Saturday, 21 June 2025
ECONBIZ NEWS

'รัดเกล้า' เผย!! 6 ธนาคาร ขานรับนโยบายรัฐ พาเหรด!! หั่นดอกเบี้ย 0.25% นาน 6 เดือน

(29 เม.ย. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ธนาคารหลายแห่งร่วมขานรับนโยบายรัฐบาล หลังสมาคมธนาคารประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% เป็นเวลา 6 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้ เป็นต้นไป 

โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือลูกหนี้ทุกกลุ่ม อันเป็นผลจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เชิญผู้บริหารธนาคารมาพูดคุยหารือเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ จากนั้นสมาคมธนาคารก็ได้มีมติร่วมกันในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายย่อย และกลุ่มเปราะบางตามนโยบายรัฐบาล โดยนายกฯ ชื่นชมสมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิกที่ให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เข้าใจถึงภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย เป็นการช่วยเหลือทั้งภาคธุรกิจ และประชาชนโดยรวม

รองโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ธนาคาร และสถาบันการเงินที่ร่วมขานรับนโยบาย อาทิ 

1.ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ปรับดอกเบี้ยลง 0.4% เหลือ 6.35% แบงก์แรกของรัฐที่ลดและลดดอกเบี้ยเหลือต่ำที่สุด มีผลตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย.นี้ 

2.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ลูกค้ากู้บ้าน 1.8 ล้านราย 

3.บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ปรับลดดอกเบี้ย 0.25% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้ 

4.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ปรับลดดอกเบี้ย 0.25% 

5.ธนาคารกรุงเทพ ปรับลดดอกเบี้ย 0.25% มีผลตั้งแต่วันที่ 29 เมษายนนี้ 

และ 6.ธนาคารออมสิน ปรับลดดอกเบี้ย 0.40% เหลือ 6.95% ซึ่งต่ำสุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และลดให้อัตโนมัติ ไม่ต้องติดต่อธนาคาร เป็นต้น

“ประชาชน และกลุ่ม SMEs ถือเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ การปรับลดดอกเบี้ยแม้เพียงแค่ 6 เดือน แต่ก็ช่วยให้สามารถเอาไปต่อยอดได้ โดยรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ เดินหน้าหามาตรการ และแนวทาง เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุดอย่างต่อเนื่อง” นางรัดเกล้า กล่าว

‘สุริยะ’ ลุยต่อ!! ดันรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ลั่น!! ก.ย.68 เชื่อมครบทุกสี แง้ม!! กำลังคุย ‘พรบ.ตั๋วร่วม’

(29 เม.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินการนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น มั่นใจว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี หรือ ช่วงกันยายน 2568 รถไฟฟ้าทุกสี และทุกสาย จะเข้าร่วมนโยบายทั้งหมด ขณะที่รถไฟฟ้าสีอื่น ๆ ที่อยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างและเตรียมก่อสร้าง ซึ่งเมื่อโครงการแล้วเสร็จ หากตนยังคงดำรงอยู่ในตำแหน่งรมว.คมนาคม ขอยืนยันว่าจะผลักดันให้เข้าร่วมนโยบายทั้งหมดเช่นกัน

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า นโยบายดังกล่าวนอกจากเป็นการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนแล้ว ยังสามารถลดปัญหา PM 2.5 ในขณะนี้ได้อีกด้วย เนื่องจากประชาชนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวได้มีการปรับเปลี่ยนการเดินทางมาใช้รถไฟฟ้าแทน รวมถึงยังแก้ปัญหาการจราจรติดขัดในพื้นที่ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการจัดเส้นทาง Feeder เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย พร้อมคาดว่าภายในระยะ 2-3 เดือนนี้จะเห็นความชัดเจน ซึ่งนอกเหนือจาก ขสมก. แล้ว หากเอกชนรายใดที่มีความพร้อมด้านการให้บริการขนส่ง ก็สามารถเข้าร่วมการจัดเส้นทาง Feeder ได้ ซึ่งแผนระยะสั้นจะผลักดันประมาณ 30 เส้นทาง เพื่อรองรับการให้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดง

ส่วนระยะต่อไป คาดเป็นช่วงปี 2568-2569 จะเพิ่มจำนวนเพิ่มเติม เพื่อรองรับการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายสีเขียว สายสีชมพู และสายสีส้ม และอีก 66 เส้นทางจะดำเนินการในระยะถัดไปตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป

ด้านแผนจัดทำ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ขณะนี้มีการเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และอยู่ระหว่างพิจารณาถึงหลักการด้านต่าง ๆ ที่มีความเหมาะสม เบื้องต้นคาดว่าภายในปี 2568 จะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังได้เตรียมแผนจัดตั้งกองทุนเพื่อชดเชยผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องจากมาตรการดังกล่าว โดยเม็ดเงินจากกองทุนที่จะนำมาชดเชยนั้นจะมาจากขอรับการสนับสนุนจากกองทุนอนุรักษ์พลังงาน การสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล เป็นต้น

ส่งออกมีนาคมไทย ติดลบ 10.9% ต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ลบ 4% หยุดสถิติส่งออกไทยโต 7 เดือนติด สู่ติดลบแรกในรอบ 8 เดือน

(29 เม.ย. 67) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ เปิดเผยว่า การค้าระหว่างประเทศ หรือการส่งออกเดือนมีนาคม 2567 พบว่ามีมูลค่า 24,960.6 ล้านดอลลาร์ หดตัว 10.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ส่วนการนำเข้ามูลค่า 26,123.8 ล้านดอลลาร์ ขาดดุล 1,163.3 ล้านดอลลาร์

สาเหตุจากฐานการส่งออกที่สูงในเดือนเดียวกันของปี 2566 แต่ยังคงรักษาระดับการส่งออกได้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของมูลค่าการส่งออกย้อนหลัง 5 ปี จากปัจจัยหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอน และขยายตัวต่ำ ปัญหาความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ การดำเนินนโยบายทางการเงิน หรืออัตราดอกเบี้ยอย่างเข้มงวดยาวนาน ส่งผลต่อกำลังซื้อปัญหาหนี้สิน และการตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจ

หากพิจารณาในภาพรวม 3 เดือนแรก หรือไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 พบว่า มีมูลค่า 70,995.3 ล้านดอลลาร์ หดตัว 0.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 การนำเข้า มีมูลค่า 75,470.5 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 3.8% ดุลการค้า ไตรมาสแรกของปี 2567 ขาดดุล 4,475.2 ล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ การส่งออกของไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 มีมูลค่า 23,384.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (827,139 ล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ที่ร้อยละ 3.6 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 2.3

‘กฟผ.’ มอบส่วนลด 5,555 สิทธิ์ ชวนใช้ ‘ตู้เย็นติดฉลากเบอร์ 5’ แบบใหม่ ‘ไร้สี-ไร้กลิ่น-เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ 1 พ.ค. - 30 ก.ย.นี้ ณ ห้างสรรพสินค้า

กฟผ. ชวนใช้ตู้เย็นติดฉลากเบอร์ 5 แบบใหม่ ใช้สารทำความเย็นธรรมชาติ ช่วยประหยัดไฟฟ้า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เตรียมมอบ 5,555 สิทธิ์ส่วนลดแก่ประชาชน เริ่ม 1 พ.ค. - 30 ก.ย. 67 นี้ ณ ห้างสรรพสินค้าที่เข้าร่วมกิจกรรมทั่วประเทศ

นายธวัชชัย สำราญวานิช ผู้ช่วยผู้ว่าการแผนงานโรงไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประธานกรรมการบริหารกองทุนนวัตกรรมสำหรับอุตสาหกรรมทำความเย็น เปิดเผยว่า ปีนี้ กฟผ. ครบรอบ 55 ปี กฟผ. ร่วมกับผู้ประกอบการฉลากเบอร์ 5 และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ จัดกิจกรรม ‘ร่วมรักษ์โลก ร่วมรักษ์พลังงาน ร่วมใช้ตู้เย็นฉลากเบอร์ 5 แบบใหม่’ เปลี่ยนจากเบอร์ 5 แบบเก่าประสิทธิภาพสูงสุดที่ 3 ดาว เป็น 5 ดาว มอบสิทธิ์ส่วนลดแก่ประชาชน จำนวน 5,555 สิทธิ์ มูลค่ารวมเกือบ10 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเลือกใช้ตู้เย็นที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยประหยัดไฟฟ้า และใช้สารทำความเย็นธรรมชาติ หรือ สาร Isobutane (R600a) ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่เป็นพิษเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

