Sunday, 22 June 2025
ECONBIZ NEWS

‘พีระพันธุ์’ มั่นใจ!! ค่าไฟรอบใหม่ (พ.ค. - ส.ค.) จะไม่สูงกว่ารอบปัจจุบัน

(7 มี.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค - Pirapan Salirathavibhaga’ ถึงกรณีตรวจเยี่ยมแท่นขุดเจาะก๊าซกลางอ่าวไทย และราคาค่าไฟฟ้าในรอบใหม่ (พฤษภาคม - สิงหาคม) ระบุว่า…

หลังจากที่ไปตรวจการผลิตก๊าซกลางอ่าวไทยเมื่อวันที่ 28 ก.พ. ที่ผ่านมาเพื่อให้มั่นใจว่าเราจะมีก๊าซมากพอเพื่อเป็นปัจจัยหนึ่งของการยันราคาค่าไฟฟ้าในรอบใหม่นี้ 

ต่อมาผมได้หารือกับท่านเสมอใจ ศุขสุเมฆ ประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และท่านปลัดกระทรวงพลังงาน ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ และล่าสุดได้หารือกับผู้บริหาร กฟผ. เพื่อขอให้ช่วยกันดูแลประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละฝ่ายให้เต็มที่เพื่อไม่ให้มีภาระค่าไฟฟ้ามากไปกว่าปัจจุบัน ซึ่งทุกท่านทุกฝ่ายพร้อมที่จะดำเนินการอย่างเต็มความสามารถ โดยเฉพาะทาง กฟผ. พร้อมที่จะแบกรับภาระหลายอย่างเพื่อประชาชน 

ผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าราคาค่าไฟฟ้าสำหรับงวดต่อไป (พฤษภาคม - สิงหาคม) จะไม่สูงไปกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน 

ขอให้มั่นใจครับว่าผมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน และขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมา ณ ที่นี้อีกครั้งครับ

KIA เจรจา 'ไทย' ลุยตั้งโรงงานผลิตรถอีวี คาด!! สเกลกำลังผลิต 2.5 แสนคันต่อปี

(6 มี.ค. 67) สำนักข่าว Reuters รายงานว่า บริษัท KIA Corp กำลังเจรจากับประเทศไทยเพื่อที่จะตั้งโรงงานรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศไทย โดยมีการเจรจากันอย่างจริงจังและมีการยื่นข้อเสนอให้กับรัฐบาลไทย หลังจากมีรายงานว่า KIA ไม่เห็นด้วยกับการลงทุนตั้งโรงงานในไทย 

อย่างไรก็ตาม ทาง BOI ได้ออกมาแสดงความเห็นในเดือน ม.ค. 2024 ว่า KIA กำลังพิจารณาการลงทุนในประเทศไทย 

ทั้งนี้ ไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีมาตรการจูงใจ อย่าง EV 3.5 การลดหย่อนภาษี และมาตรการอื่น ๆ เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคตามแผนของรัฐบาล โดยตั้งเป้าที่จะมี EV ในประเทศประมาณ 30% ของการผลิตต่อปีจำนวน 2.5 ล้านคัน ภายในปี 2030

ตลาดรถยนต์ไทย ซึ่งผูกขาดมายาวนานโดยผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นอย่าง Toyota และ Honda ได้ดึงข้อผูกพันด้านการลงทุนกว่า 1.44 พันล้านดอลลาร์ จากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนเพื่อสร้างโรงงานผลิต

ด้านบางกอกโพสต์ รายงานว่า KIA มีแผนจะเปิดโรงงานที่มีกำลังผลิต 2.5 แสนคันต่อปี โดยขณะนี้ KIA มีศูนย์บริการในประเทศแล้วกว่า 19 แห่ง และจะเปิดเพิ่มในปี 2024 อีก 26-30 แห่ง พร้อมทั้งในปี 2024–2026 ก็เปิดรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ออกมา โดยล่าสุดเปิดตัว KIA EV9 รถ SUV ไฟฟ้า 100% และจะเปิดตัว EV5 อีกรุ่นในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 ปีนี้

'กระทรวงอุตฯ' ขานรับ!! กระแสธุรกิจ Wellness & Medical บูม เร่งยกระดับ 'ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ' ภาคใต้ฝั่งอันดามันเต็มสูบ

กระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าเสริมศักยภาพผู้ประกอบการภาคใต้ฝั่งอันดามันผ่านหลักสูตร Digital Literacy เร่งยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในพื้นที่ พร้อมคัดเลือกต้นแบบความสำเร็จ 10 กิจการ สร้างความพร้อมด้านการขยายตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ คาดภายใน 1 ปี จะสามารถสร้างยอดขายและรายได้โดยรวมให้กับพื้นที่เพิ่มขึ้นกว่า 30 ล้านบาท

(6 มี.ค.67) นายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังที่ได้รับมอบหมายจาก นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เป็นประธาน เปิดงานกิจกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพ ด้วย Digital Marketing ภายใต้กิจกรรมสร้างการรับรู้ SME ให้ดีพร้อมด้วยดิจิทัล (Digital Literacy) ให้กับธุรกิจอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ (Wellness & Medical) ว่า...

