Wednesday, 11 June 2025
LITE TEAM

10 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ วันสำคัญของระบบการปกครองไทย

วันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นวันที่ระลึกถึงโอกาสที่ ในหลวง รัชกาลที่ 7 พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475

วันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นวันที่ระลึกถึงโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 เป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของประเทศไทย ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ และเป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นกฎหมายลำดับศักดิ์สูงสุดแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมายอื่นใดจะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองของประเทศ ซึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญแล้วทั้งสิ้น 19 ฉบับ อันแสดงให้เห็นถึงความขาดเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นั้น ถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ไทยเชิงการเมืองการปกครอง เมื่อคณะราษฎร ซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการสายทหารบก ทหารเรือ และสายพลเรือน จำนวน 99 คน โดยมีพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นหัวหน้า ได้ร่วมกันทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศจากพระมหากษัตริย์ เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ

9 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันต่อต้านการทุจริตสากล ร่วมตระหนักต้านการทุจริตทุกรูปแบบ

9 ธันวาคม ของทุกปี ถือเป็นวันต่อต้านการทุจริตสากล หรือ วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (International Anti-Corruption Day) ถือกำเนิดขึ้นหลังจากที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหภาพสากล (The United Nation : UN) ที่มีมติเห็นชอบอนุสัญญา สหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต พ.ศ.2546 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2546 

จากนั้นประเทศภาคีสมาชิก จำนวน 191 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยได้เข้าร่วมลงนามในอนุสัญญาระหว่างวันที่ 9 – 11 ธันวาคม 2546 ณ เมืองเมอริด้า ประเทศเม็กซิโก ด้วยเหตุนี้ UN จึงได้กำหนดให้ทุกวันที่ 9 ธันวาคมของทุกปีเป็น 'วันต่อต้าน คอร์รัปชันสากล' 

ในขณะที่การจัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ในวันที่ 9 ธันวาคมของทุกปีนั้น เป็นหนึ่งในความร่วมมือระหว่างรัฐบาล, สำนักงาน ป.ป.ช., องค์กรต่อต้าน คอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อแสดงเจตนารมณ์มุ่งมั่นในการแก้ไข ปัญหาการทุจริตอย่างต่อเนื่องและปลุกกระแสสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต ภายใต้แนวคิด 'Zero Tolerance คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต' 

8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ญี่ปุ่น ยกพลขึ้นบก แผ่นดินไทย ใช้เป็นทางผ่านไปตีพม่าและมลายู

8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ทหารญี่ปุ่น ‘ยกพลขึ้นบก’ เข้าไทย ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อขอผ่านไปตีพม่าและมลายูของอังกฤษ จนเกิดปะทะกับทหาร ตำรวจและยุวชนทหารไทย 

การยกพลขึ้นบกของกองทัพญี่ปุ่น เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 (ค.ศ.1941) ตั้งแต่เวลาประมาณ 02.00 น. เมื่อกองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร นครศรีธรรมราช สงขลา สุราษฎร์ธานี ปัตตานีและบางปู สมุทรปราการ และบุกเข้าประเทศไทยทางบกที่อรัญประเทศ กองทัพญี่ปุ่นสามารถขึ้นบกได้โดยไม่ได้รับการต่อต้านที่บางปู ส่วนทางภาคใต้และทางอรัญประเทศมีการต่อสู้ต้านทานอย่างหนักของทหารไทย ประชาชนทั่วไปและอาสาสมัครที่เป็นเยาวชน ที่เรียกว่า ยุวชนทหาร ในบางจังหวัด เช่น การรบที่สะพานท่านางสังข์ จังหวัดชุมพร

๗ ธันวาคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา

ทรงพระเจริญ
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า ผู้บริหารและพนักงาน สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES

วันนี้ถือเป็นวันสำคัญของปวงชนชาวไทยอีกวันหนึ่ง โดยเป็นวันคล้ายวันประสูติของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ซึ่งปีนี้ทรงเจริญพระชันษา 44 ปี

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ ในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในหลากหลายด้าน ทางด้านกฎหมาย ทรงส่งเสริมหลักการยุติธรรมในสังคม โดยเฉพาะสตรีและผู้ต้องขังหญิง อีกทั้งส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมในระดับนานาชาติ โดยทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตสันถวไมตรีด้านการส่งเสริมหลักนิติธรรมและระบบงานยุติธรรมทางอาญา สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ

6 ธันวาคม ‘วันริบบิ้นขาว’ สัญลักษณ์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก และสตรี รำลึกถึงเหตุฆาตกรรมหญิง 14 ราย ที่แคนาดา

ทุกวันที่ 6 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันริบบิ้นขาว (White Ribbon Day) หรือที่รู้จักกันในชื่อ วันชาติแห่งการรำลึกและยุติความรุนแรงต่อสตรี (National Day of Remembrance and Action on Violence against Women) ของแคนาดา