>> สำหรับสิทธิ์ส่วนลดดังกล่าว ประกอบด้วย…

1.) ส่วนลดสูงสุด 3,500 บาท จำนวน 1,555 สิทธิ์ สำหรับซื้อตู้เย็นที่ได้รับฉลากเบอร์ 5 ห้าดาว ขนาด 7.1 - 14.0 คิวบิกฟุต
2.) ส่วนลด 1,500 บาท จำนวน 2,000 สิทธิ์ สำหรับซื้อตู้เย็นที่ได้รับฉลากเบอร์ 5 ห้าดาว ขนาดไม่เกิน 7 คิวบิกฟุต และมากกว่า 14 คิวบิกฟุตขึ้นไป ขนาดละ 1,000 สิทธิ์
และ 3) ส่วนลด 750 บาท จำนวน 2,000 สิทธิ์ สำหรับซื้อตู้เย็นที่ได้รับฉลากเบอร์ 5 ถึงฉลากเบอร์ 5 สี่ดาว

โดยเปิดให้รับสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม - 30 กันยายน 2567 หรือจนกว่าผู้ใช้สิทธิ์จะครบตามจำนวน เพียงแสดงบัตรประชาชนเพื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ 1 คน ต่อ 1 สิทธิ์ ที่เคาน์เตอร์ชำระเงินของห้างสรรพสินค้าที่ร่วมกิจกรรมทั้ง 12 ราย ได้แก่ โฮมโปร เมกาโฮม ไทวัสดุ บีเอ็นบีโฮม เพาเวอร์บาย เดอะมอลล์ เอ็มโพเรียม สยามพารากอน โกลบอลเฮ้าส์ ดูโฮม ฮาร์ดแวร์เฮาส์ และร้านสหกรณ์ กฟผ.

ทั้งนี้ ฉลากเบอร์ 5 แบบใหม่ นอกจากจะเพิ่มทางเลือกให้ผู้ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าได้ประหยัดมากขึ้น และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว ยังมีขั้นตอนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมี QR Code ให้ตรวจสอบข้อมูลของผลิตภัณฑ์ได้ คาดว่ากิจกรรมส่งเสริมการใช้ตู้เย็นเบอร์ 5 แบบใหม่ จะประหยัดพลังงานไฟฟ้าลงได้ประมาณ 1.6 ล้านหน่วยต่อปี หรือคิดเป็นเงิน 8 ล้านบาทต่อปี และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 800 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ลดผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน จากการใช้สารทำความเย็นธรรมชาติ R600a ได้เกือบ 100% เมื่อเทียบกับการใช้สารทำความเย็น R134a

คลังจ่อเก็บ VAT สินค้านำเข้าราคาต่ำกว่า 1,500 บาท หวังเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี คาดเริ่มใน พ.ค.นี้

(29 เม.ย. 67) นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ประมาณต้นเดือน พ.ค.นี้ จะมีความชัดเจนเรื่องการออกประกาศกรมศุลกากร เป็นกฎกระทรวง เกี่ยวกับแนวทางการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากการนำเข้าสินค้าที่มีมูลค่าราคาไม่เกิน 1,500 บาท (Low-Value Goods)

ทั้งนี้ หากสรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากการนำเข้าสินค้าที่มีมูลค่าราคาไม่เกิน 1,500 บาท (Low-Value Goods) จะประกอบไปด้วยรายละเอียด ดังนี้...

>> มีผลเมื่อไหร่:
- คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในเดือน พฤษภาคม 2567

>> ใครต้องเสียภาษี:
- แพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- บุคคลอื่นตามที่กฎหมายกำหนด
- สินค้าที่ต้องเสียภาษี: สินค้าที่นำเข้าที่มีมูลค่าราคาไม่เกิน 1,500 บาท

>> อัตราภาษี: 7%

>> วิธีการเสียภาษี:
- แพลตฟอร์มจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร
- แพลตฟอร์มจะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ขายในต่างประเทศ
- แพลตฟอร์มจะต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับกรมสรรพากรเป็นรายเดือน

>> เป้าหมาย:
- เพื่อความเป็นธรรมกับผู้ขายในประเทศไทยที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
- เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี
- เพื่อป้องกันสินค้าที่หลุดรอดจากการเสียภาษี

