Monday, 9 June 2025
LITE TEAM

‘ท่านพุทธทาสภิกขุ’ คือหนึ่งในภิกษุที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยให้ความเคารพนับถือ แม้ปัจจุบันท่านจะละสังขารไปกว่า 28 ปี แต่ยังมีสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์ นั่นคือ ‘สวนโมกขพลาราม’ วันนี้ถือเป็นวันครบรอบ 89 ปี ของการก่อตั้งสถานที่แห่งนี้

สวนโมกขพลาราม ถูกสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2475 แต่เดิม ณ สถานที่แรก สร้างขึ้นที่วัดร้างตระพังจิก อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในครั้งนั้น ท่านพุทธทาสภิกขุ พร้อมด้วยโยมน้องชาย และคณะธรรมทานอีก 4-5 คน ได้ออกเสาะหาสถานที่ที่มีความวิเวก และเหมาะสมที่จะเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม

กระทั่งได้มาเจอกับวัดร้างแห่งนี้ บนเนื้อที่กว่า 60 ไร่ จึงได้จัดทำเพิงที่พักแบบเรียบง่าย พร้อมกับเข้าอยู่เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2475 ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชาในปีนั้นพอดี โดยที่มาของชื่อ ‘สวนโมกขพลาราม’ เนื่องมาจากบริเวณวัดดังกล่าวมีต้นโมก และต้นพลาขึ้นอยู่ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีความหมายโดยนัยว่า ‘เป็นสวนป่าอันมีกำลังแห่งความหลุดพ้นจากทุกข์’

ต่อมาในปี พ.ศ.2486 สวนโมกข์ได้ย้ายมาอยู่ที่ ‘วัดธารน้ำไหล’ บริเวณเขาพุทธทอง ริมทางหลวงหมายเลข 41 อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี โดยท่านพุทธทาสมีความปรารถนาให้สวนโมกข์เป็นสถานที่แสวงหาความสงบและศึกษาธรรม ภายในวัดจึงมีโรงมหรสพทางวิญญาณ ซึ่งเป็นอาคารที่รวบรวมภาพศิลปะ คำสอนในศาสนานิกายต่าง ๆ รวมทั้งมีภาพพุทธประวัติมากมาย

นอกจากนี้รอบบริเวณวัดยังเป็นสวนป่าร่มรื่น ที่เต็มไปด้วยปริศนาธรรม โดยปราศจากโบสถ์และศาลาอย่างวัดทั่วไป ต่อมาภายหลังจากท่านพุทธทาสมรณภาพในปี พ.ศ.2536 สวนโมกข์แห่งนี้ก็ยังคงมีพระภิกษุและพุทธศาสนิกชน เดินทางมาตักบาตร ฟังธรรม และปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์อยู่เรื่อยมา นับถึงวันนี้ ผ่านมาแล้วกว่า 89 ปี สถานที่แห่งนี้ก็ยังคงทำหน้าที่ช่วยฝึกจิต ชำระใจ และนำทางผู้คนให้ค้นพบกับความสงบ เหมือนดังเช่นที่เป็นมานับจากวันแรก


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/สวนโมกขพลาราม

 

แนะนำทักษะทางภาษา เรื่อง “Word Dissection” หรือการแยกคำในคำ

แนะนำทักษะทางภาษา เรื่อง Word Dissection หรือการแยกคำในคำ ที่จะช่วยขยายคลังคำศัพท์เราให้มากขึ้น (แนะนำการเรียนภาษา ของกระผมคนที่ไม่ได้จบทางด้านภาษาศาสตร์) 

จำสมัยเรียนภาษาไทยกันได้มั้ย เรื่อง การสมาสและการสนธิ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้เข้าใจพวกคำจากรากบาลี สันสกฤต แต่ในภาษาตะวันตกอย่างอังกฤษก็มีเทคนิคคล้าย ๆ กัน ในเมื่อเค้าเอามาเชื่อมมาชนกันจนเป็นคำ เวลาเราจะดูว่าคืออะไร ก็ต้อง deconstruct หรือ dissect ส่วนประกอบของคำนั้นออกมา

