Friday, 13 June 2025
LITE TEAM

ตัดเชือก 4 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2022 ฝรั่งเศสจะย้ำชัย หรือแชมป์หน้าใหม่จะบังเกิด

4 ทีมสุดท้ายในเวิลด์คัพ คุณคิดว่าใครจะเป็นแชมป์?

ในศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ เราก็ได้เห็น 4 ทีมสุดท้ายที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบรองชนะเลิศ 

ทีมแรกที่เข้ามาในรอบนี้เป็นทีมแรกคือ เหล่าขุนพลทัพฟ้าขาว อาร์เจนตินา นำทัพโดย ลิโอเนล เมสซี่ ที่ลงสนามร่ายมนต์พาอาร์เจนเข้ารอบรองโดยหักด่านรอบ 16 ทีมด้วยการล้มออสเตรเลีย 3-1 และชนะการดวลจุดโทษ เนเธอร์แลนด์ 4-3 หลังใน 120 นาที เสมอกัน 2-2 

ในเกมรอบ 8 ทีม ที่พบกับอัศวินสีส้ม เนเธอร์แลนด์ ดูเหมือนจะเป็นงานง่ายๆ เพราะออกนำ 2-0 โดยได้ประตูช่วงครึ่งแรกจาก มานูเอล โมลิน่า นาทีที่ 35 และจุดโทษของ เมสซี่ นาทีที่ 73 เกมทำท่าว่าจะจบด้วยชัยชนะของทัพฟ้าขาว แต่เข้าสู่ช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกม เนเธอร์แลนด์ได้ประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-2 จาก วูท เว็กซ์ฮอสร์ท ช่วงทดเวลา 10 นาที นาทีที่ 90+10 ใครจะคิดว่า เนเธอร์แลนด์จะตีเสมอ 2-2 นาทีสุดท้ายของสุดท้าย กล้องจับภาพไปที่กองเชียร์ทั้ง 2 ฝั่ง คนละอารมณ์เลย กองเชียร์ทัพฟ้าขาวถึงกับ ‘ช็อตฟีล’ 

ในจังหวะนี้ ถ้าเนเธอร์แลนด์ทำไม่ได้คือจบเกมไปเลย แต่นี้ต้องอยู่ด้วยกันต่อไปลุ้นที่การดวลจุดโทษ ผลปรากฏว่า อาร์เจนตินายิงแม่นกว่าเนเธอร์แลนด์ เบียดเอาชนะไป 4-3 ในการดวลจุโทษ หลังเสมอ 2-2 ใน 120 นาที และส่งให้ขุนพลทัพฟ้าขาวลุ้นแชมป์โลกสมัยที่ 3 เส้นทางที่ เมสชี่ จะพาอาร์เจนตินาไปเป็นแชมป์โลกยังคงเปิดกว้างและในรอบรองต้องชนกับ ทัพตราหมากรุก โครเอเชีย ซึ่งไม่ง่ายเลยและเป็นถึงรองแชมป์เก่าเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