“กรมสรรพากร และกรมศุลกากร กำลังร่วมมือกันดำเนินการอยู่ คาดว่าภายในต้นพ.ค. น่าจะมีความชัดเจน การดำเนินการเรื่องนี้ แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ การแก้ไขแบบถาวร คือ แก้ที่ประมวลรัษฎากร ตรงนี้ใช้เวลา ซึ่งกรมสรรพากรกำลังดำเนินการอยู่ โดยระหว่างที่ประมวลรัษฎากรยังแก้ไขไม่เสร็จ ก็จะมีโครงการเร่งด่วนระยะสั้น โดยกรมศุลกากรจะออกประกาศ เป็นกฎกระทรวงในการจัดเก็บภาษี VAT กับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท จากแต่ก่อนที่ไม่ต้องเสียภาษี ต่อไปก็จะต้องเสียภาษี คาดว่าจะมีผลภายในพ.ค.นี้” นายลวรณ กล่าว

‘ศ.นฤมล’ หารือ ‘ผู้ประกอบการ-นักธุรกิจ’ เพื่อขยายตลาดให้เกษตรกร เผย!! จีนสนใจ ‘มะพร้าวน้ำหอม’ไทย นำไปแปรรูป เป็นเครื่องดื่มผสมชา

(28 เม.ย. 67) ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยภายหลังพบหารือกับ ดร.นรีรัตน์ รัตนพรวิเศษกุล ประธานไทยพาวิลเลี่ยน Mr.Guo Han Xiong ประธานกรรมการบริษัท Hanlong Investment Group รวมทั้งผู้ประกอบการและนักธุรกิจจีน เพื่อร่วมผลักดันและส่งเสริมตลาดการค้าการลงทุนไทย – จีน ในประเด็นสินค้าเกษตรและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คลังสินค้าด้านการเกษตร การขนส่งสินค้า ระบบโลจิสติกส์ การลงทุนในไทย และการแปรรูปสินค้าเกษตรไทย 

ในส่วนของสินค้าเกษตร นักธุรกิจจีนมีความสนใจนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย ได้แก่ กระเทียม ขิง มันสำปะหลัง และมะพร้าวน้ำหอมของไทย ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในตลาดผู้บริโภคของจีน โดยได้นำมะพร้าวน้ำหอมของไทย ไปแปรรูปเป็นเครื่องดื่ม “ชาจีน + มะพร้าวไทย” 

ปัจจุบันตลาดผู้ประกอบการจีนใช้มะพร้าวน้ำหอมจากประเทศไทยเดือนละประมาณ 700,000 ลูกต่อเดือน และมีความต้องการนำเข้ามะพร้าวน้ำหอมจากไทยเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 3,000,000 ลูกต่อเดือน นอกจากนี้ ผู้ประกอบการจีนยังมีความต้องการนำเข้าสินค้าและอาหารทะเลจากประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกด้วย

'ไดโดมอน' ปิ้งย่างสุดฮิตยุค 80 ปิดสาขารองสุดท้ายที่ 'เซ็นทรัลอุบลฯ' เหลือสาขาเดียวที่ 'รังสิต' จากเคยบูมกว่า 60 สาขาเมื่อ 23 ปีที่แล้ว

(28 เม.ย. 67) เฟซบุ๊กเพจ ‘Daidomon’ ประกาศปิดสาขาเซ็นทรัลอุบล โดยจะให้บริการถึงวันที่ 30 เมษายน 2567 เป็นวันสุดท้าย ระบุข้อความว่า “ขออภัยในความไม่สะดวก Daidomon Korean Grill สาขาเซ็นทรัลอุบล ขอแจ้งปิดบริการ โดยให้บริการถึงวันที่ 30 เม.ย. 67 เป็นวันสุดท้าย ขอขอบคุณลูกค้าที่ให้การสนับสนุนทางร้านมาด้วยดีเสมอ โดยท่านสามารถใช้บริการสาขาฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต : ชั้น B โซนโรบินสัน ได้ตามปกติ”

สำหรับ ‘ไดโดมอน’ เป็นร้านอาหารสไตล์ปิ้งย่างที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2526 นับเป็นร้านบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างแห่งแรกๆ ในไทย เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหนึ่ง ก่อนที่ บริษัท ฮอทพอท จำกัด (มหาชน) จะเข้าซื้อกิจการ บริษัท ไดโดมอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2554 เพื่อเติมพอร์ตร้านอาหารสไตล์ปิ้งย่าง จากเดิมที่เน้นสุกี้-ชาบูเพียงอย่างเดียว