“pneumonoultramicroscopicsilicovolcanoconiosis”

Pneumono (เกี่ยวกับปอด) + ultra (มาก ๆ ซึ่งตั้งแต่หน้า micro จริงใช้ขยายไมโคร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของ ขนาด) + micro (ขนาดเล็ก ประมาณ 10 ยกกำลัง -6) + scopic (ทัศนะ ที่แปลว่าการมองเห็น) + silico (เคมี silicon บนตารางธาตุ) + volcanon (ภูเขาไฟ) + osis (เป็น suffix ที่ใช้ลงท้าย พวกกระบวนการ อาการ หรือ condition ต่าง ๆ) 

ถ้าแปลเป็นคำอธิบาย ก็คือ "โรคฝุ่นจับปอดที่เกิดจากฝุ่นขี้เถ้าภูเขาไฟที่มีส่วนประกอบเป็นซิลิกาและมีขนาดเล็กมาก" (แต่น่าจะเห็นได้น้อยในไทยเพราะไม่มีภูเขาไฟที่ยังมีชีวิต) 

ข้างบนดูคำยากไปและไกลตัว แต่หากมาดูคำง่าย ๆ ที่คนไทยเจอบ่อย เช่น

Hypertension 
Hyper แปลว่า มากเกิน มากกว่าปกติ ซึ่งตรงข้ามกับ hypo ที่แปลว่า น้อยมาก น้อยกว่าปกติ กับคำว่า tension แปลว่า ความเครียด ความดึง ความดัน (ความหมายทางวิทยาศาสตร์น่ะ ซึ่งมีคุณลักษณะทางฟิสิกส์ เคมี ชีวะ) ซึ่งถ้า tension ทางสัมคมศาสตร์ถูกใช้ในบริบทที่แตกต่างกัน

รวม ๆ ก็ความดันที่มากกว่าปกติ ก็คือ ความดันสูง
ตรงข้ามกัน ก็คือ hypotension ความดันต่ำ

หรือหากในดูโพสต์ก่อนของเราพูดเรื่อง Ambiguous Genitalia คำนี้ถ้าใครแน่นภาษาอังกฤษแน่นแล้วยิ่งง่าย เพราะคำแรก แปลว่า คลุมเครือ ไม่ชัดเจน ส่วนคำหลังเป็นคำที่มาจากที่สิ่งเราคุ้น ๆ กันดีคือ genital หรืออวัยวะเพศ (ตอนมัธยมหงุดหงิดมาก ครูสอนแต่ คำว่า penis กับ vagina แต่ไม่เคยได้ยิน genital) ดังนั้น กลุ่มอาการข้างต้น ก็คือเป็นการพูดถึง ลักษณะทาง physique ของอวัยวะเพศที่ไม่ครบ ไม่สมบูรณ์ คลุมเครือ (แปลจากคำตรง ๆ ยังไม่รวมทางเทคนิคใด ๆ ทั้งสิ้น เดี๋ยวพวกเพื่อนหมอมาตอแยว่า สาระแน) 

หากแยกผิดพลาดหรือการอธิบายทางเทคนิคที่ไม่ชัดเจนต้องขออภัย ไม่ได้เรียนอักษรและแพทยศาสตร์มาโดยตรง ดังนั้นทาง Technical ของทั้งสองศาสตร์อาจจะไม่ตรงเป๊ะ แต่พอจะมีความสามารถเข้าใจได้และแยกได้ประมาณนี้ 

ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วที่เคยไปหาหมอ แล้วเจอรังสี amazement ที่คุณหมอแผ่ใส่ เพราะว่า หมอพูดชื่อโรคบางอย่างออกมาเป็นศัพท์เฉพาะทาง (ไม่ใช้ชื่อโรคหรืออาการข้างต้น) แล้วก่อนที่หมอจะอธิบาย นี้ก็ถามว่า มันคือโรคประมาณนี้ใช่มั้ย (ตอนนั้นอาศัยการเดาล้วนๆ) แล้วการเดาชื่อโรค (ไม่ใช่การ diagnose น่ะ ไม่มีความสามารถในส่วนนั้น แค่เดาชื่อได้) ตอนนั้นก็ถูกไปประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ตอนนี้ ลองไปนั่งดูคำยาก ๆ หลายคำ ที่แปลไม่ออกเพราะแยกรากไม่ออก เพราะขาดความรู้ในส่วนของรากของทางกรีกและละตินไป 

