Monday, 9 June 2025
LITE TEAM

วันนี้ นอกจากจะเป็นวันครอบครัวแล้ว ในทางราชการ ยังเป็นวันครบรอบ 146 ปี การสถาปนา ‘กระทรวงการคลัง’ อีกด้วย โดยเริ่มต้นเมื่อในรัชสมัยรัชกาลที่ 5

ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงขึ้นครองราชย์ ได้ทรงวางระเบียบและปรับปรุงแก้ไขการบริหารราชการแผ่นดินให้มีความทันสมัยมากขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2416 ทรงเริ่มทำการปฏิรูปการคลัง โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ เป็นที่ทำการของเจ้าพนักงานพระคลังมหาสมบัติ สำหรับรวบรวมบัญชีเงินผลประโยชน์แผ่นดิน และตรวจตราการเก็บภาษีอากร

ต่อมา ทรงพระราชดำริว่า การภาษีอากรอันเป็นเงินผลประโยชน์สำหรับใช้จ่ายในราชการ และทำนุบำรุงบ้านเมือง ยังมีการจัดที่ไม่รัดกุม เงินผลประโยชน์ของรัฐบาลยังกระจัดกระจาย ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย จึงทรงปรึกษากับสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน พร้อมด้วยคณะเสนาบดี เพื่อตราพระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติขึ้น เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2418

นอกจากจะถือเป็นกฎหมายงบประมาณฉบับแรกของเมืองไทย พระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติฉบับนี้ ยังมีฐานะเป็นกระทรวง เนื่องจากใช้คำภาษาอังกฤษว่า Ministry of Finance ซึ่งต่อมาจึงถูกเรียกว่า กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ มีหน้าที่รับ จ่าย และรักษา เงินแผ่นดิน และเก็บภาษีอากรเงินขึ้นแผ่นดินตลอดทั่วพระราชอาณาจักร

วันเวลาผ่านไป จากกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ถูกเปลี่ยนชื่อให้เป็น กระทรวงการคลัง แต่ยังถือเอาวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2418 เป็นวันแรกของการสถาปนากระทรวง ตราบจนถึงปัจจุบัน


ที่มา: https://www.mof.go.th/th/detail/2018-12-21-14-57-33/2018-12-21-16-02-08

States TOON EP.9

ติดตามการ์ตูนขำ ๆ ได้ทุกสัปดาห์

13 เมษายน ถูกยกให้เป็น ‘วันสงกรานต์’ และรวมทั้งยังเป็น ‘วันผู้สูงอายุ’ โดยมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ซึ่งประเพณีนี้ยังแผ่ขยายไปยังประเทศลาว กัมพูชา และพม่าอีกด้วยเช่นกัน

‘สงกรานต์’ ในภาษาสันสกฤต แปลว่า ผ่าน หรือ เคลื่อนย้าย ตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ หมายถึง พระอาทิตย์ที่ผ่านหรือเคลื่อนย้ายจากราศีมีน เข้าสู่ราศีเมษ ในช่วงเดือนเมษายน โดยยกให้การเคลื่อนของพระอาทิตย์นี้ เป็นวันตั้งต้นสู่ปีใหม่ ตามการคำนวนทางโหราศาสตร์

แต่เดิมประเทศไทยใช้ประเพณีตรุษสงกรานต์ เป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ระหว่างวันที่ 13 - 15 เมษายน จนเมื่อปี พ.ศ. 2431 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการเปลี่ยนให้เป็นวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยแทน และต่อมาเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2483 คณะรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ได้ประกาศให้ใช้วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2484 เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับประเทศอื่น ๆ ตามสากลทั่วโลก และใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

ประเพณีวันสงกรานต์แต่เดิม ใช้น้ำเป็นองค์ประกอบหลัก โดยใช้รดให้แก่กัน เพื่อความชุ่มชื่น รวมถึงใช้สรงน้ำพระ เพื่อความเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ยังเป็นประเพณีที่ผู้คนจะได้เดินทางกลับภูมิลำเนาของตัวเอง เพื่อกลับไปหาครอบครัว ไหว้ขอพรจากพ่อแม่ และผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ

ด้วยเหตุนี้เอง ต่อมาวันสงกรานต์จึงถูกระบุให้เป็น ‘วันผู้สูงอายุ’ ร่วมด้วย โดยเกิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2525 หลังองค์การอนามัยโลกรณรงค์ให้เป็นปีที่ส่งเสริมและให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ รัฐบาลไทยในยุคพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ จึงมีมติกำหนดให้ ทุก ๆ วันที่ 13 เมษายน เป็นวันผู้สูงอายุด้วยอีกวันหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการระลึกและให้ความสำคัญกับพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ตลอดจนครูบาอาจารย์ที่อบรมบ่มวิชามาตั้งแต่วัยเยาว์

แม้ปีนี้จะงดเว้นการรดน้ำให้แก่กัน เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด แต่ทางการยังอนุญาตให้มีการรดน้ำขอพรจากผู้หลักผู้ใหญ่ได้ ในโอกาสนี้ จึงขอให้คนไทยได้ร่วมกันอนุรักษ์ประเพณี ตลอดจนวัฒนธรรมอันดีงามเอาไว้ พร้อมทั้งปฏิบัติอย่างเหมาะสมและปลอดภัย


ที่มา:

https://th.wikipedia.org/wiki/สงกรานต์

https://www.sanook.com/campus/948044/

https://www.thaihealth.or.th/Content/23793

พีค of the week EP.14

ก่อนลองวีคเอนด์ หยุดกันยาวๆ ๆ ๆ การข่าวในรอบสัปดาห์ก็แลดูจะมีความอึกทึกครึกโครมเอามาก ๆ โดยเฉพาะแวดวงการเมือง ทั้งข่าวของ ส.ส.เอ๋ – ปารีณา ไกรคุปต์ ที่ถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด ในคดีหมิ่นประมาท พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า งานนี้ถูกพิพากษาทั้งจำคุก ทั้งปรับเงิน แต่สุดท้ายศาลลดหย่อนเหลือโทษรอลงอาญา 2 ปี

อีกคนที่กระแสความแรงต่อเนื่อง ส.ส. เจี๊ยบ – อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล แห่งพรรคก้าวไกล ออกมาโพสต์แจ้งกล่าวกับชาวโซเชี่ยลว่า จะขออดอาหาร 7 วันช่วงสงกรานต์ เพื่อเป็นแนวร่วมเดียวกับ เพนกวิน – พริษฐ์ ชีวารักษ์ ที่ยังอยู่ในเรือนจำ งานนี้ต้องติดตามว่า ส.ส.เจี๊ยบ จะผ่านช่วง 7 วันอันตรายได้ไหม? . ส่งท้ายด้วยความชุลมุนวุ่นวายอีกครั้ง ของสถานการณ์การระบาดระลอก 3 ซึ่งระลอกนี้จัดหนักของจริง ล่าสุดเชื้อแพร่กระจายไว มีผู้ติดเชื้อไปแล้วหลักพันคนในเวลาอันรวดเร็ว แต่ที่ไปไวกว่า คือกระแสดราม่า เพราะงานนี้คนบันเทิงติดกันมากมาย แถมด้วยนักการเมืองคนดัง ที่มีข่าวลือว่า ไปเที่ยวเล้าจน์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เป็นแหล่งกระจายเชื้อ จนเป็นเหตุหนึ่งที่นำซึ่งการระบาดหนักรอบใหม่

ทุกสิ่งอย่างที่ว่ามา เรารวบรวมไว้ให้แล้วใน พีค EP.14 ตามไปดูกันได้เลย อ๊อ! แล้วอย่าลืมดูแลตัวเองช่วงวันหยุดสงกรานต์กันด้วยนะจ๊ะ โชคดีทุกท่าน Let’s go go go! 