ไม่นานหลังจากนั้น บริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (มหาชน) ของตระกูล “เตชะอุบล” ก็ทำการเข้าซื้อกิจการฮอทพอทในปี 2561 จึงมีการเปลี่ยนชื่อบริษัท เป็น บริษัท เจซีเค ฮอสพิทัลลิตี้ จำกัด (มหาชน) โดยมีเป้าหมายในการบุกสมรภูมิร้านอาหารที่หลากหลาย ไม่ได้จำกัดเพียงบุฟเฟ่ต์ สุกี้ หรือปิ้งย่างอีกต่อไป หลังจากนั้นเราจึงได้เห็นความหลากหลายของพอร์ตธุรกิจในกลุ่มเจซีเคที่มีตั้งแต่อาหารญี่ปุ่น อาหารจีน ไปจนถึงอาหารอิตาเลียน

อย่างไรก็ตาม หากดูผลประกอบการของกลุ่มเจซีเคที่ผ่านมาพบว่า ยังเผชิญกับภาวะขาดทุนทุกปี หากนับย้อนตั้งแต่ปี 2557 ถึง 2565 พบว่า ขาดทุนสะสมกว่า 1.3 พันล้านบาท โดยมีรายละเอียดรายได้ 4 ปีหลัง ดังนี้

ปี 2562: รายได้ 1,397 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 158 ล้านบาท
ปี 2563: รายได้ 701 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 142 ล้านบาท
ปี 2564: รายได้ 440 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 257 ล้านบาท
ปี 2565: รายได้ 547 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 214 ล้านบาท

สำหรับธุรกิจหลักของกลุ่มเจซีเค มี ฮอทพอท เป็น Core Business ครองสัดส่วนรายได้เกิน 50% ของโครงสร้างรายได้ทุกปี ทว่า ปัจจุบันร้านฮอทพอทมีเพียง 4 แห่งทั่วประเทศ โดยมีสาขาในกรุงเทพฯ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น จับตาดูสถานการณ์กันต่อไปว่า เจซีเคจะมีแผนปรับเกมเช่นไร ในช่วงเวลาที่ตลาดร้านอาหารแข่งขันกันดุเดือดเช่นนี้

'ดร.ก้องเกียรติ' แง้ม!! ทางออกแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เชียงใหม่ ผลักดันเกษตรกรเข้าสู่ระบบนิเวศโครงการ 'หยุดเผา เรารับซื้อ'

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ 'ดร.ก้องเกียรติ สุริเย' ผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนเครดิต และประธานกรรมการ บริษัท จีอาร์ดี เทค จำกัด ในประเด็น 'ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เชียงใหม่ อะไรคือทางออก?' เมื่อวันที่ 27 เม.ย.67 โดยมีเนื้อหาดังนี้ ว่า...

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งส่อเค้ารุนแรงขึ้นในปัจจุบัน มีผู้ป่วยจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 เข้ารับการรักษาแล้วกว่า 3 หมื่นราย หลังพบปัญหาสภาพอากาศต่อเนื่อง 

คำถาม คือ ปัญหาที่แท้จริงของฝุ่น PM 2.5 คืออะไร? 

ผมได้มีโอกาสอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ เพื่อหาสาเหตุว่าปัญหาฝุ่น PM 2.5 เกิดจากอะไร โดยได้ลงพื้นที่และเข้าไปพูดคุยกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทำให้เห็นปัญหาหลัก ๆ อยู่ 3 ประการ ได้แก่...

1.การเผาจากการทำเกษตรแบบดั้งเดิม ซึ่งนิยมเผาตอซังและฟางข้าว เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่าย คุ้มค่า ใช้เวลาน้อย สะดวกสบาย และต้นทุนต่ำ 

2.วัฒนธรรมการบริโภคของป่า เช่น หน่อไม้ เห็ดเผาะ ทำให้เกิดการเผาป่าตอนหน้าร้อนเพื่อเก็บของป่าตอนหน้าฝน 

และ 3. เกิดการจ้างเผาจากบุคคลภายนอกหรือบุคคลที่ 3 เพื่อเอาเบี้ยเลี้ยงในการจ้างดับไฟ 

ทั้งนี้ หากมองในส่วนของการแก้ไขปัญหานั้น ดร.ก้องเกียรติ ยกตัวอย่าง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ไว้ว่า เมืองเหล่านี้เคยประสบปัญหาเรื่องมลพิษทางอากาศ ฝุ่น PM 2.5 อย่างมาก แต่ปัจจุบันสามารถแก้ปัญหาได้ โดยหยุดกิจกรรมที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศทั้งหมด เช่น อุตสาหกรรมที่ใช้ถ่านหิน โรงไฟฟ้าถ่านหิน 