ทีมที่ 2 ที่เข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศได้ด้วยการล้มเต็ง 1 อย่างบราซิลของรายการนี้ ในรอบ 16 ทีม คือโครเอเชีย แต่ก็เกือบเอาตัวไม่รอด เพราะต้องเล่นญี่ปุ่น จนถึงดวลจุดโทษ แอบเสียดายญี่ปุ่นอยู่นิดๆ มาทัวร์นาเมนต์นี้ดีจริง ๆ ล้มอดีตแชมป์โลกได้ 2 ทีม (เยอรมันและสเปน) เข้ามาเป็นที่ 1 ของสายชนโครแอต ในรอบ 16 ทีม ความเก๋าเกม บวกกับมีลูก้า โมดริช ที่คอยคุมจังหวะเทมโป้ของเกมทำให้ทัพโครเอเชียคว้าชัยเบียดญี่ปุ่นเข้ารอบ 8 ทีม ไปชนกับเต็ง 1 อย่างบราซิลของรายการนี้ ที่นำทัพมาโดยสุดยอดกองหน้าทั้งนั้น นำโดย เนย์มาร์ จูเนียร์ ราฟิณญ่า ริชาร์ลิซอน แอนโตนี่ มาติเนลลี่ และ เฆซุส แล้วก็เป็น ลูก้า โมดริช คนดีคนเดิมของคนโครแอตที่หักด่านบราซิลในการดวลจุดโทษ แต่คนที่พาโครเอเชียเข้ารอบมาจริงๆ เป็นพระเอกของงานนี้ทั้ง 2 รอบ โดมินิค ลิวาโควิช ผู้รักษาประตูทีมชาติโครเอเชีย ต้องบอกว่านี้โกล์หรือกาว เหนียวเกินพ่อเอ้ยยย เชฟจุดโทษทั้งรอบ 16 และ รอบ 8 ทีมแบบโคตรเทพ พาทัพตราหมากรุกเข้ารอบรองชนะเลิศเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน โดยจะชนกับ อาร์เจนตินา ในวันที่ 13 ธ.ค. นี้ เป็นการรีแมตซ์เมื่อ 4 ปีก่อนที่โครเอเชียอัดทัพฟ้าขาว 3-1 ในฟุตบอลโลก 2018 ในรอบแบ่งกลุ่มรอบแรก 

11 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ในหลวง ร.10 ทรงนำประชาชนทุกหมู่เหล่า จัดกิจกรรม ‘ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad’

วันนี้เมื่อ 7 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เป็นประธานจัดกิจกรรม ‘ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad’

พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้มีพระราชปณิธานที่จะจัดกิจกรรมเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชฯ ผู้ทรงมีพระคุณอันประเสริฐ เปรียบดุจพ่อของแผ่นดิน

โดยมีพระราชประสงค์จะจัดกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติ จัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ และจัดแสดงโขนกลางแปลงพระราชทานเฉลิมพระเกียรติ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้ร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

10 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ วันสำคัญของระบบการปกครองไทย

วันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นวันที่ระลึกถึงโอกาสที่ ในหลวง รัชกาลที่ 7 พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475

วันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นวันที่ระลึกถึงโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 เป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของประเทศไทย ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ และเป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นกฎหมายลำดับศักดิ์สูงสุดแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมายอื่นใดจะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองของประเทศ ซึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญแล้วทั้งสิ้น 19 ฉบับ อันแสดงให้เห็นถึงความขาดเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นั้น ถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ไทยเชิงการเมืองการปกครอง เมื่อคณะราษฎร ซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการสายทหารบก ทหารเรือ และสายพลเรือน จำนวน 99 คน โดยมีพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นหัวหน้า ได้ร่วมกันทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศจากพระมหากษัตริย์ เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ

9 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันต่อต้านการทุจริตสากล ร่วมตระหนักต้านการทุจริตทุกรูปแบบ

9 ธันวาคม ของทุกปี ถือเป็นวันต่อต้านการทุจริตสากล หรือ วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (International Anti-Corruption Day) ถือกำเนิดขึ้นหลังจากที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหภาพสากล (The United Nation : UN) ที่มีมติเห็นชอบอนุสัญญา สหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต พ.ศ.2546 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2546 

จากนั้นประเทศภาคีสมาชิก จำนวน 191 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยได้เข้าร่วมลงนามในอนุสัญญาระหว่างวันที่ 9 – 11 ธันวาคม 2546 ณ เมืองเมอริด้า ประเทศเม็กซิโก ด้วยเหตุนี้ UN จึงได้กำหนดให้ทุกวันที่ 9 ธันวาคมของทุกปีเป็น 'วันต่อต้าน คอร์รัปชันสากล' 

ในขณะที่การจัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ในวันที่ 9 ธันวาคมของทุกปีนั้น เป็นหนึ่งในความร่วมมือระหว่างรัฐบาล, สำนักงาน ป.ป.ช., องค์กรต่อต้าน คอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อแสดงเจตนารมณ์มุ่งมั่นในการแก้ไข ปัญหาการทุจริตอย่างต่อเนื่องและปลุกกระแสสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต ภายใต้แนวคิด 'Zero Tolerance คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต' 

