Saturday, 7 June 2025
อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ (ยีนส์)

‘กมลา แฮร์ริส’ ขึ้นแท่นเจ้าแม่มีม 2024 หลังเปลี่ยน ‘มุกแป้ก’ กลายเป็น ‘ปัง’ พร้อมกวาดคะแนนเสียงชาว Gen Z ที่แม้แต่ ‘ไบเดน-ทรัมป์’ ก็ทำไม่ได้

‘กมลา แฮร์ริส’ กลายเป็นจุดสนใจของสื่ออเมริกันทันทีที่ ‘โจ ไบเดน’ ยอมถอนตัวออกจากสนามเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ เพื่อดัน กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีคู่หูของเขาขึ้นชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ในสมัยหน้า 

แม้ แฮร์ริส อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดของพรรคเดโมแครต แต่เธอมีฐานเสียงสนับสนุนอย่างหนาแน่น โดยเฉพาะ ‘กลุ่มสตรี’ และ ‘คนผิวสี’ ที่สร้างปรากฏการณ์ยอดบริจาค 81 ล้านเหรียญเข้าพรรคได้ภายใน 24 ชั่วโมง และยังทำให้คนในพรรคที่เคยเสียงแตกกลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อีกครั้ง ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน คือ เอาชนะ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ให้ได้ 

และล่าสุด…ดูเหมือนว่าความนิยมของแฮร์ริส จะพุ่งสูงยิ่งขึ้นในกลุ่มวัยรุ่น Gen Z ทั้ง ๆ ที่เธอยังไม่ทันได้เริ่มออกหาเสียงในฐานะแคนดิเดตเบอร์ 1 ของพรรคอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ 

เมื่อคลิปบางช่วงที่ตัดมาจากสุนทรพจน์ของเธอ ที่เคยกล่าวไว้ที่ทำเนียบขาวตั้งแต่ปี 2023 กลายเป็นไวรัลไปทั่ว โดยเธอได้ยกคำพูดของแม่มาเล่าให้ฟังว่า "ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ หนุ่ม-สาวทั้งหลาย พวกเธอคิดว่าเพิ่งตกลงมาจากต้นมะพร้าวหรือไง"

และทำให้มุกต้นมะพร้าวที่เคยแป้กของเธอ กลายเป็นมุกปังไปทั่วโลกออนไลน์ ที่มีทั้งชาว X ชาว Tiktok ออกมาปล่อยมุกต้นมะพร้าวกันอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่า ‘ต้นมะพร้าว’ ของ กมลา แฮร์ริส หมายถึงอะไร

ยิ่งพรรคคู่แข่งอย่าง ‘รีพับลิกัน’ พยายามโจมตีแฮร์ริส เรื่องมุกตลกฝืด ๆ ของเธอ ก็ยิ่งทำให้กระแสคลิปของเธอดังยิ่งขึ้นไปอีก จนสื่อมวลชนยกตำแหน่ง ‘เจ้าแม่มีม 2024’ ให้แก่ กมลา แฮร์ริส โดยพร้อมเพรียง

ข้อดีของกระแสมีมมุกแป้กของแฮร์ริสนั้น ทำให้เธอสามารถจับฐานเสียงกลุ่ม Gen Z ที่เป็น Young Voter ได้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งเป็นกลุ่มฐานเสียงที่ทั้งไบเดน และ ทรัมป์ เจาะไม่ถึง 

จากความเห็นบางส่วนของกลุ่ม Gen Z ที่ชื่นชอบ กมลา แฮร์ริส มองว่า เธอเป็นคนเข้าถึงง่าย มีความเป็นปุถุชนสูง ไม่ถือตัวที่จะปล่อยมุกตลก 5 บาท 10 บาท แม้ส่วนใหญ่จะเป็นมุกฝืด ๆ เพื่อเข้าถึงผู้ฟังทุกกลุ่ม ซึ่งต่างจากผู้นำคนอื่น ๆ ที่มักกล่าวสุนทรพจน์ที่ร่างขึ้นอย่างสวยหรู แต่ห่างไกลผู้ฟัง

และตอนนี้ คนรุ่นใหม่มีเกณฑ์ในการเลือกผู้นำของพวกเขาที่แตกต่างจากคนรุ่นเก่า ๆ อย่างชัดเจน เน้นกระแสออร่าความเป็นเซเลป คนดังก่อน ค่อยพิจารณานโยบายทีหลัง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมาชาวอเมริกันไม่ได้เห็นความแตกต่างของการทำหน้าที่รัฐบาลของพรรคการเมืองมากนัก เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงขอเลือกคนที่ถูกใจตัวเองดีกว่า 

ไม่แน่ว่า…การเลือกตั้งผู้นำครั้งนี้ของสหรัฐ อาจตัดสินกันที่กระแสมีมก็เป็นได้ 

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

'โพลมะกัน' ชี้!! 'แฮร์ริส' ยังเป็นรอง 'ทรัมป์' อยู่หลายขุม เพราะถูกมองเป็นเพียงภาพเงาสะท้อนไบเดน-ไร้บารมี

ข่าวใหญ่ที่สุดของวันนี้ หนีไม่พ้นการยอมสละตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครต ในการชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ 2024 ของ 'โจ ไบเดน' และขอส่งไม้ต่อให้กับ 'กมลา แฮร์ริส' รองประธานาธิบดีคู่หูของเขา ขึ้นไปแข่งขันกับ 'โดนัลด์ ทรัมป์' แทน  

ถึงจะเป็นข่าวดังทั่วโลก แต่ไม่ได้สร้างความประหลาดใจเท่าใดนัก หากได้ติดตามข่าวการเดินสายหาเสียง และปฏิบัติภารกิจในฐานะผู้นำสหรัฐฯ ของไบเดน ในปีที่ผ่านมาก็สามารถจับสัญญาณถึงความร่วงโรยสังขารของผู้นำวัย 81 ปีได้ และจากผลงานการดีเบตระหว่างเขา และ โดนัลด์ ทรัมป์ ล่าสุดที่ผ่านมา เป็นการตอกตะปูย้ำอย่างชัดเจนเป็นประจักษ์ว่า ไบเดนควรถอยให้คนรุ่นใหม่จะดีกว่า

โดย โจ ไบเดน ประกาศสนับสนุน กมลา แฮร์ริส ให้ขึ้นมาทำหน้าที่ตัวแทนพรรคเดโมแครตแทนที่เขาอย่างสุดกำลัง เพื่อหวังที่จะดึงคะแนนเสียงทั้งกลุ่มสตรี กลุ่มคนผิวสี กลุ่มชาวเอเชีย หรือแม้แต่กลุ่มผู้สนับสนุนไบเดนเดิม ด้วยการชูประเด็นที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ด้วยการเลือกประธานาธิบดีหญิงคนแรก และ ประธานาธิบดีผิวสีคนที่ 2 ให้กับสหรัฐฯ

แม้จะได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีในตำแหน่งคนปัจจุบัน แต่ กมลา แฮร์ริส ก็ยังไม่ถือว่าเป็นตัวแทนพรรคอย่างเป็นทางการ จนกว่าจะมีการลงมติโดยผู้แทนในการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครตในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้เสียก่อน ที่ไม่รู้ว่าจะพลิกโผหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ในวันนี้คือ โพลมาแล้ว 

โดยสำนักโพล Decision Desk HQ (DDHQ) ร่วมกับสำนักข่าวสายการเมือง The Hill ได้สำรวจกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศ ว่าระหว่าง กมลา แฮร์ริส และ โดนัลด์ ทรัมป์ ใครนำ? ใครตาม? อย่างไร?

