Tuesday, 22 April 2025
Hard News Team

“วิษณุ” ขออย่าเพิ่งยี้ “ตรีนุช” ชี้! รมว.ศึกษา ไม่จำเป็นต้องเป็นครู  เพราะไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ แต่เป็นนักบริหาร

เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึง นางสาวตรีนุช เทียนทอง ว่าที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมี รมว.ศึกษาธิการเป็นผู้หญิง ว่า ตนไม่แน่ใจ ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่านำคนจบการเศรษฐศาสตร์มาบริหารกระทรวงศึกษาธิการเหมาะสมหรือไม่นั้น อย่าไปพูดอย่างนั้นเลย รัฐมนตรีไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค จึงต้องขอยกพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งนายจาตุรนต์ ฉายแสง เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณเป็น รมว.ยุติธรรม โดยโยกมาจากกระทรวงพลังงาน 

 

ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระราชกระแสในวันดังกล่าวว่า รัฐมนตรีนั้นไม่ใช่ผู้ปฏิบัติการ แต่เป็นผู้กำหนดนโยบาย เป็นผู้บริหาร เพราะฉะนั้นจะจบอะไรมาถือเป็นนักบริหาร ถ้าเป็นนักบริหารต้องบริหารได้ คือ บริหารคน บริหารเงิน บริหารงาน เขาไม่ได้ตั้งใจว่าหมอเท่านั้นที่ต้องเป็น รมว.สาธารณสุข ครูเท่านั้นต้องเป็น รมว.ศึกษาธิการ ทหารเท่านั้นต้องเป็น รมว.กลาโหม 

 

นายวิษณุ กล่าวว่า ถ้าไปดูในอดีต รมว.หลายกระทรวงที่เราอาจจะยี้เมื่อตอนเข้ามา แต่ต่อมากลายเป็น รมว.ที่ดีมาก หรือดีที่สุด เช่น พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น และมาเป็น รมว.สาธารณสุข ใครๆ ก็แหย่เรียกหมอเสริฐทำนองว่ายี้ แต่ต่อมา พล.ต.อ.ประเสริฐเป็น รมว.สาธารณสุขที่ทำความเจริญให้กับกระทรวงมากที่สุด จนเป็นที่ร่ำลือถึงปัจจุบัน ดังนั้น อย่าไปสนใจเรื่องเช่นนี้ 

ออฟฟิศเมท พลัส ประกาศรับผู้ประกอบการท้องถิ่นทั่วไทย ร่วมลงทุนแฟรสไชส์ การันตีกำไร 1 แสนบาท/เดือน งบลงทุนเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท

ออฟฟิศเมท พลัส ในเครือเซ็นทรัลรีเทล ธุรกิจแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้ออุปกรณ์สำนักงานเพื่อธุรกิจ เดินหน้าเปิดสาขาเพิ่มในไตรมาสแรก 2564 อีก 3 สาขา และวางแผนเปิดสาขาเพิ่มอีกอย่างต่อเนื่องตลอดปี สำหรับสาขาที่เปิดเพิ่มในไตรมาสแรกนี้ ได้แก่ ออฟฟิศเมท พลัส สาขาเลย (แยกบิ๊กโฮม), สาขาศรีสะเกษ (คิงส์วัสดุ) และ สาขานครสวรรค์ (เยื้องซอยสวรรค์วิถี 18) ทำให้ปัจจุบันมีร้านแฟรนไชส์ออฟฟิศเมท พลัส รวม 11 สาขา หากรวมสาขาของออฟฟิศเมททั้งหมด จะเป็น 86 สาขาทั่วไทย

พร้อมกันนี้ ออฟฟิศเมท พลัส ยังได้ประกาศเชิญชวนผู้ประกอบการท้องถิ่นทุกภูมิภาคทั่วประเทศ มาเป็นเจ้าของร้านแฟรนไชส์เพื่อต่อยอดธุรกิจและฐานลูกค้า B2B ด้วยโมเดลการขายเชิงรุกแบบ ออมนิแชแนลแฟรนไชส์ #การันตีกำไร 1 แสนบาท/เดือน* ซึ่งเป็นตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด สามารถเปิดร้าน พร้อมระบบการขายและการบริหารสต๊อค และสามารถจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์สำนักงาน ไอที เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์โรงงาน และสินค้าเพื่อธุรกิจครบครันมากกว่า 60,000 รายการได้เท่าเทียมกับ ร้านออฟฟิศเมท ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท

สำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุนที่สนใจแฟรนไชส์ ออฟฟิศเมท พลัส ที่มีทำเลเปิดร้านได้ ในพื้นที่หัวเมืองหลักและรองที่มีศักยภาพสูงจะได้รับการพิจารณาอนุมัติเป็นแฟรนไชส์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น จังหวัดชลบุรี สมุทรสาคร อยุธยา ระยอง ฉะเชิงเทรา นครปฐม นครราชสีมา เชียงใหม่ สงขลา ภูเก็ต สระบุรี ปราจีนบุรี ราชบุรี ขอนแก่น อุบลราชธานี นครศรีธรรมราช และอุดรธานี เป็นต้น

“เทพไท” หนุน ทำประชามติ ตั้ง สสร.ยกร่าง รธน.ใหม่ ตอบโจทย์กว่าแก้รายมาตรา

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กระแสเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้ว่า หลังจากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เสนอโดยพรรคร่วมรัฐบาลถูกคว่ำไปในวาระ 3 แล้ว ก็มีแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญในรูปแบบรายมาตรา และยังไม่ตกผลึกว่าจะแก้ไขในมาตราใดบ้าง

 

ถ้าหากพรรคการเมืองแต่ละพรรค ยังเห็นไม่ตรงกันในมาตราที่จะแก้ไข ก็จะยากที่จะประสบความสำเร็จได้ และไม่มีหลักประกันว่าจะได้รับการสนับสนุนจาก ส.ว.หรือไม่ เพราะเบื้องลึกของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ไม่ต้องการที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด เพียงแต่ได้ตกกระไดพลอยโจนตอนจัดตั้งรัฐบาล จึงได้เขียนนโยบายเร่งด่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญบรรจุไว้ในคำแถลงนโยบาย 

 

แต่เมื่อดูท่าทีของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม ที่บอกว่า ถ้าอยากตัดวงจรสืบทอดอำนาจ ก็ไปแก้รัฐธรรมนูญให้ได้ก็แล้วกัน หรือแม้แต่พลเอกประวิตร  วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็ยังไม่ยืนยันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะสำเร็จได้ในรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ ซึ่งเป็นท่าทีของผู้มีอำนาจคนสำคัญในรัฐบาล ทำให้ความหวังของการแก้ไขรัฐธรรมนูญริบหรี่ ยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย 

 

ส่วนตัวเห็นด้วยกับผลโพลที่ประชาชนต้องการให้มีแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ 58%  เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา จะไม่ตอบโจทย์การเมืองของประเทศ เพราะการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองภาคประชาชน  ต้องการให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ร.เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจของ คสช. มาเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่มีความยึดโยงกับประชาชนอย่างแท้จริง การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาทั้งฉบับ เป็นการปรับปรุงโครงสร้างอำนาจการเมืองใหม่ทั้งหมด ย่อมมีผลดีกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา 

 

ถ้าจะเปรียบรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นบ้าน จำเป็นต้องรื้อหมดทั้งหลัง เพื่อสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นมาทดแทน เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นบ้านที่มีฐานรากและโครงสร้างไม่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ก็เป็นเพียงการซ่อมแซมบ้าน ที่มีโครงสร้างไม่แข็งแรง อาจจะพังถล่มได้ในทันที

 

การเคลื่อนไหวให้มีแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แก้เกี้ยวหลังจากรัฐธรรมนูญถูกคว่ำในวาระ 3  ซึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศได้ ทางออกที่ดีที่สุดคือ รัฐบาลต้องจัดทำประชามติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เร็วที่สุด

บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา ว่า ทางบริษัทจะเปิดเผยผลการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ฉบับใหม่ภายในเวลา 48 ชั่วโมง โดยใช้ข้อมูลใหม่ล่าสุด

แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ทางการสหรัฐได้วิพากษ์วิจารณ์แอสตร้าเซนเนก้าต่อการที่บริษัทใช้ข้อมูลเก่าในการเปิดเผยผลการทดลองวัคซีนโควิด-19 ก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ แอสตร้าเซนเนก้า เปิดเผยผลการทดลองวัคซีนโควิด-19 โดยระบุว่า จากการทดสอบวัคซีนในสหรัฐซึ่งมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก พบว่าวัคซีนที่แอสตร้าเซนเนก้าพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดมีประสิทธิภาพ 79% ในการป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการ และมากถึง 100% ในการป้องกันอาการติดเชื้อรุนแรงหรือต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

แต่อย่างไรก็ตาม สถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐ (NIAID) แถลงในวันเดียวกันว่า แอสตร้าเซนเนก้าอาจให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19

“คณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลความปลอดภัย (DSMB) ได้แสดงความกังวลว่า แอสตร้าเซนเนก้าอาจรวมเอาข้อมูลเก่าจากการทดลอง ซึ่งอาจเป็นการให้ข้อมูลด้านประสิทธิภาพที่ไม่สมบูรณ์ เราขอให้แอสตร้าเซนเนก้าร่วมมือกับ DSMB ในการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพวัคซีน และสร้างความมั่นใจว่าจะมีการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นข้อมูลปัจจุบันเพื่อให้สาธารณชนได้ทราบโดยเร็ว” NIAID ระบุ

ทางด้านแอสตร้าเซนเนก้า ชี้แจงว่า ข้อมูลที่มีการตีพิมพ์ก่อนหน้านี้ ได้อ้างอิงจากข้อมูลเบื้องต้นที่มีการวิเคราะห์จนถึงวันที่ 17 ก.พ. และทางบริษัทจะร่วมมือกับ DSMB ในการแบ่งปันผลการวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลประสิทธิภาพที่มีการปรับปรุงล่าสุด


ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2021/73031

หลังจากที่เราสังเกตการรัฐประหารตั้งแต่ Day 1 จนถึงวันนี้นั้น ฉันว่าการต่อสู้ในเมียนมามีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจอยู่และทำให้เหตุการณ์ไม่สงบยืดเยื้อ ซึ่งนั่นเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Fake News ที่มากมายในเมียนมา

ขณะนี้ หลาย ๆ ข่าวหลายเรื่องราวที่ปรากฎออกมาบนเฟซบุ๊กก็ดี หรือข่าวออกสื่อหลักในไทยหรือพม่าก็ดี บางข่าวเป็นข่าวที่พูดออกมาจากคนโดยปราศจากหลักฐานภาพกล้องวงจรปิด ซึ่งฉันขอเรียกสิ่งที่นำเสนอออกมาว่ามันคือ Fake News ประเภทหนึ่งที่เรียกว่า โฆษณาชวนเชื่อ หรือ Propaganda นั่นเอง

ในเมียนมานับจากที่ทางทหารทำการรัฐประหารสิ่งที่ฉันเห็นมา คือ ข่าวทั้งจากฝั่งไทยก็ดี ฝั่งพม่าก็ดี ฝั่งชนกลุ่มน้อยก็ดี หลายข่าวหากไม่สืบหาข้อมูลดี ๆ ย่อมคล้อยตามได้ง่าย

แรก ๆ โฆษณาชวนเชื่อที่ออกมาเป็นการปลุกระดมให้ประชาชนออกมาต่อต้าน พอได้จำนวนคนมาก็เริ่มดำเนินการหรือจะเรียกได้ว่า ม็อบสูตรประเทศไทย คือ การพยายามสร้างภาพว่าม็อบที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวนางอองซานซูจีนั้นเป็นสิ่งสวยงาม

ตามต่อมาด้วยภาพที่ทำให้เราต้องคิดว่า เฮ้ย…ผู้กำกับเดียวกันนี่หว่า…

แต่หลังจากทางกองทัพไม่ได้ให้ราคากับคนพวกนี้ ก็มีกลุ่มที่พยายามจะบิดเบือนด้วยประกาศปลอม แต่สุดท้ายก็มีคนจับโป๊ะได้ว่าประกาศนั้นเป็นประกาศปลอม

หลังจากที่มีคนชุมนุมมากพอจนทำให้ฝ่ายตำรวจต้องจับอาวุธมาสลายผู้ชุมนุม จนทำให้มะแจซินถึงแก่ความตาย แต่ความตายของมะแจซินเต็มไปด้วยเงื่อนงำ ไม่ว่าจะเป็นรูปที่โพสต์ไว้มากมายก่อนตายทั้งภาพและคลิปในเหตุการณ์ที่มะแจซินเป็นทั้งผู้บริจาคให้ผู้ชุมนุมและมะแจซินเป็นผู้นำในกลุ่มผู้ชุมนุมก็ดี

หลายคนที่พยายามมองทั้งสองด้านคงมองแบบผมว่า มะแจซิน คือ ศพที่ถูกสั่งให้ตายด้วยมือที่สาม เพราะเห็นได้ว่าหลังจากการตายของมะแจซิน มีฝ่ายหนึ่งการนำการตายของมะแจซินออกมาโหนอย่างชัดเจน จนฝั่งทหารพม่าต้องเข้ามาตรวจสอบหัวกระสุนที่ยิงใส่มะแจซิน

แม้ทางฝ่ายทหารจะแถลงมาว่ากระสุนสังหารของมะแจซินไม่ใช่กระสุนสไนเปอร์เพราะลักษณะของแผลเป็นกระสุน .22 แต่อย่างไรก็ดีก็อย่างที่ทราบกันในประเทศที่ไม่มีมุมมองเป็นกลาง ย่อมไม่มีใครเชื่อว่าการตายของมะแจซินเกิดจากมือที่สาม