*ทั้งนี้ ต่อให้รู้ชื่อรู้ที่มาของคำ ก็ยังต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ ด้วย กล่าวคือ รู้ชื่อรู้อาการไม่ใช่ว่าจะรักษาได้ ยังต้องไปหาหมอให้หมอรักษา นอกจากนี้ อีกประเด็นคือ อยากให้หมอเข้าใจว่าในสังคมปัจจุบัน คนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น แต่ก็เป็นข้อมูลผิวนอก ไม่ได้รู้ดี คนไข้แค่อ่านหนังสือออกและอ่านหนังสือเป็น คนไข้เลยสงสัย คนไข้เลยอยากรู้ คนไข้เลยอยากถาม เวลาคนไข้บังเอิญรู้จักอะไรแปลก ๆ ที่หมอพูด คนไข้อาจจะรู้จักแค่ชื่อแค่คำแปลหรือลักษณะคร่าว ๆ เท่านั้นแหละ หมออย่าเพิ่งเหวี่ยง มีหมอหลายคนที่นอกจากทักษะทางการรักษาแล้ว ยังมีทักษะเรื่องการควบคุม temper หมอเหล่านี้น่ารักมาก อธิบายดีมาก (แต่ก็เข้าใจหมอที่ทำงานหนักแล้วยังมาเจอเคสแบบนี้ ที่ทำให้บางครั้งแล้วควบคุม temper ของตัวเองไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็อยากให้หายใจเข้า หายใจออก ทำใจเย็นๆ แล้วค่อยตอบ) เข้าใจว่าการเหวี่ยง การเล่นบทโหดมีอาจจะมีผลดีต่อคนไข้ แต่อยากให้เป็นไม้ตายสุดท้าย อย่าเพิ่งรีบเอามาใช้

หากถามว่าอีกเทคนิคหนึ่งในการฝึกภาษา คือ การถอดรากคำ แต่เทคนิคนี้อาจจะยากหน่อย แต่ถ้ารู้แล้ว มีประโยชน์มาก (แต่ในบางกรณี ต้องดู context ปัจจุบันนั้น ๆ ของคำด้วยว่ามันจะแปลเป็นภาษาคนปัจจุบันยังไง)


เขียนโดย คุณปอนด์ สุทธินันท์ ดวงภุมเมศร์ 
นักเรียนทุนรัฐบาล UIS ปริญญาโท Master of Public Administration, Cornell University, สหรัฐอเมริกา

กางไทม์ไลน์ ‘แอสตราเซเนกา’ เตรียมผลิตฉีดให้คนไทย เป็นจำนวนเท่าไรถึงสิ้นปีนี้

เป็นข่าวดีเมื่อ ‘วัคซีนแอสตราเซเนกา’ ที่ผลิตโดย บ.สยามไบโอไซเอนซ์ ผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากห้องปฏิบัติการในยุโรปและสหรัฐอเมริกาแล้ว กระบวนการต่อจากนี้ จะเริ่มต้นทำการส่งมอบวัคซีนลอตแรกให้กับประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมา มีการวางแผนการผลิตกันไว้เรียบร้อยแล้ว

เริ่มต้นที่เดือนมิถุนายนนี้ เตรียมจัดมอบกัน 6 ล้านโดส และจะทยอยผลิตออกมาทุก ๆ เดือน เดือนละ 10 ล้านโดส ไปจนถึงพฤศจิกายน กระทั่งเดือนธันวาคมจะลดลงเหลือ 5 ล้านโดส เบ็ดเสร็จรวมทั้งสิ้น (สำหรับปีนี้) 61 ล้านโดส