จากผลโพลจาก DDHQ ชี้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ยังนำ กมลา แฮร์ริส ในสัดส่วน 47% ต่อ 45%  ซึ่งแทบไม่ต่างจากผลโพลล่าสุดระหว่างทรัมป์ และ ไบเดน เลย ที่ทรัมป์ ยังนำ ไบเดน ด้วยคะแนน 46% ต่อ 43.5%

นี่เป็นคะแนนสูงสุดที่ กมลา แฮร์ริส ทำได้ในเวลานี้ ที่ยังไม่ประกาศว่าใครจะมาเป็นคู่หูของเธอในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ แต่จากผลสำรวจล่าสุดพบว่า ถ้า โรเบิร์ต เคนเนดี จูเนียร์ กระโดดเข้าร่วมการแข่งขันอีกคนในฐานะผู้สมัครอิสระ จะยิ่งฉุดคะแนนของ กมลา แฮริส และทรัมป์ มีโอกาสนำผู้สมัครของเดโมแครตสูงถึง 6% เลยทีเดียว 

ส่วนโพลด้านคะแนนความนิยมส่วนตัวของกมลา แฮร์ริส ก็ดูยังน่าเป็นห่วง 

จากโพลสำรวจกว่า 102 สำนักพบว่าแฮร์ริสมีคะแนนความนิยมอยู่ที่  37.7% แต่คะแนนความไม่นิยมในตัวเธอกลับสูงกว่าเกือบเท่าตัวที่ 55.5% 

สก็อต แทรนเตอร์ ผู้อำนวยการสำนักโพล DDHQ กล่าวว่า ความนิยมในตัวแฮร์ริสนั้นเป็นเพียงภาพเงาสะท้อนตัวตนของไบเดน ซึ่งไม่เป็นผลดีกับเธอเท่าไหร่ เพราะ โจ ไบเดน ออกจากสนามแข่งด้วยภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก และ กมลา แฮร์ริส ก็ยังไม่มีบารมีเทียบเท่าไบเดน ซึ่งสิ่งที่ผู้ลงคะแนนเสียงอยากจะเห็นคือ เธอมีอะไรสดใหม่มานำเสนอให้กับชาวอเมริกันบ้าง

แต่ก็มีผลสำรวจของบางสำนักที่สนับสนุน กมลา แฮร์ริส ด้วยเช่นกัน อาทิ โพลของ Economist/YouGov ที่ชี้ว่า 8 ใน 10 ของชาวเดโมแครตสนับสนุน แฮร์ริส และมีโอกาสที่จะเอาชนะทรัมป์ได้ ในขณะที่โพลจากสำนักข่าว CBS และ CNN เผยว่า ทั้งไบเดน และ แฮริส ล้วนมีคะแนนตามหลังทรัมป์ แต่ แฮร์ริส มีส่วนต่างของคะแนนที่ตามหลังทรัมป์น้อยกว่าไบเดน และยังมีโอกาสได้เงินสนับสนุนหาเสียงมากกว่าผู้สมัครคนอื่น ๆ ของพรรค 

แต่เมื่อมองมาที่ฟากฝั่งของพรรครีพับลิกัน ต่างมองว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ยังมีภาษีเหนือกว่า กมลา แฮร์ริส อยู่มาก และสามารถเอาชนะได้ง่ายกว่าแข่งกับไบเดนเสียอีก  

จุดเสียเปรียบของแฮร์ริส คือ เธอต้องแข่งกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่ใช่คนเดิมเมื่อ 4 หรือ 8 ปีก่อน แต่เป็นนักการเมืองที่ผ่านสนามรบมาอย่างหนักหน่วงทั้งนิติสงคราม และ การลอบสังหารอย่างจริงจังมาแล้ว

นอกจากนี้ เธอยังต้องต่อสู้กับค่านิยมการเหยียดเพศ เหยียดเชื้อชาติ และสีผิว ที่ยังฝังรากลึกในสังคมอเมริกัน ในขณะที่เธอมีเวลาเหลือเพียง 4 เดือนสำหรับแคมเปญหาเสียงที่ต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ทั้งหมด 

ดังนั้น แฮร์ริส 2024 ไม่ใช่งานง่ายจริง ๆ 

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘ครูเกาหลีใต้’ รับศึกหนัก ‘เด็กก้าวร้าว-ผู้ปกครองกดดันรุนแรง’ ส่งผล ‘ยอมลาออก-ฆ่าตัวตายพุ่ง-คนรุ่นใหม่เมินอาชีพครู’

อาชีพครูในบ้านเรามักถูกเปรียบเทียบดั่ง ‘เรือจ้าง’ ที่ช่วยประสิทธิ์ประสาทวิชาพาลูกศิษย์ไปจนถึงฝั่ง แม้คำเปรียบเทียบจะฟังดูต้อยต่ำไปนิด แต่ก็คือว่า ‘ครู’ เป็นหนึ่งในอาชีพที่ได้รับความเคารพจากผู้คนในสังคมไทยแม้ในปัจจุบัน

แต่ใน ‘เกาหลีใต้’ ค่านิยมที่สังคมมองอาชีพครู กลับเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จนตอนนี้อาจอยู่ในสถานะที่เรียกได้ว่า ‘ต้อยต่ำยิ่งกว่าเรือจ้าง’ เสียอีก 

และล่าสุดเมื่อราวเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ก็ปรากฏคลิปที่กลายเป็นกระแสไวรัลในโลกโซเชียลของเกาหลีใต้ เผยแพร่โดยกลุ่มสหภาพครูชอนบุก เมื่อมีเด็กนักเรียนชายชั้นประถม 3 คนหนึ่ง แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ตะโกนด่าครูชายท่านหนึ่งด้วยคำพูดที่ดูถูกและหยาบคาย ที่ภายหลังทราบว่าครูในคลิปเป็นถึงระดับรองผู้อำนวยการของโรงเรียน

และช็อกยิ่งกว่านั้น คือเด็กชายถึงขั้น ‘ตบหน้าครู’ และใช้กระเป๋าเป้ฟาดใส่ครูหลายครั้ง โดยที่ครูได้แต่ยืนนิ่งเฉย เอาแขนไขว้หลัง และไม่ตอบโต้ใด ๆ เหตุเกิดเพียงเพราะว่าครูชายพยายามห้ามนักเรียนไม่ให้ออกจากโรงเรียนก่อนเวลาโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่สุดท้ายก็ห้ามไม่ได้ เด็กก็เดินผ่านครูออกจากโรงเรียนไปอยู่ดี

หลังเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ก็เกิดกระแสวิพากษ์ วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ซึ่งส่วนใหญ่แสดงความเห็นในเชิงตำหนิครู ว่าทำไมไม่จับตัวเด็กไว้? ทำไมดูแลเด็กให้อยู่ในโรงเรียนไม่ได้? และทำไมถึงจัดการพฤติกรรมก้าวร้าวของนักเรียนไม่ได้?