ต่อมาแม้จะมีเฟคนิวส์มากมาย แต่ทางทหารก็ไม่ได้ตอบโต้อันใดทางโซเชียล แม้บางเฟคนิวส์ที่ฉันทราบจะทำให้ฉันขำจนถึงขั้นตกเก้าอี้อย่างเช่น การที่ทหารนำศพผู้เสียชีวิตที่ถูกสังหารไปผ่าพิสูจน์แล้วมีคนบอกว่าทหารนำเครื่องในคนตายไปขาย คือ เอิ่ม…เครื่องในคนนะ เอาไปต่อชีวิตนะ ไม่ใช่เอาไปต้มตือฮวน มันมีเวลาในการเก็บอวัยวะ ไม่ใช่ตายกันมาครึ่งวันหรือรอข้ามวันแล้วมาเอาเครื่องในตอนผ่าพิสูจน์

และล่าสุดที่ฉันทราบข่าวคือ การจับตัวหลวงพ่อ บะมอสะยาดอว์ก็ดี หรือ การที่ทหารไปลอกทองชเวดากองก็ดี คือเฮ้ย...พวกคุณรู้ไหม 'มิน อ่อง ลาย' เขาทำบุญเยอะมากนะ ถ้ามีใครตามข่าว 'มิน อ่อง ลาย' ในช่วงที่เกิดรัฐประหาร เหมือนรู้ว่าตัวเองทำบาป เลยพยายามทำบุญเยอะมากเพื่อลบล้างบาป

สุดท้ายที่ฉันเจอคือข่าวหญิงสาวตกตึกตายก็ดี หรือ ข่าวตำรวจแบกกล้วยก็ดี ก็มีการตีข่าวว่า ตำรวจผลักคนตกตึก ตำรวจ ทหาร ปล้นกล้วยเพราะไม่มีอะไรจะกิน นี่คือเฮ้ยแค่รูปเดียวรู้ดีกันขนาดนี้เลยเหรอ ฉันว่าภาพๆเดียวมันสื่ออะไรไม่ได้มั้ง

สุดท้ายเราแค่อยากจะสื่อว่าในสถานการณ์ที่ยังไม่มีอะไรชัดเจน การเสพข่าวอะไรก็ตามไม่ควรจะอินตามกระแส แต่ควรหาข้อมูลมาสนับสนุนหรือหักล้างว่าสิ่งที่เราได้ทราบมานั้นจริงหรือไม่จริง เหมือนกับการมองภาพๆ หนึ่ง สื่อบางรายอาจจะเลือกมุมที่จะนำเสนอ แต่หากคุณเป็นคนที่มีเหตุมีผล คุณควรจะมองภาพทั้งภาพไม่ใช่ภาพในมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น


ที่มา: AYA IRRAWADEE

สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ และหลายประเทศในสหภาพยุโรปผนึกกำลังลงดาบร่วมคว่ำบาตรจีน ในประเด็นละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ ในมณฑลซินเจียงของจีน โดยจะเล็งเป้าที่นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน

โดยจะเล็งเป้าที่นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน ที่รับผิดชอบในเขตซินเจียง เบื้องต้น มีการเปิดเผยรายชื่อบัญชีดำบางส่วนแล้วดังนี้

1.) นาย เฉิน หมิงกัว ผู้อำนวยการสำนักงานตำรวจในท้องที่เขตซินเจียง

2.) นาย หวัง หมิงชาน หนึ่งในคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์ในเขตซินเจียง ที่แหล่งข่าวสายตะวันตกระบุว่า เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบโครงการค่ายกักกันชาวอุยกูร์โดยเฉพาะ

3.) นายหวัง จุนเจิ้ง เลขาธิการ บริษัทซินเจียง โปรดักชั่น แอนด์ คอนสตรั๊กชั่น หรือ XPCC

4.) นาย จู ไห่หลุน อดีตรองหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์สาขาซินเจียง ที่ถูกระบุว่าเป็นคีย์แมนคนสำคัญในนโยบายการสร้างค่ายกักกันชาวอุยกูร์

5.) บริษัท บริษัทซินเจียง โปรดักชั่น แอนด์ คอนสตรั๊กชั่น (XPCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาล กึ่งกองทัพ ที่รัฐบาลจีนบอกว่าเป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมวิชาชีพ และพัฒนาพื้นที่การเกษตรในเขตชนบท แต่ถูกฝ่ายตะวันตกระบุว่า เป็นหน่วยงานสำคัญที่ผลักดันให้เกิดนโยบาย "ปรับทัศนคติ" ชาวมุสลิม ซินเจียง-อุยกูร์

