มีมูลค่าการลงทุนกว่า 522,000 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินงาน 5 ปี มีแผนงานก่อสร้างในปี 2568 และจะสามารถเปิดให้บริการในระยะแรกได้ในปี 2573 

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า รัฐบาลพร้อมที่จะผลักดันโครงการ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของทุกกลุ่ม ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวก่อนหน้านี้ว่าจะต้องรับฟังความเห็นของทุกฝ่าย และกำหนดแนวทางในการเยียวยาที่เหมาะสมให้กับทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ โดยการลงทุนครั้งนี้จะให้เอกชนลงทุนทั้ง 100% ภาครัฐจะเป็น ผู้เวนคืนพื้นที่ ทั้งนี้ ผลการศึกษาพบว่า โครงการฯ จะส่งเสริมให้ GDP ของไทย ขยายตัวในภาพรวมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5.5 และเกิดการจ้างงานในพื้นที่จังหวัดระนอง และชุมพร จำนวนกว่า 280,000 อัตรา ในอุตสาหกรรมท่าเรือ อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปขั้นสูง อุตสาหกรรมไฮเทค และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ ทำให้เกิดการพัฒนาพื้นที่รอบโครงการ ทำให้พี่น้องในพื้นที่ทั้งสองจังหวัดรวมถึงพื้นที่ภาคใต้ได้กลับมาทำงานใกล้บ้าน และมีความกินดีอยู่ดีเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

2. โครงการแนวเส้นทางเลียบชายฝั่งทะเลอันดามัน (Andaman Riviera) ช่วงระนอง - สตูล กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดอันดามัน โดย สนข. ได้รับงบประมาณปี 2566 ศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้นและออกแบบแนวคิดเบื้องต้นเส้นทาง Andaman Riviera ช่วงระนอง - สตูล มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์ความเหมาะสมทางวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงิน และสิ่งแวดล้อมของการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเลอันดามัน จัดทำแบบเบื้องต้น (Preliminary Design) รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) และจัดทำแผนปฏิบัติการการพัฒนาด้านคมนาคมทางบกเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเลอันดามัน และสนับสนุนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติในประเด็นด้านการท่องเที่ยว ระยะทางโครงการไม่น้อยกว่า 600 กิโลเมตร ปัจจุบันที่ปรึกษาได้จัดส่งรายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 1 แล้ว สนข. อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดก่อนกำหนดนัดประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณา คาดว่าจะมีการสัมมนาแนะนำโครงการในพื้นที่ทั้ง 6 จังหวัดภาคใต้อันดามันช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2567

ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ขอบคุณทุกส่วนราชการ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำท้องถิ่น และพี่น้องชาวจังหวัดระนองและจังหวัดใกล้เคียงที่ให้การต้อนรับ และแจ้งให้ทราบถึงปัญหา ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในวันนี้ โดยตนจะเร่งรัดจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการโครงการต่างๆ ให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มีระบบคมนาคมที่มีประสิทธิภาพ สามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย เพื่อความอุดมสุขของประชาชนอย่างยั่งยืนต่อไป

ไขกระจ่าง!! 4 ความเข้าใจผิดที่คนคิดเกี่ยวกับ กนง. ภายใต้นโยบายการเงินที่ไม่ได้เอื้อคนแค่บางกลุ่ม

ทุกครั้งที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นวงกว้าง มีทั้งผู้ได้และเสียประโยชน์ 

แต่หลายคนอาจสงสัยว่า กนง. ตัดสินนโยบายการเงินบนหลักการอะไร จำเป็นหรือไม่ที่ต้องดำเนินนโยบายตามปัจจัยด้านต่างประเทศ และต้องสอดคล้องกับทิศทางของประเทศเศรษฐกิจหลักเสมอ 'พระสยาม BOT MAGAZINE' จะมาไข 4 ข้อสงสัยที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับ กนง.

1. กนง. ตัดสินนโยบายการเงินแล้วมีเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่ได้ประโยชน์?

ตอบ: กนง. ดำเนินนโยบายการเงินเพื่อประโยชน์ของเราทุกคน โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ การรักษาเสถียรภาพด้านราคา เพราะระดับราคาสินค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะช่วยให้สาธารณชนคาดการณ์ภาระค่าครองชีพและต้นทุนการผลิตได้อย่างง่ายดาย ทำให้ประชาชนมั่นใจที่จะจับจ่ายใช้สอย ภาคธุรกิจวางแผนการผลิตและลงทุนได้อย่างเหมาะสม ก่อให้เกิดรายได้และการจ้างงานที่ยั่งยืน 

แต่การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในระยะยาวนั้น อาจทำให้มีผู้ได้ประโยชน์และผู้เสียประโยชน์ในระยะสั้น เช่น ช่วงที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ ในระยะสั้น ธนาคารพาณิชย์อาจได้รับกำไรจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับเพิ่มขึ้น 

ขณะที่ต้นทุนกู้ยืมของประชาชนและธุรกิจกลับแพงขึ้น แต่ในระยะยาว เมื่ออัตราเงินเฟ้อปรับลดลงแล้ว ประชาชนและภาคธุรกิจจะได้ประโยชน์จากค่าครองชีพและต้นทุนการผลิตที่ปรับลดลง ส่งผลดีต่อการบริโภคและการผลิต ทำให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

2. กนง. ตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายบนหอคอยงาช้าง โดยดูแค่ตัวเลข?