.

.

วันนี้เป็นสำคัญของ ‘เมืองเชียงใหม่’ โดยเป็นวาระการครบรอบ 725 ปี ของการสถาปนาเมือง เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยอาณาจักรล้านนา โดยมีพ่อขุนเม็งราย พ่อขุนรามคำแหง และพ่อขุนงำเมือง ทรงร่วมกันสร้างเมืองแห่งนี้ขึ้นมา

ในอดีต เชียงใหม่มีฐานะเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรนครรัฐอิสระ ชื่อว่าอาณาจักรล้านนา ภายใต้การปกครองของราชวงศ์มังราย ยาวนานประมาณ 261 ปี โดยพ่อขุนเม็งราย พ่อขุนรามคำแหง และพ่อขุนงำเมือง ทรงร่วมกันก่อสร้างเมืองใหม่แห่งนี้ขึ้น ณ ที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง บริเวณเชิงดอยสุเทพ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางแห่งอาณาจักรล้านนา และทรงขนานนามว่า ‘นพบุรีศรีนครพิงค์ เชียงใหม่’

ในปี พ.ศ. 2101 เชียงใหม่ได้เสียเมืองให้แก่พม่า และอยู่ภายใต้การปกครองของพม่ากว่า 200 ปี จนกระทั่งในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทำสงครามขับไล่พม่าออกจากเมืองเชียงใหม่ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น เมืองรัตตนติงสาอภินวปุรี

ต่อมา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระยากาวิละขึ้นเป็นพระบรมราชาธิบดี ปกครองนครเชียงใหม่ และสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน กระทั่งเข้าสู่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการปฏิรูปการปกครอง โดยให้เรียกว่า มณฑลพายัพ ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ยกฐานะเมืองเชียงใหม่ ขึ้นเป็น ‘จังหวัดเชียงใหม่’ มาจนถึงปัจจุบัน

ปัจจุบันเชียงใหม่ ถือเป็นจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือของประเทศไทย มีพื้นที่ประมาณ 20,107 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ และมีประชากรราว 1.76 ล้านคน มากเป็นอันดับ 5 ของประเทศ แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือรากเหง้าทางประเพณีวัฒนธรรมของชาวล้านนา ที่ยังฝังแน่นไม่เสื่อมคลาย จนถูกประกาศให้ว่า เป็นเมืองสร้างสรรค์ของโลกทางด้านหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน เมื่อปี พ.ศ. 2560 และกำลังพิจารณาสมัครเป็นเมืองมรดกโลกขององค์การยูเนสโกอีกด้วย

วันนี้ถือเป็นวันครบรอบการสถาปนา 725 ปีของเมือง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด เชียงใหม่ก็ยังเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ไม่เปลี่ยนแปลง

หนึ่งในซีรีส์จีนที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นกันอย่างดี แต่รู้หรือไม่ว่า ในโลกความจริง ตัวละครอย่าง ‘เปาบุ้นจิ้น’ นั้น ก็มีตัวตนอยู่จริง ๆ และวันนี้ถูกบันทึกว่า เป็นวันเกิดของตำนานแห่งความยุติธรรมคนนี้

เปาบุ้นจิ้น หรือในภาษาจีนมาตรฐานเรียกว่า เปา เจิ่ง ภาษาจีนฮกเกี้ยนเรียกว่า เปาจิ้น เกิดเมื่อ 11 เมษายน ราวปี ค.ศ. 999 เขาเป็นข้าราชการชาวจีนในรัชสมัยจักรพรรดิเหรินจง แห่งราชวงศ์ซ่ง เมื่ตอนอายุ 29 ปี เจ้าตัวสอบขุนนางชั้นสูงสุดผ่าน ได้เป็นราชบัณฑิตชั้นจิ้นชื่อ