ด้าน คิม ดง-ซุก ผู้อำนวยการฝ่ายสิทธิครูของสมาพันธ์ครูแห่งเกาหลี แสดงความเห็นว่า การตอบสนองต่อพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กเกาหลีใต้ในลักษณะนี้ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ส่วนผู้ที่ออกมาวิจารณ์ตำหนิครูในคลิป แสดงว่าพวกเขาไม่ได้เข้าใจเลยว่าทุกวันนี้ครูเกาหลีใต้ต้องเจอกับอะไรบ้าง 

นายคิมกล่าวว่า "การที่ครูต้องเอามือไขว้หลัง แล้วปล่อยให้ลูกศิษย์ตบหน้า โดยไม่ตอบโต้ หรือดุด่า ทำโทษเด็ก เพราะถ้าเมื่อใดก็ตามที่เด็กมีรอยแผลบนร่างกาย ครูจะถูกร้องเรียนในความผิดฐานทำร้ายร่างกายเด็ก และหลายกรณีดังกล่าวมักต้องไปจบที่ศาล ซึ่งไม่มีครูคนไหนอยากเสี่ยงถูกดำเนินคดี เพราะบรรทัดฐานสังคม และกฎหมาย มักปกป้องเด็กก่อนเสมอ" 

ด้วยสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ครูเกาหลีใต้จำต้องอดทนต่อพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็ก ๆ ที่นับวันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

คิม ดง-ซุก ยังกล่าวอีกว่า "นักเรียนสมัยนี้จำนวนไม่น้อยแสดงพฤติกรรมไร้ความเคารพยำเกรงครู พวกเขาจะปิดประตูเสียงดังใส่ หรือแสดงท่าทางลามกใส่ครูเมื่อพวกเขาไม่พอใจ ถ้าครูทุกคนต้องรายงานความประพฤติของนักเรียนในเรื่องเหล่านี้ คงส่งเรื่องกันไม่หวาด ไม่ไหว ที่ส่วนมากมักไม่มีใครสนใจ ครูเกาหลีจึงทำได้แต่เพียงอดกลั้น และแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นต่อพฤติกรรมเลวร้ายเหล่านั้น”

ดังนั้น เหตุการณ์ทำร้ายร่างกายครู ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ จึงเกิดขึ้นบ่อยราวเป็นเรื่องปกติในสังคมโรงเรียนเกาหลีใต้ อีกทั้งยังถูกกดดันจากผู้ปกครอง ที่คาดหวังการใส่ใจของครูต่อบุตรหลานของพวกเขาในระดับสูง

และหากย้อนไปเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 เคยมีข่าวใหญ่ในแวดวงการศึกษา เมื่อครูสาววัยเพียง 26 ปี ของโรงเรียนประถม Seoi Elementary School ในย่านกังนัม ของกรุงโซลฆ่าตัวตาย โดยทิ้งสมุดบันทึก และข้อความไว้มากมายเป็นหลักฐานว่าเธอถูกผู้ปกครองนักเรียนทำร้ายจิตใจอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายเดือน เกินกว่าใจจะรับไหว 

จากข้อมูลของรัฐบาลเกาหลีใต้ พบว่าในช่วงปี 2561 - 2566 มีครูโรงเรียนรัฐกว่า 100 คนฆ่าตัวตาย ส่วนใหญ่เป็นครูในระดับประถมศึกษา ซึ่งการฆ่าตัวตายของครูสาววัย 26 ปีคนล่าสุด ก่อให้เกิดการประท้วงจากนักการศึกษาทั่วประเทศต่อเนื่องยาวนานถึง 9 สัปดาห์เพื่อเรียกร้องให้มีมาตรการปกป้องสิทธิของครูในโรงเรียนบ้าง

จนนำไปสู่การแก้กฎหมายที่ครูจะได้รับการคุ้มครองสิทธิ์กรณีถูกร้องเรียนเรื่องการทำร้ายร่างกายเด็กจนกว่าจะมีการสอบหลักฐาน และเข้ากระบวนการสืบสวนอย่างรอบคอบ และให้สิทธิ์ครูนำนักเรียนที่มีพฤติกรรมก่อกวนออกจากชั้นเรียนได้ นอกจากนี้ยังระบุให้มีการบันทึกการสนทนาเมื่อมีการประชุมระหว่างครู และผู้ปกครอง

กรณีที่เกิดการร้องเรียน และเป็นคดีความ ผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องเป็นผู้ดูแล ที่จะมีงบสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ โดยผู้ปกครองจะไม่ได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของครู อาทิ ที่อยู่ หรือเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวอีกต่อไป 

แม้ว่าคำร้องเรียนของผู้ปกครองต่อครูในโรงเรียนจะลดลง หลังรัฐบาลออกกฎหมายใหม่ได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงค่านิยมของครอบครัวเกาหลีที่มีต่อครูในโรงเรียนได้ 

จุง แจ-ฮุน ศาสตราจารย์ด้านสวัสดิการสังคมจากมหาวิทยาลัยสตรีโซล กล่าวว่า สังคมเกาหลีใต้มีทัศนคติที่มีครอบครัวเป็นศูนย์กลางอย่างเข้มข้นมาก ซึ่งจะให้ความสำคัญกับครอบครัวของตนเป็นหลักเท่านั้น อีกทั้งอัตราเด็กเกิดใหม่ในเกาหลีใต้ลดลงอย่างมาก ทำให้พ่อแม่ชาวเกาหลีใต้ยอมลงทุนมหาศาลกับลูก ๆ และจะไม่ยอมทนหากลูกของตนถูกกระทำ จนนำไปสู่การปกป้องลูกมากเกินไป โดยไม่สนใจว่าจะละเมิดสิทธิ์ครูหรือไม่

ทุกวันนี้ จะพบเห็นพ่อแม่ชาวเกาหลีใต้ทะนุถนอมลูกมาก และพร้อมจะบุกถึงโรงเรียน แม้มีปัญหาเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ความเกรี้ยวกราดของพ่อแม่ จึงปลูกฝังความก้าวร้าวให้แก่ลูก ๆ ที่มองครูเป็นเพียงลูกจ้างของพ่อแม่ที่มีหน้าที่ให้บริการด้านการศึกษา ไม่ใช่ผู้ให้การอบรมสั่งสอนวิชาความรู้ดั่งค่านิยมในสมัยอดีต

เมื่อความเคารพสูญหายไป การต่อต้านจึงรุนแรงขึ้น และครูกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำโดยไม่สามารถร้องเรียนกับใครได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่มีครูเกาหลีใต้ถูกกดดันจนลาออก หรือฆ่าตัวตายเป็นจำนวนมาก หนุ่ม-สาว รุ่นใหม่สนใจอาชีพครูน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะคงไม่มีใครอยากทำงานที่ถูกมองว่าต้อยต่ำยิ่งกว่าเรือจ้างอีกแล้ว

ลือสะพัด!! 'ไบเดน' เป็นพาร์กินสัน ต้องเรียกหมอเฉพาะมาตรวจถี่ ด้านทำเนียบขาวยัน แค่ตรวจร่างกายตามปกติ ผู้นำวัย 81 ยังฟิตปั๋ง

กระแสความหวั่นวิตกเกี่ยวกับสภาพร่างกายของ โจ ไบเดน วัย 81 ปี ประธานาธิบดีในตำแหน่งที่มีอายุมากที่สุดในสหรัฐฯ และยังประกาศว่าพร้อมรับตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่ 2 ยังคงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง 