ถ้าเป็นไปตามเป้าหมายที่ว่านี้ ‘แอสตราเซเนกา’ จะเป็นความหวังที่เห็นเป็นรูปธรรมที่สุดในการจัดหาวัคซีนให้คนไทย ซึ่งขณะนี้ทุก ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ต่างใช้ความพยายามในการจัดหาวัคซีนกันเต็มกำลังความสามารถ

สรุปภาพรวมที่มีวัคซีนอยู่ในตอนนี้ 3.5 ล้านโดส และจะได้มาเพิ่มอีก 5 แสนโดสกลางเดือนพฤษภาคม รวมทั้งที่ดำเนินการติดต่อขอซื้อเพิ่มเติม และตั้งเป้าว่าจะหามาเพิ่มให้ได้อีก 35-40 ล้านโดส เมื่อรวมกับลอตของแอสตราเซเนกาอีกกว่า 61 ล้านโดส จบปลายปีนี้ ประเทศไทยต้องมีวัคซีน 100 ล้านโดส เพื่อฉีดให้คนไทยราว 40 ล้านคน หรืออย่างน้อยต้องเกินครึ่งหนึ่งของประชากรของประเทศให้ได้

ไม่ต้องสนใจว่า ‘มาช้า มาเร็ว’ ประเด็นสำคัญคือ ‘ขอให้มา ขอให้ได้ฉีด’ ทีนี้ก็เตรียมรองรับการฉีดกันให้พร้อมสรรพ เตรียมไว้ให้พอ เตรียมไว้เสียตั้งแต่เนิ่น ๆ มิฉะนั้น ปัญหาใหม่ก็จะเกิดอีก เห็นใจและเข้าใจคนหน้างานที่สุด! ส่วนจะเลือกฉีดวัคซีนของยี่ห้อใด คำตอบง่าย ๆ ในช่วงเวลาที่เลือกอะไรไม่ได้อย่างในตอนนี้ คือ ‘เชื่อที่หมอแนะนำ’ จบ! เราต้องรอดเพราะหมอ! และต้องไม่ตายเพราะโซเชี่ยล!

เอ่ยชื่อ ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ ผู้ชมรายการข่าวเมืองไทย คงคุ้นเคยเป็นอย่างดี พิธีกรข่าวคนนี้ได้รับฉายาว่า ‘กรรมกรข่าว’ มีชื่อเสียงอยู่ในวงการสื่อสารมวลชนเมืองไทยมามากกว่า 20 ปี และในวันนี้เป็นวันเกิดของเขา มีอายุครบ 55 ปี

สรยุทธ สุทัศนะจินดา เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2509 เป็นชาวกรุงเทพมหานคร จบการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ และปริญญาตรีจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 

ก้าวแรกในเส้นทางการทำงานข่าว สรยุทธเริ่มต้นจากการเป็นนักข่าวของหนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น ต่อมาในปี พ.ศ.2535 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้าข่าวการเมือง ก่อนที่ในปี พ.ศ.2540 จะได้มาเป็นบรรณาธิการข่าว และจัดรายการวิเคราะห์ข่าวให้กับเนชั่น ชันแนล ตามมาด้วยช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ ที่มีรายการโด่งดังมาก ๆ อย่างรายการคุยคุ้ยข่าว และถึงลูกถึงคน จากนั้นจึงย้ายมาบริหารงานข่าวให้กับสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในช่วงปี พ.ศ.2546 พร้อมกับเปิดตัวรายการใหม่ เรื่องเล่าเช้านี้ และเรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ ตามลำดับ

สรยุทธถูกดำเนินคดียักยอกเงินค่าโฆษณาเกินเวลาในรายการ ‘คุยคุ้ยข่าว’ ทางช่องโมเดิร์นไนน์ ทำให้ บมจ.อสมท. ได้รับความเสียหายจากค่าโฆษณาเป็นเงินกว่า 138 ล้านบาท เป็นเหตุให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งเรื่องให้อัยการดำเนินการ 