โดยหันมาใช้กระบวนการทางกฎหมายและใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีเข้าไปแก้ไขในการกรองฝุ่นก่อนปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม 

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย อาจใช้วิธีนี้แก้ปัญหาได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากต้องมีการบูรณาการในหลายภาคส่วน 

ดร.ก้องเกียรติ กล่าวต่อว่า ส่วนอีกวิธี คือการปลูกจิตสำนึกให้กับประชาชน รณรงค์สร้างการรับรู้ถึงภัยร้ายของฝุ่น PM 2.5 ที่ต้องร่วมแรงร่วมใจกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น หรือการนำธุรกิจเข้ามาแก้ไข โดยใช้กลไกคาร์บอนเครดิตและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาพัฒนาในด้านนี้ ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในตลาดโลก 

อย่าง 'โครงการหยุดเผา เรารับซื้อ' ที่เกิดจากความร่วมมือภาคีเครือข่ายเชียงใหม่ร่วมใจขจัด PM 2.5 และลดโลกร้อน ด้วยการรับซื้อซังข้าวโพดจากเกษตรกร แล้วนำมาแปรรูปเป็นชีวมวลอัดแท่งส่งไปสู่ระบบคาร์บอนเครดิต ที่เป็นโครงการต่อเนื่องจากปี 2566 ก็กำลังได้รับการตอบรับจากเกษตรกรเป็นอย่างดี 

โดยมีแผนงานจัดตั้งโรงงานในภาคเหนือประมาณ 10 แห่งในอนาคต เพื่อรองรับการแปรรูปเป็นชีวมวลอัดแท่งที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ปัจจุบันขยะทางการเกษตรในจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีรวมกันประมาณ 600,000 ตัน/ปี ซึ่งหนึ่งโรงงานสามารถแปรรูปเป็นชีวมวลอัดแท่งได้ประมาณ 30,000 ตัน/ปี จึงต้องจัดตั้งโรงงานให้ได้อย่างน้อย 10 แห่ง 

ขณะที่ในระดับโลก มีความต้องการชีวมวลอัดแท่งประมาณ 10 ล้านตันต่อปี แต่ถ้าเผาขยะทางการเกษตร 600,000 ตันจะทำให้เกิดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) จำนวน 800,000 ตัน/ปี เรียกได้ว่าถ้าหยุดเผา ก็จะกลายเป็นคาร์บอนเครดิตสร้างเม็ดเงินได้เป็นหลักร้อยล้านบาท และสามารถนำขยะทางการเกษตรมาขายคืนสร้างเงินกลับไปสู่เกษตรกรได้อีก 

"สำหรับระบบนิเวศ (Ecosystem) 'หยุดเผาเรารับซื้อ' มีรูปแบบดังนี้ เมื่อเกษตรกรนำขยะทางการเกษตรมาขายให้กับโรงงาน ได้เงินกลับไป ตันละ 700 บาท ทางโรงงานก็จะนำขยะทางการเกษตรนั้นมาแปรรูปเป็นชีวมวลอัดแท่ง โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อขายให้กับโรงไฟฟ้านำไปทดแทนถ่านหินซึ่งเป็นตัวการใหญ่ทำลายอากาศโลก โดยการใช้ชีวมวลอัดแท่งช่วยลดการปล่อยมลพิษทางอากาศได้ โรงไฟฟ้าก็จะกลายเป็นโรงไฟฟ้าสีเขียว ผลิตพลังงานสะอาดกลับสู่ประชาชน และยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย" ดร.ก้องเกียรติ ขยายความในช่วงท้าย

‘พีระพันธุ์’ ยื่นเสนอ ครม.ให้ช่วยเหลือค่าไฟฟ้า เดินหน้าผลักดัน ให้ปชช.ใช้ไฟฟ้า ในราคาที่ถูก

(27 เม.ย.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ยื่นเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอใช้งบกลางในการดูแลค่าไฟฟ้าประชาชนงวดที่จะถึงนี้ คือ ในเดือนพ.ค.-ส.ค. 2567 พร้อมทั้งดูแลราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ที่ตรึงราคาไว้ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ระหว่าง 1 เม.ย.-30 มิ.ย. 2567 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอให้ ครม. นำเข้าสู่การพิจารณาในวาระการประชุม ครม. ครั้งต่อไป