ปัจจุบันประเทศไทยได้พัฒนาเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) อย่างจริงจัง และรัฐบาลมีแนวทางนโยบายในการส่งเสริมและพัฒนาด้านดิจิทัล และการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างชัดเจน โดยเริ่มต้นจากทักษะความรู้พื้นฐานในการประกอบอาชีพไปจนถึงทักษะทางเทคนิคและทักษะการบูรณาการ อันจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเตรียมพร้อมและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ 

กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การบริหารงานของ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล หรือ Digital literacy ด้วยการนำเครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอยู่ในปัจจุบันมาประยุกต์ปรับใช้และนำไปพัฒนาต่อยอดเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลในธุรกิจอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ (Wellness & Medical) ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางและเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวทุกรูปแบบ รวมถึงเป็นศูนย์กลางการดูแลสุขภาพ หรือ Medical Hub ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเยือนเป็นอันดับ 8 ของโลก สามารถนำรายได้เข้าสู่ประเทศกว่า 2.3 ล้านล้านบาท และคาดว่าใน 4 ปีข้างหน้านี้จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการธุรกิจ Medical Tourism และ Wellness Tourism ของประเทศไทยที่จะสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น

นายวาที พีระวรานุพงศ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า การพัฒนาและเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ประกอบการด้วย Digital Marketing จึงเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม เดินหน้าผลักดันและยกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ (Wellness & Medical) ในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอันดามัน ผ่านการจัดงานการพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพด้วย Digital Marketing ภายใต้กิจกรรมสร้างการรับรู้ SMEs ให้ดีพร้อมด้วยดิจิทัล (Digital Literacy) เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถนำองค์ความรู้และทักษะด้านการตลาดออนไลน์ไปปรับใช้กับธุรกิจและทำให้มีช่องทางขายที่หลากหลายเพิ่มขึ้น โดยการจัดทำสื่อดิจิทัลสำหรับการสื่อสารประชาสัมพันธ์การทำตลาดผ่านช่องทาง Online & Offline Platforms เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการแก่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ดีพร้อม ยังได้ร่วมกับ บริษัท ไทยคิงดอม แอดไวเซอร์ จำกัด และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) จัดทำ Website : www.andamandigitalwellness.com เพื่อเพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์ทำการตลาด นำเสนอสินค้าและบริการแก่ลูกค้าเป้าหมายในรูปแบบ Sale Page ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับคัดเลือกเป็นต้นแบบความสำเร็จ จำนวน 10 กิจการ ให้มีความพร้อมในการขยายตลาดผ่านช่องทางออนไลน์เปิดกว้างสู่สากล

ทั้งนี้ คาดว่าภายใน 1 ปีจะทำให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรมนำความรู้ไปใช้ต่อยอดธุรกิจ และสามารถสร้างยอดขาย มีรายได้โดยรวมเพิ่มขึ้นกว่า 30 ล้านบาท

'สภาพัฒน์ฯ' เผย!! ค่าจ้างแรงงานโดยภาพรวมถูกลง 0.2% ผลจากการขาดทักษะ แต่ยังดีที่อัตราว่างงานลดลงตาม

(6 มี.ค. 67) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ตัวเลขการว่างงานของตลาดแรงงานไทยโดยภาพรวมกำลัง ‘ปรับตัวดีขึ้น’

โดยอัตราการว่างงานของแรงงานไทยมีการปรับตัวลดลงเหลือเพียง 0.81% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ส่งผลให้ปัจจุบันตัวเลขอัตราการว่างงานอยู่ที่ 0.98% ซึ่งเทียบเท่าได้กับระดับก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19

หากใครยังไม่ทราบก่อนหน้านี้ตัวเลขการว่างงานของไทยอยู่มากกว่า 1% มาโดยตลอด และเพิ่งกลับร่วงลงต่ำกว่า 1% ในเร็ว ๆ นี้

จำนวนผู้มีงานทำในไตรมาส 4 ปี 2566 อยู่ที่ 40.3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.7% จากปีก่อนหน้า และจำนวนผู้ทำงานล่วงเวลา (OT) หรือผู้ที่ทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์อยู่ที่ 6.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5.1%YoY

อย่างไรก็ตาม ค่าจ้างแรงงานในภาพรวมไตรมาส 4 ปี 2566 กลับ ‘ลดลง’ 0.2%YoY อยู่ที่ 15,382 บาทต่อคนต่อเดือน โดยค่าจ้างเฉลี่ยที่ลดลงอาจเป็นผลมาจากปัญหาแรงงานไทยขาดทักษะที่นายจ้างต้องการ

ILINK พบนักลงทุน Opp Day Q4/66 ฉายผลงานความสำเร็จ ทำรายได้ 6,965.19 ลบ. มีกำไรสุทธิเด่น พร้อมตั้งเป้าทั้งปี 67 แตะ 7,002 ลบ. เน้นโกยกำไร New High ต่อเนื่อง บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลแรง 0.39 บาทต่อหุ้น เตรียมประกาศ 8 พ.ค. นี้

