Sunday, 8 June 2025
THE STATES TIMES TEAM

กลัวโดนแกง!! จนท. เอาชัวร์ จัด3 จีโน่ พร้อมตรึงกำลังรอบสำนักงานทรัพย์สินฯ 

ถึงแม้ว่าม็อบ 25 พ.ย. จะย้ายพิกัดกะทันหัน จากหน้าสถาบันทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตามกำหนดเดิม แล้วเปลี่ยนไปที่ SCB สำนักงานใหญ่แทน
.
แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ดูจะยังไม่วางใจเท่าไรนัก โดยช่วงเช้ามานี้ได้มีการวางกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนไว้หลายกองร้อย 
.
อีกทั้งยังได้ส่งรถฉีดน้ำ ‘จีโน่’ ไปประจำในพื้นที่รอบสถาบันทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 3 คัน พร้อมวางตู้คอนเทรนเนอร์ปิดถนนโซนราชดำเนินตรงสะพานมัฆวานซ้อนกัน 2 ชั้น รวมถึงที่สะพานขาวด้วย 
.
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังมีการปิดการจราจรแยกอุรุพงษ์ เส้นทางมุ่งหน้าสนามม้านางเลิ้ง ถนนหลานหลวง-ถนนพิษณุโลก-ทำเนียบ โดยมีเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนและจราจร สน.นางเลิ้งอำนวยการจราจรบริเวณดังกล่าว 
.
พร้อมนำตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ และรั้วสังกาสี - ลวดหนามปิดการจราจรก่อนถึงทางลงทางด่วนอุรุพงษ์ 
.
จะเกิดเหตุแกงไปแกงมาหรือไม่ แต่นาทีนี้เจ้าหน้าที่คงหวังเพลย์เซฟไว้ก่อน เอาชัวร์!!

มารู้จักพันธมิตร Five Eyes ตาส่องโลก

ในช่วงนี้ ชื่อของกลุ่มพันธมิตร Five Eyes หรือ ดวงตาทั้ง 5 กลายเป็นจุดสนใจของสื่อต่างประเทศอีกครั้ง เมื่อมีคำแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีต่างประเทศในกลุ่มพันธมิตร Five Eyes ที่ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ออกมาวิจารณ์ คำสั่งของรัฐบาลจีน ให้ปลดแกนนำฝ่ายค้านในสภานิติบัญญัติของฮ่องกงจำนวน 4 คน ในข้อหาฝ่าฝืนกฏหมายความมั่นคงใหม่ของจีน ที่ทำให้ฝ่ายค้านประท้วงด้วยการลาออกยกสภาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

ซึ่งกลุ่มพันธมิตร Five Eyes วิจารณ์ว่า นี่เป็นการปิดปากฝ่ายค้านของรัฐบาลจีน และผิดสัตยาบันที่จีนเคยให้ไว้ว่าจะให้สิทธิเสรีภาพในดินแดนฮ่องกงตามแบบแผน 1 ประเทศ 2 ระบบ ไปจนถึงปี ค.ศ.2047

 

หลังจากที่กลุ่มพันธมิตร Five Eyes ได้ออกแถลงการณ์ไม่กี่วัน ฝ่ายปักกิ่งก็ส่งโฆษกต่างประเทศ จ้าว หลี่เจียน เจ้าของฉายาหมาป่าพันธุ์ดุของลุงสี่ จิ้นผิง ออกมาตอบโต้ทันทีว่า นี่คือเรื่องภายในของจีนที่ต่างชาติไม่ควรมาก้าวก่าย

 

และวาทะดุที่ทางปักกิ่งฝากมาบอกกับเหล่าพันธมิตรเบญจเนตรทั้งหลายก็คือ

 

"หากยังมายุ่งวุ่นวายเรื่องระหว่างจีนและฮ่องกงอีก ไม่ว่าจะ 5 ตา หรือ 10 ตา พ่อจะจิกให้ตาหลุด"

 

เป็นการตอบโต้ที่ฟาดได้ฟาด สั้นแต่จบ None of your business รู้เรื่อง

 

ว่าแต่พันธมิตร Five Eyes นี่ มาร่วมลงเรือลำเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่างไร วันนี้จะมาเล่าถึงต้นกำเนิดกลุ่มดวงตาทั้ง 5 นี้กันดีกว่า

 

ต้นกำเนิดของ Five Eyes ในครั้งแรกไม่ได้มาพร้อมกันทั้ง 5 ดวง จุดเริ่มต้นนั้นมีมาตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางอังกฤษ และ สหรัฐอเมริกาได้เซ็นข้อตกลงเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลลับทางทหารร่วมกัน ที่เรียกว่า 1943 BRUSA Agreements

 

แต่พอสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติไปแล้ว ด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่สัญญาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับ กลับไม่ได้สิ้นสุดไปด้วย เพราะทั้งสหรัฐ และอังกฤษเห็นตรงกันว่า ต่อจากนี้ไป ภัยคุกคามความมั่นคงจะไม่ใช่ฝ่ายนาซีอีกต่อไป แต่เป็นลัทธิสังคมนิยม และอิทธิพลของสหภาพโซเวียต

 