ทุกวันที่ 6 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันริบบิ้นขาว (White Ribbon Day) หรือที่รู้จักกันในชื่อ วันชาติแห่งการรำลึกและยุติความรุนแรงต่อสตรี (National Day of Remembrance and Action on Violence against Women) ซึ่งเป็นวันสำคัญของประเทศแคนาดา โดยเริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2534 เพื่อเป็นการรำลังถึงเหตุฆาตกรรมที่วิทยาลัยสารพัดช่าง ในเมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2532 ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 14 รายและเป็นเพศหญิงทั้งหมด ซึ่งหลังจากที่เหตุการณ์ยุติลงคนร้ายได้ออกมาประกาศตัวว่าต่อต้านสิทธิสตรี

เรื่องรักนักเรียนนายร้อย ตอนที่ 9 อยากให้มันมีปาฏิหาริย์

>> พูดคุย
เรื่องเล่าชีวิตนักเรียนนายร้อย เมื่อเรียนจบจะมีพิธีโยนกระเป๋า เป็นพิธีสุดท้าย ซึ่งเป็นการแสดงออกว่าจะไม่มีการเรียนในโรงเรียนนายร้อยอีกต่อไป...

>> ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว
กรกฎอกหักและเศร้าเป็นอย่างมาก เมื่อเขมิกาเขียนจดหมายมาตัดความสัมพันธ์ เขาเอาแต่คิดหาวิธีที่จะได้กลับไปคุยกับเขมิกาเหมือนเดิม แต่ว่า...ความหวังมันริบหรี่จริงๆ 

หลังจากได้รับจดหมายตัดสัมพันธ์ได้ไม่นานนัก ก็มีกิจกรรมนอกโรงเรียนอีกครั้ง อาจารย์ให้ไปช่วยจัดแถวให้นักเรียนนักศึกษาพยาบาลเหล่าทัพในการแข่งขันกีฬา พอรู้แบบนี้ กรกฎก็รีบคว้าโอกาสไว้ จึงสมัครไปทำงานทันที

งานนี้จัดที่สนามกีฬาศุภชลาสัย ที่ๆ นักเรียนนายร้อยคุ้นเคยเป็นอย่างดี

...ด้านหลังสนามศุภฯ บริเวณลานจอดรถ นักเรียนนายร้อยที่มาช่วยงานแต่งชุดวอร์มสีดำ แถบเหลืองแดง ยืนล้อมเป็นวงกลมเพื่อฟังคำชี้แจงการทำงานจากอาจารย์ หลังจากอาจารย์แบ่งมอบงานจบแล้ว 
ก็เป็นการประสานงานระหว่างสตาฟฟ์ของนักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลตำรวจ

เหมือนมีปาฎิหาริย์กลุ่มสตาฟฟ์นั้นมีเขมิการวมอยู่ด้วย เธอเดินเข้ามาประสานงานกับกลุ่มของกรกฎ นี่คือปาฏิหาริย์ครั้งที่หนึ่ง

กรกฎหวังว่าจะได้พูดคุยทำความเข้าใจกับเขมิกา หวังให้มีปาฎิหาริย์ครั้งที่สอง 

ปาฏิหาริย์ครั้งที่สามที่หวังคือจะได้ปรับความเข้าใจกับเขมิกา

แต่ผิดคาด เขมิกามาในชุดวอร์มใบหน้าของเธอเรียบเฉย ไม่มีรอยยิ้ม และแววตาของเธอไม่เป็นประกายสดใสเหมือนเก่า

“สวัสดีครับ ผมจะขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวได้ไหมครับ” กรกฎพูดในจังหวะที่คุยงานจบแล้ว

“เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน ทุกอย่างจบแล้ว” เขมิกาพูดด้วยเสียงเรียบ แม้น้ำเสียงพูดนั้นไม่ใช่มีดแต่มันบาดลึกไปในใจของกรกฎ ตามด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า

“แค่นี้นะ”

ถึงตอนนี้กรกฎรู้แล้วว่า ปาฏิหาริย์ครั้งที่สามนั้นไม่มีจริง เขาทำได้แค่ปล่อยให้เขมิกาเดินจากไป...

กรกฎทำงานตามที่ได้รับมอบ ตอนนี้เขามองไม่เห็นใครเลย แม้จะมีนักเรียนพยาบาลเป็นพันคนในสนามศุภฯ แต่สายตาของเขามองหาแต่เขมิกาเพียงคนเดียวเท่านั้น

กรกฎต้องหอบใจช้ำๆ ของเขากลับมาที่โรงเรียน ไม่ว่าจะทำอะไร เขาก็คิดถึงแต่เขมิกา ยิ่งคิดถึงยิ่งเศร้า และเมื่อยิ่งเศร้าก็ยิ่งคิดถึง วนอยู่แบบนี้

...เขาภาวนาให้มีปาฏิหาริย์อีกสักครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะน้อยมากๆ ก็ตาม

มิวสิค “~เก็บเธอไว้ ข้างในจนลึกสุดใจ ได้คิดถึงเธอทุกคราว ~ เมื่อวันที่เหงาจับใจ ไม่มีใคร ฉันยังมีเธอ~”

เมื่อนักการเมืองยื่นปลา แต่พระราชาทรงยื่นเบ็ด

เนื้อหาของบทความนี้ผมตั้งใจอยากจะเล่าเรื่องของในหลวงรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์ท่านวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งอีกนัยหนึ่งยังเป็น ‘วันพ่อ’ ซึ่งพระองค์ทรงเป็นพ่อของปวงชนชาวไทย ผมเลยขอนำเรื่องความประทับเรื่องหนึ่งมาเขียนเล่าในบทความนี้