เปา เจิ่ง หรือ เปาบุ้นจิ้น เริ่มต้นชีวิตข้าราชการจากการเป็นผู้ว่าการนครเทียนฉาง ก่อนที่ในปี ค.ศ. 1040 จะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ว่าการตวันโจว โดยในเวลานั้น เจ้าตัวมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือในความเถรตรง ครั้งหนึ่ง ในช่วงที่เป็นผู้ว่าการตวันโจว มีการตรวจสอบพบว่า ผู้ว่าการคนก่อน ๆ มักขูดรีด ‘จานฝนหมึก’ จำนวนมากจากราษฎร ดังนั้น ตลอดระยะเวลาที่เปาบุ้นจิ้นว่าราชการอยู่ที่นั่น เจ้าตัวจึงขอใช้จานฝนหมึกแค่เพียงอันเดียว เพื่อเป็นการชดใช้ และแสดงให้เห็นถึงความตรงไปตรงมา

กระทั่งในปี ค.ศ. 1044 เปาบุ้นจิ้นก็ได้รับการเรียกเข้านครหลวงไคเฟิง เพื่อดำรงตำแหน่งผู้ตรวจกำกับ ซึ่งที่นี่เอง ที่ทำให้ชื่อเสียงของเปาบุ้นจิ้น ถูกพูดถึงไปในวงกว้าง ด้วยสาเหตุของการทำหน้าที่ตรวจสอบการทำทุจริตของเหล่าขุนนาง และเจ้าหน้าที่มากมาย

เปาบุ้นจิ้นมีชื่อเสียงในการตรวจสอบการทุจริต และขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวด และไม่อดทนต่อความอยุติธรรม จนชื่อของเขากลายเป็นสัญลักษณ์ของคำว่า ‘ตงฉิน’ หรือความซื่อตรง และแม้จะมีตำแหน่งสูงในแวดวงราชการ แต่เปาบุ้นจิ้นกลับใช้ชีวิตเรียบง่าย มีบุคลิกภาพสุขุม จนเป็นที่เคารพของผู้คนมากมาย

เปาบุ้นจิ้นถึงแก่อสัญกรรมที่เมืองไคเฟิง ในปี ค.ศ. 1062 โดยจักรพรรดิเหรินจงทรงรับศพเขาไว้ในพระราชานุเคราะห์ และประทานสมัญญาแก่เขาว่า ‘เซี่ยวซู่’ ซึ่งแปลว่า กตัญญูปูชนีย์

ชื่อเสียงของเปาบุ้นจิ้นนั้น ไม่ว่าจะกี่ยุคสมัย ก็ยังได้รับการกล่าวขานถึงมาโดยตลอด สะท้อนได้เป็นอย่างดีถึงความซื่อตรง ที่ตัวเขาได้ทำเอาไว้ ไม่ว่าตัวจะจากไปนานเท่าไร แต่ความดีและความซื่อสัตย์จะคงอยู่ตลอดไป


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/เปาบุ้นจิ้น

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้เมื่อ 11 ปีก่อน เรียกได้ว่า เป็นความขัดแย้งทางการเมืองที่มีความรุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่ง โดยเป็นปฏิบัติการ ‘ขอคืนพื้นที่’ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร จากผู้ชุมนุมที่เรียกตัวเองว่า นปช.

การชุมนุมเรียกร้องครั้งนั้น เกิดขึ้นโดยกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง หรือ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ที่รวมตัวกันเรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ณ ขณะนั้น ลาออกจากตำแหน่ง

การชุมนุมเริ่มต้นเมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553 การเรียกร้องผ่านมาหนึ่งเดือน กระทั่งวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 รัฐบาลตัดสินใจเข้าสลายการชุมนุมเป็นครั้งแรก โดยใช้คำว่า ‘ขอคืนพื้นที่’ จากผู้ชุมนุมที่ปักหลักอยู่ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ ยาวไปถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