ดังนั้นข้อตกลง BRUSA Agreements ฉบับเดิม ก็ได้กลายเป็นข้อตกลงความร่วมมือฉบับใหม่ ที่ชื่อว่า  UKUSA Agreement  และให้อ่านแบบเกร๋ๆ ว่า ยู-คู-ซา (ไม่ใช่ยากูซ่านะจ๊ะ)

 

มีพันธมิตรแค่ 2 ชาติ แต่ต้องสอดแนมฝ่ายโซเวียต และ พันธมิตร Eastern Bloc ที่เป็นประเทศสังคมนิยมในยุโรปตะวันออก และอีกหลายชาติในเอเชีย รวมถึงจีน อาจทำไม่ไหว จึงดึงกลุ่มประเทศหลักๆ ในเครือจักรภพอังกฤษมาร่วมด้วย ได้แก่ แคนาดา (1948) ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ (1956) รวมกันกลายเป็น 5 ชาติ

 

และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของกลุ่มพันธมิตร Five Eyes ที่หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการรวมกลุ่มจากประเทศมหาอำนาจที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักเหมือนกัน ซึ่งนั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง เพราะการสื่อสารระหว่างกลุ่มให้เข้าใจตรงกันทุกถ้อยคำเป็นเรื่องสำคัญ แต่เป้าหมายหลัก คือการสร้างโครงข่ายสอดแนมฝ่ายตรงข้าม (โลกสังคมนิยม) ที่ต่อมา กลายเครือข่ายสปายที่ใหญ่ที่สุดในโลก

 

และเมื่อมีข้อตกลงแล้วว่าจะมีการแชร์ข้อมูลข่าวลับร่วมกัน ดังนั้นการมีอยู่ของกลุ่ม Five Eyes ในช่วงแรกๆ จึงเป็นความลับมากๆ  แม้แต่คนในรัฐบาลของประเทศนั้นๆ หากไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝ่ายความมั่นคงระดับสูงยังไม่รู้เลย

 

ในกลุ่ม Five Eyes ก็ร่วมพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่เรียกว่า ECHELON ขึ้นมาใช้งาน แล้วก็ดำเนินการสอดแนมความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นการดักฟังโทรศัพท์ ติดตามตัวบุคคลเป้าหมาย แกะรอยท่อน้ำเลี้ยง จารกรรมข้อมูลระดับสูง และต้องป้องกันการล้วงข้อมูลจากฝ่ายตรงข้ามด้วยเช่นกัน

 

การแชร์ข้อมูลในระบบ ECHELON แบ่งออกเป็น 4 หมวด แบ่งงานชัดเจนว่าหน่วยงานไหนรับผิดชอบเรื่องไหน

 

1. ข่าวกรองสัญญาณ เป็นข้อมูลที่ได้จากการดักฟัง จับสัญญาณเครือข่าย ที่ปัจจุบันมีการสอดแนมผู้ใช้ออนไลน์ด้วย หน่วยงานที่รู้จักกันดีเช่น NSA หรือสำนักงานหน่วยข่าวกรองสหรัฐ  GCHQ หรือ Government Communications Headquarters ของอังกฤษ

 

2. ข่าวกรองด้านการทหาร ที่ฝ่ายกลาโหมของแต่ละประเทศก็รับผิดชอบข้อมูลในส่วนนี้ไป

 

3. ข่าวกรองด้านความปลอดภัย ที่คอยส่องหาข้อมูลภายในของแต่ละประเทศ หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนี้ที่รู้จักกันดี ก็มี FBI และ MI5

 

4. ข่าวกรองส่วนบุคคล นี่แหละคืองานของสายลับจริงๆ ที่ต้องเข้าไปคลุกวงใน เข้าพื้นที่ แทรกซึม เพื่อให้ได้ข้อมูลด้วยตัวเอง หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนี้ได้แก่ CIA MI6 เป็นต้น

 

ฟังดูอาจคล้ายๆ หนังสายลับแฟรนไชส์เรื่องดัง ก็ไม่ต้องแปลกใจเพราะช่วงนั้นตรงกับยุคสงครามเย็นพอดี ที่ต่างฝ่าย ต่างจ้องสอดแนมความลับของกันละกัน บนพื้นฐานของความไม่ไว้ใจกัน

 

แต่เมื่อสหภาพโซเวียตได้ล่มสลายไป บรรยากาศของสงครามเย็นก็เริ่มผ่อนคลาย พันธมิตรเบื้องหลังอย่าง Five Eyes จึงเริ่มถูกเปิดเผยให้คนทั่วไปทราบ ที่เข้าใจว่า พันธมิตรเบญจเนตรก็คงได้เวลาพักกิจกรรมสอดแนมไปทำอย่างอื่นกันได้แล้ว

 

แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น การสอดแนมข่าวกรองของ Five Eyes กลับยิ่งทวีความเข้มข้นมากขึ้น และยิ่งมากขึ้นไปอีกหลังสหรัฐโดนโจมตีในเหตุการณ์ 9/11

 

จากเดิมที่สอดแนมแค่ จีน รัสเซีย และประเทศในโลกสังคมนิยม กลับขยายวงออกไป กลายเป็นสอดแนม ดักฟังการสื่อสารจากรัฐบาลทั่วโลก และยังขยายลงไปถึงการสื่อสารภายในองค์กรเอกชน และระบบสื่อสารของประชาชนทั่วไปในประเทศ