ล่าสุด สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า โจ ไบเดน อาจมีอาการป่วยบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผยได้ และพบข้อมูลว่า ทำเนียบขาวได้เชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพาร์กินสันเข้าทำเนียบ อย่างน้อย 8 ครั้ง ตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว จนถึงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา 

ข้อมูลนี้เปิดเผยโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่ได้ตรวจสอบบันทึกผู้มาเยือนทำเนียบขาว และพบชื่อของ ดร.เควิน แคนนาร์ด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและความผิดปกติของการเคลื่อนไหวจากศูนย์การแพทย์ทหารแห่งชาติวอลเตอร์ รีด ที่เข้าทำเนียบขาวถึง 8 ครั้ง ในช่วงเดือนสิงหาคม 2023 - มีนาคม 2024 ซึ่ง ดร.เควิน ทำงานวิจัยเกี่ยวกับการรักษาโรคพาร์กินสันระยะเริ่มต้นที่ศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ 

นอกจากนี้ แหล่งข่าวยังยืนยันด้วยว่า มีการนัดหารือกันระหว่าง ดร.เควิน แคนนาร์ด และ ดร.เควิน โอ'คอร์เนอร์ แพทย์ประจำตัวของโจ ไบเดน ในช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมาในทำเนียบขาวด้วย โดยไม่มีการอธิบายสาเหตุที่ทำให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพาร์กินสันต้องมาเยือนทำเนียบขาวถึง 8 รอบในช่วงเวลาไม่ถึง 1 ปี ส่งผลให้ข่าวลือเรื่องสภาพร่างกายที่ถดถอยของไบเดนโหมกระพือรุนแรงยิ่งขึ้น

คารีน ฌอง-ปิแอร์ โฆษกทำเนียบขาวได้ออกมากล่าวยืนยันในห้องประชุมสื่อมวลชนเมื่อวันจันทร์ (8 กรกฎาคม 2024) ที่ผ่านมาว่า ประธานาธิบดีไม่ได้เข้ารับการตรวจหาอาการพาร์กินสัน หรือกำลังได้รับยารักษาอาการดังกล่าวทั้งสิ้น 

แต่เมื่อนักข่าวได้จี้ถามถึงประวัติการตรวจสุขภาพร่างกายประจำปีของ โจ ไบเดน ซึ่งนอกเหนือจากการตรวจสุขภาพทั่วไป ยังพบว่าไบเดน ได้นัดพบกับผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยามาแล้วถึง 3 ครั้ง โดยด้านโฆษกทำเนียบขาวยอมรับว่า เป็นเรื่องจริง ว่าทุกครั้งที่มีโปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปี ต้องเข้าพบแพทย์ด้านประสาทวิทยาด้วย แต่ไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ประวัติด้านสุขภาพของไบเดน ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคล และมีเหตุผลด้านความมั่นคงด้วย จึงไม่สามารถเปิดเผยได้ และขอร้องสื่อมวลชน อย่าโยงการมาเยือนทำเนียบขาวของ ดร.เควิน แคนนาร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพาร์กินสัน กับประวัติการตรวจร่างกายของประธานาธิบดี เนื่องจากในแต่ละปีก็มีบุคลากรจากศูนย์การแพทย์ทหารเข้า-ออก ทำเนียบขาวนับพันคนในแต่ละปี ที่ไม่ได้เกี่ยวกับภารกิจด้านการแพทย์ 

ด้าน ดร.เควิน โอ'คอร์เนอร์ แพทย์ประจำตัวผู้นำสหรัฐฯ ออกจดหมายยืนยันว่า โจ ไบเดน ไม่ได้พบนักประสาทวิทยาเป็นกรณีพิเศษที่นอกเหนือจากโปรแกรมตรวจร่างกายประจำปี และจากรายงานสุขภาพล่าสุดของไบเดน ของ ดร.โอ'คอนเนอร์ ระบุว่าประธานาธิบดีได้รับการตรวจคัดกรองอาการทางระบบประสาทหลายอย่าง รวมถึงโรคพาร์กินสันด้วย ซึ่งมีผลออกมาเป็นลบ ที่ยืนยันได้ว่า โจ ไบเดน มีสุขภาพร่างกายที่พร้อมสำหรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการปิดข่าวจากเจ้ากรมข่าวลือ โจ ไบเดน ก็ได้ไปออกรายการ 'Morning Joe' ของสถานี MSNBC เมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา เพื่อยืนยันว่าเขาจะไม่ไปไหนทั้งนั้น และมั่นใจว่า ตัวเขานั้นเป็นผู้เข้าแข่งขันที่ดีที่สุดของพรรคในการต่อสู้กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้ง 2024 ที่จะถึงนี้ 

แม้เจ้าตัวจะยอมรับว่า ผลงานบนเวทีดีเบตล่าสุดที่ผ่านมา อาจไม่เข้าตาผู้บริหารระดับสูงภายในพรรค หรือ นายทุนผู้บริจาครายใหญ่ แต่ โจ ไบเดน ก็ยังประกาศกร้าวว่า "ผมไม่สนใจสิ่งที่พวกเศรษฐีคิดหรอกนะครับ ถึงเงินสนับสนุนจะสำคัญ แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่ผมตัดสินใจลงแข่งขันในครั้งนี้"

ก็ถือเป็นคำยืนยันจากปู่ไบเดนว่า จะสู้ต่อ เพื่ออยู่ต่อ แม้จะมีแรงกดดันภายในพรรคให้ปู่ถอนตัวเพราะกลัวสังขารไปต่อไม่ไหวก็ตาม 

'มาเลเซีย' ปิ๊งไอเดีย!! หยุดร้าง เมืองแสนล้าน 'Forest Garden'  โปรโมตเป็นทำเลทอง ดึงกองถ่ายระดับโลก 'ถ่ายหนัง-ทำสารคดี'

หลังจากที่รัฐบาลมาเลเซียต้องปวดหัวกับโครงการ Forest Garden เมืองนิรมิตมูลค่ากว่าแสนล้านดอลลาร์ ในรัฐยะโฮร์ ซึ่งหมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจใหม่ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอาเซียน แต่ตอนนี้กลับมีสภาพไม่ต่างจาก Ghost Town หรือเมืองร้าง จากผลพวงพิษเศรษฐกิจหลัง Covid-19 ที่ยังไม่ฟื้นกลับคืน

จากโครงการก่อสร้างยักษ์ใหญ่ที่ร่วมทุนระหว่าง Country Garden บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีน และ Esplanade 88 Danga Bay ของมาเลเซีย สร้างเมืองแห่งโลกอนาคต อันประกอบด้วยที่พักอาศัยหรู, โรงแรม, ห้างสรรพสินค้า, สนามกีฬา, สวนสนุก ฯลฯ เพื่อรองรับผู้พักอาศัยถึง 7 แสนคน

แต่ปัจจุบันกลับมาผู้อาศัยจริงเพียงแค่หลักพัน จนทำให้โครงการใหญ่กลายสภาพเป็นเมืองร้าง แม้รัฐบาลมาเลเซียจะพยายามกระตุ้นให้มีการจัดงานอีเวนต์ เรียกนักท่องเที่ยวระยะสั้น หรือ วางแผนใช้พื้นที่เป็นเขตการเงินพิเศษสำหรับนักลงทุนต่างชาติ แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์เมืองผี ให้กลายเป็นเมืองมนุษย์ที่มีชีวิตชีวาได้