เมื่อหลายปีก่อน ผมได้เคยเห็นภาพหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์บ้านเมือง ฉบับวันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2518 จาก ‘สมุดภาพโครงการตามพระราชดำริ’ พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2525 โดยเนื้อหาใต้ภาพระบุว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า การพัฒนาที่ดินตามโครงการที่ได้ทรงเริ่มมาตั้งเเต่พุทธศักราช 2507 ที่ตำบลเขาใหญ่ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ได้ผลเป็นที่พอพระราชหฤทัย จึงต้องพระราชประสงค์ที่จะขยายงานด้านการช่วยเหลือเกษตรกรให้เเพร่หลายต่อไป ดังนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานที่นาของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ทั้งหมดรวม 51,967 ไร่ 95 ตารางวา สำหรับใช้ในการปฎิรูปที่ดินเป็นการประเดิมเริ่มเเรก โดยให้รัฐบาลร่วมดำเนินการตามพระราชบัญญัติการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พุทธศักราช 2518”

สมุดภาพเล่มนี้รวบรวมโครงการพระราชดำริจนถึง พ.ศ. 2525 ไว้ทั้งหมด 654 โครงการ (ซึ่งปัจจุบันมี 4,000 กว่าโครงการ) จากภาพหน้า 1 หนังสือพิมพ์ที่ได้เห็นจากหนังสือ ผมก็เลยไปลองหาข้อมูลต่อ โดยเฉพาะความสนใจเรื่องของ ‘ที่ดินทำกิน’ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในยุคแห่งการสร้างเนื้อสร้างตัวของคนไทย ที่เกษตรกรรมคืออาชีพหลัก และเป็นเรื่องหลักที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานให้เป็นมรดกของปวงชนชาวไทย 

ปฐมบทของเรื่องนี้ต้องย้อนไปเมื่อปี 2507 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ จ.เพชรบุรี แล้วทรงทราบถึงความเดือดร้อนของเกษตรกรกลุ่มชาวสวนผักชะอำ จำนวน 83 ครอบครัว ซึ่งขาดแคลนทุนทรัพย์ในการประกอบอาชีพจึงทรงรับกลุ่มเกษตรกรนี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และพระราชทานเงินให้กู้ยืมไปลงทุน (ย้ำว่าให้กู้นะครับ) จำนวน 300,000 บาท ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับสมัยนั้น แต่ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถนำเงินที่กู้ยืมไปมาคืนได้ (ทำไมล่ะ ?) เหล่าเกษตรกรไม่ได้ขี้เกียจนะครับ แต่มูลเหตุที่เกษตรกรเหล่านี้ไม่มีเงินมาคืนก็เพราะพวกเขา ‘ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง’ ต้องเช่าที่ดินของกรมประชาสงเคราะห์ เฉลี่ยครอบครัวละไม่เกิน 2 ไร่ ทั้งอยู่ ทั้งเพาะปลูก ซึ่งไม่เพียงพอต่อการประกอบอาชีพ พอพระองค์ทรงทราบถึงมูลเหตุแห่งการนี้ พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ม.ล.เดช สนิทวงศ์ อดีตองคมนตรี ไปจัดหาที่ดินในเขต จ.เพชรบุรี และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อมาจัดสรรให้แก่เกษตรกร (คือวัดผลกันอีกครั้ง เงินที่ให้กู้ไป ก็ช่างมัน) 

เป็นความบังเอิญที่โชคดีอย่างยิ่ง!! เพราะในขณะนั้น รัฐบาลอิสราเอล โดย เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ได้ขอทราบหลักการของโครงการเรื่องของที่ดินเกษตรในครั้งนั้นและอาสาช่วยเหลือในด้านผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ ทำให้เกิดการทำสัญญาร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลอิสราเอล โดยเริ่มโครงการ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2509 ให้ชื่อว่า ‘โครงการไทย - อิสราเอล เพื่อพัฒนาชนบท (หุบกะพง)’ นั่นคือการต่อยอดจากพระราชดำริในการสร้างที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกร 

พื้นที่โครงการเดิมเป็นป่าคุ้มครองของกรมป่าไม้ มีราษฎรเข้าไปจับจองอยู่บ้าง แต่ทำกินไม่ค่อยได้ผล เพราะดินไม่ดีและขาดแคลนน้ำ การทำกินจึงเป็นไปในลักษณะไร่เลื่อนลอย ย้ายที่ทำกินทุก 3-4 ปี จึงมีพระราชดำริให้กันพื้นที่ประมาณ 10,000 ไร่ ออกจากพื้นที่ป่า โดยทรงจับจองที่ดินตามขั้นตอนของกฎหมายแล้วนำมาจัดให้ราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนและมีความขยันหมั่นเพียร แต่ขาดแคลนที่ทำกินได้เข้าไปอยู่อาศัยและทำประโยชน์ นั่นคือจุดเริ่มต้นจนเกิดเป็นข่าวนี้ในปี พ.ศ. 2518 

เกี่ยวกับพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 เรื่องที่ดิน ผมขอยกบทความของท่านอดีตประธานองคมนตรี ฯพณฯ ธานินทร์ กรัยวิเชียร เรื่อง ‘พระบารมีคุ้มเกล้าฯ’ ในหนังสือ ‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับคณะองคมนตรี’ โดยมีใจความบางส่วนบางตอนที่เล่าเรื่อง ‘การปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรผู้ยากไร้ได้มีที่ดินทำกิน’ ความว่า...