 

เอ็ดเวิร์ด สโนเดน คืออดีตหนึ่งในทีมเทคนิคของ NSA ได้ออกมาแฉงานสอดแนมของรัฐบาลสหรัฐ ที่เข้าถึงทุกข้อมูลของประชาชนได้ทุกคน ไม่อาจหลบได้ และยังนำยุทธศาสตร์การสอดแนม ที่ก็เป็นส่วนหนึ่งในโปรเจค Five Eyes ออกมาเปิดเผย จนตอนนี้ตัวสโนเดน ก็อยู่ในสหรัฐอเมริกาไม่ได้แล้ว ต้องลี้ภัยไปอยู่ถาวรที่รัสเซีย

 

เมื่อเรื่องแดงเช่นนี้ หลายชาติก็เริ่มไม่พอใจ ว่าขอบเขตการสอดแนมของ Five Eyes ชักจะล้ำเส้นเกินไปแล้ว แต่จะบอกให้หยุดคงเป็นไปไม่ได้ แทนที่จะถูกสอดแนมแต่เพียงฝ่ายเดียว ก็เข้าร่วมวงแชร์ข้อมูลกันเสียเลยน่าจะดีกว่า

 

และจาก Five Eyes ก็ขยายวงกลายเป็น Nine Eyes เพิ่มมาอีก 4 ตา คือ ฝรั่งเศส เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ และ นอร์เวย์

 

ต่อมาจาก 9 ตา ก็กลายเป็น 14 ตา เมื่อ เยอรมัน เบลเยี่ยม อิตาลี สวีเดน และสเปน กระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย

 

และจาก Fourteen Eyes ก็มีแนวโน้มที่จะขยายหูตาสับปะรดออกไปอีก เมื่อมีบางประเทศสนใจขอแชร์ข้อมูลด้วย ก็คือ อิสราเอล ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้

 

แต่การที่จะสอดแนมข้อมูลของประชาชนทั่วไปได้ทุกระดับ และใช้อำนาจรัฐบังคับเอาข้อมูลผู้ใช้จากหน่วยงานเอกชน จะไม่ขัดกับกฏหมายว่าด้วยเรื่องสิทธิส่วนบุคคลหรือ

 

เรื่องนี้มีปัญหาแน่นอน บางประเทศทำไม่ได้ด้วย เพราะผิดกฏหมาย ดังนั้นสิ่งที่กลุ่มสมาชิกตาสับปะรดทำคือ สมาชิกจะสอดแนมกันเองในกลุ่ม แล้วนำข้อมูลมาแลกกัน

 

ซึ่งเรื่องนี้ ก็เคยมีในหลักฐานเอกสารที่เอ็ดเวิร์ด สโนเดน เคยนำข้อมูลออกมาแฉว่า NSA ฝ่ายความมั่งคงสหรัฐ เคยให้เงินทุนก้อนใหญ่สนับสนุนให้ GCHQ ของอังกฤษ ให้สอดแนมประชาชนเป้าหมายของตัวเอง ที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐไม่อาจทำได้เพราะติดปัญหาทางกฏหมาย

 

และนี่คือการทำงานในกลุ่มพันธมิตรตาส่องโลก ที่เชื่อมโยงกันจนกลายเป็นเครือข่ายสายลับที่มีขอบเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลก เพียงแต่ข้อมูลสำคัญระดับสูง ที่เป็น Top of the top secret ยังคงแชร์กันแค่ในกลุ่ม Five Eyes ที่ถือว่าเป็นพันธมิตรเสาหลัก ที่มักจะเคลื่อนไหวสอดรับกันตลอด ไม่มีแตกแถว

 

จึงเป็นที่มาของการเคลื่อนไหวของกลุ่ม พันธมิตร Five Eyes ที่ร่วมด้วยช่วยกันกดดันจีนทุกมิติ ไม่ใช่เฉพาะการสอดแนมเท่านั้น แต่เปิดสมรภูมิจากทุกมิติ ทั้งเรื่องการแบน 5G ดำเนินคดีผู้บริหาร Huawei เปิดโปงค่ายกักกันชาวอุยกูร์ การจับกุมสายลับจีนในสหรัฐ กีดกันการค้าจีน และก็มาถึงประเด็นการแทรกแซงในฮ่องกง ที่ทางจีนออกมาประกาศกร้าวว่า จะกี่ตาก็มาครับ จ้องนัก เดี๋ยวจะควักให้ตาหลุด

 

และนี่ก็คือเรื่องราวเบื้องหลังการก่อตั้งพันธมิตร Five Eyes ตาส่องโลกของพี่ใหญ่ We are watching you. แอบมองดูอยู่นะจ๊ะ แต่เธอไม่รู้บ้างเลย ถึงขู่จกตาอยู่ยิกๆ แต่เธอก็ยังเฉยเมย นาจ๊า

 

แหล่งข่าว

-The Guardian

https://www.theguardian.com/world/2020/nov/20/china-says-five-eyes-alliance-will-be-poked-and-blinded-over-hong-kong-stance

https://www.theguardian.com/uk-news/2013/aug/01/nsa-paid-gchq-spying-edward-snowden