ในเวลาต่อมา ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกสรยุทธเป็นเวลา 13 ปี 4 เดือน ก่อนที่เจ้าตัวจะยื่นอุทธรณ์ กระทั่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2563 ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกนายสรยุทธเป็นเวลา 6 ปี 24 เดือน แต่หลังจากที่เข้าสู่เรือนจำ เจ้าตัวได้เลื่อนชั้นเป็นผู้ต้องขังชั้นเยี่ยม เนื่องจากทำงานช่วยเหลือกรมราชทัณฑ์มาโดยตลอด ต่อมาจึงได้ลดวันต้องโทษ ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ 2 ครั้ง กระทั่งได้รับการพักโทษเป็นกรณีพิเศษ ถูกปล่อยตัวจากเรือนจำเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2564
.
ล่าสุด เจ้าตัวกลับมาทำงานเป็นพิธีกรเล่าข่าวอีกครั้ง ช่วยสร้างสันและความคึกคักให้กับวงการข่าวสารเมืองไทยอีกครั้ง และในวันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดอายุ 55 ปีของกรรมกรข่าวคนนี้ ขอให้สร้างสรรค์ผลงาน และผลิตข่าวสารที่มีคุณภาพออกสู่สังคมไทยต่อไป


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/สรยุทธ_สุทัศนะจินดา

 

วันนี้เมื่อ 37 ปีก่อน ถือเป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ โดยเป็นวันที่ สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 หรือ ‘ประมุขแห่งวาติกัน’ ได้เสด็จมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เป็นครั้งแรก

โดยเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2527 เครื่องบินพระที่นั่งของสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 และคณะผู้ติดตาม ได้ลงจอด ณ ท่าอากาศยานทหาร กองบัญชาการกองทัพอากาศ ดอนเมือง  พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (ขณะดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร) เป็นผู้แทนพระองค์ในการต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาที่ท่าอากาศยาน

ต่อมา สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ได้เสด็จมายังพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 

การเสด็จเยือนประเทศไทยครั้งนั้น สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ทรงมีภารกิจสำคัญมากมาย อาทิ การเสด็จไปยังศูนย์อพยพผู้ลี้ภัยชาวอินโดจีน ณ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี รวมถึงทรงเป็นประธานในพิธีบวชพระสงฆ์ใหม่จำนวน 23 องค์ พร้อมกับทรงปิดปีศักดิ์สิทธิ์สำหรับประเทศไทย ณ สามเณราลัยนักบุญยอแซฟ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม นอกจากนี้ยังเสด็จไปในงานสโมสรสันนิบาต ที่รัฐบาลจัดถวายพระเกียรติ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

กล่าวถึง สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ทรงขึ้นเป็นประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ.1978 โดยพระองค์ถือเป็นพระสันตะปาปาที่มีความสำคัญองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบัน สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการเสด็จไปรอบโลกเพื่อเยี่ยมเยียนคริสตชน ซึ่งเป็นกิจที่ทำมากกว่าพระสันตะปาปาองค์ใด ๆ ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังทรงต่อต้านการกดขี่ทางการเมือง ปกป้องวิถีทางของศาสนจักรในเรื่องเพศของมนุษย์ และเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย

สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2548 มีพระชนมายุ 84 พรรษา รวมระยะเวลาในการทรงปกครองศาสนจักรทั้งสิ้น 26 ปี 15 วัน ยาวนานที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ตามประวัติศาสตร์ของศาสนจักรโรมันคาทอลิก


ที่มา: https://www.komchadluek.net/news/today-in-history/371104

https://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระสันตปะปายอร์น_ปอลที่_2

