Tuesday, 24 June 2025
THE STATES TIMES TEAM

'ผกก.แม่สอด' สุดทน!! ชี้มือโพสต์ขบวนการ Fake News หยุดทำร้ายชาวแม่สอดได้แล้ว

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 พ.ต.อ.ภูเบศ แสงอร่าม ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแม่สอด จังหวัดตาก พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนและชุดปราบปรามอาชญากรรม และชุดสายตรวจปฎิบัติการพิเศษ สภ.แม่สอด จ.ตาก ได้ร่วมกันแถลงข่าว ถึงการสืบสวน สอบสวนติดตาม หาข่าวและข้อเท็จจริง ขบวนการสร้างข่าวปลอม หรือเฟกนิวส์ Fake News ภายหลังหลังจากที่มีกลุ่มขบวนการ สร้างเพจบล็อก และโพสต์ข่าวปลอม เป็นเฟกนิวส์ มีข้อความเพื่อพุ่งเป้าทำลายชื่อเสียง ของเจ้าหน้าที่และสร้างความสับสนให้สังคมแม่สอด

โดยได้โพสต์ตามสังคมออนไลน์ ทั้งในพื้นที่และทั่วประเทศ จนสร้างความเสียหาย ระหว่างหน่วยงานไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็น การปล่อยข่าวว่าเจ้าหน้าที่มีส่วนรู้เห็นหรือเรียกรับเงิน เรื่องขบวนการลักลอบขนแรงงาน ฯลฯ รวมทั้งการทำเพจปลอมกล่าวหาให้ร้ายระหว่างหน่วยภาครัฐ แล้วนำไปลง จนสร้างความสับสนให้กับพี่ประชาชนในพื้นที่ไปแล้วนั้น จึงขอชี้แจงให้ประชาชนทุกท่านทราบข้อเท็จจริงและอย่าหลงเชื่อหรือส่งต่อแชร์ข้อมูลบิดเบือนใด ๆ เพราะเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา และความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

พันตำรวจเอกภูเบศ แสงอร่าม ผกก.แม่สอด เปิดเผยอีกว่า สุดจะทนกับพฤติกรรมของกลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์ชายแดนที่กำลังดิ้นเพราะการจับกุมของเจ้าหน้าที่สร้างความเสียหาย จนไปว่าจ้างทำบล็อกเฟกนิวส์ขึ้นมาโจมตี เจ้าหน้าที่หน่วยต่าง ๆ​ ไม่ว่าเป็น ตำรวจ ปกครอง ทหาร บุคลากรทางการแพทย์ ทำให้ได้รับความเสียหาย และเกิดความเข้าใจผิดกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ เรื่องนี้ยืนยันว่าตนเองยอมไม่ได้ จำเป็นต้องจัดการให้เด็ดขาด เพราะคนพวกนี้กำลังทำร้ายชาวแม่สอดและชาวจังหวัดตากอย่างไม่ละอายใจ ปล่อยไว้มีแต่จะทำลายสังคม

ผู้กำกับการ สภ.แม่สอด กล่าวย้ำอีกว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนในสื่อออนไลน์ ตามที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงที่ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ประจำจุดตรวจบ้านห้วยหินฝน หมู่ที่ 6 ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก ได้ร่วมกันตรวจสอบพบคนไทยที่ลักลอบเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งในห้วงระหว่างเดือน มกราคม -  31 กรกฎาคม 2564 ได้มีการตรวจพบเป็นจำนวนมากถึง 498 ราย (ชาย 161 คน หญิง 337 คน) และมีการตรวจพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 จำนวนร่วม 30 คน ผู้ถูกจับกุมส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย

ส่วนคนต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาจะหลบเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นในการหลบหนีเข้าเมือง เนื่องจาก ไม่สามารถเดินทางผ่านจุดตรวจ บ้านห้วยหินฝนนี้ได้เพราะถ้าเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบก็จะถูกจับกุมดำเนินคดี จากการซักถามปากคำผู้ถูกจับกุมพบว่า มีการจ่ายเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้กับผู้นำพาลักลอบเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร รายละประมาณ 6,000 - 12,000 บาท ซึ่งสอดคล้องกับพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบจากโทรศัพท์ของผู้ถูกจับกุม มีข้อมูลการสนทนาทางไลน์​ และสลิปการโอนเงินให้กับกลุ่มผู้นำพา

หากคิดจำนวนผู้ลักลอบที่ถูกจับกุมแล้ว ที่ผ่านมามีเงินที่กลุ่มขบวนการนี้ได้ไปเป็นจำนวนหลายล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาให้ความสนใจ และทาง พล.ต.ต.ปริญญา วิศิษฐฎากุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก จึงได้สั่งการให้ ผกก.สภ.แม่สอด ทำการสืบสวนขยายผลถึงกลุ่มขบวนการผู้กระทำความผิดดังกล่าว

ภายหลังที่ สภ.แม่สอด ได้มีการสืบสวนขยายผลกลุ่มขบวนการลักลอบนำพาคนเข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย และกวดขันจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างเข้มงวด ซึ่งที่ผ่านมาได้ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่จับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อาวุธสงคราม และความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ อย่างต่อเนื่อง