ซึ่งการคว่ำบาตรนี้ จะรวมถึงการแบนทั้ง หน่วยงาน และบุคคลที่ระบุในบัญชีดำไม่ให้เข้าประเทศ เพิกถอนวีซ่า และยังระงับการเข้าถึงบัญชีทรัพย์สินที่ฝากไว้ในประเทศกลุ่มพันธมิตรชาติตะวันตก ที่ร่วมกันคว่ำบาตรจีนในครั้งนี้ด้วย

แอนโทนี บลินเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ย้ำชัด กลางที่ประชุมทวิภาคี สหรัฐ - จีน ในอลาสก้า ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า จีนได้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เข้าข่ายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอุยกูร์ และจะกดดันให้จีนหยุดการกระทำดังกล่าว

ประเด็นเรื่องค่ายกักกันชาวอุยกูร์ ถูกหยิบยกขึ้นโจมตีจีนอย่างหนักในช่วงนี้ ซึ่งจีนถูกกล่าวหาว่าได้ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง กับชาวอุย กูร์ ในเขตซินเจียงนับล้านคน ที่ถูกต้อนเข้าแคมป์ ที่จีนอ้างว่าเป็นค่ายฝึกอบรมวิชาชีพ และค่านิยมแบบจีน

แต่กลับมีรายงานข่าวการกักกัน คุมขัง ทำร้ายร่างกาย ข่มขืนทั้งทางร่างกาย และจิตใจ ที่บังคับให้ชาวอุยกูร์ละศาสนาอิสลาม บังคับให้บริโภคเนื้อหมู ใช้แรงงานหนัก และบังคับให้คุมกำเนิด จนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงไปทั่วโลก ที่จีนพยายามที่จะปฏิเสธว่า เป็นเรื่องที่กล่าวเกินจริง และบิดเบือน

แต่ก็ถูกชาติตะวันตกกดดันในประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง อาทิ รัฐสภาแคนาดาประกาศว่าการกระทำของรัฐบาลจีนต่อชาวอุยกูร์ เข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ประเทศในสหภาพยุโรปหลายชาติลงชื่อคว่ำบาตรจีน ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ก็เห็นด้วยกับมาตรการคว่ำบาตรเช่นกัน และน่าจะร่วมขบวนด้วยในเร็วๆนี้

ทางด้านจีน ก็ประกาศว่าพร้อมที่จะตอบโต้ด้วยการคว่ำบาตรทุกชาติตะวันตก ที่ร่วมกับสหรัฐคว่ำบาตรจีนในครั้งนี้

นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน กล่าวว่า นี่คือการแทรกแซงกิจการภายในจีนแบบเหมารวม บิดเบือนข้อเท็จจริง และเผยแพร่ข่าวเท็จ ที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และได้ประกาศรายชื่อบุคคล ที่จะถูกขึ้นบัญชีดำของจีนถึง 10 คน ที่เป็นสมาชิกสภา EU เป็นนักสิทธิมนุษยชนแห่งสหภาพยุโรป นักวิชาการเยอรมันที่เผยแพร่ข้อมูลการกดขี่ชนกลุ่มน้อยในทิเบตและซินเจียง รวมถึงหน่วยงานรัฐบาลชาติตะวันตก เช่น Germany Mercator Institute for China Studies และ Danish Democracy Organization เป็นต้น

คว่ำกันระเน ระนาด ล้มโต๊ะกันหนักมากจริงๆ และนี่แค่เพียงเริ่มต้นเท่านั้น จากแนวทางการต่อสู้ระหว่าง จีน และสหรัฐ ในยกใหม่ ที่เชื่อว่าน่าจะต้องคว่ำกันอีกหลายบาตรทีเดียว

แหล่งข้อมูล

https://www.bbc.com/news/world-europe-56487162

https://www.dw.com/.../china-sanctions-eu.../a-56948924

https://www.theguardian.com/.../china-responds-to-eu-uk...

https://www.aljazeera.com/.../eu-rolls-out-sanctions-on...


ที่มา : เพจ หรรสาระ By Jeans Aroonrat

https://www.facebook.com/HunsaraByJeansAroonrat/photos/a.104144281210799/267660561525836/

บุ๋ม - ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ดารานักแสดงชื่อดัง ในฐานะประธานองค์กรทำความดี โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านไอจี เกี่ยวกับเรื่องราวของเยาวชน ชั้นอนุบาลไปจนถึงชั้นป.5 ถึง 9 รายซึ่งเกิดเหตุมานานเกือบ 10 ปี แต่ผู้กระทำความผิดยังไม่มีใครทำอะไรได้

โดย บุ๋ม ปนัดดา ระบุว่า ...