-The Diplomat

https://thediplomat.com/2020/11/five-eyes-countries-issue-joint-statement-on-hong-kong/

-Wikipedia

https://en.m.wikipedia.org/wiki/UKUSA_Agreement

ออกกำลังกายเป็นประจำ ช่วยต้านโควิด-19

โควิด-19 ยังรุกรานคนทั้งโลกอย่างหนักหน่วง แม้จะเริ่มมีข่าวการคิดค้นวัคซีน หรือเริ่มทำการทดลองใช้กันบ้างแล้ว แต่สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในตอนนี้สำหรับตัวเราก็คือ ต้องดูแลตัวเองให้ดี

 

ล่าสุดที่เมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล มีผลการศึกษาเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ที่น่าสนใจ โดยเป็นการศึกษาจากมูลนิธิสนับสนุนการวิจัยแห่งรัฐเซาเปาโล ระบุว่า อัตราของคนที่ป่วยโควิด-19 ในกลุ่มของคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ถือว่าอยู่ในระดับต่ำกว่ากลุ่มอื่นๆ กว่าร้อยละ 34

 

การศึกษาชิ้นนี้อ้างอิงจากแบบสำรวจของผู้คนกว่า 938 คน ซึ่งผู้ที่ออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 15 นาทีขึ้นไป หรือออกกำลังกายหนักหน่วงอย่างน้อย 75 นาทีต่อสัปดาห์ จะเป็นกลุ่มที่พบการป่วยด้วยโควิด-19 ต่ำที่สุด ในทางกลับกัน ผลสำรวจยังพบว่า ผู้ที่มีอัตราการรักษาตัวด้วยโรคโควิด-19 ในโรงพยาบาลสูงที่สุด คือกลุ่มผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวเกิน หรือเป็นโรคอ้วนนั่นเอง

 

ถึงจะเป็นผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช่ขนาดใหญ่นัก แต่หากข้ามจากผลศึกษานี้ไป การดูแลรักษาให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ ย่อมเป็นการป้องกันตัวที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น หยิบรองเท้ากีฬาแล้วไปออกกำลังกายกันเถอะพวกเรา!!

 

อ้างอิง: https://www.xinhuathai.com/high/155671_20201124

25 พฤศจิกายน...วันประถมศึกษาแห่งชาติ

ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 ขึ้น โดยกำหนดให้เด็กที่มีอายุ 7 ปีบริบูรณ์ทุกคน ต้องเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนจนอายุครบ 14 ปีบริบูรณ์ โดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน พระราชบัญญัติประถมศึกษานี้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2464

 

กระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันประถมศึกษาแห่งชาติ ต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2523 ได้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาขึ้น โดยกำหนดให้เปลี่ยนจากวันที่ 1 ตุลาคม มาเป็นวันที่ 25 พฤศจิกายน ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวแทน

 

เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นผู้ให้การสนับสนุนการประถมศึกษาและพระราชทานตราพระราชบัญญัติ อีกทั้งเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระองค์ในคราเดียวกันกับวันวชิราวุธที่ตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปีอีกด้วย

 

ถึงตรงนี้ ถามว่า วันประถมศึกษาแห่งชาติ มีความสำคัญอย่างไร ตอบได้โดยง่ายว่า เป็นวันที่ให้คนไทยได้ตระหนักถึงเรื่อง ‘การศึกษากับเยาวชน’ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างบุคลากรของชาติ การมีการศึกษาที่ดีย่อมส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ แต่ ‘การศึกษา’ ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่ทำให้คนฉลาด หลักแหลม แต่ต้องทำให้คนมีคุณภาพ และคิดเป็นอีกด้วย

ไม่มีไม่ใช่หว่อง...5 เอกลักษณ์หนังแบบฉบับหว่องกาไว

จะบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาล ‘หนังหว่อง’ ก็ไม่ผิดนัก เรากำลังพูดถึง หว่อง กาไว ผู้กำกับชาวเอเชียที่ประสบความสำเร็จระดับโลก ซึ่งถ้าเป็นนักดูหนังสายแข็ง หรือนักศึกษาที่เรียนด้านภาพยนตร์ ชื่อผู้กำกับคนนี้ถือว่าขึ้นหิ้งในระดับยอดเซียน 

 

ด้วยสไตล์หนังที่มีแนวของตัวเองชัดเจน จึงเป็นที่มาของวลีคลาสสิก นั่นคือ “กระทำความหว่อง” วลีนี้ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ แต่เกิดจากสิ่งที่ผู้กำกับฯ ชาวฮ่องกงคนนี้ ถ่ายทอดเทคนิคและมุมมองการเล่าเรื่องออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของภาพยนตร์สไตล์หว่อง ซึ่งแฟนๆ มักให้คำนิยามว่า “รู้สึกเหงาเงียบงันราวกับปลูกป่าช้าไว้ในใจ”

 

ศิลปะแห่งความเดียวดายและบรรยากาศชวนหลงใหลที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ของหว่อง กาไว ยังคงเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ดึงดูดให้นักดูหนังรุ่นใหม่ๆ ให้เข้าไปสัมผัสโลกของหว่องอยู่เสมอ ล่าสุดโรงภาพยนตร์เมืองไทยได้มีการนำภาพยนตร์ระดับขึ้นหิ้งของผู้กำกับคนนี้มาจัดฉายไปจนปลายปี The States Times Lite จึงขอยกเอา 5 เอกลักษณ์ในภาพยนตร์ของหว่องกาไวที่ครองใจแฟนๆ มานานกว่า 2 ทศวรรษ มาบอกเล่า ถือว่าเป็นออเดิร์ฟก่อนไปดูหนังของเขากัน...