‘กบร่อน’ รับบท ‘เซฟแดนสัตหีบ’ ขอโชว์ฝีมือเข้าครัว ด้วยเมนูเด็ด | กบร่อน EP.17

‘กบร่อน’ ใน EP.นี้ ขอฉายเดี่ยว !! โชว์เสน่ห์ปลายจวัก เข้าครัวอวดฝีมือการทำอาหาร ลุยตลาดเลือกวัตถุดิบด้วยตัวเอง ส่วนเมนนูที่กบร่อนได้รังสรรค์มานั้น...ใบ้ให้ว่าเป็นเมนูสัตว์น้ำจืด ? แต่ยังไม่บอกว่าเป็นอะไร ให้ผู้ชมมาดูเอง จุ๊ ๆ บอกเลยว่างานนี้รับบทเซฟแดนสัตหีบแบบเต็มตัว ไปลุ้นกันเลยดีกว่า ว่าวันนี้กบร่อนจะทำเมนูอะไร และอย่าลืมมาให้คะแนนความน่ากินกันด้วยน้า

"กบร่อน" รายการที่ "กบ" จะพาคุณไป ร่อน ตามที่ต่าง ๆ พร้อม Guest สนุก ๆ ให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น ในสไตล์กบร่อน

ติดตามพิธีกร 
กบ IG : @kobjr007

.

.

เมืองไทยมีแชมป์มวยโลกมาหลายคน แต่ที่มีความพิเศษไปกว่าคนอื่น ต้องยกให้ ‘เขาทราย & เขาค้อ แกแล็คซี่’ ซึ่งวันนี้เมื่อ 33 ปีก่อน ทั้งคู่ถูกยกให้เป็น ‘แชมป์มวยคู่แฝดคู่แรกของโลก’

เขาทราย แกแล็คซี่ แฝดผู้น้อง ก้าวขึ้นเป็นแชมป์โลกก่อน โดยเป็นแชมป์โลกของสมาคมมวยโลก (WBA) ในรุ่นจูเนียร์แบนตั้มเวท จากนั้นเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ.2531 เขาค้อ แกแล็คซี่ นักชกแฝดผู้พี่ ก็ขึ้นชิงแชมป์โลกกับ วิลเฟรโด บัซเกซ นักมวยชาวเปอร์โตริโก้ ก่อนที่จะเอาชนะคะแนนไปได้ ก้าวสู่การเป็นแชมป์มวยโลก รุ่นแบนตั้มเวท ของสมาคมมวยโลก (WBA) พร้อมทั้งสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการมวยโลก ด้วยการเป็นคู่แฝดคู่แรกที่ครองแชมป์โลกในเวลาเดียวกัน

เขาทราย แกแล็คซี่ มีชื่อจริงว่า สุระ แสนคำ ส่วน เขาค้อ แกแล็คซี่ แฝดผู้พี่ มีชื่อจริงว่า วิโรจน์ แสนคำ ทั้งคู่เกิดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2502 ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ในวัยเด็กชอบกีฬาชกมวยด้วยกันทั้งคู่ โดยเขาค้อ ขึ้นชกมวยไทยมาก่อนเขาทราย แถมทั้งคู่ยังเคยขึ้นชกแทนกันมาแล้ว ต่อมาทั้งสองคนก็ได้พบกับ ‘แชแม้’ หรือนายนิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์ โปรโมเตอร์มวยชื่อดัง จึงได้รับการส่งเสริมจนก้าวสู่การเป็นนักมวยสากลอาชีพในที่สุด

เขาทราย แกแล็คซี่ ได้ฉายาว่า ซ้ายทะลวงไส้ เนื่องจากมีหมัดซ้ายที่หนักหน่วง และมีสถิติป้องกันแชมป์โลกติดต่อกันกว่า 19 ครั้ง โดยเป็นการชนะน็อคถึง 16 ครั้ง ชนะคะแนน 3 ครั้ง ก่อนจะแขวนนวมด้วยการเป็นแชมป์โลกที่ไม่เคยแพ้ใคร