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด มาเลเซียเริ่มหาทางใช้ประโยชน์จากพื้นที่ Forest City ได้บ้างแล้ว เมื่อ ทีมงานสร้างซีรีส์จาก Netflix ได้เลือก Forest City เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำรายการเรียลลิตี้  'The Mole' ซีซันล่าสุด ที่ยกกองมาถ่ายทำถึงในมาเลเซีย 

สำหรับ The Mole เป็นรายการประเภท Survivor Game แข่งขันตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เพื่อชิงเงินรางวัลหลายแสนดอลลาร์ในสัปดาห์สุดท้าย เป็นหนึ่งในรายการเรียลลิตี้ที่ประสบความสำเร็จ และจะเปลี่ยนสถานที่ถ่ายทำใหม่ทุกๆ ซีซัน แต่ซีซันล่าสุดนี้เป็นครั้งแรกที่ทางทีมงานเลือกใช้สถานที่ถ่ายทำในประเทศแถบเอเชีย

โดยได้เลือกเมืองร้าง Forest City เป็นหนึ่งใน Location สำหรับปฏิบัติภารกิจด้วย สร้างความฮือฮาให้ผู้ชมได้ไม่น้อย และนั่นก็ทำให้รัฐบาลมาเลเซียเกิดไอเดียที่จะพลิกวิกฤติ ให้เป็นโอกาส ด้วยการโปรโมต Forest City ให้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ หรือ ซีรีส์ สำหรับกองถ่ายระดับนานาชาติ โดยใช้ประโยชน์จากพื้นที่กว้างขวาง วิวริมชายฝั่งสวยงาม สิ่งอำนวยความสะดวกครบ แต่ยังมีผู้อาศัยเบาบาง จึงง่ายต่อการควบคุมการถ่ายทำ

นอกเหนือจากรายการเรียลลิตี้ The Mole ของ Netflix ที่เข้ามาถ่ายทำใน Forest City แล้ว ล่าสุดยังมีกองถ่ายจากเกาหลีใต้ ได้เข้ามาถ่ายรายการเรียลลิตี้ ด้านการท่องเที่ยว 'Battle Trip' นอกจากนี้ ยังมีบริษัท ProSiebenTV กองถ่ายจากเยอรมนีเข้ามาถ่ายทำสารคดีสั้นเกี่ยวกับ Forest City และ กองถ่ายจากออสเตรีย ที่ได้มาติดต่อขอถ่ายทำสารคดีเรื่อง 'Hungry: Tipping the Scales' ในเขตเมืองร้างแห่งนี้ด้วย

นับเป็นไอเดียที่ดีในการเปลี่ยนจุดอ่อน ให้เป็นจุดขาย ใช้พื้นที่รกร้างให้เกิดประโยชน์บ้าง แม้ไม่อาจคาดหวังว่ารายได้จากการเปิดให้ใช้สถานที่สำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ว่าจะสามารถถอนทุนกว่าแสนล้านเหรียญที่ถมลงในโครงการนี้ได้ แต่ก็พอกระตุ้นเศรษฐกิจ และความคึกคักให้กับเมืองได้บ้าง 

แต่ก็ไม่แน่ว่า อนาคตอาจมีซีรีส์ที่ถ่ายทำใน Forest City แล้วเกิดประสบความสำเร็จเป็นกระแสฮิตเปรี้ยงขึ้นมา อาจทำให้มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาขอเช็คอินตามรอยบ้าง ที่จะเปลี่ยนเมืองร้างให้กลายเป็นเมืองที่ Instagrammable ก็เป็นไปได้ 

‘ออมเงินล้างแค้น’ เทรนด์ฮิตวัยรุ่นจีน งดฟุ่มเฟือย-ใช้จ่ายแค่จำเป็น แลกกับได้เห็นตัวเลขเงินเก็บที่เพิ่มขึ้น ในยามที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน

ในขณะที่วัยรุ่นยุค Gen Z ทั่วโลก มีพฤติกรรมใช้จ่ายเงินสูงขึ้น และเริ่มเป็นหนี้กันตั้งแต่อายุน้อย ๆ แต่ที่จีนกลับมีเทรนด์ที่สวนกระแสไม่แคร์โลก เมื่อวัยรุ่นจีนแข่งขันกันเก็บออมเงินกันมากขึ้น และไม่ใช่การเก็บออมเงินแบบธรรมดาทั่วไป แต่เป็นการเก็บเงินแบบเอาเป็นเอาตาย เก็บโหด เหมือนโกรธใครมา

กระแสการเก็บเงินแบบโหด เกิดขึ้นในโลกออนไลน์จีนเมื่อไม่นานมานี้ ที่วัยรุ่นจีนเรียกว่า 报复性存钱 (เป้าฟู่ซิ่งฉุนเฉียน) หรือการเก็บเงินล้างแค้น ด้วยการตั้งเป้าหมายการออมเงินต่อเดือนในระดับสูงสุด และใช้จ่ายเงินเพื่อยังชีพเท่าที่จำเป็นให้น้อยที่สุด แล้วจึงเอารายละเอียดการใช้จ่ายของตนมาแชร์ในโลกออนไลน์ เพื่อแข่งกันว่าใครสามารถเหลือเงินเก็บได้มากกว่ากัน 

แต่นอกจากจะแข่งขันกันแล้ว บรรดานักเก็บเงินล้างแค้นยังมีการสร้างแรงจูงใจด้วยการแบ่งปันเทคนิคการประหยัดเงินในชีวิตประจำวันให้เพื่อน ๆ ในโซเชียลอีกด้วย อาทิ การเลือกรับประทานอาหารในโรงอาหารชุมชน ซึ่งเมื่อก่อนมักถูกมองว่าเป็นร้านสำหรับผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันมีวัยรุ่น หนุ่มสาวเข้าไปใช้บริการโรงอาหารชุมชนกันมากขึ้น เพราะค่าอาหารถูกโดยไม่ต้องไปคำนึงถึงความหรูหรา บางคนเน้นทำอาหารเองที่บ้าน บางคนเลือกซื้อเฉพาะผัก ผลไม้ตามฤดู หรือมีโปรโมชันลดราคาพิเศษเพื่อเน้นประหยัด

ชาวเน็ตรายหนึ่ง ที่ใช้นามแฝงว่า Little Zhai Zhai เล่าว่า เธอมีเป้าหมายที่จะลดค่ากินอยู่ให้เหลือเพียงแค่ 300 หยวนต่อเดือน (ประมาณ 1520 บาท/เดือน) ซึ่งล่าสุดเธอได้แชร์คลิปวิดีโอว่าสามารถใช้ชีวิตด้วยเงิน 10 หยวนต่อวันได้อย่างไร 

แถมหลายคนยังกลัวว่าตัวเองจะหลุดเป้า จึงเกิดไอเดียหาคู่หูร่วมประหยัด ให้มาช่วยกันดึงสติในการประหยัดเงินไปด้วยกันให้สามารถบรรลุเป้าหมายในแต่ละเดือนได้สำเร็จอีกด้วย 