8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ญี่ปุ่น ยกพลขึ้นบก แผ่นดินไทย ใช้เป็นทางผ่านไปตีพม่าและมลายู

8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ทหารญี่ปุ่น ‘ยกพลขึ้นบก’ เข้าไทย ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อขอผ่านไปตีพม่าและมลายูของอังกฤษ จนเกิดปะทะกับทหาร ตำรวจและยุวชนทหารไทย 

การยกพลขึ้นบกของกองทัพญี่ปุ่น เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 (ค.ศ.1941) ตั้งแต่เวลาประมาณ 02.00 น. เมื่อกองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร นครศรีธรรมราช สงขลา สุราษฎร์ธานี ปัตตานีและบางปู สมุทรปราการ และบุกเข้าประเทศไทยทางบกที่อรัญประเทศ กองทัพญี่ปุ่นสามารถขึ้นบกได้โดยไม่ได้รับการต่อต้านที่บางปู ส่วนทางภาคใต้และทางอรัญประเทศมีการต่อสู้ต้านทานอย่างหนักของทหารไทย ประชาชนทั่วไปและอาสาสมัครที่เป็นเยาวชน ที่เรียกว่า ยุวชนทหาร ในบางจังหวัด เช่น การรบที่สะพานท่านางสังข์ จังหวัดชุมพร

๗ ธันวาคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา

ทรงพระเจริญ
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า ผู้บริหารและพนักงาน สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES

วันนี้ถือเป็นวันสำคัญของปวงชนชาวไทยอีกวันหนึ่ง โดยเป็นวันคล้ายวันประสูติของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ซึ่งปีนี้ทรงเจริญพระชันษา 44 ปี

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ ในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในหลากหลายด้าน ทางด้านกฎหมาย ทรงส่งเสริมหลักการยุติธรรมในสังคม โดยเฉพาะสตรีและผู้ต้องขังหญิง อีกทั้งส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมในระดับนานาชาติ โดยทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตสันถวไมตรีด้านการส่งเสริมหลักนิติธรรมและระบบงานยุติธรรมทางอาญา สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ

6 ธันวาคม ‘วันริบบิ้นขาว’ สัญลักษณ์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก และสตรี รำลึกถึงเหตุฆาตกรรมหญิง 14 ราย ที่แคนาดา

ทุกวันที่ 6 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันริบบิ้นขาว (White Ribbon Day) หรือที่รู้จักกันในชื่อ วันชาติแห่งการรำลึกและยุติความรุนแรงต่อสตรี (National Day of Remembrance and Action on Violence against Women) ของแคนาดา

ทุกวันที่ 6 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันริบบิ้นขาว (White Ribbon Day) หรือที่รู้จักกันในชื่อ วันชาติแห่งการรำลึกและยุติความรุนแรงต่อสตรี (National Day of Remembrance and Action on Violence against Women) ซึ่งเป็นวันสำคัญของประเทศแคนาดา โดยเริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2534 เพื่อเป็นการรำลังถึงเหตุฆาตกรรมที่วิทยาลัยสารพัดช่าง ในเมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2532 ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 14 รายและเป็นเพศหญิงทั้งหมด ซึ่งหลังจากที่เหตุการณ์ยุติลงคนร้ายได้ออกมาประกาศตัวว่าต่อต้านสิทธิสตรี

เรื่องรักนักเรียนนายร้อย ตอนที่ 9 อยากให้มันมีปาฏิหาริย์

>> พูดคุย
เรื่องเล่าชีวิตนักเรียนนายร้อย เมื่อเรียนจบจะมีพิธีโยนกระเป๋า เป็นพิธีสุดท้าย ซึ่งเป็นการแสดงออกว่าจะไม่มีการเรียนในโรงเรียนนายร้อยอีกต่อไป...

>> ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว
กรกฎอกหักและเศร้าเป็นอย่างมาก เมื่อเขมิกาเขียนจดหมายมาตัดความสัมพันธ์ เขาเอาแต่คิดหาวิธีที่จะได้กลับไปคุยกับเขมิกาเหมือนเดิม แต่ว่า...ความหวังมันริบหรี่จริงๆ 

หลังจากได้รับจดหมายตัดสัมพันธ์ได้ไม่นานนัก ก็มีกิจกรรมนอกโรงเรียนอีกครั้ง อาจารย์ให้ไปช่วยจัดแถวให้นักเรียนนักศึกษาพยาบาลเหล่าทัพในการแข่งขันกีฬา พอรู้แบบนี้ กรกฎก็รีบคว้าโอกาสไว้ จึงสมัครไปทำงานทันที

งานนี้จัดที่สนามกีฬาศุภชลาสัย ที่ๆ นักเรียนนายร้อยคุ้นเคยเป็นอย่างดี

...ด้านหลังสนามศุภฯ บริเวณลานจอดรถ นักเรียนนายร้อยที่มาช่วยงานแต่งชุดวอร์มสีดำ แถบเหลืองแดง ยืนล้อมเป็นวงกลมเพื่อฟังคำชี้แจงการทำงานจากอาจารย์ หลังจากอาจารย์แบ่งมอบงานจบแล้ว 
ก็เป็นการประสานงานระหว่างสตาฟฟ์ของนักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลตำรวจ

เหมือนมีปาฎิหาริย์กลุ่มสตาฟฟ์นั้นมีเขมิการวมอยู่ด้วย เธอเดินเข้ามาประสานงานกับกลุ่มของกรกฎ นี่คือปาฏิหาริย์ครั้งที่หนึ่ง

กรกฎหวังว่าจะได้พูดคุยทำความเข้าใจกับเขมิกา หวังให้มีปาฎิหาริย์ครั้งที่สอง 

ปาฏิหาริย์ครั้งที่สามที่หวังคือจะได้ปรับความเข้าใจกับเขมิกา

แต่ผิดคาด เขมิกามาในชุดวอร์มใบหน้าของเธอเรียบเฉย ไม่มีรอยยิ้ม และแววตาของเธอไม่เป็นประกายสดใสเหมือนเก่า

“สวัสดีครับ ผมจะขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวได้ไหมครับ” กรกฎพูดในจังหวะที่คุยงานจบแล้ว

“เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน ทุกอย่างจบแล้ว” เขมิกาพูดด้วยเสียงเรียบ แม้น้ำเสียงพูดนั้นไม่ใช่มีดแต่มันบาดลึกไปในใจของกรกฎ ตามด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า

“แค่นี้นะ”

ถึงตอนนี้กรกฎรู้แล้วว่า ปาฏิหาริย์ครั้งที่สามนั้นไม่มีจริง เขาทำได้แค่ปล่อยให้เขมิกาเดินจากไป...

กรกฎทำงานตามที่ได้รับมอบ ตอนนี้เขามองไม่เห็นใครเลย แม้จะมีนักเรียนพยาบาลเป็นพันคนในสนามศุภฯ แต่สายตาของเขามองหาแต่เขมิกาเพียงคนเดียวเท่านั้น

กรกฎต้องหอบใจช้ำๆ ของเขากลับมาที่โรงเรียน ไม่ว่าจะทำอะไร เขาก็คิดถึงแต่เขมิกา ยิ่งคิดถึงยิ่งเศร้า และเมื่อยิ่งเศร้าก็ยิ่งคิดถึง วนอยู่แบบนี้

...เขาภาวนาให้มีปาฏิหาริย์อีกสักครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะน้อยมากๆ ก็ตาม

มิวสิค “~เก็บเธอไว้ ข้างในจนลึกสุดใจ ได้คิดถึงเธอทุกคราว ~ เมื่อวันที่เหงาจับใจ ไม่มีใคร ฉันยังมีเธอ~”

เมื่อนักการเมืองยื่นปลา แต่พระราชาทรงยื่นเบ็ด

เนื้อหาของบทความนี้ผมตั้งใจอยากจะเล่าเรื่องของในหลวงรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์ท่านวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งอีกนัยหนึ่งยังเป็น ‘วันพ่อ’ ซึ่งพระองค์ทรงเป็นพ่อของปวงชนชาวไทย ผมเลยขอนำเรื่องความประทับเรื่องหนึ่งมาเขียนเล่าในบทความนี้