ด้านเขาค้อ แกแล็คซี่ ก้าวขึ้นเป็นแชมป์มวยโลกคนที่ 12 ของประเทศไทย แม้ว่าภายหลังจากการเป็นแชมป์โลกแล้ว เขาค้อจะไม่สามารถป้องกันตำแหน่งไว้ได้แม้แต่ครั้งเดียว แต่เจ้าตัวก็สามารถแก้ตัวคว้าเข็มขัดแชมป์โลกกลับคืนมาได้ในตอนเสียแชมป์หนแรก แต่เมื่อต้องป้องกันแชมป์อีกครั้ง ปรากฎว่า เขาค้อเกิดล้มลงบนเวทีเสียเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถูกคู่ต่อสู้ต่อยแม้แต่หมัดเดียว เป็นเหตุให้ต้องแพ้แบบ TKO ไปในครั้งนั้น สร้างความงุนงงให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก ต่อมามีการเรียกอาการของเขาค้อในวันนั้นว่า ‘โรควูบ’

ทั้งเขาทราย และเขาค้อ ถือเป็นนักมวยที่คนไทยชื่นชอบและจดจำได้เป็นอย่างดีในอดีต เมื่อไรที่มีการถ่ายทอดสดการขึ้นชกป้องกันแชมป์โลกของเขาทราย แกแล็คซี่ ถนนเมืองไทยจะโล่งไปถนัดตา เพราะผู้คนพากันไปรวมตัวอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์นั่นเอง

ผ่านมาถึงวันนี้ แม้ทั้งคู่จะเลิกราในเส้นทางอาชีพหมัดมวยไปแล้ว แต่ความเป็นตำนานนักมวยแชมป์โลก ก็ยังได้รับการยกย่องและกล่าวขวัญถึงอยู่เสมอ


ที่มา:

https://th.wikipedia.org/wiki/เขาทราย_แกแล็คซี่

https://th.wikipedia.org/wiki/เขาค้อ_แกแคซี่

วันนี้เมื่อ 147 ปีมาแล้ว ถือเป็นวันสำคัญอีกหนึ่งวัน เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มี ‘สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน’ ขึ้นเป็นครั้งแรก

โดยการแต่งตั้ง ‘สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน’ (Council of State) ขึ้นในครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศตามแบบตะวันตก

สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ประกอบไปด้วย สมาชิกผู้มีบรรดาศักดิ์ชั้นพระยาจำนวน 12 คน มีหน้าที่ถวายคำปรึกษาและความคิดเห็นต่าง ๆ ในด้านนิติบัญญัติ และเมื่อข้อราชการใดที่ประชุมสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินมีมติเห็นชอบ ก็ให้ออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ต่อไป

ทั้งนี้ผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง ต้องทำพิธีสัตยานุสัตย์ สาบานต่อหน้าพระพักตร์และถือน้ำพิพัฒน์สัตยา เพื่อให้มีความตั้งใจปฏิบัติหน้าที่จนเต็มกำลังความสามารถโดยไม่ลำเอียง ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง และรักษาความลับ เพื่อให้การปฏิรูปการเมืองการปกครองบรรลุตามวัตถุประสงค์

การประชุมของสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน จะต้องมีสมาชิกมาประชุมร่วมกันตั้งแต่ 7 นายขึ้นไป จึงจะนับว่าครบองค์ประชุม ผลการประชุมทุกครั้งต้องกราบทูลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ เมื่อทรงเห็นชอบด้วย ผลของการประชุมหรือมติของสภาจึงจะมีผลบังคับใช้ต่อไป

ผ่านมาถึงวันนี้ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ถือเป็นก้าวแรกของการปฏิรูปการเมืองการปกครองของประเทศไทย เปรียบเสมือน ‘คณะรัฐมนตรี’ ที่ดำเนินการด้านกฎหมาย และให้คำปรึกษาในการบริหารราชการแผ่นดิน อันเป็นพื้นฐานการปกครองสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้


ที่มา:

https://www.facebook.com/340609796616268/posts/530988617578384/

https://sites.google.com/site/prawaturachkalthi5/kar-ptirup-kar-pkkhrxng-kae

 

Thailand Only! รวมเรื่องราว 6 สิ่ง ที่ถ้าย้ายประเทศหนี คุณต้องคิดถึงแน่ๆ!!