“...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นการณ์ไกลในอนาคตว่า ยิ่งนานวันชาวไร่ชาวนาจะยิ่งไม่มีที่ดินทำกิน เพราะความยากจนของเขาเหล่านี้ พวกที่เคยมีที่ดินต้องยอมสูญเสียกรรมสิทธิ์ให้แก่นายทุน และกลายมาเป็นผู้เช่าหรือไร้ที่ดินทำกินในที่สุด จึงมีพระราชดำริที่จะปฏิรูปที่ดินทำกิน เพื่อช่วยราษฎรที่ยากจนให้มีที่ดินทำกินตลอดไปชั่วลูกชั่วหลาน โดยทรงดำเนินโครงการเป็นแบบอย่างเริ่มจาก ‘โครงการจัดสรรและพัฒนาที่ดินตามพระราชประสงค์หุบกะพง’

“รัฐบาลแต่ละชุดหลังจากนั้น ก็ได้ดำเนินตามรอยพระยุคลบาทในเรื่องปฏิรูปที่ดินตามพระราชดำริของพระองค์มาเป็นลำดับ (พระองค์ไม่ได้บังคับให้ทำตามนะครับ แต่ถ้ารัฐบาลไหนเห็นประโยชน์ตรงนี้ก็สนองพระราชดำริของพระองค์เพื่อประโยชน์ของประชาชน)”

“ตั้งแต่รัฐบาลชุดศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เสนอและได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาให้ตราพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ขึ้น ช่วงที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ พระองค์ทรงพระกรุณาฯ รับโครงการไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ด้วยการพระราชทานที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จำนวน 51,967 ไร่ 95 ตารางวา ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคกลาง แก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นประเดิม โดยมีพระราชประสงค์ให้ผู้เช่าที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่แต่เดิม ได้ทำกินในที่ดินนั้นต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน ตราบที่ยังยึดถืออาชีพเกษตรกรรมอยู่ แต่จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น (ให้ทำกินได้ แต่ไม่ให้ขายเพราะจะหมดที่ทำกินหากขายไป)”

“ต่อมาในสมัยรัฐบาลหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าฯ เพื่อรับพระราชทานพระราชดำริเรื่องการปฏิรูปที่ดิน โดยทรงขอให้รัฐบาลดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเวลาไม่ช้านัก แต่เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้มีเวลาอยู่ในหน้าที่ไม่นาน (เป็นรัฐบาลผสมยิบย่อยมาก ๆ) จึงยังไม่มีโอกาสสนองพระราชดำริเต็มที่ การปฏิรูปที่ดินตามพระราชดำรินั้น จึงเริ่มดำเนินการในสมัยรัฐบาลชุดของผม (รัฐบาลของ ฯพณฯ ธานินทร์ กรัยวิเชียร) ตามที่ได้มีพระราชดำรัสแนะนำ คือ ให้มีการแจกเอกสารสิทธิแก่ราษฎรผู้ไร้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน และจัดให้มีการบูรณาการต่อไปด้วยการสร้างถนน สะพาน ขุดคลอง สร้างอ่างเก็บน้ำ ปรับปรุงคุณภาพดิน แจกปุ๋ย ฝึกอบรมสาธิตการเพาะปลูกพืชต่างๆ ที่ดูแลง่าย โตเร็ว ให้ราคาสูง และจัดสรรเงินทุนของกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกษตรกรกู้ยืมเพื่อการเกษตรด้วย…”

ถึงตรงนี้จบเรื่องราวที่ดินในบทความเล่าเรื่อง ‘การปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรผู้ยากไร้ได้มีที่ดินทำกิน’

น่าสังเกตว่าโครงการหุบกะพงที่ทรงดำเนินโครงการเป็นแบบอย่างนั้น มีการทดลองปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ วางแผนผังการจัดที่ดิน บำรุงรักษาพัฒนาแหล่งน้ำรวมกลุ่มเกษตรจัดตั้งสหกรณ์การเกษตร เพื่อการผลิต การจำหน่าย จัดหาสินเชื่อ มีการส่งเสริมการเกษตรและพัฒนาอาชีพ ครบวงจร 

ที่น่าสนใจ คือ พระองค์พระราชทานที่ดินเพื่อใช้ประเดิมสำหรับการดำเนินงานปฏิรูปที่ดินในท้องที่ภาคกลางด้วย โดยรัฐบาลในขณะนั้นเริ่มทำการปฏิรูปที่ดินที่ได้รับพระราชทานมาทั้ง 50,000 ไร่เศษก่อน โดยมีที่ดิน ที่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่สามารถปฏิรูปได้ 43,902ไร่ จากนั้นก็บุกเบิกปฏิรูปที่ดินในท้องถิ่นทุรกันดารอื่น ๆ ตามพระราชดำริ รวมอีก 17 จังหวัด ปฏิรูปไปถึงท้องที่ ที่แห้งแล้งที่สุดในอีสาน คือ ทุ่งกุลาร้องไห้!! (วันนี้ไม่มีกุลามาร้องไห้ มีแต่ข้าวเจ้าที่อร่อยมาก ๆ) 