ILINK ปิดงบปีไตรมาส 4/66 ทำตัวเลขสวย บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมอัปเดตนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ พบนักลงทุนในงาน 'Opportunity Day' จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ชี้ชัดถึงผลการดำเนินงานธุรกิจในปี 2566 ที่ผ่านมา โดดเด่น กอบโกยรายได้ พร้อมทำกำไรเติบโตตามยุทธศาสตร์ที่ตั้งเป้า “จะเติบโตแบบมีคุณภาพ ทั้งรายได้ และกำไรสุทธิ” พร้อมเคาะตัวเลข เผยปันผลให้ 0.39 บาทต่อหุ้น (พาร์ 1 บาท) เพื่อยืนยันการเป็นหุ้นปันผล โชว์ศักยภาพธุรกิจดันรายได้ปีนี้แตะ 7,002 ล้านบาท มั่นใจฟื้นตัวเน้นทำกำไร New High ต่อเนื่อง 

คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ หรือ ILINK เผยถึงภาพรวมและผลการดำเนินงานทั้ง 3 ธุรกิจ จากผลงานตลอดทั้งปี 2566 ว่า “กลุ่มธุรกิจในเครือของอินเตอร์ลิ้งค์ มีธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ และธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ พลิกบวกทำรายได้ 4 ไตรมาสรวม 6,965.19 ล้านบาท ขานรับทำกำไรสำหรับงวดโดดเด่น รวมแล้วอยู่ที่ 712.20 ล้าทบาท เพิ่มขึ้น 170.24 ล้านบาท พุ่งแรง 31.41% โดยเป็นการตอกย้ำว่า ทุกธุรกิจในเครือประสบความสำเร็จตามเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ พร้อมทำกำไรเซอร์ไพรส์ สูงเป็นประวัติการณ์ ชี้ชัดถึงการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนแบบมีคุณภาพ

ซึ่งรายได้ของกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Business) สร้างผลงานจากทั้งปีที่ผ่านมา มีรายได้รวม 2,881.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 366.27 ล้านบาท หรือ 14.56% โดยทำกำไรสุทธิรวม 309.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.76 ล้านบาท หรือ 51.82% เป็นผลสำเร็จเติบโตหลัก ๆ มาจากรายได้ที่ดีขึ้นของสินค้าในหมวดสาย LAN และในหมวดของสาย Solar ที่ประเทศไทยมีนโยบายสนับสนุนให้ครัวเรือนติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นพลังงานสะอาด ทั้งโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) และเทรนด์ของโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ (Floating Solar) ก็เป็นตัวผลักดันให้ตลาดแผงพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) เติบโตอย่างก้าวกระโดด”

ด้านรายได้ในกลุ่มธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) เป็นรายได้จากบริษัทย่อย IPOWER ซึ่งรับเหมาดำเนินงานโครงการที่เกิดขึ้นตามสัญญาจ้าง โดยมุ่งเน้นไปที่งานวางระบบไฟฟ้าสายเคเบิลใต้น้ำ, งานก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง, งานก่อสร้างและปรับปรุงสถานีไฟฟ้าย่อย และงานวางระบบไฟฟ้าสายเคเบิลใต้ดิน ซึ่งนับว่าเป็นงานที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญสูง ทำให้มีรายได้ที่ก้าวกระโดดรวมทั้งปี 2566 จากธุรกิจอยู่ที่ 1,329.18 ล้านบาท เติบโต 178.96 ล้านบาท หรือ 15.56% และทำกำไรสุทธิรวม 106.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.96 ล้านบาท หรือ 70.45% พร้อมกันนี้ ปัจจุบันมี Backlog ในมือราว 1.14 พันล้านบาท กว่า 80% ที่รอรับรู้รายได้ภายในปี 2567 นี้ ที่จะส่งผลทำกำไร พร้อมรายได้สะสมไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้แน่นอน

โดยรายได้จากธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business) เป็นรายได้จากบริษัทย่อย ITEL ทำรายได้รวม 4 ไตรมาส 2,754.94 ล้านบาท มีกำไรสุทธิรวม 295.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.75 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6% โดยในอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 10.74% ของรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 32% ถึงแม้จะทำรายได้ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2565 นั้น แต่ในทางกลับกัน บริษัทย่อย ITEL กลับสามารถเพิ่มอัตราทำกำไรสุทธิเทียบกับยอดขายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตแบบมีคุณภาพได้เป็นอย่างดี

สำหรับภาพรวมของทิศทางตลอดทั้งปี 2567 ด้านการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจทั้ง 3 ในเครือ มีการวางแผนตั้งเป้าหมายแน่วแน่ให้กอบโกยรายได้แตะ 7,002 ล้านบาท ไปพร้อมกับเน้นทำกำไร New High ต่อเนื่อง ดันยอดขายในกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN จากสินค้านวัตกรรมใหม่ ที่ได้เปิดตัวไปอย่างยิ่งใหญ่ในกลุ่มของ Super S Series : UTP CAT 6A และ FTTR (Fiber Optic To The Room Solution) ซึ่งนับเป็นสินค้าชิ้นโบว์แดงแห่งปีที่ ILINK เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในอาเซียน ได้คิดค้นพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์แก่เทคโนโลยีแห่งยุคนี้โดยเฉพาะ จึงมั่นใจว่าทิศทางของผลประกอบการเมื่อเปรียบเทียบคุณภาพกับราคาแล้ว ผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN และ GERMAN RACK จะสามารถผลักดันยอดขายให้สอดรับกับการเติบโตของตลาดธุรกิจโลกที่เปิดกว้างมากขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด ขณะที่การประมูลงานของกลุ่มธุรกิจวิศวกรรมโครงการในปีนี้ เน้นไปที่งาน Submarine เกาะสมุยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ที่เป็นลูกค้าหลักรายใหญ่ในมือมาอย่างยาวนาน และเป็นความเชี่ยวชาญที่กลุ่มธุรกิจมีความชำนาญโดดเด่น 