เคสนี้ล่าสุด! แล้วคุณจะตกใจเหมือนบุ๋มถ้าคุณรู้ว่า

1.) เด็กน้อย 9 คนนี้ โดนกระทำโดยผู้ชายคนๆเดียวกัน

2.) เด็ก2คนในนี้แจ้งความแล้ว ขึ้นศาล แต่ศาลให้ประกันตัว

3.) เมียที่เป็นสมาชิก อบต. ให้ความช่วยเหลือผัว จนเด็กๆคนอื่นไม่กล้าแจ้งความ

4.) เรื่องที่เกิดขึ้น มันเกิดมานานเกือบ 10 ปี แต่ไม่มีใครทำอะไรมันได้เลย จนมันย่ามใจทำเด็กมากมายขนาดนี้

5.) มีเด็กผู้ชายอีก 3 คนมาร้องเรียนกับบุ๋ม ถูกละเมิดและลวนลามจากคนนี้เช่นกัน

ทีนี้คุณเข้าใจรึยังว่าทำไมบุ๋มยอมชื่อเสียงของตัวเองเข้าแลกในแต่ละคดีเพราะเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นในแต่ละท้องที่เป็น 10 ปี แต่ไม่มีใครเคยรับฟังพวกเค้าเลย คุณต้องเห็นน้ำตาของพ่อแม่เด็ก แล้วเด็กบางคนไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ ถ้าคุณได้เห็นเหมือนอย่างที่บุ๋มเจอ คุณจะลุยและสู้กับคนเลวๆเหมือนบุ๋ม #บุ๋มเชื่อแบบนั้น #องค์กรทำดี

เกิดเหตุกราดยิงอีกแล้วในสหรัฐอเมริกา คราวนี้ยิงสนั่นกลางซุปเปอร์มาร์เก็ตในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด เมื่อช่วงบ่าย 2 โมงของวันจันทร์ที่ 22 มีนาคม ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐ ล่าสุดยืนยันผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุมากถึง 10 ราย

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับรายงานว่า เกิดเหตุกราดยิงที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต คิง ซูปเปอร์ส ที่อยู่ในย่านชุมชน ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยโคโรลาโดมากนัก จึงรีบส่งทีมจู่โจม และ เฮลิคอปเตอร์ 3 ลำ เข้าประจำการในพื้นที่ทันที

พยานผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า เขาได้ยินเสียงปืนหลายครั้ง และเห็นคนล้มลง 3 คนที่ลานจอดรถ และ ประตูทางเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่แน่ใจว่าเสียชีวิตหรือไม่ เพราะทุกคนต่างหาที่หลบซ่อนตัว

นอกจากนี้ยังมีภาพจากกล้องวงจรปิด ที่พบคนร้ายบุกเข้าไปยิงผู้คนในซุปเปอร์มาร์เก็ต และเจ้าหน้าที่ แอริค แทลลี่ เป็นตำรวจท้องที่กลุ่มแรกที่เข้าพื้นที่ไปปะทะกับคนร้าย จนถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

เจ้าหน้าที่ แครี่ ยามางุจิ ผู้บังคับบัญชาตำรวจท้องถิ่นรายงานว่า จับกุมคนร้ายได้แล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด ชื่อ และเหตุจูงใจของการก่อนเหตุในครั้งนี้

นับเป็นเหตุกราดยิงสะเทือนขวัญในสหรัฐ ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ในรอบไม่ถึง 1 สัปดาห์ หลังจากที่เกิดเหตุกราดยิงในร้านสปา 3 แห่ง ของชาวเอเชียในเมืองแอตแลนต้า จนมีผู้เสียชิวิต 8 ราย เมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่เกิดเหตุกราดยิงบ่อยครั้ง จากข้อมูลทางสถิติพบว่า ในสหรัฐจะเกิดเหตุ กราดยิงเฉลี่ย 1 คดีในรอบ 64 วัน ซึ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับค่าสถิติเมื่อ 10 ปีก่อนที่พบคดีกราดยิง 1 ครั้งในรอบ 200 วัน

เหตุกราดยิงที่สะเทือนขวัญที่สุดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2017 ในงานเทศกาลดนตรีที่เมืองลาส เวกัส ที่มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุถึง 59 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 400 คน

จึงมีชาวอเมริกันเป็นจำนวนมากเรียกร้องให้สภา คองเกรซพิจารณาร่างกฏหมายการควบคุมการถือครองอาวุธปืนให้มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ แต่ยังไม่เป็นผล เพราะผู้แทนในบางรัฐยังคงมองว่าการครอบครองอาวุธปืนเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลในการการป้องป้องคุ้มครองชีวิต และทรัพย์สินของตนเอง