ต่อจากนั้น รัฐบาลชุดต่อ ๆ มาก็ได้ดำเนินการปฏิรูปที่ดินตามพระราชดำรินี้จวบจนถึงปัจจุบัน จนสามารถช่วยเกษตรกรไทยให้มีที่ดินทำกิน และมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ยังได้พระราชทานพระบรมราโชบายเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพิ่มเติม โดยทรงชี้แนะด้วยว่า การปฏิรูปที่ดินในแต่ละท้องที่ จะต้องเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อให้เกษตรกรเห็นผลโดยไม่ชักช้าส่วนเงินชดเชยค่าที่ดินที่ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทาน ซึ่งรัฐบาลจะต้องทูลเกล้าฯ ถวายตามกฎหมายนั้น เพื่อพระราชทานให้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับดำเนินงานของสหกรณ์ในเขตปฏิรูปที่ดินเหล่านั้น (คือเงินพระองค์ที่ชาวบ้านมาใช้ที่ดินของพระองค์พระองค์ไม่รับ ที่จ่าย ๆ กันมาให้เอาไปหมุนเวียนในสหกรณ์) พูดง่าย ๆ ว่า ทรงให้ทั้งที่ดินทำกิน ให้ทั้งเงิน แล้วยังให้พัฒนาทรัพยากรเพื่อการผลิตอื่น ๆ พร้อมด้วยความรู้ในการผลิตและการดำเนินการต่อไปด้วย

5 ธันวาคม วันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 

5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และภายหลังการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 สำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกประกาศ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เรื่อง กำหนดวันสำคัญของชาติไทย มีใจความสำคัญให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันสำคัญของชาติไทย ดังนี้ 

1. เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 

2. เป็นวันชาติ 

3. เป็นวันพ่อแห่งชาติ

โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป 

4 ธันวาคม ‘วันสิ่งแวดล้อมไทย’ รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวง ร.9 ที่ทรงมีพระราชดำรัสถึงสิ่งแวดล้อมไทย

วันที่ 4 ธันวาคม ของทุกปี เป็น ‘วันสิ่งแวดล้อมไทย’ กำหนดขึ้นเพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีพระราชดำรัสถึงสถานการณ์สิ่งแวดล้อมของประเทศไทย

วันที่ 4 ธันวาคม ของทุกปี เป็น ‘วันสิ่งแวดล้อมไทย’ กำหนดขึ้นเพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีพระราชดำรัสถึงสถานการณ์สิ่งแวดล้อมของประเทศไทยและสถานการณ์สิ่งแวดล้อมโลก เมื่อครั้งเสด็จออกให้คณะบุคคลต่าง ๆ เข้าเฝ้าถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลา ดุสิดาลัย พระตำหนัก จิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2532 เพื่อตรัสเตือนคนไทยให้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยเฉพาะปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และให้ถือว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องร่วมมือกันแก้ไข้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้มีพระราชดำรัสใจความตอนหนึ่งว่า

“วันก่อนนี้เราพูดถึงปัญหาว่า เมืองไทยนี้อีกหน่อยจะแห้ง ไม่มีน้ำเหลือจะต้องไปซื้อน้ำจากต่างประเทศซึ่งก็อาจเป็นได้ แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าถ้าคำนวณดูน้ำในประเทศไทยที่ไหลเวียนนั้นยังมีอยู่ เพียงแต่ต้องบริหารให้ดี ถ้าบริหารให้ดีแล้ว มีเหลือเฟือ มีตัวเลขแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้ไปแยกแยะตัวเลข เหมือนที่ได้แยกแยะตัวเลขของคาร์บอน น้ำนั้นน่ะ ในโลกมีมากแล้วที่ใช้จริงๆ มันเป็นเศษหนึ่งส่วนหมื่นของน้ำที่มีอยู่ อาจไม่ถึง ก็ต้องบริหารให้ดีเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้ก็มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำ น้ำนี้จะต้องใช้ให้ดี คือ น้ำนั้นมีคุณอย่างที่เราใช้สำหรับบริโภค น้ำสำหรับการเกษตร น้ำสำหรับอุตสาหกรรมทั้งหมดนี้ต้องใช้น้ำที่ดี หมายความว่าน้ำที่สะอาด”

“น้ำมีมากในโลก เป็นน้ำทะเลส่วนใหญ่ซึ่งจะใช้อย่างนี้ไม่ได้แล้ว นอกจากนั้นเดี๋ยวนี้ที่กำลังมีมากขึ้นก็คือ น้ำเน่า จะต้องป้องกันไม่ให้มีน้ำเน่า น้ำเน่าจะมีอยู่เสมอ แต่อย่าให้น้ำเน่านั้นเป็นโทษมากเกินไป ฉะนั้น นี่เป็นอีกโครงการหนึ่งที่เราจะต้องปฏิบัติ แล้วก็ถ้าไม่จัดการโดยเร็วเราจะนอนอยู่ในน้ำเน่า น้ำดีจะไม่มีใช้แม้จะไปซื้อน้ำจากต่างประเทศมา ก็กลายเป็นน้ำเน่าหมด เพราะว่าเอามาใช้โดยไม่ได้ระมัดระวัง”