ซึ่งคาดการณ์ยังมีงานที่อยู่ระหว่างจ่อรอเซ็นสัญญาอีกเพียบตลอดทั้งปีนี้ พร้อมเร่งลุยเข้าประมูลงานโครงการของภาครัฐ และภาคเอกชนเพิ่มเติม Backlog ให้แน่นไม่น้อยกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ และสำหรับแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทย่อย ITEL กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งปีนี้มีแผนดันขยายกิจการเพิ่มเติมสู้ Health Tech หลังเข้าลงทุนใน 'Global Lithotripsy Services Company Limited' เสริมพื้นฐานแข็งแกร่งตรงตามกลยุทธ์ New S-Curve ต่อยอดธุรกิจ คาดว่าปีนี้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากการเสนองานใหม่ เร่งรุกธุรกิจ Data Center ควบคู่การขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Digital Transformation ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง พร้อมนำ บมจ.บลู โซลูชั่น 'BLUE' เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในปีนี้แน่นอนอีกด้วย และคาดว่าผลการดำเนินงานโดยรวมทั้งปี 2567 นี้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้แน่นอน

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.39 บาท จากจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วทั้งสิ้น 543,632,325 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท เป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 212.02 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 และกำหนดวันจ่ายปันผลในวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 นี้

“นับเป็นการชี้ชัดถึงการเติบโตของทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งบริษัทแม่ และบริษัทลูก ตอกย้ำถึงความสำเร็จตามแบบแผนของการวางยุทธศาสตร์ที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ ทั้งในแง่รายได้ และกำไรสุทธิ โดยอาศัยจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญของแต่ละกลุ่มธุรกิจเป็นสำคัญ โดยสามารถสร้างผลงานได้เป็นที่ประจักษ์ พร้อมนำพากลุ่มธุรกิจไปสู่ผลลัพธ์ที่ก้าวหน้า เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนได้อย่างมีคุณภาพ”  

'รมว.ปุ้ย' รับลูก!! 'เศรษฐา' เร่งออกมาตรฐาน 'บันไดเลื่อน-ทางเลื่อน'  จ่อบังคับใช้โดยเร็ว เพิ่มความปลอดภัย ปิดทางอุบัติเหตุซ้ำรอย

(5 มี.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เร่งรัดให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดมาตรฐานบันไดเลื่อน และทางเลื่อนอัตโนมัติให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและป้องกันอุบัติเหตุซ้ำรอยนั้น คณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (บอร์ด สมอ.) เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบร่างมาตรฐานดังกล่าวแล้ว โดยอ้างอิงข้อกำหนดด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล พร้อมกันนี้ได้กำชับให้ สมอ. เร่งดำเนินการประกาศให้เป็นสินค้าควบคุมโดยเร็วที่สุด 

นายบรรจง สุกรีฑา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) กล่าวว่า คณะกรรมการได้พิจารณาร่างมาตรฐานบันไดเลื่อน และทางเลื่อนอัตโนมัติที่ สมอ. เสนอ ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบแล้ว รวมทั้งยังได้เห็นชอบร่างมาตรฐานอื่นๆ อีก จำนวน 111 เรื่อง เช่น กลอนสำหรับผู้สูงอายุและคนพิการ, ท่อยางและท่อพลาสติกสำหรับใช้กับก๊าซหุงต้ม, ฟิล์มติดกระจกรถยนต์, เต้ารับเต้าเสียบที่ใช้ในรถยนต์, หม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง, ระบบอากาศยานไร้คนขับ และกังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้า รวมทั้งมาตรฐานเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนที่ทำหน้าที่ให้ความร้อนแก่ของเหลวที่นำมาทบทวนใหม่ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบัน เพื่อให้มีความปลอดภัยในการใช้งานมากขึ้น เช่น กาต้มน้ำไฟฟ้า, กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า และหม้อหุงข้าว เป็นต้น 