 

1) มีความวุ่นวายของฮ่องกงเป็นฉากหลัง

หว่องมักเลือกใช้ฮ่องกงในยุค ‘60s เป็นฉากหลัง เนื่องจากเป็นช่วงวัยเด็กที่เขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางห้วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะนับตั้งแต่เหมาเจ๋อตงได้เปลี่ยนการปกครองของจีนเข้าสู่ระบอบสังคมนิยม ส่งผลให้ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่มาอาศัยอยู่ในฮ่องกงยังคงผูกพันกับบ้านเกิดเมืองนอน พวกเขาสร้างชุมชนของตนเองที่พูดภาษาถิ่น มีวัฒนธรรม พิธีกรรม มีการดูหนังฟังเพลงที่แตกต่างจากชาวฮ่องกง ซึ่งหว่องเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ซึ่งความทรงจำมีผลให้เขาอยากทำหนังที่เต็มไปด้วยบรรยากาศและห่วงอารมณ์แห่งการระลึกถึงบางสิ่งบางอย่าง  

 

2) ว่าด้วยเรื่องความเหงาและสัมพันธภาพที่ไม่มั่นคง

“แม้เวลาจะเยียวยาหลายสิ่งหลายอย่างได้ แต่หัวใจที่แตกสลายก็เป็นข้อยกเว้น” ประโยคเด็ดของหว่องที่แฟนหนังรู้จักกันดี เชื่อมโยงกับลักษณะการเล่าเรื่องราวของความรักความสัมพันธ์ที่ไม่สมหวัง การเก็บซ่อนความรู้สึก นำไปสู่อารมณ์เหงาเดียวดายที่แฟนๆ เรียกกันว่า “กระทำความหว่อง” แน่นอนว่าเป็นความรู้สึกสากลที่มนุษย์เชื่อมโยงเข้ากับความรู้สึกของตนเองได้ แต่เรื่องธรรมดาเช่นนี้เมื่อไปปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ของหว่อง เขากลับถ่ายทอดออกมาได้อย่างมีเสน่ห์ น่าค้นหา เป็นเรื่องเล่าที่มีทั้งความบันเทิงและความงดงามทางศิลปะ โดยเฉพาะฉากควันบุหรี่และแสงสลัวที่สื่อถึงความไม่ชัดเจนและความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงของแต่ละตัวละคร

 

3) ตัวละครมีความทรงจำที่เชื่อมเข้าหากัน

ปกติภาพยนตร์ทั่วไปจะมีการแนะนำตัวละครเมื่อเริ่มเรื่อง แต่สำหรับผลงานสไตล์หว่อง ตัวละครส่วนใหญ่มักไม่มีที่มาที่ไป ดำเนินเรื่องด้วยการกระทำและบทสนทนาเลย ไม่ตัดสินว่าตัวละครใดคือตัวดี-ตัวร้าย มีความเป็นสีเทา มีความเป็นมนุษย์สูงมาก ผู้ชมจะได้รู้จักพื้นเพตัวละครจากการฟังบทสนทนาและติดตามดูการกระทำ ซึ่งแต่ละตัวละครมักจะมีปมบางอย่างซ่อนอยู่ มักเป็นเรื่องราวทางครอบครัว โดยมีค่านิยมบางอย่างของสังคมเป็นกรอบกำกับตัวละครไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ จารีต อาชีพ วัฒนธรรม ฯลฯ แต่เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดหนึ่งผู้ชมจะพาว่าเรื่องราวของตัวละครมักเชื่อมเข้าหากันอย่างกลมกลืน

 

4) เหลียง เฉาเหว่ย นักแสดงขาประจำ

นักแสดงนำชายชาวฮ่องกงที่แจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่อง Days of Being Wild ของหว่องในปี 1991 นับตั้งแต่นั้นเขากลายเป็นชื่อนักแสดงขาประจำที่ต้องคู่กับภาพยนตร์ของผู้กำกับฯ คนนี้ สำหรับเรื่องที่สร้างชื่อเสียงที่สุดคือ In The Mood For Love ที่ทำให้เขาเป็นชาวฮ่องกงคนแรกที่ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ สำหรับภาพยนตร์ของหว่องที่เหลียง เฉาเหว่ย ร่วมแสดงและโด่งดังเป็นที่รู้จักมีดังนี้ Days Of Being Wild, Chungking Express, Happy Together, In The Mood For Love และ 2046

 