เมื่อหลายปีก่อน ผมได้เคยเห็นภาพหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์บ้านเมือง ฉบับวันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2518 จาก ‘สมุดภาพโครงการตามพระราชดำริ’ พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2525 โดยเนื้อหาใต้ภาพระบุว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า การพัฒนาที่ดินตามโครงการที่ได้ทรงเริ่มมาตั้งเเต่พุทธศักราช 2507 ที่ตำบลเขาใหญ่ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ได้ผลเป็นที่พอพระราชหฤทัย จึงต้องพระราชประสงค์ที่จะขยายงานด้านการช่วยเหลือเกษตรกรให้เเพร่หลายต่อไป ดังนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานที่นาของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ทั้งหมดรวม 51,967 ไร่ 95 ตารางวา สำหรับใช้ในการปฎิรูปที่ดินเป็นการประเดิมเริ่มเเรก โดยให้รัฐบาลร่วมดำเนินการตามพระราชบัญญัติการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พุทธศักราช 2518”

สมุดภาพเล่มนี้รวบรวมโครงการพระราชดำริจนถึง พ.ศ. 2525 ไว้ทั้งหมด 654 โครงการ (ซึ่งปัจจุบันมี 4,000 กว่าโครงการ) จากภาพหน้า 1 หนังสือพิมพ์ที่ได้เห็นจากหนังสือ ผมก็เลยไปลองหาข้อมูลต่อ โดยเฉพาะความสนใจเรื่องของ ‘ที่ดินทำกิน’ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในยุคแห่งการสร้างเนื้อสร้างตัวของคนไทย ที่เกษตรกรรมคืออาชีพหลัก และเป็นเรื่องหลักที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานให้เป็นมรดกของปวงชนชาวไทย 

ปฐมบทของเรื่องนี้ต้องย้อนไปเมื่อปี 2507 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ จ.เพชรบุรี แล้วทรงทราบถึงความเดือดร้อนของเกษตรกรกลุ่มชาวสวนผักชะอำ จำนวน 83 ครอบครัว ซึ่งขาดแคลนทุนทรัพย์ในการประกอบอาชีพจึงทรงรับกลุ่มเกษตรกรนี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และพระราชทานเงินให้กู้ยืมไปลงทุน (ย้ำว่าให้กู้นะครับ) จำนวน 300,000 บาท ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับสมัยนั้น แต่ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถนำเงินที่กู้ยืมไปมาคืนได้ (ทำไมล่ะ ?) เหล่าเกษตรกรไม่ได้ขี้เกียจนะครับ แต่มูลเหตุที่เกษตรกรเหล่านี้ไม่มีเงินมาคืนก็เพราะพวกเขา ‘ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง’ ต้องเช่าที่ดินของกรมประชาสงเคราะห์ เฉลี่ยครอบครัวละไม่เกิน 2 ไร่ ทั้งอยู่ ทั้งเพาะปลูก ซึ่งไม่เพียงพอต่อการประกอบอาชีพ พอพระองค์ทรงทราบถึงมูลเหตุแห่งการนี้ พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ม.ล.เดช สนิทวงศ์ อดีตองคมนตรี ไปจัดหาที่ดินในเขต จ.เพชรบุรี และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อมาจัดสรรให้แก่เกษตรกร (คือวัดผลกันอีกครั้ง เงินที่ให้กู้ไป ก็ช่างมัน) 

เป็นความบังเอิญที่โชคดีอย่างยิ่ง!! เพราะในขณะนั้น รัฐบาลอิสราเอล โดย เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ได้ขอทราบหลักการของโครงการเรื่องของที่ดินเกษตรในครั้งนั้นและอาสาช่วยเหลือในด้านผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ ทำให้เกิดการทำสัญญาร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลอิสราเอล โดยเริ่มโครงการ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2509 ให้ชื่อว่า ‘โครงการไทย - อิสราเอล เพื่อพัฒนาชนบท (หุบกะพง)’ นั่นคือการต่อยอดจากพระราชดำริในการสร้างที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกร 