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรฐาน 'บันไดเลื่อนและทางเลื่อนอัตโนมัติ' เป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยและระบบไฟฟ้า ที่อ้างอิงตามมาตรฐานระหว่างประเทศ (มาตรฐาน ISO) ซึ่งมีความปลอดภัยสูง เป็นที่ยอมรับของสากล และทั่วโลกได้นำไปใช้ โดยมีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่สำคัญ ได้แก่ การป้องกันความผิดพลาดที่เกิดจากวงจรควบคุม การป้องกันอันตรายที่เกิดจากการแตกหักระหว่างทำงาน การป้องกันการรับน้ำหนักและบรรทุกเกิน และจะมีเซนเซอร์ตรวจจับความผิดปกติต่างๆ ในขณะทำงาน เช่น เมื่อบันไดเลื่อนหรือทางเลื่อนมีความเร็วผิดปกติ ระบบเบรกไม่ทำงาน มีขั้นบันไดหรือแผ่นพื้นเลื่อนที่แอ่น มีชิ้นส่วนอุปกรณ์ใดๆ หลุดหายไป หรือหากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปติดในซี่หวีบันไดเลื่อนหรือทางลาดเลื่อน เซนเซอร์จะตรวจจับความผิดปกติดังกล่าว และจะหยุดการทำงานทันที เพื่อป้องกันอันตรายขณะมีผู้ใช้งานได้ ทั้งนี้ สมอ. จะเร่งดำเนินการประกาศรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อกำหนดให้เป็นสินค้าควบคุมโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะมีผลให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องทำ และนำเข้าเฉพาะสินค้าที่ได้มาตรฐานเท่านั้น หากฝ่าฝืนจะมีความผิดตามฏหมาย โดยหลังจากนี้ สมอ. จะแจ้งให้ผู้ประกอบการที่เป็นผู้นำเข้าบันไดเลื่อนและทางเลื่อนอัตโนมัติทุกราย ให้เตรียมยื่นขออนุญาตให้ถูกต้อง ทันตามกำหนดเวลาที่มาตรฐานดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ต่อไป

'รมว.ปุ้ย' ชู!! 'รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง' ขจัดอุปสรรคผู้ประกอบการ-หนุนฮาลาล กรุยทางเข้าถึง 'เงินทุน-สร้างบริการใหม่' คิกออฟแล้วกับกลุ่มโคเนื้อชุมพร

'รมว.พิมพ์ภัทรา' เดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลไทยสู่ตลาดโลก เร่งเครื่อง 'อาเซียน ฮาลาล ฮับ' (ASEAN Halal Hub) ชูกลไกบูรณาการใช้ศักยภาพหน่วยงานภายใต้สังกัด เชื่อมต่อจุดเด่นวัตถุดิบและการผลิตในพื้นที่ ปลื้ม!! โมเดลความสำเร็จ ดีพร้อม จับมือ SME D Bank ผ่านการขยายเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM Connection) พร้อมชู 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' หนุนโรงแปรรูปเนื้อโคมาตรฐานฮาลาล จ.ชุมพร เข้าถึงแหล่งเงินทุน พร้อมสร้างโอกาสให้กับธุรกิจฮาลาลและเกษตรกรผู้เลี้ยงโคในพื้นที่ภาคใต้และทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะสร้างรายได้ให้เกษตรกรได้กว่า 10,000 ล้านบาท และกระตุ้นมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมกว่า 24,000 ล้านบาท

(5 มี.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีมอบสินเชื่อจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ให้แก่ บริษัท ดี แอนด์ แซด คอนซัลแทนท์ จำกัด ผู้ผลิตและแปรรูปเนื้อโค มาตรฐานฮาลาล จ.ชุมพร และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในพื้นที่ภาคใต้ ว่า จากนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การผลักดันของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มีเป้าหมายขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลไทยสู่ 'อาเซียน ฮาลาล ฮับ' (ASEAN Halal Hub) นำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เข้มแข็ง ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม จึงเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว โดยใช้กลไกในการนำศักยภาพของหน่วยงานภายใต้สังกัดมาบูรณาการการทำงานควบคู่กับใช้จุดเด่นในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทยมาต่อยอด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดชุมพร ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีความพร้อมทั้งด้านวัตถุดิบและศักยภาพการผลิตอาหาร จึงเหมาะแก่การผลักดันเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลไทยสู่ตลาดโลก สามารถตอบโจทย์ความต้องการตลาดผู้บริโภคอาหารฮาลาลทั่วโลกที่มีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 13.5% ตามสัดส่วนประชากรมุสลิมโลกที่ขยายตัวต่อเนื่อง และนับเป็นจุดเริ่มต้นในการเร่งผลักดันนโยบายการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลไทยสู่อาเซียนฮาลาลฮับของรัฐบาล