กระแส ‘การย้ายประเทศ’ รุนแรงกันทั้งสัปดาห์ ไม่รู้เบื่อประเทศกันขึ้นมาเอง หรือเบื่อตามเพื่อน หรือเบื่อตามโซเชี่ยล เอาเถอะ! เรื่องเบื่อเป็นเรื่องธรรมชาติ และเรื่องจริงยิ่งกว่านั้น ไม่มีอะไรจะได้อย่างใจเราเสมอไปหรอก โดยเฉพาะการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความแตกต่าง ต้องเข้าใจ และเรียนรู้ที่จะเปิดใจ 

ว่าแต่สมมติเกิดย้ายประเทศกันไปแล้วจริง ๆ คิดไหมว่าจะคิดถึงอะไรที่เมืองไทยกันบ้าง เราไปรวบรวม 6 สิ่งที่เชื่อว่า หากย้ายประเทศไปแล้ว คุณต้องคิดถึงเรื่องเหล่านี้แน่ ๆ เลย

สำหรับคอการเมืองแล้ว ชื่อ ‘พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ’ ถือเป็นอีกหนึ่งชื่อที่มีบทบาทสำคัญในแวดวงการเมืองไทย และวันนี้เมื่อกว่า 23 ปีก่อน ถูกบันทึกไว้ว่า เป็นวันถึงแก่อสัญกรรม ของอดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้

พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ.2463 โดยเข้ารับราชการครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2483 ในตำแหน่งผู้บังคับหมวด กองพันทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ กระทั่งต่อมา ได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งทูตทางการทหารในหลายประเทศ อาทิ อาร์เจนตินา, ออสเตรีย, ตุรกี และเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประจำองค์การสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2515 พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางการเมืองเป็นครั้งแรก ในเวลาต่อมา ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. อยู่หลายสมัย รวมทั้งขึ้นดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกหลายครั้งด้วยกัน

กระทั่งในปี พ.ศ.2517 พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ได้ร่วมกับพลตรีประมาณ อดิเรกสาร และพลตรีศิริ สิริโยธิน ก่อตั้งพรรคชาติไทย จนในปี พ.ศ.2529 ก็ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 2 และสามารถนำพรรคชาติไทย ชนะการเลือกตั้งได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่งในปี พ.ศ.2531 ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ.2531

ตลอดระยะเวลาในการบริหารประเทศ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ในฐานะนายกรัฐมนตรี มีความโดดเด่นในเรื่องนโยบายการต่างประเทศ ซึ่งมีประโยคทองที่ผู้คนในยุคนั้นต่างคุ้นหู นั่นคือ ‘เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า’ นอกจากนี้ยังมีความโดดเด่นด้านนโยบายเศรษฐกิจ กระทั่งมีการคาดหมายประเทศไทยในเวลานั้น จะกลายเป็น ‘เสือตัวที่ 5 ‘ ของเอเชีย ต่อจากประเทศเกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน

คณะรัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ บริหารประเทศเป็นเวลากว่า 2 ปีครึ่ง จนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2534 จึงถูกคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. เข้ายึดอำนาจ ก่อนจะนำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรง ‘พฤษภาทมิฬ’ ในปี พ.ศ.2535

ในช่วงปลายเส้นทางการเมือง พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ยังมีส่วนร่วมในการก่อตั้งพรรคชาติพัฒนา ก่อนที่ต่อมา จะค่อย ๆ วางมือจากการเมือง กระทั่งเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2541 เจ้าตัวได้เดินทางไปรับการผ่าตัดมะเร็งตับ ณ โรงพยาบาลครอมเวลล์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และรักษาตัวอยู่ประมาณ 1 เดือน ก่อนจะถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2541 ด้วยวัย 78 ปี

ถึงวันนี้ หลายคนก็ยังจดจำชื่อเสียง และความสามารถของอดีตนายกฯ คนนี้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับคำพูดติดปากที่กลายเป็นอีกหนึ่งภาพจำของอดีตผู้นำคนนี้ นั่นคือ ‘No Problem’


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/ชาติชาย_ชุณหะวัณ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top