แต่ด้วยคดีความรุนแรงที่เกิดจากอาวุธปืนที่เพิ่มสูงขึ้น ชาวอเมริกันที่เรียกร้องให้จำกัดสิทธิ์การถือครองอาวุธปืน จึงได้แต่หวังว่าจะสามารถนำเป็นกรณีตัวอย่างในการผลักดันให้เปลี่ยนกฏหมายได้สักวันหนึ่ง


อ้างอิง:

https://www.theguardian.com/us-news/2021/mar/22/boulder-colorado-active-shooter-supermarket

https://www.usatoday.com/story/news/nation/2021/03/22/boulder-shooting-police-report-active-shooter-colorado-grocery-store/6956943002/

https://edition.cnn.com/us/live-news/colorado-king-soopers-shooting/index.html

'จาง จิง' ล่ามฉับพลันในการเจรจาระดับสูงระหว่างระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และจีน ที่ อลาสก้า ประเทศสหรัฐอเมริกา กลายเป็นคนดังทั่วโลกออนไลน์

หลังคลิปแปลถ่ายทอดคำแถลงของ หยาง เจี๋ยฉือ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมาธิการกิจการระหว่างประเทศ คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ความยาว 15 นาที ซึ่งมีภาพนิ่งของเธอเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (18 มี.ค.) มีผู้เข้าชมออนไลน์หลายล้านครั้ง

จางจิง ได้ขโมยซีน การเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งจีนและสหรัฐฯ ในการประชุมสองวัน ก่อนได้ข้อสรุปเมื่อวันศุกร์ (19 มี.ค.) โดยรายงานของสื่อจีนเรียกเธอว่า คือ “ ล่ามที่สวยที่สุดในปฐพี” ชื่อของเธอกลายเป็นหนึ่งในการค้นหาอันดับต้น ๆ บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Weibo วิดีโอที่มีรูปถ่ายของเธอได้รับการดูหลายสิบล้านครั้งทางออนไลน์

จางจิง กลายเป็นไอดอลความนิยมของล่ามภาษาจีน ซึ่งเป็นอาชีพที่อยู่ระดับแนวหน้าของผู้มีศักยภาพในจีน ด้วยต้องใช้ทักษะและไหวพริบประกอบกับความรู้ระดับสูง ซึ่งปกติจะเป็นการทำงานในเบื้องหลังเสมือนไม่ปรากฏตนเจ้าหน้าที่แลกเปลี่ยนวิพากษ์วิจารณ์อย่างตึงเครียด ก่อนจบลงด้วยข้อตกลงที่จะร่วมมือกันเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการแลกเปลี่ยนอื่น ๆ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ทั้งสองประเทศยังคง “ ขัดแย้งกันโดยพื้นฐาน” ในประเด็นต่าง ๆ เช่น ซินเจียง ฮ่องกง ทิเบต ไต้หวันและไซเบอร์สเปซ

ด้านนายหยาง เจี๋ยฉือ โน้มน้าวที่ประชุมให้เห็นความสำเร็จของจีนในการแก้ไขปัญหาความยากจนและการต่อสู้กับโรคระบาดโควิด-19 ในขณะที่สหรัฐฯยังคงต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคนี้

นอกจากนี้เขายังกล่าวหาว่า วอชิงตันใช้อำนาจทางการเงินและการทหารเพื่อบีบประเทศอื่น ๆ และว่านโยบายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐที่ไม่เหมาะสมได้คุกคามอนาคตของการค้าโลก

หยาง ปฏิเสธการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของปักกิ่งในซินเจียง ฮ่องกงและไต้หวัน โดยกล่าวว่าดินแดนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นอธิปไตยหนึ่งเดียวของจีน และเป็นกิจการภายในที่ไม่ควรยกมาคุยในที่ประชุม

เขายังเรียกสหรัฐฯว่าเป็น "แชมป์" ของการโจมตีทางอินเทอร์เน็ตและวิพากษ์วิจารณ์นโยบายภายในประเทศของตน“คนจำนวนมากในสหรัฐอเมริกามีความเชื่อมั่นเพียงเล็กน้อยต่อประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกา” หยาง กล่าวโดยอ้างถึงการสังหารชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาและประชาชนผิวดำ

หยางกล่าวในท้ายคำเปิดการเจรจา หลังจากที่ทั้ง บลิงเคน และเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวนำในเชิงกล่าวหาจีนมาก่อน ว่า “เพราะท่าน (บลิงเคน) และ คุณซัลลิแวนได้กล่าวเปิดงานที่แตกต่างกันออกไป ผมก็เลยต้องกล่าวฯ เช่นกัน”