พื้นที่โครงการเดิมเป็นป่าคุ้มครองของกรมป่าไม้ มีราษฎรเข้าไปจับจองอยู่บ้าง แต่ทำกินไม่ค่อยได้ผล เพราะดินไม่ดีและขาดแคลนน้ำ การทำกินจึงเป็นไปในลักษณะไร่เลื่อนลอย ย้ายที่ทำกินทุก 3-4 ปี จึงมีพระราชดำริให้กันพื้นที่ประมาณ 10,000 ไร่ ออกจากพื้นที่ป่า โดยทรงจับจองที่ดินตามขั้นตอนของกฎหมายแล้วนำมาจัดให้ราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนและมีความขยันหมั่นเพียร แต่ขาดแคลนที่ทำกินได้เข้าไปอยู่อาศัยและทำประโยชน์ นั่นคือจุดเริ่มต้นจนเกิดเป็นข่าวนี้ในปี พ.ศ. 2518 

เกี่ยวกับพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 เรื่องที่ดิน ผมขอยกบทความของท่านอดีตประธานองคมนตรี ฯพณฯ ธานินทร์ กรัยวิเชียร เรื่อง ‘พระบารมีคุ้มเกล้าฯ’ ในหนังสือ ‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับคณะองคมนตรี’ โดยมีใจความบางส่วนบางตอนที่เล่าเรื่อง ‘การปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรผู้ยากไร้ได้มีที่ดินทำกิน’ ความว่า...

“...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นการณ์ไกลในอนาคตว่า ยิ่งนานวันชาวไร่ชาวนาจะยิ่งไม่มีที่ดินทำกิน เพราะความยากจนของเขาเหล่านี้ พวกที่เคยมีที่ดินต้องยอมสูญเสียกรรมสิทธิ์ให้แก่นายทุน และกลายมาเป็นผู้เช่าหรือไร้ที่ดินทำกินในที่สุด จึงมีพระราชดำริที่จะปฏิรูปที่ดินทำกิน เพื่อช่วยราษฎรที่ยากจนให้มีที่ดินทำกินตลอดไปชั่วลูกชั่วหลาน โดยทรงดำเนินโครงการเป็นแบบอย่างเริ่มจาก ‘โครงการจัดสรรและพัฒนาที่ดินตามพระราชประสงค์หุบกะพง’

“รัฐบาลแต่ละชุดหลังจากนั้น ก็ได้ดำเนินตามรอยพระยุคลบาทในเรื่องปฏิรูปที่ดินตามพระราชดำริของพระองค์มาเป็นลำดับ (พระองค์ไม่ได้บังคับให้ทำตามนะครับ แต่ถ้ารัฐบาลไหนเห็นประโยชน์ตรงนี้ก็สนองพระราชดำริของพระองค์เพื่อประโยชน์ของประชาชน)”

“ตั้งแต่รัฐบาลชุดศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เสนอและได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาให้ตราพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ขึ้น ช่วงที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ พระองค์ทรงพระกรุณาฯ รับโครงการไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ด้วยการพระราชทานที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จำนวน 51,967 ไร่ 95 ตารางวา ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคกลาง แก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นประเดิม โดยมีพระราชประสงค์ให้ผู้เช่าที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่แต่เดิม ได้ทำกินในที่ดินนั้นต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน ตราบที่ยังยึดถืออาชีพเกษตรกรรมอยู่ แต่จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น (ให้ทำกินได้ แต่ไม่ให้ขายเพราะจะหมดที่ทำกินหากขายไป)”

“ต่อมาในสมัยรัฐบาลหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าฯ เพื่อรับพระราชทานพระราชดำริเรื่องการปฏิรูปที่ดิน โดยทรงขอให้รัฐบาลดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเวลาไม่ช้านัก แต่เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้มีเวลาอยู่ในหน้าที่ไม่นาน (เป็นรัฐบาลผสมยิบย่อยมาก ๆ) จึงยังไม่มีโอกาสสนองพระราชดำริเต็มที่ การปฏิรูปที่ดินตามพระราชดำรินั้น จึงเริ่มดำเนินการในสมัยรัฐบาลชุดของผม (รัฐบาลของ ฯพณฯ ธานินทร์ กรัยวิเชียร) ตามที่ได้มีพระราชดำรัสแนะนำ คือ ให้มีการแจกเอกสารสิทธิแก่ราษฎรผู้ไร้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน และจัดให้มีการบูรณาการต่อไปด้วยการสร้างถนน สะพาน ขุดคลอง สร้างอ่างเก็บน้ำ ปรับปรุงคุณภาพดิน แจกปุ๋ย ฝึกอบรมสาธิตการเพาะปลูกพืชต่างๆ ที่ดูแลง่าย โตเร็ว ให้ราคาสูง และจัดสรรเงินทุนของกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกษตรกรกู้ยืมเพื่อการเกษตรด้วย…”