โดยเชื่อว่า ครม. จะพิจารณาได้ทันก่อนถึงกำหนดบิลค่าไฟฟ้างวดเดือน พ.ค. 2567 จะออกมา ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ของบประมาณสำหรับดูแลค่าไฟฟ้าเท่าเดิม (งวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2567 ใช้งบกลางดูแลค่าไฟฟ้าประมาณ 2,000 ล้านบาท) หากได้รับการอนุมัติจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าแบ่งเป็น 2 อัตรา คือ กลุ่มที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย จะจ่ายค่าไฟฟ้าเพียง 3.99 บาทต่อหน่วย ขณะที่ผู้ใช้ไฟฟ้าเกิน 300 หน่วยจะจ่ายค่าไฟฟ้า 4.18 บาทต่อหน่วย แต่กรณีที่ ครม. ไม่อนุมัติงบกลางช่วยค่าไฟฟ้า ก็จะส่งผลให้ทุกกลุ่มต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเท่ากันที่ 4.18 บาทต่อหน่วย  

สำหรับในส่วนของ LPG นั้น ยังต้องรอลุ้นเช่นกันว่า ครม.จะพิจารณาให้งบกลางมาช่วยเหลือหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้กำหนดให้ตรึงราคา LPG ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 เดือน ระหว่าง 1 เม.ย.-30 มิ.ย. 2567 โดยให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง นำเงินในบัญชี LPG มาอุดหนุนราคาในเดือน เม.ย. 2567 ส่วนอีก 2 เดือนที่เหลือ คือ เดือน พ.ค.-มิ.ย. 2567 จะของบกลางจากรัฐบาลมาอุดหนุนราคา เนื่องจากกองทุนน้ำมันฯ เหลือเงินดูแลราคา LPG ได้แค่เดือน เม.ย. 2567 ก็จะเต็มกรอบวงเงินแล้ว

อย่างไรก็ตามยังไม่แน่ใจว่า ครม.จะพิจารณาได้ทันก่อนเข้าสู่เดือน พ.ค. 2567 หรือไม่ หากไม่ทันอาจจำเป็นต้องให้กองทุนน้ำมันฯ ดูแลราคา LPG ต่อไปเอง โดยยอมปล่อยให้เงินไหลออกจากกองทุนฯ แบบไม่มีการเก็บเงินเข้ามาเลย

ขณะที่การดูแลราคาดีเซลนั้น ทางกระทรวงพลังงานยังรอการพิจารณาจากกระทรวงการคลังและ ครม. ในการประชุมครั้งต่อไป ว่าจะมีการพิจารณาปรับลดภาษีสรรพสามิตดีเซลให้หรือไม่ หลังจากสิ้นสุดมาตรการลดภาษีดีเซล 1 บาทต่อลิตร ไปเมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องเข้าไปพยุงราคาไว้ 50 สตางค์ต่อลิตร และยอมปล่อยราคาปรับขึ้นตามภาษีดีเซล 50 สตางค์ต่อลิตร ไปเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา  

‘สมอ.’ เดินตามนโยบาย Quick win จาก ‘รมว.ปุ้ย’ 6 เดือน กวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพกว่า 220 ลบ.

(26 เม.ย. 67) นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในการแถลงผลการดำเนินงานของ สมอ. รอบ 6 เดือน ประจำปีงบประมาณ 2567 ว่า สมอ. ยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานด้านการมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ และคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัย ตามนโยบาย Quick win ของนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ในการกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพให้หมดไปจากท้องตลาด โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่ได้มาตรฐาน สร้างผลกระทบให้กับผู้ประกอบการภายในประเทศเป็นวงกว้าง โดย สมอ. ได้ดำเนินการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าที่อยู่ในข่ายการควบคุมของ สมอ. จำนวน 144 รายการ อย่างเข้มข้นและต่อเนื่องในทุกช่องทาง ทั้งการลงพื้นที่ตรวจสอบ การเฝ้าระวังผ่านระบบ NSW และตรวจติดตามการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์

โดยในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม 2566 - มีนาคม 2567) ได้ตรวจจับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมาย ลักลอบผลิตและนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน จำนวน 191 ราย  ยึดอายัดสินค้าเป็นมูลค่ากว่า 220 ล้านบาท โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) เหล็กและวัสดุก่อสร้าง 87.70 ล้านบาท 2) ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 73.23 ล้านบาท และ 3) ยานยนต์ 54.09 ล้านบาท 