“ถ้าเรามีน้ำแล้วมาใช้อย่างระมัดระวังข้อหนึ่ง และควบคุมน้ำที่เสียอย่างดีอีกข้อหนึ่ง ก็อยู่ได้ เพราะว่าภูมิประเทศของประเทศไทย ‘ยังให้’ ใช้คำว่า ‘ยังให้’ ก็หมายความว่า ยังเหมาะแก่การอยู่กินในประเทศนี้ ไม่ใช่ไม่เหมาะ ประเทศไทยนี้เป็นที่ที่เหมาะมากในการตั้งถิ่นฐาน แต่ว่าต้องรักษาเอาไว้ไม่ทำให้ประเทศไทยซึ่งเป็นสวนเป็นนากลายเป็นทะเลทรายก็ป้องกันได้ ทำได้”

เอเชียผงาด!! สรุปผลงานทีมจากเอเชียรอบแรก ในศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับรอบแบ่งกลุ่มในศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ต้องบอกว่าในหลาย ๆ นัดที่ผ่านมาของรอบแบ่งกลุ่มนั้น ทีมยักษ์ใหญ่ชาติยุโรปหรือจากโซนอเมริกาใต้เจอทีเด็ดฟอร์มแรงจากทีมเอเชียตบหงายเงิบกันไปหลายทีม และในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้มีทีมจากเอเชียอยู่ในทัวร์นาเมนต์นี้มากถึงถึง 6 ทีม ซึ่งเยอะกว่าครั้งไหน ๆ วันนี้ THE STATES TIMES ขอพาไปดูผลงานของทีมจากเอเชียในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้กันครับ

เริ่มกันที่เจ้าภาพ กาตาร์ ก่อนที่จะเริ่มทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลของมวลมนุษยชาติ มีหลายประเด็นที่ถาโถมใส่ชาติเจ้าภาพอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งเรื่องการสร้างสนามที่มีคนงานตายหลายพันคน และความโปร่งใส่ในการจัดฟุตบอลโลกครั้งนี้ที่เป็นประเด็นด้วยเม็ดเงินสูงถึง 200,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ (ประมาณกว่า 7.5 ล้านล้านบาท) และเมื่อศึกฟุตบอลโลกเริ่มไปแล้วก็ยังมีประเด็นประปรายในเรื่องของสิทธิมนุษยชนที่ทีมชาติเยอรมันเอามือปิดปากก่อนเริ่มเกมกับทางญี่ปุ่น ในประเด็นขัดแย้งเรื่องการขู่คว่ำบาตรของฟีฟ่าเกี่ยวกับปลอกแขน ‘OneLove’

มาดูกันที่ผลงานของกาตาร์กัน เข้ามาร่วมศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นครั้งแรกและมาในฐานะแชมป์เอเชียและชาติเจ้าภาพในหนนี้ พวกเขาพกดีกรีความเป็นแชมป์เอเชียมาและคิดว่าจะต่อกรกับทีมชั้นนำของโลกได้ พวกเขาอยู่รวมสายกับ เนเธอร์แลนด์ เอกวาดอร์ เซเนกัล ในเกมเปิดสนามกับทีมชาติเอกวาดอร์นั้น เราเห็นหลายสิ่งหลายอย่างครับในสนาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประสบการณ์ในสนามกับรายการเมเจอร์ใหญ่ของโลก ประสบการณ์นักเตะของทีมชาติกาตาร์ และเทคนิดความสามารถเพาะตัวของผู้เล่นทั้งสองทีม ต้องบอกว่ากาตาร์ยังห่างชั้นกับเอกวาดอร์เป็นอย่างมาก ในนัดเปิดสนามผลจบลงด้วยชัยชนะของทีมชาติเอกวาดอร์ 2-0 เหนือทีมชาติกาตาร์ กาตาร์ชุดนี้สร้างทีมก่อนปี 2014 วางระบบโดย แอสไปร์ อะคาเดมี่ ซึ่งเป็นอะคาเดมี่ชื่อดังของโลกใช้งบประมาณในการลงทุนมหาศาลคัดสรรเด็กเข้ามาสู่ระบบไม่ว่าจะเป็นการกว้านนักเตะระดับยุวชนฝีเท้าดีจากทั่วโลกมาแปลงสัญชาติและรวมตัวฝึกซ้อมมาอย่างยาวนาน  

แม้ว่าความสำเร็จจะเกิดในการคว้าแชมป์เยาวชน 19 ปีเอเชีย 2014 และต่อยอดสู่ทีมชุดใหญ่คว้าแชมป์เอเชียปี 2019 แต่จุดบอดของกาตาร์ชุดนี้คือความแข็งแกร่งของนักเตะที่ไม่ต่อยอดไปเล่นในลีกชั้นนำของยุโรปในวัยที่ควรได้เกมคุณภาพทำให้ประสบการณ์ในสนามที่แสดงออกยังดูห่างชั้นจากทีมรอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 