5) คริสโตเฟอร์ ดอยล์ ช่างภาพคู่บุญ

ผู้ที่อยู่เบื้องหลังภาพสวยๆ บรรยากาศเหงาๆ ก็คือ ‘คริสโตเฟอร์ ดอยล์’ เรียกได้ว่าเป็นผู้กำกับฯ ภาพคู่บุญที่หว่องไว้วางใจ ให้อิสระเต็มที่ในการควบคุมโทนภาพของภาพยนตร์แทบทุกเรื่อง จนหว่องเคยให้สัมภาษณ์ว่าเอกลักษณ์นี้ได้กลายเป็นเครื่องหมายการค้าไปแล้ว แต่อาจจะมีบางครั้งที่คิวของคริสโตเฟอร์ ดอยล์ ไม่ว่าง หว่องก็ได้หันไปใช้บริการตากล้องคนใหม่อย่าง หลี่ผิงปิง ซึ่งทำให้ภาพที่ออกมามีเนื้อหาอารมณ์ของภาพยนตร์ที่นำเสนอให้เห็นมุมมองใหม่ๆ แต่ยังไม่ทิ้งลายเซ็นเดิมไปเสียทีเดียว

 

หมายเหตุ: มงคลซีนีม่าจัดเทศกาล The World of Wong kar-Wai’s Retrospective นำภาพยนตร์เรื่องดังมาจัดฉายใหม่ในฉบับรีมาสเตอร์ 4K เริ่มมาตั้งแต่ 29 ตุลาคม จนถึงธันวาคมเดือนหน้า โดยเลือกเฟ้น 5 ภาพยนตร์ของผู้กำกับระดับตำนานมาฉายในโรงภาพยนตร์ House Samyan รวมถึงเครือ SF Cinema และ Major Cineplex มีกำหนดฉายดังนี้

 

IN THE MOOD FOR LOVE

กำหนดฉาย 29 ตุลาคม 2563

HAPPY TOGETHER

กำหนดฉาย 12 พฤศจิกายน 2563

FALLEN ANGELS

กำหนดฉาย 26 พฤศจิกายน 2563

2046

กำหนดฉาย 10 ธันวาคม 2563

CHUNGKING EXPRESS

กำหนดฉาย 24 ธันวาคม 2563

 

ถอดสมการ MV = PY กลยุทธ์ ‘ตก’ กำลังซื้อ เวอร์ชั่นรัฐ ใต้ไอเดีย ‘ทำมื้อนี้ให้ดีที่สุด’

ถูกด่าก่อนสอบสวน!! น่าจะเป็นตัวอธิบายความได้ดีที่สุดของโครงการคนละครึ่ง

.

แต่จนแล้วจนรอดโครงการดังกล่าวก็กลายเป็นการแก้ปัญหาที่ดูจะถูกจุดเกินคาดของภาครัฐ ที่งวดนี้ปล่อยหมัดฮุกเข้าตรงจุดไปยังกลุ่มคนฐานราก ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการหมุนวงล้อเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง

.

แล้วตอนนี้ก็เข้าใจว่า ‘โครงการคนละครึ่ง’ น่าจะกำลังถูกเคาะต่อไปยาวๆ หลังจากกระทรวงการคลังพยายามจะเปิดโอกาสให้ ‘ทุกคน’ ที่สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการได้ทั้งหมดในระลอกใหม่ต้นปีหน้า

.

เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า!!

.

อันที่จริงรัฐบาลไทยดูจะพยายามหากลยุทธ์ที่เหมาะกับเศรษฐกิจประเทศ โดยการใช้เงินให้ตรงจุด ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะเข้าเป้าบ้างไม่เข้าเป้าบ้าง

.

แต่ทราบหรือไม่ว่าทุกๆ เม็ดเงินที่ถูกใส่ลงไปในระบบโยบายเชิงประชานิยม ที่มักถูกวิจารณ์ว่าไร้สติ (แต่คนด่านี่แหละคนกดลงทะเบียนก่อนเพื่อน) เป็นการแก้ปัญหาแบบ ‘ทำมื้อนี้ให้ดีที่สุด’ (ขอยืมคำบาบีก้อนมาใช้หน่อย)

.

ไม่ว่าจะชิม ช้อป ใช้เอย / เราไม่ทิ้งกันเอย / การเพิ่มวงเงินเฉพาะให้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเอย หรือแม้แต่ล่าสุดกับโครงการ ‘คนละครึ่ง’

.

แน่นอนว่าเวลาพูดถึงนโยบายเชิงเศรษฐกิจ ภาพมันก็ต้องกระทบวงกว้าง ต้องใหญ่ ต้องเปลี่ยนประเทศ แต่มันก็ไม่ใช่แบบนั้นทั้งหมด

.

ยิ่งคิดจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ถึงขั้น ส่งให้ ‘ไทยรวย’ แบบฉับพลันต ยิ่งไม่ง่าย เพราะไหนจะปัญหาภายในประเทศ การเมือง สังคม รวมถึงโรคระบาดอย่างโควิด-19 มันไม่ได้ง่าย

.

ฉะนั้นแนวคิดแบบ ‘ทำมื้อนี้ให้ดีที่สุดก่อน’ จึงไม่ใช่แค่เหมาะ แต่ต้องทำ เพราะผลลัพธ์ถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศจริงๆ

.