ด้านการกำหนดมาตรฐาน สมอ. ตั้งเป้ากำหนดมาตรฐานในปีนี้ 1,000 เรื่อง ครึ่งปีแรกกำหนดมาตรฐานไปแล้ว 469 เรื่อง เช่น เครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์จากลมหายใจ ฝารองนั่งสุขภัณฑ์ไฟฟ้า หลอดฟลูออเรสเซนส์สำหรับเปลี่ยนสีผิวเป็นสีแทน และมาตรฐานวิธีทดสอบยานยนต์ EV เป็นต้น

ทั้งนี้ ได้ประกาศให้สินค้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประชาชนเป็นสินค้าควบคุมเพิ่มอีก 24 ผลิตภัณฑ์ เช่น บันไดเลื่อน ลิฟท์ คาร์ซีท แบตเตอรี่รถ EV ภาชนะพลาสติก และภาชนะสเตนเลส เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้ประกาศใช้มาตรฐานด้านการท่องเที่ยวเพื่อสนับสนุนนโยบาย Soft Power อีกจำนวน 6 มาตรฐาน ได้แก่

1) มาตรฐานการเยี่ยมชมสถานที่ทางธรรมชาติ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ 2) มาตรฐานการดำเนินงานเกี่ยวกับชายหาด 3) มาตรฐานโรงแรมย้อนยุค 4) มาตรฐานร้านอาหารแบบดั้งเดิม  5) มาตรฐานการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ และ 6) มาตรฐานการบริการนักท่องเที่ยวเพื่อสาธารณประโยชน์โดยหน่วยงานคุ้มครองพื้นที่คุ้มครองธรรมชาติ

พร้อมทั้งทบทวนมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) ที่เชื่อมโยงกับนโยบาย Soft Power จำนวน 10 มาตรฐาน เช่น ข้าวเกรียบกรือโป๊ะ สุรากลั่นชุมชน ไวน์ผลไม้ เป็นต้น และได้จัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อรองรับการขับเคลื่อนนโยบายฮาลาล จำนวน 3 มาตรฐาน คือ (1) แยม เยลลี่ และมาร์มาเลด (2) เส้นหมี่ และ (3) โยเกิร์ตกรอบ 

ด้านการออกใบอนุญาต สมอ. ได้นำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการออกใบอนุญาต โดยผลงานครึ่งปีงบประมาณแรกได้ออกใบอนุญาต มอก. จำนวน 7,454 ฉบับ ใบรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน จำนวน 1,597 ฉบับ ใบรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรมเอส จำนวน 132 ฉบับ และใบรับรองระบบงาน จำนวน 212 ฉบับ รวมทั้งสิ้น 9,395 ฉบับ

ด้านการมาตรฐานระหว่างประเทศ สมอ. ได้เข้าร่วมเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) และเจรจาจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วม (MRA) ด้านการมาตรฐานกับประเทศต่างๆ เพื่อขยายโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการของไทย รวมถึงปกป้องผลประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าโลก อาทิ

1) การเจรจาทำ FTA กับศรีลังกา ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังศรีลังกา ปีละกว่า 10,800 ล้านบาท  2) การเจรจาจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วม (MRA) สมอ. - BMSI (ไต้หวัน) เพื่อให้ไต้หวันยอมรับผลทดสอบและรับรอง ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในการตรวจสอบสินค้า เป็นการช่วยสนับสนุนการส่งออกสินค้าไปยังไต้หวัน ในปี 2566 กว่า 13,000 ล้านบาท

3) การเจรจากับอินเดียให้เลื่อนการบังคับใช้กฎระเบียบควบคุมคุณภาพสำหรับสินค้าแผ่นไม้ของอินเดีย ทำให้ผู้ประกอบการไทยรักษาตลาดส่งออกสินค้าไปยังอินเดีย ปีละกว่า 2,700 ล้านบาท 

และ 4) การเจรจาร่างกฎระเบียบว่าด้วยมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานสำหรับรถยนต์ใหม่ของออสเตรเลีย โดยขอให้ออสเตรเลียพิจารณากำหนดเกณฑ์การปล่อยก๊าซ CO2 อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีเวลาในการเตรียมตัว 

“6 เดือนหลังจากนี้ สมอ. จะเร่งรัดการดำเนินงานในทุก ๆ ด้าน ให้เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เพื่อเสริมแกร่งให้ภาคอุตสาหกรรมของไทย รวมทั้ง เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาดให้มากยิ่งขึ้น เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top