ถึงตรงนี้จบเรื่องราวที่ดินในบทความเล่าเรื่อง ‘การปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรผู้ยากไร้ได้มีที่ดินทำกิน’

น่าสังเกตว่าโครงการหุบกะพงที่ทรงดำเนินโครงการเป็นแบบอย่างนั้น มีการทดลองปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ วางแผนผังการจัดที่ดิน บำรุงรักษาพัฒนาแหล่งน้ำรวมกลุ่มเกษตรจัดตั้งสหกรณ์การเกษตร เพื่อการผลิต การจำหน่าย จัดหาสินเชื่อ มีการส่งเสริมการเกษตรและพัฒนาอาชีพ ครบวงจร 

ที่น่าสนใจ คือ พระองค์พระราชทานที่ดินเพื่อใช้ประเดิมสำหรับการดำเนินงานปฏิรูปที่ดินในท้องที่ภาคกลางด้วย โดยรัฐบาลในขณะนั้นเริ่มทำการปฏิรูปที่ดินที่ได้รับพระราชทานมาทั้ง 50,000 ไร่เศษก่อน โดยมีที่ดิน ที่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่สามารถปฏิรูปได้ 43,902ไร่ จากนั้นก็บุกเบิกปฏิรูปที่ดินในท้องถิ่นทุรกันดารอื่น ๆ ตามพระราชดำริ รวมอีก 17 จังหวัด ปฏิรูปไปถึงท้องที่ ที่แห้งแล้งที่สุดในอีสาน คือ ทุ่งกุลาร้องไห้!! (วันนี้ไม่มีกุลามาร้องไห้ มีแต่ข้าวเจ้าที่อร่อยมาก ๆ) 

ต่อจากนั้น รัฐบาลชุดต่อ ๆ มาก็ได้ดำเนินการปฏิรูปที่ดินตามพระราชดำรินี้จวบจนถึงปัจจุบัน จนสามารถช่วยเกษตรกรไทยให้มีที่ดินทำกิน และมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ยังได้พระราชทานพระบรมราโชบายเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพิ่มเติม โดยทรงชี้แนะด้วยว่า การปฏิรูปที่ดินในแต่ละท้องที่ จะต้องเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อให้เกษตรกรเห็นผลโดยไม่ชักช้าส่วนเงินชดเชยค่าที่ดินที่ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทาน ซึ่งรัฐบาลจะต้องทูลเกล้าฯ ถวายตามกฎหมายนั้น เพื่อพระราชทานให้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับดำเนินงานของสหกรณ์ในเขตปฏิรูปที่ดินเหล่านั้น (คือเงินพระองค์ที่ชาวบ้านมาใช้ที่ดินของพระองค์พระองค์ไม่รับ ที่จ่าย ๆ กันมาให้เอาไปหมุนเวียนในสหกรณ์) พูดง่าย ๆ ว่า ทรงให้ทั้งที่ดินทำกิน ให้ทั้งเงิน แล้วยังให้พัฒนาทรัพยากรเพื่อการผลิตอื่น ๆ พร้อมด้วยความรู้ในการผลิตและการดำเนินการต่อไปด้วย

5 ธันวาคม วันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 

5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และภายหลังการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 สำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกประกาศ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เรื่อง กำหนดวันสำคัญของชาติไทย มีใจความสำคัญให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันสำคัญของชาติไทย ดังนี้ 

1. เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 

2. เป็นวันชาติ 

3. เป็นวันพ่อแห่งชาติ

โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top