กระแส ‘ออมเงินล้างแค้น’ สะท้อนหลายสิ่งที่น่าสนใจในสังคมจีนปัจจุบัน จากมุมมองของ ฉวน เหลียน ผู้อำนวยการของสำนักวิเคราะห์ตลาด China Market Research Group กล่าวว่า คนรุ่นใหม่จีนเลือกที่จะตอบโต้ต่อสภาพสังคมที่กดดัน บีบคั้น ด้วยการเก็บเงินอย่างเอาเป็นเอาตาย 

ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มวัยรุ่นในยุคก่อนหน้าช่วงปี 2010s ที่ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายเพื่อคลายเครียด ซึ่งเป็นยุคที่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมในจีนเฟื่องฟูมาก จนวัยรุ่นยุคนั้นถึงขนาดยอมกู้หนี้ยืมสินเพื่อซื้อกระเป๋ากุชชี่สักใบ หรือ iPhone สักเครื่องกันมากมาย 

แต่วัยรุ่นจีนในยุคนี้ กลับมีความระมัดระวังในการใช้เงินมากขึ้น ส่งสัญญาณค่านิยมแบบ ‘การบริโภคย้อนกลับ’ หรือ ‘เศรษฐกิจแบบตระหนี่’ ซึ่งก็มีทั้งความพยายามในการใช้สติก่อนใช้สตางค์ หรือการเสาะหาโปรโมชันลดราคาทุกครั้งเมื่อต้องจับจ่ายซื้อของแต่ละชิ้น

ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับกระแสค่านิยมของวัยรุ่นยุค Gen Z โดยรวมทั่วโลก ที่มักใช้เงินเพื่อการท่องเที่ยว ซื้อความสุขให้ตัวเองก่อนคิดที่จะออมเงิน เช่นเดียวกับรายงานดัชนีความมั่งคั่งโดย Intuit พบว่า 73% ของกลุ่มวัยรุ่น Gen Z ในสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตที่ดีของตน มากกว่ายอดเงินออมในธนาคาร 

แต่ค่านิยมการเก็บเงินล้างแค้นของวัยรุ่นจีนมาจากไหน? 

คริสโตเฟอร์ เบดดอร์ รองผู้อำนวยการสถาบันจีนศึกษาของ Gavekal Dragonomics กล่าวว่า คนรุ่นใหม่จีนเริ่มมีความรู้สึกตรงกันว่าเศรษฐกิจไม่ได้ดีอย่างที่คิด ทำให้คนจีนเลือกที่จะเก็บเงินสำรองไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย

เพราะหากดูจากตัวเลข GDP ของจีนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 นี้ เติบโตขึ้น 5.3% ซึ่งดีกว่าที่รัฐบาลเคยคาดการณ์ไว้ แต่จากรายงานของธนาคารแห่งชาติจีนก็ยังชี้ว่าครัวเรือนจีนยังออมเงินเพิ่มขึ้นเป็น 11.8% เช่นกัน ซึ่งสะท้อนถึงความไม่มั่นใจต่ออนาคตของเศรษฐกิจจีน 

เจี๋ย เหมี่ยว ผู้ช่วยศาสตราจารย์สถาบัน NYU เซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า ปัญหาตลาดแรงงานที่คับแคบและหดตัวลง เป็นสาเหตุสำคัญที่หนุ่ม-สาวจีน ใช้จ่ายเงินลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จากตัวเลขอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาของกลุ่มวัยรุ่นอายุ 16 - 24 ปีอยู่ที่ 14.2% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอัตราการว่างงานของประเทศถึง 5% ส่วนเงินเดือนเฉลี่ยขอผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ที่สำรวจในปี 2023 อยู่ที่ 6,050 หยวน/เดือน (ประมาณ 3 หมื่นบาท) ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาเพียง 1% 

จากสถานการณ์ที่ตลาดแรงงานแข่งขันสูง หนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยยังหางานทำไม่ได้ และการหารายได้เสริมทำได้ยากขึ้น เป็นสิ่งที่บั่นทอนจิตวิญญาณ และ ความมั่นใจของหนุ่มสาวจีนให้หมดไฟ จึงต้องหาทางระบายด้วยการเก็บเงินล้างแค้น แม้ชีวิตจะลำเค็ญ แต่เมื่อเห็นตัวเลขเงินออมที่เพิ่มขึ้น ก็ยังพออุ่นใจในอนาคตที่ไม่แน่นอนของพวกเขาได้นั่นเอง

เกิดขึ้นแน่!! Internet of Bodies อนาคตมนุษยชาติที่มิอาจแยกร่างจากอินเทอร์เน็ต โลกสุดล้ำที่กำลังส่งสัญญาณแห่งความเหลื่อมล้ำระหว่าง 'คนรวย-คนจน' ชัดขึ้น

ต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญอย่างมากในการเชื่อมต่อสังคมมนุษย์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน เป็นสื่อกลางในการรับส่งคลังข้อมูล ข่าวสารที่ทรงพลัง และส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของมนุษย์ แต่นั่นยังไม่สุดขีดความพัฒนาของโลกอินเทอร์เน็ต เพราะอีกไม่นาน นอกจากเราจะขาดอินเทอร์เน็ตในชีวิตไม่ได้แล้ว เราอาจแยกตัวออกจากมันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ก่อนหน้านี้ เราคงเคยได้ยินคำว่า 'Internet of Things' หรือ อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่งรอบตัวเรา แต่ทว่าในปี 2016 ได้เกิดนิยามศัพท์ใหม่ของโลกยุคอินเทอร์เน็ตขึ้น

โดย ด็อกเตอร์ แอนเดรีย แมทไวชิน นักวิชาการด้านกฎหมาย นโยบายเทคโนโลยี และ คอมพิวเตอร์ จาก The Pennsylvania State University ได้ให้คำนิยามของโลกอินเทอร์เน็ตในอนาคต ว่ากำลังพัฒนาสู่ระดับ 'Internet of Bodies' หรือ IoB โดยได้อธิบายว่า มันคือเครือข่ายของร่างกายมนุษย์ที่บูรณาการ หรือมีฟังก์ชันการทำงานอย่างน้อย 1 ส่วนที่เชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง อาทิ ปัญญาประดิษฐ์

ซึ่งนั่นหมายความว่า อีกไม่นาน อินเทอร์เน็ต จะไม่ใช่เพียงแค่อุปกรณ์เสริมสำหรับใช้งานภายนอกเท่านั้น แต่ในไม่ช้า จะมีอุปกรณ์ที่สามารถผสานเข้ากับการทำงานของร่างกายคนเราได้อย่างสมบูรณ์ และเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้นิ้วสัมผัสอีกต่อไป

คลื่นลูกใหม่ของ Internet of Bodies ในปัจจุบันถูกแบ่งออกเป็น 3 ยุค ได้แก่...