สังเกตุจากโครงการคนละครึ่ง ที่พอมีการเปิดให้ลงทะเบียนรอบ 2 ก็ลงกันสิทธิ์อย่างรวดเร็ว มียอดการใช้จ่ายผ่านแอพลิเคชั่น ‘เป๋าตัง’ ไปแล้วถึง 13,764 ล้านบาท กระจายสู่ร้ายหาบเร่แผงลอยได้กว่า 650,000 แสนร้าน และรอบ 3 ก็ปิดดีลได้อย่างว่อง

.

อันที่จริง หากมองข้ามเรื่องการเมือง แล้วมาคุยเรื่องเบาๆ (เบาชิบหาย) ในเชิงเศรษฐศาสตร์

.

สิ่งที่พอสะเดาะให้เข้ากับกลยุทธ์ของโครงการคนละครึ่งนี้ มีความเกี่ยวเนื่องกับทฤษฎีปริมาณทางการเงินอย่างน่าสนใจ

.

โดยทฤษฎีดังกล่าว ถูกย่อยลงมาบนสมการหนึ่งที่เรียกว่า ‘MV = PY’

.

‘MV = PY’ คืออะไร? ไม่ต้องถาม เดี๋ยวจะบอกง่ายๆ เลย เพราะตอนแรกคนเขียนก็งง!! บนความรู้น้อยทางเศรษฐศาสตร์

.

อธิบายตามหลักการ ก็คือ สมการของการแลกเปลี่ยน

M = Money supply ปริมาณเงิน

V = Transaction velocity of money เงินมีการเปลี่ยนมือเร็วแค่ไหน

P = Price level ดัชนีราคาของสินค้าที่ซื้อขาย

Y = Real GDP ระดับผลผลิตที่แท้จริง

.

เป้าหมายของนโยบาย คือ V (Velocity) หรือต้องการให้ ‘เงินมีการเปลี่ยนมือเร็ว’ เพราะถ้า V เยอะจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวสูง จากเงินที่หมุนเป็นเฟืองต่อเฟือง

.

นั่นคือหลักเศรษฐศาสตร์!! ทีนี้มาลองนึกภาพตามแบบภาษาคนกันดูบ้าง

.

มีนักเศรษฐศาสตร์เปรียบเทียบให้เห็นนโยบายแบบ ‘คนละครึ่ง’ ว่าเหมือนกับเรามีถาดหมุนลูกบอลล็อตเตอรี่สักอัน

.

จากนั้นก็หยอดเหรียญเข้าไป 10 เหรียญ

.

ถ้าหมุน 10 รอบแบบเร็วๆ เราจะเห็นเหรียญที่หมุน ดูเยอะขึ้นๆ กว่า 10 เหรียญ

.

ทั้งๆ ที่เหรียญมีเพียง 10 เหรียญ แต่ทำไมแค่หมุนรอบ ทำให้เรามองเห็นว่าเงินมันดูเยอะขึ้น นั่นก็เพราะ ‘การหมุน’ ในเชิงเศรษฐศาสตร์ คือ การที่เงินจากกระเป๋าหนึ่ง โยกไปหาอีกกระเป๋าหนึ่ง

.

มีตัวอย่างหนึ่งที่พอจะขยายภาพของการทำ V ที่รัฐบาลต้องการให้เกิดเป็นผลลัพธ์ต่อนโยบายที่โยนออกไป นั่นก็คือ

.

...สมมุติแบงค์ชาติมีการพิมพ์ธนบัตร 100 บาทออกมา 1 ใบ

.

แล้วธนบัตรใบนั้น ได้เริ่มต้นไปอยู่ในมือของนาย A

.

Part 1

นาย A ยังไม่คิดจะใช้เงิน จึงเก็บเงินไว้ในกระเป๋าตัวเอง 10 บาท และเอาไปฝากธนาคารจำนวน 90 บาท

.

นาย B ไม่มีเงินแต่ต้องการใช้เงิน จึงไปยืมจากธนาคารที่นาย A ไปฝากมาจำนวน 90 บาท

.

จากนั้นนาย B เอาเงินไปซื้อของกับ นาย C ทำให้เงินจำนวน 90 บาทไปอยู่ที่นาย C

...เท่ากับขั้นตอนนี้มีการซื้อขายเกิดขึ้น คิดเป็น GDP = 90 บาท

.

Part 2

คราวนี้ลูปจะวันกลับมาใหม่!!

โดยเริ่มที่นาย C มีเงินอยู่ 90 บาท แต่เขายังไม่คิดจะใช้เงิน จึงเก็บเงินไว้ในกระเป๋าตัวเอง 10 บาท และเอาไปฝากธนาคาร 80 บาท (เหมือนกับนาย A)

.

นาย D ไม่มีเงิน แต่ต้องการใช้เงิน จึงไปยืมเงินจากธนาคารที่นาย C ไปฝากมาจำนวน 80 บาท

.

จากนั้นนาย D ก็ไปซื้อของกับ นาย E ทำให้เงินจำนวน 80 บาทไปอยู่ที่นาย E

...เท่ากับขั้นตอนนี้มีการซื้อขายเกิดขึ้น คิดเป็น GDP = 80 บาท

.

เมื่อนับไทม์ไลน์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจากแบงก์ชาติที่ให้เงินนาย A มา จนถึง GDP ของ Part1 ที่ 90 บาท + GDP ของ Part2 ที่ 80 บาท ได้ทำให้เกิด GDP รวมจาก ‘การหมุน’ ของเงิน 100 บาท เป็น 170 บาท

.