ต่อมาประมาณเดือน มิ.ย. 2564 ได้ตรวจพบว่ามีการจัดทำสื่อภาพซึ่งนำรูปเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.แม่สอด จว.ตาก มาประกอบข้อความบิดเบือนข้อเท็จจริง เผยแพร่ในสื่อออนไลน์เพื่อลดความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคง และในเดือนกรกฎาคม 2564 ได้มีการนำสื่อภาพซึ่งมีรูปของนายตำรวจระดับสูง ของจังหหวัดตาก และข้าราชการตำรวจ มาประกอบข้อความบิดเบือนข้อเท็จจริง ออกมาเผยแพร่ในสื่อออนไลน์เป็นครั้งที่ 2 ขณะนี้ทราบตัวและแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ทำการเผยแพร่ส่งต่อแชร์ข้อมูลดังกล่าวแล้ว และอยู่ระหว่างสืบสวนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการลักลอบนำพาคนเข้าเมืองโดยผิดกฏหมายดังกล่าวหรือไม่


ภาพ/ข่าว วรภา พันลุตัน จ.ตาก

“BYD - บียอนด์” เตรียมพร้อมที่จะก้าวไปอีกขั้น! สู่อะไรที่มากกว่าโบรกเกอร์

บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AEC จะเปลี่ยนเป็น “บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน)” และใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ใหม่เป็น BYD ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นไปตามที่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ได้มีมติอนุมัติไว้ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา

การเปลี่ยนโฉมบริษัทใหม่ในครั้งนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจที่มุ่งไปสู่การเติบโตในธุรกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งสำคัญ ทั้งการเสริมสร้างศักยภาพภายในโดยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้พัฒนาธุรกิจหลักทรัพย์ และเตรียมความพร้อมที่จะก้าวไปสู่การดำเนินธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อเสริมสร้างรายได้และเพิ่มความมั่นคงให้บริษัทอย่างยั่งยืน โดยบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปร่วมลงทุนในธุรกิจการเดินรถ โดยใช้รถโดยสารไฟฟ้าหรือ E-Bus ของบริษัท ไทยสมายล์บัส จำกัด โดยเป็นการร่วมลงทุนผ่านทางบริษัท เอซ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดซื้อรถโดยสารไฟฟ้าจากผู้ผลิต ตามแผนงานและคาดว่าจะมีการส่งมอบรถดังกล่าวภายในไตรมาสที่ 3 นี้

จากแผนธุรกิจดังกล่าว บริษัทมีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างรายได้และการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ โดยในขณะนี้ แผนการดำเนินการสำเร็จลุล่วงไปแล้วกว่า 50% ซึ่งภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทุเลาลง ผู้คนออกมาใช้ชีวิตได้ตามปกติก็จะเริ่มได้เห็นรายได้จากธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้าตามมาเช่นกัน

สุดเศร้า! ลูกชายกักตัว 14 วัน เขียนจดหมายถึง รพ.บางพลี ช่วยอนุเคราะห์ทำศพแม่ หลังโควิดคร่าชีวิต

จากเหตุการณ์สุดสะเทือนใจ กรณีนายโสรจน์ ฟักทอง ซึ่งเป็นลูกชายนางยุพิน ฟักทอง (มารดา) อายุ 78 ปี แต่เนื่องจากนางยุพิน ฟักทอง ได้ติดเชื้อโควิด-19 หลังจากนั้นนางยุพิน ฟักทอง ได้เสียชีวิตลงภายในโรงพยาบาลบางพลี อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ขณะที่กำลังพักรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาลแห่งนี้

ภายหลังจาก ที่นายโสรจน์ ฟักทอง (ลูกชาย) ทราบว่า ผู้เป็นแม่ได้เสียชีวิตลงแล้วจากการป่วยด้วยโรคโควิด-19 จึงได้เขียนจดหมายมอบอำนาจขอความอนุเคราะห์ทางโรงพยาบาลบางพลี ให้ช่วยเป็นธุระประสานการทำศพนางยุพิน ฟักทอง (มารดา) เนื่องจากนายโสรจน์  ฟักทอง (ลูกชาย) ไม่สามารถไปเดินเรื่องติดต่อขอทำศพกับทางวัดได้ เพราะตนเองนั้นต้องกักตัวอยู่ภายในโรงพยาบาลบางพลี เป็นเวลา 14 วัน 