ยุคที่ 1 - อุปกรณ์ที่ยังใช้ได้เพียงภายนอกร่างกาย อาทิ Apple Watch ที่สามารถตรวจสอบการเต้นของหัวใจ จำนวนก้าว หรือการเผาผลาญแคลอรีของผู้สวมใส่ได้

ยุคที่ 2 - อุปกรณ์ที่ใช้ภายในร่างกาย อาทิ ประสาทหูเทียม เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้า หรือ ยาดิจิทัล ที่ทำหน้าติดตาม หรือควบคุมการทำงานของร่างกายเราจากภายในและส่งข้อมูลออกมายังภายนอกได้

ยุคที่ 3 - อุปกรณ์ที่ฝังตัวเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ ที่สามารถเชื่อมโยง และควบคุมอุปกรณ์ภายนอกได้แบบเรียลไทม์ 

และหนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีในยุคที่ 3 ที่โดดเด่นที่สุดคือ Neuralink ของ อีลอน มัสก์ ที่กำลังพัฒนาชิปรุ่นพิเศษขนาดเท่าเหรียญเงิน ให้สามารถฝังไว้ใต้กะโหลกศีรษะเพื่ออ่านสัญญาณสมอง จากนั้นก็จะเชื่อมต่อสัญญาณสมอง เข้ากับการทำงานของคอมพิวเตอร์หรือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายนอก ที่เรียกว่า 'The Link'

โดย Neuralink ได้ทำการทดสอบกับมนุษย์รายแรก ซึ่งเป็นผู้พิการอัมพาตตั้งแต่ไหล่ลงไป โดยได้ทดลองใช้อุปกรณ์นี้เล่นหมากรุกบนแล็ปท็อปของเขา แม้ว่าการทดลองครั้งนั้น ยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจาก Neuralink พบการทำงานผิดปกติบางอย่างหลังจากการทดสอบขั้นนี้ไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ แต่นี่เป็นเพียงก้าวแรกของคลื่นลูกใหม่ในยุค Internet of Bodies ที่ยังต้องพัฒนากันต่อไป 

ด้านผู้ที่สนับสนุนเทคโนโลยี IoB กล่าวว่า ประโยชน์ที่ได้จากการผสานเทคโนโลยียุคใหม่เข้ากับร่างกายมนุษย์นั้นชัดเจนมาก ที่ทำให้เราปรับปรุงการรับรู้ของสมอง และการทำงานของร่างกายเราได้ดียิ่งขึ้น ที่จะช่วยประหยัดต้นทุนในการดูแลสุขภาพ ส่งเสริมการทำงานของผู้คน และ องค์กร

แต่สำหรับผู้ที่เห็นต่าง และกังขาการมาถึงของ Internet of Bodies มองว่า อันตรายจากการฝังอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์แปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายนั้นเป็นเรื่องหนึ่งที่ยังต้องใส่ใจ แต่ยังมีอีกประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ตราบใดที่อุปกรณ์เหล่านี้เชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้ สามารถติดตาม สอดแนมหรือ ส่งต่อข้อมูลไปยังบุคคลที่ 3 ได้ แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่เกิดปัญหาการแฮ็กข้อมูลจากอัตลักษณ์ และร่างกายของแต่ละคนในภายหลัง 

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องความเท่าเทียมของผู้คนในสังคม หากกลุ่มคนร่ำรวยมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีในโลกยุคใหม่ได้มากกว่า ซึ่งยุค Internet of Bodies สามารถสร้างความแตกต่าง และความได้เปรียบในศักยภาพร่างกายของมนุษย์ได้ และจะยิ่งทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนร่ำรวย และ คนยากจน ขยายตัวอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

ซึ่งประเด็นที่ยังถกเถียงอยู่นี้ คงไม่อาจหยุดยั้งการพัฒนาในโลกยุคอินเทอร์เน็ตในร่างกายของคนเราได้ ในปัจจุบันธุรกิจอุปกรณ์เทคโนโลยีทางการแพทย์ในยุคเริ่มต้นของ IoB สร้างมูลค่าได้ถึง 6.6 หมื่นล้านเหรียญในปี 2024 และคาดว่าธุรกิจนี้จะโตได้ถึง 1.32 แสนล้านเหรียญภายในอีก 5 ปีข้างหน้า คิดเป็นอัตราการเติบโตที่สูงเกือบ 15% ต่อปีเลยทีเดียว

'ชาวกะเหรี่ยง' พลัดถิ่นประท้วงตำรวจมะกัน หลังยิงสวน 'เด็กกะเหรี่ยง' วัย 13 ดับ

ชุมชนผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงออกมาไว้อาลัยต่อการเสียชีวิต Nyah Mway เด็กวัยรุ่นชายชาวกะเหรี่ยงวัยเพียง 13 ปี ที่ถูกตำรวจสหรัฐฯ ยิงเสียชีวิต เพราะเข้าใจว่าเขาเป็นขโมย และใช้อาวุธปืนเล็งตำรวจ

เหตุสลดเกิดขึ้นที่เมืองยูทิกา ในรัฐนิวยอร์ก เมื่อเวลา 22.15 น. ของคืนวันศุกร์ที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุลักขโมย โดยมีผู้ต้องสงสัยเป็นชายชาวเอเชีย 2 คน หนึ่งในผู้ต้องสงสัยพกพาอาวุธปืน จึงได้ออกลาดตระเวนตามท้องถนนในเมือง และได้พบกับ Nyah Mway และเพื่อน ๆ ที่เพิ่งกลับจากงานเลี้ยงฉลองจบชั้นเกรด 8 พอดี 

ตำรวจจึงสั่งให้กลุ่มของ Nyah Mway หยุดเพื่อจับกุมตัว เพราะเข้าใจว่าเขาเป็นคนร้ายที่กำลังตามหา แต่ทว่า Nyah Mway ขัดขืนและวิ่งหนี ตำรวจจึงวิ่งไล่ และเห็นเขากำลังชักอาวุธคล้ายปืนออกมา ตำรวจจึงตัดสินใจยิงสวนทันทีเข้าที่ทรวงอก ทำให้ Nyah Mway บาดเจ็บสาหัส และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา ส่วนอาวุธที่ Nyah Mway พกมา ทราบในภายหลังว่าเป็นเพียงปืนปลอมเท่านั้น

เจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นายที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ครั้งนี้ ได้แก่ นายแอนดรูว์ ซิทรินิติ, นาย บรูซ แพทเตอร์สัน และ นาย ฮัสเนย์ รับราชการตำรวจมาแล้วตั้งแต่ 2-6 ปี ถูกสั่งให้พักงานโดยได้รับค่าแรงเพื่อการสอบสวนเป็นการภายใน 

เมื่อถูกถามว่าตำรวจทั้ง 3 นายนี้ มีโอกาสถูกดำเนินคดีหรือไม่ กรมตำรวจยูติกายอมรับว่าข้อมูลหลักฐานมีความซับซ้อน ที่ต้องรอผลการสืบสวนจากสำนักงานสืบสวนพิเศษแห่งรัฐนิวยอร์ก ว่าเหตุการณ์นี้ละเมิดกฎหมายของรัฐหรือไม่ แต่ทางตำรวจยูติกา ก็ได้แสดงความเสียใจต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และครอบครัวของเด็กและเยาวชนที่เสียชีวิต

เมื่อสื่ออเมริกันพยายามติดต่อครอบครัว Nyah Mway แต่ทางครอบครัวให้สื่อสารผ่าน เพจ GoFundMe ที่เป็นเพจระดมทุนช่วยเหลือชาวกะเหรี่ยง ที่ประสงค์ลี้ภัยมายังสหรัฐอเมริกา โดยครอบครัวของ Nyah Mway คือหนึ่งในชาวกะเหรี่ยงหลายพันคนที่ลี้ภัยสงครามออกจากพม่า มาตั้งรกรากในสหรัฐฯ เมื่อ 9 ปีที่แล้ว