ชาติเจ้าภาพที่มีส่วนร่วม 9 วัน ยิงได้ประตูเดียวตกรอบภายใน 5 วัน ผลงานกาตาร์ในฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายแพ้เอกวาดอร์ 0-2, แพ้ เซเนกัล 1-3 และแพ้เนเธอร์แลนด์ 0-2 ตกรอบตั้งแต่ 2 เกมแรกในระยะเวลาเพียง 5 วัน ซึ่งทีมชาติกาตาร์ใช้เวลาโดยรวมบนเวทีฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเพียง 9 วันตั้งแต่วันเปิดสนามจนถึงวันที่ต้องเล่นเกมสุดท้าย 29 พฤศจิกายน 65 คงจะพูดได้ว่าเป็นได้แค่เจ้าภาพไม้ประดับที่ร่ำรวยจริง ๆ ผลงานในสนามครั้งนี้เต็ม 10 ให้ 1 คะแนน 

มาต่อกันที่ทีมชาติอิหร่าน พวกเขาอยู่สาย B ร่วมกับ อังกฤษ เวลล์ และ สหรัฐอเมริกา ทีมชาติอิหร่านนำทัพโดย คาร์ลอส เคยรอซ เฮดโค้ชชาวโปรตุกีส วัย 69 ปี ก่อนหน้านี้เขาเคยคุม อิหร่าน ระหว่างปี 2011-2019 และพาทีมลุยฟุตบอลโลกมาแล้วถึง 2 ครั้งในปี 2014 และ 2018 ดังนั้นฟุตบอลโลก 2022 จึงเป็นเวิลด์คัพสมัยที่ 3 ของ เคยรอซ กับทีมชาติอิหร่าน และสตาร์ของทีมประกอบไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น เมห์ดี้ ทาเรมี่ (ปอร์โต้) ซาแมน ก็อดดอส (เบรนท์ฟอร์ด) อลิเรซา จาฮานบัคช์ (เฟเยนูร์ด) ซาเดก โมฮาร์รามี่ (ดินาโม ซาเกร็บ) คาริม อันซาริฟาร์ด (โอโมเนีย นิโคเซีย) เอซาน ฮาจซาฟี (เออีเค เอเธนส์) และที่ขาดไม่ได้คือ ซาร์ดาร์ อัซมูน ดาวยิงวัย 27 ปีจากไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น เจ้าของสถิติสุดร้อนแรงลงเล่นทีมชาติ 63 นัดยิงได้ถึง 40 ประตู 

ทีมชาติอิหร่านลงประเดิมสนามเกมแรกของกลุ่มเจอกับเต็งแชมป์โลกอย่างอังกฤษผลงาน 90 นาที ในแมตซ์แรกของทีมชาติอิหร่านเริ่มเกมมาได้ไม่กี่นาที อิหร่านต้องเสียผู้รักษาประตูมือ 1 ของทีม เนื่องจากบินปัดลูกเปิดของทีมชาติอังกฤษ ทำให้ผู้รักษาประตูกับกองหลังทีมชิตอิหร่านชนกันเองเป็นเหตุให้ ผู้รักษาประตูมือ 1 จมูกหักเล่นต่อไมไหว เล่นเอา คาร์ลอส เคยรอซ เฮดโค้ชชาวโปรตุกีส เอามือกุมหัวเลยครับจังหวะนี้เพราะเสียผูเล่นคนสำคัญของทีม จบเกมแรกกับอังกฤษพวกเขาโดนสิงโตคำรามถล่มไป 6-2 และในเกมที่ 2 กับเวลล์ อิหร่านเอาชนะเวลล์ ได้ 2-0 ถือไปชัยชนะที่สำคัญในการลุ้นเข้ารอบต่อไป ในแมตช์ที่ 2 กับเวลล์นั้นทีมชาติอิหร่านเล่นดี ๆ จริง ๆ และเหมาะสมที่ได้ 3 แต้ม และเป็น 3 แต้มของทีมเอเชียที่จุดประกายความหวังเข้ารอบ 16 ทีม ซึ่งในนัดสุดท้ายพวกเขาต้องเจอกับสหรัฐอเมริกา แต่ผลงานก็อย่างที่ทราบกันครับ อิหร่านแพ้สหรัฐอเมริกา 1-0 ตกรอบแรกอย่างน่าเจ็บใจ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังเก็บชัยชนะได้ 1 นัด และสร้างความลำบากให้กับทั้งเวลล์และอเมริกาได้ไม่น้อย ชัยชนะเหนือเวลล์ 2-0 ผมเชื่อว่าเป็นแรงผลักดันชั้นยอดให้กับทีมจากทวีปเอเชียในการต่อกรกับทีมชั้นนำของโลก 5 เต็ม 10 คะแนน 

ทีมต่อมาต้องบอกว่าแค่นัดแรกเท่านั้นสร้างปรากฏการณ์ไปทั้งโลก ซาอุดีอาระเบีย พวกเขาอยูสาย C ร่วมกับ แชมป์โลก 2 สมัย อาร์เจนตินาที่มีราชาฟุตบอลแห่งยุคอยู่ในทีมอย่าง ลิโอเนล เมซซี่ ต้องบอกว่าขุนพลฟ้าขาวในทัวร์นาเมนต์นี้ระดับพระกาฬทั้งนั้น และอีก 2 ทีมประกอบด้วย โปแลนด์ เม็กซิโก ซึ่งต้องบอกว่า 2 ทีมนี้ตัวผู้เล่นก็ไม่ธรรมดา ซาอุฯ ลงสนามนัดแรกเจอกับอาร์เจนตินาก่อนเกมหลายสื่อมองไปทางเดียวกันว่ายังไงอาร์เจนตินาก็ชนะแต่จะชนะกี่ลูกเท่านั้น ครึ่งแรกอาร์เจนตินานำ 1-0 จากจุดโทษของเมซซี่และทำท่าว่าจะได้อีกหลายลูกแต่ก็ไม่ได้ เริ่มครึ่งหลังได้ไม่เท่าไร ซาอุฯ ช็อกคนทั้งโลกด้วยการยิง 2 เม็ด แซงอาร์เจนตินา และจบด้วยสกอร์ 2-1 เอาชนะแชมป์โลก 2 สมัย ที่มีเมซซี่ 

สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด ประกาศให้วันที่ 23 พ.ย. เป็นวันชาติ และให้หยุด 1 วัน เพื่อเฉลิมฉลองกับชัยชนะประวัติศาสตร์ของพวกเขา 3 แต้มสำคัญนี้สร้างขวัญและกำลังใจอย่างมหาศาลและเพิ่มโอกาสเข้ารอบ 16 ทีมเป็นครั้งที่ 2 ของทีมชาติซาอุดีอาระเบียอย่างแท้จริง คนทั้งชาติร้องเฮดีใจ ก็ชนะอาร์เจนตินาที่ในทีมนั้นตัวผู้เล่นระดับโลกทั้งทีม มันเป็นความรู้สึกใหม่ ๆ ของคนทั้งชาติและอาจคนทั้งโลกด้วยที่ชมเกมอยู่ในวันนั้น แต่ชัยชนะครั้งนี้ก็ไม่สามารถพาพวกเข้าเข้ารอบ 16 ทีม เพราะใน 2 นัดหลัง ซาอุฯ ทำผลงานได้ไม่ดี แพ้โปแลนด์ 0-2 และแพ้เม็กซิโก 1-2 ในนัดสุดท้าย ลงสนาม 3 นัด ชนะ 1 แพ้ 2 มี 3 แต้ม จบอันดับบ๊วยของกลุ่ม ถึงแม้จะตกรอบแรกแต่ชัยชนะเหนืออาร์เจนตินา 2-0 คงต้องทำให้ทีมจากทวีปอื่น ๆ มองฝั่งเอเชียใหม่และชัยชนะนัดนี้ผมคิดว่าเป็นหมุดหมายที่ดีเป็นแรงผลักดันให้กับฟุตบอลทวีปเอเชียครับ ผลงานครั้งนี้ 6 เต็ม 10

เราพูดถึงในส่วนทีมเอเชียที่ตกรอบแรกกันไปแต่สร้างผลงานได้เป็นที่น่าพอใจ อิหร่าน และ ซาอุฯ อย่างน้อยพวกเขาก็สร้างความลำบากให้กับทีมร่วมสายกันได้ ทีนี่เราไปดูผลงานอีก 3 ทีม จากเอเชียที่ทะลุเข้ารอบ 16 ทีม ได้กันบ้าง

ขอเริ่มที่ ออสเตรเลีย พวกเขาอยู่สายเดียว D สายเดียวกับ แชมป์โลก 2 สมัยและครั้งล่าสุด อย่างฝรั่งเศส นำทัพมาโดยท่านประธาน คีลียัน เอ็มปั้บเป้, อองตวน กรีสมันส์ และอุสมาน เดมเบเล่ เอาแค่ชื่อ 3 คนนี้ทีมร่วมสายทีมอื่นแค่คิดก็เหนื่อยแล้ว อีก 2 ทีม ประกอบไปด้วย เดนมาร์ค และ ตูนีเซีย ออสเตรเลียประเดิมสนามเกมแรกกับฝรั่งเศสที่มีซูเปอร์สตาร์เต็มทีม ผลก็อย่างที่คาดครับฝรั่งเศสจัดเต็มคาราเบลลออสซี่ไปแบบจุก ๆ 4-1 ทำให้หลังจบเกมแรกพวกเขาจมบ๊วยท้ายตารางโอกาสตกรอบแรกสูงเหลือเกิน แต่ในเกมที่ 2 และ 3 ออสเตรเลียมีผลงานที่ดี ตบทั้งตูนีเชีย และ เดนมาร์ก สกอร์ 1-0 ทั้ง 2 เกม ทำให้พวกเขาพลิกสถานการ์ณเข้ารอบ 16 ทีม เป็นหนที่ 2 ของออสเตรเลีย 

เกรแฮม อาร์โนลด์ โค้ชทีมชาติออสเตรเลีย เผยเคล็ดลับเด็ดที่ทำให้พวกเขาเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2022 เขาได้สั่งให้นักเตะของเขาทุกคนงดเล่นโซเชียลมีเดีย เพื่อที่จะได้มีสมาธิกับงานของตัวเองอย่างเต็มที่ “คืนนี้ไม่มีงานฉลองใดๆ นั่นแหละจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงชนะ หลังจากคว้าชัยเหนือ ตูนิเซีย ได้อย่างยอดเยี่ยม” อาร์โนลด์ กล่าวหลังเกม “ไม่ฉลอง, ไม่แสดงอารมณ์, งดเล่นโซเชียล, เข้านอน” ผลงานในครังนี้ทะลุเข้าถึงรอบ 16 ทีม ได้ เอาไป 8 เต็ม 10 เลย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top