หลังจากที่นางจริยา จันทร์เรือง พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลบางพลี ได้ทราบเรื่องโดยได้รับจดหมายจากนายโสรจน์ ฟักทอง ลูกชายนางยุพิน ฟักทอง (ผู้เสียชีวิต) ภายในจดหมายได้มีการเขียนระบุข้อความ โดยมีใจความว่า “ผมนายโสรจน์ ฟักทอง เป็นบุตรนางยุพิน ฟักทอง ข้าพเจ้าขอมอบอำนาจให้ทางโรงพยาบาลบางพลี จัดทำพิธีศพของคุณแม่ เนื่องจากข้าพเจ้า ต้องกักตัวเป็นระยะเวลา 14 วัน จากนั้นนางจริยา จันทร์เรือง พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลบางพลี สมุทรปราการ นำข้อมูลดังกล่าวประสานไปยังท่าน พระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง  เพื่อขอความอนุเคราะห์ให้ช่วยดำเนินการรับเผาศพ นางยุพิน ฟักทอง ผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 เนื่องจากทางญาติไม่สามารถมาดำเนินการเผาศพได้ อีกทั้ง ทางโรงพยาบาลทราบว่าวัดบางพลีใหญ่กลางแห่งนี้รับเผาศพโควิดฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด จึงได้ประสานมายังท่านพระครูแจ้ เพื่อขอความเมตตาช่วยรับเผาศพนางยุพิน ฟักทอง

หลังจากที่ ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว จึงได้เมตตาตอบตกลง และรับอนุเคราะห์ดำเนินการเผาศพให้ฟรี ตั้งแต่ขั้นตอนในการติดต่อขอรับศพออกจากโรงพยาบาลเพื่อนำศพมาทำพิธีฌาปนกิจยังวัดบางพลีใหญ่กลาง โดยได้รับเกียรติจากนายธนิต ปานรอด รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร  โรงพยาบาลบางพลี ให้เกียรติมาเป็นประธาน ทอดผ้าบังสุกุลเพื่อฌาปนกิจศพให้กับนางยุพิน ฟักทอง โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างเงียบเหงา เนื่องจากทางญาติไม่สามารถมาร่วมในพิธีได้ เพราะต้องพักรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาลบางพลี สมุทรปราการ เป็นเวลา 14 วัน


ภาพ/ข่าว  คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

สมุทรสาคร - อนุทิน เปิด รพ.สนาม FAI ในโรงงาน เพื่อแยกผู้ติดเชื้อโควิดป้องกันแพร่สู่ชุมชน

เมื่อเวลา 15.00 น. ของวันที่ 4 สิงหาคม 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะเดินทางมาตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามในโรงงาน ( Factory isolation / FAI ) ณ บริษัท ปัญจพล ไฟเบอร์คอนเทนเนอร์ จำกัด (สาขาบางปลา) ต.บ้านเกาะ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร โดยมีนายธีรพัฒน์ คัชมาตย์  รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นายสุรศักดิ์ ผลยังส่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นายศรัณยู เตชะวิบูลย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ปัญจพล ไฟเบอร์คอนเทนเนอร์ จำกัด พร้อมส่วนราชการภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมต้อนรับ 

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 ของประเทศไทย ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจังหวัดสมุทรสาคร ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นอันดับที่ 2 รองจากกรุงเทพมหานคร ประกอบกับเป็นจังหวัดที่มีจำนวนโรงงานและสถานประกอบการจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดความแออัดของผู้ติดเชื้อในหน่วยบริหารหลักทั้งโรงพยาบาลรัฐทั้ง3แห่ง และโรงพยาบาลเอกชนอีก1 แห่งในจังหวัดสมุทรสาคร ดังนั้นแนวคิดของการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในโรงงาน( Factory isolation ) นับเป็นการแบ่งเบาภารกิจของโรงพยาบาล โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ทั้งการจัดทำสถานที่ จัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือที่จำเป็นเพื่อดูแลพนักงานและเจ้าหน้าที่ของตนเองที่มีการติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือผู้ติดเชื้อที่อยู่ในเกณฑ์สีเขียว จัดระบบการดูแลรักษาพยาบาลของผู้ติดเชื้อโดยประสานความร่วมมือของโรงพยาบาลที่มีหน้าที่ดูแลผู้ประกันตนตามหลักประกันสุขภาพและนับเป็นความเสียสละของผู้ประกอบการโรงงาน แสดงถึงความร่วมมือต่อนโยบายภาครัฐในการควบคุมโรคและสนับสนุนระบบการรักษาพยาบาลของประเทศไทย

นอกจากนี้ทางด้าน นายอนุทินฯกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เดินหน้านโยบายการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) หากผลเป็นบวกสนับสนุนการดูแลรักษาที่บ้าน (Home Isolation) และการดูแลที่ชุมชน (Community Isolation) ส่วนสถานประกอบการหรือโรงงานได้ให้จัดทำโรงพยาบาลสนามในโรงงานและศูนย์พักคอย เพื่อแยกผู้ติดเชื้อออกมา ช่วยลดการแพร่เชื้อในโรงงานและในชุมชน สำหรับ บริษัท ปัญจพล ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์ จำกัด ได้ใช้อาคารโรงงานของตนเองมาดำเนินการเป็นโรงพยาบาลสนามและศูนย์พักคอยขนาด 100 เตียง รองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งในโรงงานตนเองและชุมชนบางปลาโดยรอบ มีบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลวิชัยเวชมาช่วยดูแล ผ่านการประเมินตามมาตรฐานของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ถือว่ามีความปลอดภัยต่อชุมชนโดยรอบ