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม และ SME D Bank เร่งบูรณาการความร่วมมือในการขับเคลื่อนนโยบายอุตสาหกรรมฮาลาลไทย ด้วยการสนับสนุนบริษัท ดีแอนด์แซด คอนซัลแทนท์ จำกัด และกลุ่มอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่จังหวัดชุมพร และใกล้เคียงให้เข้าถึงแหล่งทุน เพื่อนำไปยกระดับศักยภาพและเสริมสร้างความเข้มแข็งของธุรกิจ โดยได้นำแนวทาง 'รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง' ขจัดขั้นตอนการทำงานที่เป็นอุปสรรคควบคู่กับการสร้างบริการใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงแหล่งทุนพัฒนาธุรกิจได้ ไปพร้อม ๆ กับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยบริษัท ดีแอนด์แซด คอนซัลแทนท์ จำกัด ที่ติดข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งทุน แต่ด้วยศักยภาพและโอกาสเติบโตของธุรกิจ กระทรวงอุตสาหกรรม จึงให้การสนับสนุนเพื่อเข้าถึงเงินทุนสำเร็จผ่านโครงการสินเชื่อแฟคตอริ่ง วงเงิน 10 ล้านบาท ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการรายนี้ มีเงินไปลงทุนขยายกิจการ และหาก บริษัท ดีแอนด์แซด คอนซัลแทนท์ จำกัด ผลิตได้เต็มกำลังการผลิตแล้ว คาดว่าจะสร้างยอดขายได้กว่า 14,000 ล้านบาทต่อปี และสามารถรับซื้อโคจากเกษตรกรในพื้นที่ภาคใต้และทั่วประเทศได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะสามารถกระตุ้นมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมเพิ่มขึ้นกว่า 24,000 ล้านบาท รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าว

นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ ครม.สัญจร จ.ชุมพร และระนอง เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม ได้รับมอบหมายให้รับฟังแนวคิดในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว พบว่า บริษัท ดีแอนด์แซด คอนซัลแทนท์ จำกัด จ.ชุมพร มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและสามารถเป็นต้นแบบของอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยได้ 

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความต้องการขอรับการสนับสนุนเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากภาครัฐ ดังนั้น ดีพร้อม จึงได้นำเรียน รมว.พิมพ์ภัทรา เพื่อทราบถึงความต้องการดังกล่าวของบริษัท โดย รมว.อุตสาหกรรม สั่งการให้ ดีพร้อม บูรณาการความร่วมมือกับ SME D Bank และสถาบันการเงินต่าง ๆ ผ่านกลไกการขยายเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM Connection) เพื่อให้ผู้ประกอบการมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน (Financial Inclusion) ภายใต้นโยบาย RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยนอุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต ด้วยการเร่งพัฒนากลไกการให้สินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อกลุ่มเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในวงเงิน 10 ล้านบาท และช่วยสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคในพื้นที่ภาคใต้และทั่วประเทศให้สามารถสร้างยอดขายและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ พร้อมทั้งต่อยอดและพัฒนาธุรกิจโคแปรรูปฮาลาลให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นด้วยการส่งเสริมและผลักดันศักยภาพกระบวนการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น ๆ ที่ได้มาตรฐานฮาลาล รวมถึงสร้างความน่าเชื่อถือในมาตรฐานฮาลาลและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศผ่านการเชื่อมโยงกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพของผู้ประกอบการโคในพื้นที่และการสร้างแบรนด์เนื้อโคคุณภาพของภาคใต้ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

นายประสิชฌ์ วีระศิลป์ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ SME D Bank กล่าวเพิ่มเติมว่า SME D Bank พร้อมขานรับนโยบายรัฐบาล สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเติบโตยั่งยืนด้วยกระบวนการ 'เติมทุนคู่พัฒนา' โดยด้าน 'การเงิน' จัดเตรียมผลิตภัณฑ์สินเชื่อครอบคลุมทุกกลุ่มเอสเอ็มอี วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท ควบคู่ด้าน 'การพัฒนา' ยกระดับศักยภาพเอสเอ็มอี ผ่านโครงการ SME D Coach เชื่อมโยงการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนไว้ในจุดเดียว รวมถึงนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาให้บริการเอสเอ็มอีได้ครอบคลุมและกว้างขวางยิ่งขึ้น ผ่านแพลตฟอร์ม DX (Development Excellent) ระบบพัฒนาผู้ประกอบการอัจฉริยะ สร้างสังคมของการเรียนรู้ e-Learning ศึกษาได้ด้วยตัวเอง 24 ชม. ช่วยเติมศักยภาพให้เอสเอ็มอีสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน

'รมว.ปุ้ย' ย้ำ!! รัฐหนุนเต็มที่ ลงทุนผลิตเซลล์แบตเตอรี่ในไทย ต่อเนื่องภารกิจ ดันไทยฮับผลิตแบตฯ อีวีแห่งอาเซียน

(4 มี.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังให้คณะผู้บริหารระดับสูงจากบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอส โวลต์ เอเนอร์จี้ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด เข้าพบ เพื่อรับทราบแนวทางการส่งเสริม สนับสนุน ตามนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเป็นแนวทางพิจารณาการลงทุนสร้างโรงงานผลิตเซลล์แบตเตอรี่ในประเทศไทย รวมทั้งการสร้างซัพพลายเชนเพื่อให้ไทยเป็นฮับการผลิตแบตเตอรี่ของภูมิภาคอาเซียน โดยระบุว่า...