ทีนี้พอมาเทียบกับโครงการคนละครึ่งแล้ว เลยกลายเป็นว่าการใส่เงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจของรัฐ มีส่วนช่วยอย่างมากให้เหรียญแค่ 10 เหรียญถูกแกว่งจนกลายเป็นภาพเหรียญที่มากกว่า 10 จากการซื้อ ยืม และเก็บวนไปเรื่อยๆ

.

โดยการหมุนตรงนี้ มีดีที่โฟกัสไปยังการหมุนวนเม็ดเงินกันระหว่างกลุ่มประชาชนฐานรากและฐานกลาง ที่ไม่เอื้อต่อฐานใหญ่ ซึ่งทำให้เม็ดเงินอุดเป็นคอขวด

.

นี่จึงเป็นอีกสูตรการกระตุ้น GDP ที่ควรทำในจังหวะที่ ‘กำลังซื้อ’ ของประชาชน ‘ชะลอตัว’ คนไม่มีเงิน ก็กล้าใช้เงิน เพราะมีรัฐช่วยค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง

.

ขณะเดียวกันคนที่มีเงินอยู่แล้ว ก็อยากดึงเงินออกมาใช้ให้มากกว่าเดิม เช่น เคยซื้อสินค้า 1 ชิ้น ในราคา 300 บาท แต่โครงการคนละครึ่ง ทำให้เสียแค่ 150 บาท จึงรู้สึกว่าการนำเงินส่วนต่างอีก 150 บาทไปใช้ต่อ ก็ไม่ได้เสียหายอะไร เป็นจิตวิทยาเพิ่มความกล้าในการใช้จ่ายเงินโดยไม่รู้ตัว

.

แต่กว่าจะมาถึงสูตรนี้ได้ อยากรู้นักว่าก่อนหน้านี้ ปล่อยให้ใครชี้เป้าเศรษฐศาสตร์ จนเศรษฐกิจแป้กไม่เลิก…

.

อ้างอิง: https://www.asquareschool.com/2015/08/02/mv-py/

S&P การันตี...ไทยเข้มแข็ง!! หลังศก.ไทยแรงบวกหนุนเพียบ

S&P Global Ratings สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
.
โดยนางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า บริษัท S&P Global Ratings (S&P) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยมีรายละเอียดดังนี้
.
1. คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เนื่องจากประเทศไทยมีความเข้มแข็งภาคการคลังและภาคการเงินต่างประเทศอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ หนี้รัฐบาลอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล และสถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบันไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายของรัฐบาล อีกทั้งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
.
2. ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) มีความแข็งแกร่งเป็นผลจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบและเป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 เพื่อรักษาวินัยทางการคลัง แม้ว่าการดำเนินนโยบายการคลังผ่านมาตรการต่างๆ ของภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จะทำให้การขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563-2564 และหนี้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้น แต่ยังคงไม่ส่งผลกระทบต่อสถานภาพทางการคลัง
.
3. S&P เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวและเติบโตในระยะปานกลางได้ โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นร้อยละ 6.2 เป็นผลจากภาคการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากสามารถควบคุมการระบาดของ COVID-19 ได้ อีกทั้งรัฐบาลยังสนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่องให้เป็นไปตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ เช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) และโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง และยังส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Public Private Partnership) เพื่อลดความเสี่ยงทางการคลังของรัฐบาลให้เป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังของภาครัฐ
.
4. ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง สภาพคล่องและทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง โดย S&P คาดว่าสภาพคล่องต่างประเทศ (External liquidity) ของประเทศไทยยังอยู่ในระดับคงที่และไม่น่ากังวล นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายทางการเงินและการรักษาเสถียรภาพด้านราคา เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ
.
ประเด็นที่ S&P ให้ความสนใจและจะติดตามอย่างใกล้ชิด คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่องและเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งอาจมีผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะปานกลาง

รับ 'เป็ด' แบบไหนดีครับ?

เป็ดฟีเวอร์!!!

กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญในม็อบไปเรียบร้อย หลังจากเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 63 ที่ผ่านมา ผู้ร่วมชุมนุมได้ถือ ‘เป็ด’ ไปรัฐสภา หมายใจว่าจะพา ‘เป็ด’ ไปลงแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ไปๆ มาๆ ‘เป็ด’ กลายเป็นเครื่องป้องกันการฉีดน้ำสลายม็อบ หลังจากนั้น ‘เป็ด’ ก็กลายเป็นมาสคอตสำคัญ ผู้ชุมนุมหอบหิ้ว ‘เป็ด’ ไปร่วมชุมนุมด้วยทุกที่ เมื่อ ‘เป็ด’ แรงเวอร์ได้ใจขนาดนี้ งั้นรับ ‘เป็ด’ ไปไว้ที่บ้านสักตัวไหมครับ?

5 Facts About 'ม.112'

5 เรื่องที่อยากให้รู้ กับมาตรา 112 ที่ถูกพูดถึงมากในช่วงนี้ไปดูกัน !!
 

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top