ทั้งนี้ โรงพยาบาลสนามในโรงงานของสมุทรสาคร ขณะนี้มีจำนวน 1,140 แห่ง รวม 33,365 เตียง มีการใช้งานแล้ว 3,179 เตียง คงเหลือ 30,186 เตียง ขณะที่การดูแลผู้ติดเชื้อในชุมชนมีจำนวน 34 แห่ง รวม 4,000 กว่าเตียง ทำให้มีพื้นที่แยกกักโดยเฉพาะ ช่วยลดอัตราการใช้เตียง ทำให้มีเตียงรองรับผู้ติดเชื้ออาการรุนแรง โดยการดูแลรักษาในทุกระบบใช้แนวทางตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขเหมือนกันทั้งหมด

ส่วนเรื่องของวัคซีนไฟเซอร์นั้น นายอนุทินฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลพยายามจัดหาวัคซีนชนิด mRNA  มาฉีดบู๊สเตอร์ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ นับตั้งแต่ อสม.ขึ้นมา ซึ่งก็ต้องเป็นไปตามที่ได้มีการนำเข้า และการฉีดวัคซีนชนิดนี้จะต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้ที่เข้ารับการฉีดด้วย แต่ที่ผ่านมามีบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากฉีดบู๊สเข็ม 3 ด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกาไปแล้วและได้ผลดีมาก


ภาพ/ข่าว  ชูชาต แดพยนต์ ทีมข่าวสมุทรสาคร

นครพนม - เตรียมพัฒนาศักยภาพ อสม. เสริมกำลังแพทย์คัดกรองผู้ป่วยโควิด พร้อมเสริมความรู้ให้ประชาชน

วันที่ 4 สิงหาคม 2564 ที่อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายแพทย์มานพ ฉลาดธัญญกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครพนม และท้องถิ่นจังหวัดนครพนม ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจและติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานระดับอำเภอ ตลอดจนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด -19 ในพื้นที่ พร้อมรับฟังปัญหาและหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน

โดยในการลงพื้นที่ในครั้งนี้ทางอำเภอนาแกได้ชี้แจงถึงแนวทางการดำเนินงานเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคล ที่ปัจจุบันบุคลากรทางการแพทย์มีไม่เพียงพอต่อการให้บริการ เนื่องจากในแต่ละวันมีผู้ที่มาจากพื้นที่เสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลากรทางการแพทย์เริ่มมีความเหนื่อยล้า ดังนั้นจึงได้มีการปรับแผนการบริหารบุคคลากร โดยการพัฒนากลุ่มคนไข้ผู้ป่วยโควิดที่มีความเข้าใจในด้าน social และเทคโนโลยีที่ปัจจุบันสามารถช่วยเหลือผู้อื่นและตนเองได้ตามปกติให้เข้าใจในการตรวจวัดอุณหภูมิ การวัดออกซิเจนในเลือดของแต่ละคนว่าควรมีค่าเท่าไหร่อย่างไร และสอนวิธีการส่งข้อมูลเพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในจุดสังเกตอาการ เพื่อให้คนไข้ได้ช่วยดูแลซึ่งกันและกันได้มากยิ่งขึ้น

ซึ่งนอกจากจะเป็นการลดภาระให้กับบุคลากรทางการแพทย์แล้ว ยังส่งผลดีต่อผู้ป่วยด้วยเพราะเมื่อมีความสงสัยอะไร จะสามารถวัดได้ทันทีตลอดเวลาเนื่องจากเครื่องอยู่ในพื้นที่ของผู้ป่วยอยู่แล้ว รวมถึงยังช่วยลดความเสี่ยงให้กับบุคลากรทางการแพทย์เนื่องจากความอ่อนล้าในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งข้อมูลยังเป็นแบบเรียลไทม์ตลอดเวลานั่นหมายถึงผู้ป่วยทุกคนมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกันในระหว่างพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวทางปฏิบัติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ก็ได้มีการเสนอให้ทางพื้นที่เตรียมการเพิ่มศักยภาพให้กับ อสม. เพื่อมาเป็นอีกกำลังหนึ่งในการช่วยบุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลประชาชนในชุมชนและในศูนย์พักคอย (Community Isolation :CI) เพราะปัจจุบันยังใช้บุคลากรทางสาธารณสุขทั้งหมด ซึ่งในส่วนนี้จะมีการการเตรียมแผนพัฒนา ให้ อสม. มีความรู้ในเรื่องของการเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาเชื้อด้วย Antigen test kit ซึ่งเป็นทักษะขั้นสูงขึ้นสำหรับ อสม.ทุกคน เพราะการเก็บเชื้อตัวอย่าง ต้องมีความแม่นยำ ถูกต้อง ก่อนที่จะนำมาทดสอบกับน้ำยา ซึ่งถ้า อสม. ในพื้นที่ได้สามารถทำได้ก็จะทำให้แต่ละชุมชนสามารถดูแลกันได้เลยในเบื้องต้น เพราะมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการป้องกันการเกิดคลัสเตอร์ในแต่ละชุมชนได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังได้เสนอแผนการอบรมให้ความรู้ประชาชนในเรื่องของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่เรื่องของโรค สถานการณ์ของโรค การป้องกันตนเอง การดูแลสุขภาพจิตใจทั้งในกรณีที่เป็นผู้ป่วยและกรณีของคนในชุมชนที่ป่วยแล้วกลับมา จะมีการดูแลกันอย่างไรให้ถูกต้องและไม่เกิดการแพร่ระบาด ซึ่งในส่วนนี้แต่ละท้องถิ่นจะนำเงินกองทุนตำบลมาใช้ในการอบรมพัฒนาความรู้ให้กับประชาชนและมีแผนงานโครงการอยู่แล้ว แต่ติดปัญหาในการอบรมเนื่องจากไม่สามารถรวมกลุ่มกันได้เกิน 50 คน ดังนั้นในส่วนนี้จึงได้หาทางออกด้วยกัน โดยได้เตรียมการอบรมในลักษณะออนไลน์ที่ให้แต่ละตำบลหมู่บ้านสามารถเข้าถึงได้ พร้อมกับการเชื่อมต่อโปรเจคเตอร์ของแต่ละแห่งฉายกระจายความรู้ให้ประชาชนในชุมชนได้ดูพร้อม ๆ กัน