รัฐบาล โดยกระทรวงอุตสาหกรรม และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ได้เปิดการส่งเสริมการลงทุนในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญ 17 ชิ้น โดยเฉพาะแบตเตอรี่ในระดับเซลล์ ที่จะได้รับสิทธิพิเศษส่งเสริมการลงทุน ซึ่งที่ผ่านมามีนักลงทุนไทย, ญี่ปุ่น, จีน และยุโรป เข้ามาขอรับการส่งเสริมการลงทุนแล้ว ขณะเดียวกันยังมีมาตรการพัฒนาปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ สำหรับผู้ประกอบการเข้าร่วมมาตรการ EV3 อีกด้วย 

ส่วนการสร้าง Supply Chain ของแบตเตอรี่ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เป็นพี่เลี้ยงส่งเสริมด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องตลอดซัพพลายเชน มีการพิจารณามาตรการส่งเสริมและจัดการแบตเตอรี่ในประเทศ มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในกระบวนการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งมาตรการที่เกิดขึ้นเป็นการเอื้อต่อการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวอีกว่า รัฐบาล โดยกระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบายส่งเสริมกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและเปิดโอกาสให้เกิดการลงทุนในท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากการหารือทราบว่าบริษัท เอส โวลต์ เอเนอร์จี้ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด กำลังวางแผนหาพาร์ตเนอร์และแหล่งผลิตในประเทศไทย โดยเป้าหมายคือพัฒนาบริษัทในพื้นที่และสนับสนุนรัฐบาลไทยในการรักษามาตรฐาน ขณะเดียวกันได้เปิดตัวสายการผลิตและในอนาคตก็พร้อมที่จะเปิดการอบรมนักศึกษาไทยให้เรียนรู้จากเทคโนโลยีดังกล่าวด้วย ดังนั้น จึงอยากให้มั่นใจว่านโยบายรัฐบาลให้การสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยขับเคลื่อนผ่านคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ซึ่งล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของมาตรการสนับสนุนผู้นำเข้า ผู้ทดสอบ และการรีไซเคิล

“วันนี้ ประเทศไทยเรามีความน่าสนใจในหลายเรื่อง ทั้งบริษัทต่าง ๆ ที่มาตั้งฐานการผลิตรถยนต์อีวีในประเทศไทยมากขึ้น และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้เรายังได้ออกมาตรการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการรีไซเคิลแบตเตอรี่ เพื่อให้เกิดการดูแลทั้งระบบของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า” รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าว

สำหรับการหารือร่วมกันระหว่างบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอส โวลต์ เอเนอร์จี้ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด มีคณะผู้บริหารของกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าร่วมด้วย อาทิ นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นางบุปผา กวินวศิน รองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

‘อ.พงษ์ภาณุ’ ยกท่องเที่ยวไทย ‘ยุคเศรษฐา’ มาถูกทาง เปิดทางเอกชนโชว์ฟอร์ม ส่วนภาครัฐช่วยเป็นแรงหนุน

(4 มี.ค. 67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้กล่าวถึงประเด็น การเติบโตที่นำโดยการท่องเที่ยว (Tourism-led Growth) ระบุว่า...

ต้องยอมรับว่า Ignite Thailand จุดพลัง รวมใจ ไทยเป็นหนึ่ง ที่นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ได้แถลงไปเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นวิสัยทัศน์ที่ชาญฉลาดเละเป็นไปได้ แต่ก็มีความท้าทายสูงในด้านการดำเนินการ (Implementation) ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน หากเปรียบเทียบกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของรัฐบาลที่แล้ว ต้องถือว่า Ignite Thailand มีความทันสมัยและเหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่า

ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าภาคการท่องเที่ยวมีความสำคัญและมีศักยภาพที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปสู่ความเป็นศูนย์กลางในด้านต่างๆ รวมทั้ง Medical Hub, Aviation Hub และ Financial Hub เป็นต้น การบริหารจัดการการดำเนินการเพื่อมุ่งไปสู่วิสัยทัศน์นี้จึงหนีไม่พ้นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งมี ททท. เป็นหน่วยงานหลัก แต่ความท้าทายน่าจะอยู่ที่การสร้างความเชื่อมโยงไปสู่ความเป็นศูนย์กลางในสาขาทั้ง 8 สาขา ซึ่งจำเป็นต้องทลายกำแพงที่กีดขวางการทำงานแบบบูรณาการข้ามหน่วยงานของระบบราชการไทย

วันนี้การท่องเที่ยวของไทยได้พัฒนาก้าวหน้ามาอย่างมากจนอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดจากความเก่งกาจของภาครัฐแต่อย่างใด แต่ส่วนใหญ่มาจากความสามารถของภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรม, ภัตตาคาร, ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนแหล่งท่องเที่ยวที่มีการบริหารจัดการแบบมืออาชีพ 

การยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยให้เป็นหนึ่งของโลกตามวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องจัดโครงสร้างการบริหารจัดการภาคการท่องเที่ยวใหม่ โดยสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนในรูปแบบ PPP ลดบทบาทภาครัฐให้เหลือเพียงการวางนโยบายและการกำกับดูแลรวม ทั้งการให้การสนับสนุน/อุดหนุนทางการเงินเท่าที่จำเป็น และที่สำคัญต้องหลีกเลี่ยงการเข้ามาเป็นผู้เล่นแข่งกับธุรกิจเอกชน บทบาทในการลงทุนและการบริหารจัดการต้องเป็นของภาคเอกชนเท่านั้น