เวลาล่วงเข้าสู่คืนของวันที่ 10 เมษายน เกิดเหตุการณ์ปะทะกันอย่างรุนแรง ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร กับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยเฉพาะบริเวณสี่แยกคอกวัวและถนนดินสอ ที่มีการใช้อาวุธปืนบรรจุกระสุนจริง เข้าปะทะสู้กัน พร้อมกันนี้ยังมีกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ที่ภายหลังถูกเรียกว่า ‘กลุ่มชายชุดดำ’ นำกำลังติดอาวุธ เข้าก่อเหตุให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น

เสียงปืนดังเป็นระยะตลอดค่ำคืนดังกล่าว ประชาชนที่มีบ้านเรือนบริเวณนั้นต่างพากันขวัญผวากันทั้งคืน สุดท้ายมีผู้เสียชีวิตกว่า 24 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 800 ราย นับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญ ที่ถูกบันทึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย

แต่ความเลวร้ายยังไม่ยุติเพียงแค่นั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ได้เข้าสลายการชุมนุม และขอคืนพื้นที่จากกลุ่มนปช. ณ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ส่งผลให้แกนนำประกาศยุติการชุมนุม แต่หลังจากนั้น กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อมีความพยายามก่อความรุนแรง บุกทุบทำลายห้างสรรพสินค้า รวมทั้งวางเพลิงห้างฯ และสถานที่ทางราชการหลายแห่ง นับเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ ตลอดจนเป็นบาดแผลที่ยังฝังอยู่ในความรู้สึกของคนไทยหมู่มาก มาจนถึงปัจจุบัน


ที่มา:

https://th.wikipedia.org/wiki/การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ_พ.ศ._2553, https://www.khaosod.co.th/politics/news_2400891

โควิดระลอกล่าสุด ติดอุตลุตกันทุกวงการ รวม 11 คนดังชาย ที่ติดโควิด-19

ชุลมุนกันทั้งสัปดาห์นี้ กับสถานการณ์การกลับมาระบาดหนักอีกครั้ง ของโรคโควิด-19 และดูเหมือนว่า ระลอกล่าสุดนี้ จะส่งผลกระจายไปสู่ผู้คนในหลากหลายวงการ ตั้งแต่ระดับกลาง ไปจนถึงคนทำงานระดับสูง

และที่ดูจะแตกต่างจากการระบาดหนักกว่า 2 หนแรก คือครั้งนี้มีเหล่าคนดัง จากหลากหลายวงการ ที่ติดโควิด-19 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะศูนย์กลางการแพร่ระบาดอยู่ใจกลางกรุงเทพ และมีคลัสเตอร์ส่วนหนึ่งอยู่ในผู้คนในแวดวงบันเทิง งานนี้นอกจากจะติดกันอย่างรวดเร็ว ยังลามไปอย่างมากมาย

ได้แต่ภาวนาขอให้สถานการณ์กลับมาควบคุมได้อีกครั้งโดยไว ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันของพวกเราทุกคนนี่เอง และแน่นอนว่า เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปอีกครั้ง ต้องท่องจำขึ้นใจแล้วว่า อย่าประมาท การ์ดตกเมื่อไร วุ่นวายเมื่อนั้น!!
 

วันนี้เป็นวันพิเศษของหน่วยงานกองทัพไทย โดยเป็น ‘วันกองทัพอากาศไทย’ ที่เวียนมาบรรจบครบรอบกว่า 84 ปี ทั้งนี้กิจการบินของไทยเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อรัชสมัยรัชกาลที่ 6

โดยเมื่อปี พ.ศ. 2454 ได้มีนักบินชาวเบลเยี่ยมชื่อ ชาลส์ แวน เด็น บอร์น นำเครื่องบินมาจัดแสดงในประเทศไทยเป็นครั้งแรกที่สนามม้าสระปทุม หลังจากนั้น กระทรวงกลาโหมจึงได้ตั้งแผนกการบินขึ้นในกองทัพบก พร้อมทั้งได้คัดเลือกนายทหารบก 3 คน เพื่อไปศึกษาวิชาการบิน ณ ประเทศฝรั่งเศส

ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2457 แผนกการบินได้ยกฐานะขึ้นเป็นกองการบินทหารบก พร้อมกับได้เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ กระทั่งในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2461 กองบินทหารบกจึงได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นกรมอากาศยานทหารบก

ต่อมาในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2478 กรมอากาศยานทหารบกก็ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น ‘กรมทหารอากาศ’ และในอีก 2 ปีถัดมา กรมทหารอากาศ ก็ได้รับการยกระดับฐานะขึ้นเป็น ‘กองทัพอากาศ’ ในวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2480 โดยมียศและเครื่องแต่งกายเป็นของตนเอง และมี นาวาอากาศเอก พระเวชยันต์รังสฤษฎ์ เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศคนแรก

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กองทัพอากาศได้สร้างผลงานและยุทธเวหาครั้งสำคัญ ๆ เอาไว้มากมาย อาทิ เคยเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามอินโดจีน โดยปัจจุบัน กองทัพอากาศมีกำลังทางอากาศทั้งสิ้น 11 กองบิน กับ 1 โรงเรียนการบิน รวมทั้งมีอากาศยานรวมกว่า 320 ลำ

ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2480 ที่ได้รับการยกฐานะให้เป็น ‘กองทัพอากาศ’ ทำให้ในวันที่ 9 เมษายนของทุกปี ถูกยกให้เป็น ‘วันกองทัพอากาศไทย’ เพื่อเป็นการยกย่องถวายพระเกียรติจอมพล สมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระบิดาแห่งกองทัพอากาศไทย รวมทั้งยังเป็นการยกย่องนายทหารทั้ง 3 ท่านที่ไปเรียนวิชาการบิน ณ ประเทศฝรั่งเศส จนสามารถนำความรู้มาเผยแพร่และพัฒนา ให้กองทัพอากาศก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบัน


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/กองทัพอากาศไทย

วันนี้เมื่อกว่า 237 ปีมาแล้ว ประเทศไทยมีการสร้างโบราณสถานชิ้นสำคัญ นั่นคือ เสาชิงช้า โดยถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของพิธีโล้ชิงช้า ในพระราชพิธีตรียัมปวาย มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1

โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้พระครูสิทธิชัย สร้างเสาชิงช้าขึ้น ณ บริเวณหน้าวัดสุทัศน์เทพวราราม เป็นเสาชิงช้าที่ทำด้วยไม้สัก ทาสีแดง สูงประมาณ 21 เมตร มีบันได 2 ขั้น ทั้ง 2 ด้าน บริเวณฐานก่อเป็นฐานปัทม์ ทำด้วยหินล้างสีขาว พื้นบนปูด้วยกระเบื้องดินเผาสีแดง

เหตุของการสร้างเสาชิงช้านั้น เพื่อใช้ในพิธีโล้ชิงช้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีตรียัมปวาย โดยความเชื่อแต่โบราณ เป็นการต้อนรับพระอิศวร ที่เสด็จลงมาสู่โลกในวันขึ้น 7 ค่ำ เดือนยี่ ทั้งนี้จึงจัดให้มีการโล้ชิงช้า และมีการแห่พระเป็นเจ้า ไปถวายพระพรแก่พระเจ้าอยู่หัว

พระราชพิธีดังกล่าว ถูกยกเลิกเมื่อเข้าสู่รัชสมัยของรัชกาลที่ 7 แต่ยังคงเสาชิงช้าเอาไว้เพื่อให้เป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ โดยที่ผ่านมา เสาชิงช้าได้ถูกบูรณะซ่อมแซมอยู่หลายครั้ง กระทั่งเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเสาชิงช้า ให้เป็นโบราณสถานสำคัญแห่งหนึ่งของชาติ

และนับถึงวันนี้ เสาชิงช้ามีอายุมากว่า 237 ปีแล้ว รวมทั้งกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งหนึ่ง ที่สะท้อนความเป็นเมืองหลวงกรุงเทพมหานครได้เป็นอย่างดี


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/เสาชิงช้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top