ภาพ/ข่าว  สุเทพ หันจรัส นครพนม

สระแก้ว - สส.ชลบุรีเขต 7 มอบเตียงสนามศูนย์ฟื้นฟูพักคอยรอกลับบ้าน จำนวน 40 ชุด เทศบาลเมืองจังหวัดสระแก้ว

เมื่อเวลา 07.00 น ขอที่ 3 สิงหาคม 24 สส.กวินนาถ ตาคีย์ ชลบุรี เขต 7 รองหัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไท เดินทางรับมอบเตียงสนาม จากนายอมรเทพ โรจนลภัสปรีดา แซ่คู ผู้ช่วยดำเนินงานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 27 และเลขานุการกรรมาธิการการปกครอง เป็นตัวแทนครอบครัวชาวนาและกัลยานิมิตรผู้ใหญ่ผู้ใจบุญ เพื่อรับส่งมอบให้กับศูนย์พักฟื้นคอยการกลับบ้านของผู้ป่วย covid จำนวน 40 ชุด ให้กับเทศบาลเมืองจังหวัดสระแก้ว และยังมีบริษัทคนีน์จำกัดและผลิตภัณฑ์ออแกนิคฆ่า เพื่อให้นำมาฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อให้ชาวบ้านในอำเภอบางละมุงจังหวัดชลบุรีด้วย

เนื่องด้วยการรับมอบตียงสนาม ให้กับศูนย์พักฟื้นคอยรอการกลับบ้านได้รับการประสานงานมาจาก นายเอกชัย พิทยานุรักษากุล ผอ.กองช่าง เทศบาลเมืองจังหวัดสระแก้ว และนายไพรวัลย์โมรา เป็นผู้ติดต่อประสานงานมายัง สส.กวินนาถ ตาคีย์ (ชลบุรีเขต 7) รองหัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไท ด้วยเทศบาลจังหวัดสระแก้วกำลังจะทำศูนย์ฟื้นฟูพักรอคอยการกลับบ้าน ซึ่งในขณะนี้ได้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากและมีความต้องการเตียงสำหรับจัดทำศูนย์พักฟื้นคอย เป็นอย่างมากจึงได้ติดต่อประสานงานมายัง สส.เชลบุรีเขต 7 นางสาวกวินนาถ ตาคีย์ หัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไท ซึ่งนายไพรวัลย์ โมรา ทราบว่าสส.กวินนาถ ตาคีน์ ชลบุรีเขต 7 รองหัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไทยได้ทำโครงการมอบเตียงสนาเสำหรับ ศูนย์พักฟื้นฟูรอคอยการกลับบ้านอยู่แล้ว

สส.กวินนาถ ตาคีย์ ชลบุรีเขต 7 หัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไทย จึงได้เดินทางไปรับเตียงสนามพร้อมเดินทางไปมอบเตียงสนามให้กับศูนย์พักฟื้นฟูรอคอยการกลับบ้านที่ เทศจังหวัดสระแก้ว จำนวน 40 ชุด โดยมีนายตระกุล สุขกุล นายกเทศบาลเมืองจังหวัดสระแก้ว พร้อมคณะทำงานให้การต้อนรับ หลังจากนั้น สส.กวินนาถ ตาคีย์ ชลบุรีเขต7 ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมที่ศูนย์พักฟื้นฟูรอคอยการกลับบ้าน ของเทศบาลเมืองจังหวัดสระแก้วได้จัดทำขึ้นมา ได้พบว่า การบริหารงานการจัดทำศูนย์พักฟื้นรอการกลับบ้าน ได้มีระบบ การอุปโภค ครบครัน อำนวยความสะดวกและสถานที่กว้างใหญ่ พร้อมรับผู้ป่วย ได้เป็นจำนวนมากและพร้อมทีมงานบริหารงานทีมแพทย์จิตอาสาให้การดูแลผู้ที่มาพักฟื้นคอยการกลับบ้านแบบดีที่สุดแน่นอน...