ตอบ: กนง. กำหนดนโยบายการเงินโดยรับฟังอย่างเปิดกว้างและเข้าใจประชาชน โดย กนง. 7 ท่านประกอบด้วย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก ธปท. ถึง 4 ท่าน ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ ตลาดการเงิน การธนาคาร ซึ่งมีจำนวนมากกว่ากรรมการที่เป็นผู้บริหาร ธปท. โดยตำแหน่ง 3 ท่าน (ผู้ว่าการ ธปท. และรองผู้ว่าการ ธปท. 2 คน) ซึ่งในการตัดสินใจนโยบายนั้น 

นอกจากพิจารณาจากข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ได้มาอย่างเป็นทางการแล้ว กนง. ยังได้รับฟังความเห็นและมุมมองของภาคธุรกิจ ผ่านการส่งคณะตัวแทนของ ธปท. เข้าไปพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนมุมมองด้านเศรษฐกิจและนโยบายกับภาคธุรกิจ สมาคม องค์กร และหน่วยงานภาครัฐกว่า 800 แห่งต่อปี ตามโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเศรษฐกิจและธุรกิจ (Business Liaison Program: BLP) ซึ่งครอบคลุมทุกสาขาธุรกิจและทุกภูมิภาคของประเทศไทย นอกจากนี้ ธปท. ยังรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่อยู่ในสื่อสังคมออนไลน์ผ่านระบบ Social Listening อย่างสม่ำเสมออีกด้วย

3. กนง. ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามข้อมูลเงินเฟ้อที่ออกมาเสมอและทันที?

ตอบ: กนง. จำเป็นต้องพิจารณาทั้งข้อมูลเงินเฟ้อในปัจจุบันที่เกิดขึ้นแล้ว และแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าควบคู่กันในการตัดสินนโยบายการเงิน ภายใต้กรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น เปรียบเหมือนกัปตันเรือที่ต้องคิดถึงหลายปัจจัย เช่น คลื่นลม กระแสน้ำ สิ่งกีดขวางโดยรอบ ในการเร่งเครื่องหรือชะลอความเร็วเพื่อให้เรือถึงจุดหมายปลายทางอย่างนิ่มนวลและปลอดภัย 

เพราะในความเป็นจริงนั้น กว่าการเร่งเรือหรือชะลอความเร็วจะส่งผ่านไปยังเครื่องยนต์เศรษฐกิจเต็มที่ต้องใช้เวลากว่า 6-8 ไตรมาส ดังนั้น หากในระยะข้างหน้ายังมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อสูง กนง. จำเป็นต้องผ่อนคันเร่ง ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้แต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้ภาระค่าครองชีพและต้นทุนการผลิตปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้เศรษฐกิจหดตัวรุนแรงในระยะข้างหน้า

4. กนง. ต้องกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามปัจจัยด้านต่างประเทศ เช่น อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ หรือค่าเงินบาท?

ตอบ: กนง. กำหนดอัตราดอกเบี้ยตามบริบทของประเทศไทยเป็นหลัก ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐฯ แต่ กนง. จะพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงินของไทยเป็นสำคัญ ตัวอย่างเช่น ปี 2565 ที่เงินเฟ้อสูงทั่วโลก แต่ กนง. เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งหลังของปี ตามบริบทเศรษฐกิจและตลาดแรงงานไทยที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัวจากการเปิดเมืองและนักท่องเที่ยวที่กลับมา 

ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เร่งเหยียบเบรกตั้งแต่ต้นปี 2565 ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละสูง ๆ เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเศรษฐกิจที่ขยายตัวร้อนแรงและตลาดแรงงานที่ตึงตัว ซึ่งหาก กนง. เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วตามสหรัฐฯ ตั้งแต่ต้นปี โดยไม่พิจารณาความเหมาะสมของบริบทเศรษฐกิจไทย ก็จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของเอกชนเร่งสูงขึ้น การบริโภคและการลงทุนหดตัว ส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยสะดุดโดยไม่จำเป็น

นอกจากนี้ การปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อดูแลค่าเงินบาทอาจไม่เกิดประสิทธิผลมากนัก เพราะในระยะสั้น ค่าเงินบาทผันผวนจากหลากหลายปัจจัย โดยเฉพาะปัจจัยจากภายนอกประเทศ เช่น ข้อมูลเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ตลาดแรงงาน และการคาดการณ์นโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก ขณะที่ประเทศไทยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวภายใต้การจัดการ (managed float) ซึ่งสามารถใช้การทำธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX intervention) เพื่อลดความผันผวนที่สูงเกินไปในระยะสั้น ควบคู่กับการส่งเสริมให้ภาคเอกชนป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างยั่งยืน 

จึงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิผลมากกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีกทั้งยังช่วยให้นโยบายการเงินมีความยืดหยุ่นเพื่อไปดูแลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในภาพรวม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของภาคเอกชนและเศรษฐกิจได้มากกว่า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top