ผู้เข้าร่วมการประชุมท่านหนึ่ง กล่าวว่าคำกล่าวของ หยาง ที่ยาวต่อเนื่องนับสิบนาที ราว 2,000 คำ นับเป็น "บททดสอบสำหรับล่าม" ด้านบลิงเคน ก็เลยกล่าวว่า “ เราจะต้องขึ้นเงินเดือนให้นักแปลแล้ว” สร้างเสียงหัวเราะผ่อนคลายในสถานการณ์ตึงเครียด

ตามรายงานของสื่อจีน จาง เริ่มทำงานเป็นล่ามในปี 2013 งานแรกคือการประชุมสองสภาประจำปีในปักกิ่ง เธอเป็นที่รู้จักในเรื่องท่าทางประกอบและทักษะการแปลที่ดี จาง เป็นชาวเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนภาษาต่างประเทศหางโจวในปี 2003 ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยการต่างประเทศจีนซึ่งเธอเรียนวิชาเอกภาษาอังกฤษ เธอได้รับคัดเลือกจากกระทรวงการต่างประเทศในปี 2007

สื่อท้องถิ่นออนไลน์ China Women News โพสต์ในบัญชีโซเชียลมีเดียว่า จาง เป็น “ภาพลักษณ์ของประเทศจีน” และเป็น“ ตัวแทนของนักแปลที่มีความสามารถและเป็นมืออาชีพมากที่สุดของกระทรวงต่างประเทศของจีน ที่สื่อสารไปทั่วโลก”

โกลบอลไทม์ส กล่าวว่า นี่คือ "ความสง่างามของนักการทูตจีนในยุคใหม่"

สื่อท้องถิ่นออนไลน์ China Women News โพสต์ในบัญชีโซเชียลมีเดียว่า จาง เป็น “ภาพลักษณ์ของประเทศจีน” และเป็น“ ตัวแทนของนักแปลที่มีความสามารถและเป็นมืออาชีพมากที่สุดของกระทรวงต่างประเทศของจีน ที่สื่อสารไปทั่วโลก”

ความหวังใหม่ของโลก 'หมอมนูญ' เผยยารักษาโควิดรูปแบบใหม่ จ่ายยาให้กลับไปกินบ้านได้

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC' โดยระบุข้อความว่า…

นอกจากวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว โลกกำลังฝากความหวังกับยารับประทานตัวใหม่ชื่อ Molnupiravir ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นยาที่คิดค้นมารักษาโรคไข้หวัดใหญ่ ยาตัวนี้กำลังอยู่ในการทดสอบทางคลินิกในคนระยะที่ 2 คาดว่าจะเข้าการทดสอบระยะะที่ 3 ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้

การทดสอบพบว่ายาตัวใหม่นี้ สามารถลดการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสโควิดได้ดี ลดจำนวนเชื้อไวรัสในคนได้รวดเร็ว ลดความรุนแรงของโรค ช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด และมีผลข้างเคียงต่ำ ยาตัวนี้อาจนำมารักษาเชื้อไวรัสโควิด-19 ทุกชนิดทั้งชนิดกลายพันธุ์และไม่กลายพันธุ์

ในการทดลองในสัตว์ เมื่อให้ยาตัวนี้กับสัตว์ทดลองที่ติดเชื้อไวรัสโควิด สามารถป้องกันสัตว์ทดลองตัวอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ชิดไม่รับเชื้อไวรัสโควิด ลักษณะการใช้ยาใหม่ตัวนี้ถ้าผ่านการรับรอง จะเหมือนกับยา Oseltamivir (Tamiflu) และ Baloxavir (Xofluza) ที่เป็นยากินใช้ทั้งรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ และให้กินเพื่อป้องกันการติดเชื้อในกรณีที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ โดยแพทย์จ่ายยาให้ไปกินที่บ้านแบบคนไข้นอก ไม่ต้องรับเข้านอนรักษาในโรงพยาบาล

นอกจากนี้มีการศึกษาในสัตว์ทดลองเมื่อให้ยา Molnupiravir ร่วมกับยา Favipiravir ซึ่งก็เป็นยาที่คิดค้นมารักษาไข้หวัดใหญ่เหมือนกัน ผลการรักษาโรคโควิด-19 ในสัตว์ทดลองยิ่งดีขึ้นกว่าการให้ยาตัวใดตัวหนึ่ง ยา Favipiravir มีในประเทศไทยใช้รักษาโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่แล้ว


ที่มา: https://www.facebook.com/604030819763686/posts/1900214223478666/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top