ภาพ/ข่าว  สมชาย โคตล่ามแขก ผู้สื่อข่าวพัทยาจังหวัดชลบุรี

จับเฒ่าจีน!! ‘หนีหมายคดีล้มละลาย แอบซุกบริษัทย่านปทุม’ พบหลักฐานดำเนินคดีในความผิดทางการเงิน มีหมายจับของศาลจีนคดีล้มละลายเช่นกัน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ ว่าที่ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

ให้ห้วงที่ผ่านมา กก.สส.บก.ตม.3 คอยสอดส่งพฤติกรรมและบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มคนต่างด้าวที่กระทำผิดกฎหมายหรือมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งอาจนำไปสู่การก่ออาชญากรรมในประเทศไทย ในครั้งนี้ชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ได้รับการร้องเรียนว่ามีบุคคลคล้ายคนจีนน่าสงสัยว่าอาจหลบหนีเข้าเมืองหรือหลบหนีความผิดบางประการ โดยมีพฤติกรรมหลบ ๆ ซ่อน ๆ และระมัดระวังตัวสูง จึงได้ทำสืบสวนหาข้อมูลจนทราบข้อเท็จจริงว่าหลบหนีคดีมาจากประเทศจีนและอยู่เกินในราชอาณาจักรมาเป็นเวลานาน รายละเอียดการสืบสวนและดำเนินการจับกุมมีดังนี้

หลังจากได้รับการร้องเรียนของประชาชนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ย่านอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยมีข้อมูลว่ามีชายมีอายุลักษณะคล้ายคนจีน อาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีลักษณะมีป้ายบริษัทอยู่หน้าบ้าน แต่ไม่พบเห็นว่ามีใครเข้ามาต่อติดงานบริษัทดังกล่าว โดยนาน ๆ ครั้งจะมีชายคนหนึ่งลักษณะคล้ายคนจีนปรากฏตัวออกมาจากบ้านหลังดังกล่าว และขณะเดินออกมาจากบ้านจะมีท่าทีที่ระวังตัวเป็นอย่างมาก เป็นที่น่าสงสัยว่าอาจหลบหนีเข้ามาหรือหนีความผิดบางอย่าง

ชุดสืบสวนได้ทำการสืบสวนอยู่ระยะหนึ่งจนได้ข้อมูลว่า ชายคนดังกล่าวคือนาย Rong สัญชาติจีน อายุ 59 ปี เข้ามาในประเทศไทยในลักษณะเป็นนักท่องเที่ยว ตั้งแต่เดือน มกราคม พ.ศ.2559 ปัจจุบันอยู่เกินในราชอาณาจักร (Overstay) มา 1,956 วัน (ประมาณ 5 ปีครึ่ง) และยังมีข้อมูลว่าถูกดำเนินคดีที่ประเทศจีนในความผิดทางการเงินจนมีหมายจับของศาลประเทศจีนในคดีล้มละลาย จึงได้นำเรียนข้อมูลผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นและมีความเห็นว่าพฤติกรรมของนาย Rong ซึ่งอยู่แบบหลบซ่อนไม่ขออยู่ต่อในประเทศไทยโดยวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเปิดเผย สุ่มเสี่ยงเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์อาจนำไปสู่การก่ออาชญากรรมในประเทศไทยซึ่งพบเห็นบ่อยครั้งที่ผ่านมา ซึ่งได้อนุมัติให้ดำเนินการจับกุมโดยทันที

เมื่อได้รับการอนุมัติดังกล่าว ชุดสืบสวนได้ดำเนินการเข้าจับกุมโดยวางแผนแฝงตัวซุ่มดูอยู่หลายวันจนกระทั่ง นาย Rong ได้ปรากฏตัวจึงเข้าไปแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเพื่อขอตรวจสอบ แต่เมื่อนาย Rong พบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็รีบหลบเข้าไปในรถยนต์และทำการล็อครถไม่ยอมออกมาให้ตรวจสอบ ซึ่งเป็นระยะเวลากว่า 5 ชั่วโมงถึงยินยอมออกมาจากรถและให้มีการตรวจสอบหนังสือเดินทาง ซึ่งผลการตรวจสอบก็ปรากฏชัดว่าอยู่เกินในราชอาณาจักรตรงตามข้อมูลทางสืบสวนจริง จึงได้จับกุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี

การแจ้งข้อกล่าวหา

แจ้งข้อกล่าวหา นาย Rong ว่า “เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (Overstay) จำนวน 1,956 วัน”ภายหลังจับกุมนาย Rong รับว่าตนกระทำผิดตามที่กล่าวหา ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่าถูกดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการระดมทุนในประเทศจีน ซึ่งมีการกู้ยืมเงินจำนวนมากแต่ยังปกปิดจำนวน เมื่อสถานการณ์เริ่มย่ำแย่ได้เดินทางทางหลบหนีเข้ามายังประเทศไทยตั้งแต่ปี ค.ศ.2016 ภายหลังถูกฟ้องคดีและล้มละลายในเวลาต่อมาจนมีหมายจับในปี ค.ศ.2018 และ 2019 ตามลำดับ ในกรณีเงินทุนที่เอาเข้ามาใช้ในประเทศในการเปิดบริษัทนั้นชุดสืบสวนจะมีการสืบสวนต่อไปและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือ www.immigration.go.th

ชลบุรี - ผู้ใหญ่ใจดี! ‘สโมสรโรตารี่ อีคลับ ดอลฟิน พัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล’ มอบถุงยังชีพช่วยเหลือประชาชนชาวสัตหีบ ยามวิกฤติโควิด-19

วันนี้ (4 ส.ค.64) โมสรโรตารี่ อีคลับ ดอลฟิน พัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล นำโดย นายกชนัญดา กองพล และนายกก่อตั้ง อดีตผู้ช่วยผู้ว่าการภาค 3340 ดร.ออทม่า ดีเทอร์ นำถุงยังชีพมาช่วยเหลือประชาชนชาวสัตหีบ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไว้รัสโควิด-19 ที่กำลังวิกฤติทำให้ประชาชนไม่สามารถออกมาประกอบอาชีพได้ตามปกติ โดยมี นายกิตติพงษ์ กิติคุณ นายอำเภอสัตหีบ เป็นผู้แทนรับมอบ ซึ่งภายในถุงยังชีพก็จะประกอบด้วยเครื่องบริโภค ข้าวสาร ไข่ไก่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำมันพืช เป็นต้น และจะนำไปมอบต่อให้กับผู้นำชุมชนของแต่ละตำบลมารับไปแจกให้กับประชาชนที่เดือดร้อน

ในการนี้ นายกิตติพงษ์ กิติคุณ นายอำเภอสัตหีบ ได้นำคณะสโมสรโรตารี่ อีคลับ ดอลฟิน พัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล ลงพื้นที่ไปเยี่ยมชมการทำอาหารและนำถุงยังชีพไปมอบให้กับโรงครัวสนามที่วัดสามัคคีบรรพต ต.บางเสร่ และโรงครัวสนามเทศบาลตำบลเกล็ดแก้ว  ซึ่งได้ตั้งเป็นครัวสนามทำอาหารแจกให้กับประชาชนของแต่ละพื้นที่อีกด้วย

นายกชนัญดา กองพล  นายกสโมสรโรตารี่ อีคลับ ดอลฟิน พัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า เนื่องจากปัจจุบันโควิด-19 ได้แพร่ระบาดอย่างหนักทั้งจังหวัดชลบุรีและจังหวัดอื่นๆ รวมทั้งพื้นที่อำเภอสัตหีบด้วย ทางสโมสรโรตารี่ อีคลับ ดอลฟิน พัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล

ได้ตระหนักและมีความเห็นใจประชาชนที่ไม่สามารถออกมาประกอบอาชีพได้อย่างปกติ จึงได้นำเครื่องอุปโภคบริโภคมามอบให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านในช่วยวิกฤตินี้ และขอฝากไปยังประชาชนชาวสัตหีบ ให้ร่วมกันป้องกันตนเอง ปฎิบัติตามมาตรการของสาธารณสุขอย่างเต็มที่ และขอให้มีกำลังใจต่อสู้เพื่อจะได้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน


ภาพ/ข่าว  นันทชัย เชื้อสนุก / สมนึก เชื้อสนุก รายงาน

ตม.จว.ขอนแก่น ลงพื้นที่ตรวจสอบแรงงาน นายจ้างเจอพิษเศรษฐกิจ ผงะซ้ำ! ถูกตุ๋นต่อวีซ่าเถื่อนลูกจ้างกัมพูชา เร่งสาวหาตัวการ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.ท.สราวุฒิ ปรีดากร สวญ.ตม.จว.ขอนแก่น ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

ตามนโยบายสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้ดำเนินการสืบสวนจับกุมและขยายผลขบวนการที่กระทำความผิดเกี่ยวกับบุคคลต่างด้าว และสกัดกั้นแรงงานที่ทะลักออกมาจากพื้นที่จังหวัดที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดย ตม.จว.ขอนแก่นร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ปูพรมตรวจสอบสถานประกอบการ ที่สุ่มเสี่ยงต่อการนำแรงงานต่างด้าวที่มาจากพื้นที่จังหวัดเสี่ยงแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมาทำงานโดยผิดกฎหมาย ซึ่งจากการตรวจสอบไซต์งานก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรรในพื้นที่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น พบแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา จำนวน 6 ราย ถือหนังสือเดินทางที่มีตราประทับขออยู่ต่อ ในราชอาณาจักร ของ ตม.จว.ปทุมธานี โดยเมื่อตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพบว่าตราประทับวันอนุญาตของ ตม.จว.ปทุมธานี ไม่ปรากฏลายมือชื่อของเจ้าพนักงานผู้อนุญาต ซึ่งมีลักษณะผิดปกติ จึงได้นำตัวบุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชากลุ่มดังกล่าวทั้ง 6 ราย มาตรวจสอบเอกสารสำคัญประจำตัวโดยละเอียดที่ ตม.จว.ขอนแก่น