สิ่งสำคัญที่นายกรัฐมนตรีเน้นและอาจเป็นบทบาทสำคัญของรัฐบาล คือ การปลดล็อกข้อจำกัดในด้านกฏระเบียบข้อบังคับ และการจัดให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ซึ่งปัจจุบันต้องถือเป็นข้อด้อยที่บั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย

ข้อจำกัดทางกฎหมายของไทยมีอยู่มากมาย เพียงไม่กี่เดือนของรัฐบาลนี้ ได้มีการขยายเวลาเปิดสถานบริการ ปรับเปลี่ยนเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การยกเว้นวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวบางประเทศ ที่ต้องชมเชยก็คือ การลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะไวน์และสุรานำเข้า ซึ่งจะช่วยให้เครื่องดื่มมีราคาลดลง สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาหาร แต่ก็พึงต้องดูแลให้เครื่องดื่มนำเข้าเหล่านี้เสียภาษีอย่างครบถ้วน

ประการสำคัญที่สุด ประเทศไทยจะไม่สามารถเป็น Hub ในด้านต่างๆ ได้เลย หากภาคอุตสาหกรรมและบริการของไทยยังไม่เปิดเสรี แม้จะมีการเปิดเสรีทางการค้าไปมากแล้ว แต่ปัจจุบันประเทศไทยยังมีข้อจำกัดด้านการเคลื่อนย้ายบริการ ทุน และแรงงานข้ามพรมแดนอยู่มาก แรงงานมีฝีมือยังไม่สามารถเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้อย่างเสรี ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์, วิศวกร, นักกฎหมาย การจะเป็น Hub ได้อย่างเต็มปากจำเป็นต้องมีบุคลากรมืออาชีพที่เป็นที่สุดของโลกด้วย

'รัดเกล้า' เผย!! รัฐปั้น 'ฮาลาลไทย' สู่ ASEAN Halal Hub ภายในปี 2571  ตั้งเป้า!! 5 ปี 'จีดีพีอุตฯ แตะ 55,000 ลบ.-จ้างงานเพิ่ม 1 แสนคนต่อปี'

‘รัดเกล้า’ ย้ำรัฐบาลลุยส่งเสริม ฮาลาลไทย สู่ ASEAN Halal Hub ภายในปี 2571 ตั้งเป้า ภายใน 5 ปี จ้างงานเพิ่ม 1 แสนคนต่อปี จัดงาน Kick off การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลไทย มีนาคม 2567 นี้

(4 มี.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ด้วยเป้าหมายที่จะยกระดับอุตสาหกรรมฮาลาลไทยสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลในภูมิภาค หรือ ASEAN Halal Hub ภายในปี 2571 นั้น กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การนำของ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้วางแนวทางการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาล  เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลในภูมิภาค โดยการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ฮาลาลของไทยให้มีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ เพื่อสร้างการรับรู้และการยอมรับในผลิตภัณฑ์ฮาลาลของประเทศไทยผ่านการเชื่อมโยงภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการ พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาลให้ยังคงมีอัตลักษณ์ความเป็นไทย เชื่อมโยงวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นเพื่อเป็น กลไกขับเคลื่อนซอฟพาวเวอร์ของไทยไปในตัว ควบคู่กับการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก สร้างอาชีพ กระจายรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งจะนำไปสู้การลดความเหลื่อมล้ำ ตลอดจนสร้างความเข้มแข็ง และความมั่นคงให้กับประเทศอย่างยั่งยืน

กระทรวงอุตสาหกรรมยังเตรียมลดข้อจำกัดและแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรครวมทั้งบูรณาการทำงานหน่วยงานต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ฮาลาล โดยผลิตภัณฑ์และบริการ อาหารฮาลาล เป้าหมายในระยะแรกที่ถูกต้องตามบทบัญญัติศาสนาอิสลามประกอบด้วยอาหารฮาลาลเช่นเนื้อสัตว์อาหารทะเลอาหารแปรรูปอาหารพร้อมรับประทานอาหารฮาร้านโดยธรรมชาติอาหารมุสลิมรุ่นใหม่เช่น Snack bar / แฟชั่นฮาลาล เช่น สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อัญมณีและเครื่องประดับ รองเท้าและเครื่องหนัง / ยาสมุนไพรและเครื่องสำอางฮาลาล / โกโก้ฮาลาล สินค้าอาหารและผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง / บริการและท่องเที่ยวฮาลาล

ในระยะยาว เราตั้งเป้าว่าจะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพีภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 หรือ 55,000 ล้านบาทภายใน 5 ปีในขณะเดียวกันแรงงานในอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจำนวน 100,000 คนต่อปีต่อเนื่องจนถึงปี 2571 และในแผนระยะสั้นนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมมีแผนที่จะจัดงานเปิดตัว Kick off การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลไทย วางแผนไว้ว่าจะจัดในช่วงเดือนมีนาคม 2567 ซึ่งจะมีการเชิญหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เอกอัครราชทูตหรือผู้แทนทางการทูตของประเทศเป้าหมายที่มีศักยภาพเข้าร่วมงานด้วย  ขอให้ประชาชนให้กำลังใจคนทำงานและจับตาดูงานที่สำคัญงานนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top