โดยจากการตรวจสอบผ่านระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง (Biometrics) ไม่พบการขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรตามที่ได้มีปรากฎในตราประทับในหนังสือเดินทางแต่อย่างใด จึงได้ประสานไปยัง ตม.จว.ปทุมธานี ตามที่ระบุในหนังสือเดินทางว่าเป็นผู้อนุญาตอยู่ต่อให้กับกลุ่มบุคคลต่างด้าวกลุ่มดังกล่าว ได้รับแจ้งว่าไม่มีการแจ้งขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรตามที่ได้ประทับตราในหนังสือเดินทางแต่อย่างใด

จึงทราบว่าตราประทับอนุญาตดังกล่าวเป็นตราประทับปลอม จากการสอบถามนายจ้างของบุคคลต่างด้าวคือนายพุฒศิษฐ์ อายุ 47 ปี สัญชาติไทย แจ้งว่าตนได้ว่าจ้างให้ น.ส.ทิพย์วรรณ อายุ 30 ปี เป็นผู้นำหนังสือเดินทางของบุคคลต่างด้าวไปทำการขออยู่ต่อให้กับแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา น.ส.ทิพย์วรรณ รับว่าตนนำหนังสือเดินทางของแรงงานต่างด้าวไปมอบให้ น.ส.จอย ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง เพื่อทำเรื่องขออยู่ต่อฯ

จนมาปรากฏว่าตราประทับดังกล่าวเป็นตราประทับปลอม เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ขอนแก่น จึงแจ้งข้อกล่าวหาให้บุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาจำนวน 6 ราย ทราบว่า “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” และ “เป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชามีและใช้เอกสารปลอม”(ตราประทับวันอนุญาตอยู่ต่อ) แล้วนำตัวส่ง พงส.สภ.เมืองขอนแก่นเพื่อดำเนินการ พร้อมเร่งรัดสืบสวนขยายผลสู่ตัวการขบวนการปลอมตราประทับเพื่อมารับโทษทางกฎหมายอย่างถึงที่สุดต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ  รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือ www.immigration.go.th

 

 

สิ้นลาย!! “ไอ้เล็ก” หัวหน้าขบวนการขนเวียดนามข้ามประเทศ กก.สส.บก.ตม.4 รวบครบขบวนการ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4 ,พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.อ.พิษณุ สิทธิฑูรย์ ผกก.สส.บก.ตม.4 ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

กก.สส.บก.ตม.4 ร่วมกับ ตม.จว.อุดรธานี จับกุมตัว MR.MAI อายุ 26 ปี สัญชาติเวียดนาม ในพื้นที่ อ.เมือง จ.อุดรธานี ในข้อหา “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และ “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” ตาม พ.ร.บ.บริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว

ตามนโยบายสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้ดำเนินการสืบสวนจับกุมและขยายผลขบวนการลักลอบขนคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและความผิดอื่น ๆ ประกอบกับก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สืบสวน กก.สส.บก.ตม.4 สืบทราบว่า MR.MAI บุคคลต่างด้าว สัญชาติเวียดนาม ผู้เคยต้องโทษในความผิดกรณีเป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นช่วยเหลือหรือช่วยด้วยประการใด ๆ แก่คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นจากการถูกจับกุม และตัวการช่วยเหลือหรือช่วยด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นจากการถูกจับกุม อีกทั้งเป็นหัวหน้าขบวนการลักลอบขนคนต่างด้าวสัญชาติเวียดนามเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมายในราชอาณาจักร โดย MR.MAI ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้มีโทษทั้งจำทั้งปรับ มาแล้วถึง 2 ครั้ง

หลังพ้นโทษได้รับการปล่อยตัวได้หลบหนีไปซ่อนตัว เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.4 เร่งล่าตัว สืบสวนหาข่าวจนทราบว่า MR.MAI หนีมาหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี จึงวางแผนเข้าจับกุม จนกระทั่ง ได้รับแจ้งจากสายข่าวไม่ประสงค์ออกนามว่า พบตัว MR.MAI อยู่ที่ ต.หนองบัว อ.เมือง จ.อุดรธานี จึงประสาน เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.อุดรธานี เข้าทำการจับกุม พบ MR.MAI เร่ขายของอยู่ริมถนน จึงแสดงตัวเข้าทำการจับกุม จากการตรวจสอบโดยระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง (Biometrics) พบว่าการอนุญาตสิ้นสุด จึงแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” และ “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” ตาม พ.ร.บ.บริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว จึงนำตัวส่ง พงส.สภ.เมืองอุดรธานี เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือ www.immigration.go.th


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top