สำหรับ เมืองยูติกา ในรัฐนิวยอร์ก กลายเป็นชุมชนของชาวกะเหรี่ยง และชนกลุ่มน้อยในพม่าที่ลี้ภัยมาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ด้วยความหวังที่จะได้อยู่อย่างสงบสุขในดินแดนแห่งเสรีภาพ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเศร้า จากการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐต่อประชนต่อพวกเขาอีก 

เพจ GoFundMe ระบุอีกว่า Nyah Mway เป็นเพียงเด็กวัยรุ่นที่ชอบไปขี่จักรยาน เล่นกิจกรรมกลางแจ้ง เป็นเด็กดีของครอบครัว ไม่เคยทำตัวสร้างปัญหา หรือทำผิดกฎหมายมาก่อน  

นั่นจึงทำให้ชุมชนผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงในเมืองยูติกาส่วนหนึ่งไปรวมตัวประท้วงกันที่ศาลาว่าการเมือง เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาในขณะที่กรมตำรวจยูติกากำลังแถลงข่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของเด็กชายชาวกะเหรี่ยง 

โดยกลุ่มผู้ประท้วงได้เรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ Nyah Mway พร้อมทั้งตะโกนว่า “No Justice, No Peace” หรือ "ไร้ความยุติธรรม ก็ไร้สันติ" ซึ่งเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า แผ่นดินใดที่ยังไร้ซึ่งความยุติธรรม ก็ยากที่จะหาสันติภาพได้ ไม่ว่าแผ่นดินนั้นจะอยู่บริเวณไหนของโลกก็ตาม

'ชาวรัสเซีย' เริ่มหวั่น!! หลังเกิดเหตุกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงถล่มแคว้นดาเกสถาน ชวนกังวล-ไม่แน่ใจ 'เครมลิน' จะคุมเหตุรุนแรงในประเทศได้อยู่อีกหรือไม่?

เกิดเหตุก่อการร้ายขึ้นอีกครั้งในแคว้นดาเกสถาน ทางตะวันตกด้านชายฝั่งทะเลแคสเปียนของรัสเซีย เมื่อช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมาในกรุงมาฮัชคาลา เมืองหลวงของแคว้น และ เมืองเดอร์เบนท์ ที่อยู่ริมชายฝั่ง  

โดยกลุ่มก่อการร้าย ที่ภายหลังระบุว่าเป็นกลุ่มชาวมุสลิมหัวรุนแรง จำนวน 4 คนได้โจมตีกรุงมาฮัชคาลา ส่วนอีก 2 คนก่อเหตุในเมืองเดอร์เบนท์ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ด้วยการกราดยิงเข้าไปในป้อมตำรวจ โบสถ์คริสต์ออร์โทดอกซ์ และโบสถ์ยิว แล้วจุดไฟเผา เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บถึง 46 ราย และ เสียชีวิตกว่า 20 ราย ซึ่ง 15 ใน 20 รายนี้ เป็นตำรวจ

ทางการรัสเซียรายงานว่าได้จัดการวิสามัญคนร้ายไป 5 ราย และได้มีการจับภาพการดวลปืนเสียงดังสนั่นระหว่างผู้ก่อการร้าย และ เจ้าหน้าที่ ในหมู่บ้านที่เคยเงียบสงบในเมืองเดอร์เบนท์ที่กลายเป็นคลิปข่าวที่สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วรัสเซีย และเกิดคำถามถึงรัฐบาลกลางรัสเซียว่า ละเลยภัยซ่อนเร้นในบ้านตัวเองหรือไม่?

ดาเกสถาน เป็นแคว้นทางตอนใต้ฝั่งตะวันตกติดกับทะเลแคสเปียน มีพรมแดนติดกับเชสเนีย, จอร์เจีย และ อาเซอร์ไบจาน ถือเป็นแคว้นที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งของรัสเซีย และมีพลเมืองกว่า 83% เป็นชาวมุสลิม

แต่ทั้งนี้ เดอร์เบนท์ เมืองสำคัญในแคว้นนี้กลับได้รับสมญานามว่าเป็น 'เมืองแห่ง 3 ศาสนา' อันได้แก่ศาสนาอิสลาม, คริสต์ และ ยูดาห์ เนื่องจากเมืองนี้มีที่ที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวคริสต์ที่เก่าแก่ที่สุดในรัสเซีย และ ชุมชนชาวยิวรุ่นบุกเบิกมานานหลายชั่วอายุคน ที่เป็นเป้าหมายในการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรงมานานแล้ว 

หากไม่นับรวมเหตุการณ์กราดยิงในคอนเสิร์ต ฮอลล์ ใจกลางกรุงมอสโก เมื่อเดือนมีนาคมของปีนี้ ที่มีผู้เสียชีวิตมากถึง 145 ราย โดยกลุ่มก่อการร้าย ISIS-K ออกมาประกาศแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุครั้งนั้น แคว้นดาเกสถาน ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่มักเกิดเหตุโจมตีชุมชนชาวคริสต์ และ ชาวยิว ในพื้นที่มานานหลายสิบปีแล้ว  

สาเหตุหนึ่งมาจากแคว้นนี้เป็นแหล่งลี้ภัยของกลุ่มลัทธิหัวรุนแรงจากเชสเนีย และแคว้นใกล้เคียง มาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นเมืองด่านหน้าของการปะทะกันระหว่างกองกำลังรัสเซีย กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในช่วงสงครามเชสเนีย 

จนทำให้ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เมืองนี้มักเกิดเหตุไม่สงบอยู่เนือง ๆ โดยตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ และ โบสถ์สำคัญทางศาสนาคริสต์ และยิว มักถูกใช้เป็นเป้าหมายในการก่อเหตุ

อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจ สังคมโดยรวมของแคว้นดาเกสถาน ค่อนข้างอ่อนแอ และ ย่ำแย่จากภายใน มีการคอร์รัปชันภายในรัฐบาลท้องถิ่น อัตราการว่างงานสูง ความหลากหลายด้านเชื้อชาติ ภาษา และ ศาสนาในแคว้น เป็นอุปสรรคต่อการสร้างความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันของประชากรในพื้นที่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นแหล่งฟูมฟักชั้นดีของลัทธิก่อการร้าย 

และจากเหตุก่อการร้ายในดาเกสถาน เป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่าภัยคุกคามจากกลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรงในประเทศไม่เคยหายไปไหน และรอคอยโอกาสที่จะสร้างความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกประจำทำเนียบเครมลิน ยังคงปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะเกิดคลื่นแห่งความรุนแรงในภูมิภาคคอเคซัสเหนือ (แคว้นที่อยู่คั่นกลางระหว่างทะเลอาซอฟ ทะเลดำทางทิศตะวันตก และทะเลแคสเปียนทางตะวันออก รวมถึง ดาเกสถานด้วย) และยืนยันว่าสังคมรัสเซียมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากพอ ที่จะไม่สนับสนุนการก่อการร้ายในชุมชนของพวกเขา เหมือนเมื่อ 20 ปีที่แล้วอีกต่อไป

เช่นเดียวกับ วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ที่เคยออกมากล่าวหลังเหตุกราดยิงในคอนเสิร์ต ฮอลล์ ในกรุง มอสโกว่า รัสเซียไม่ใช่เป้าหมายของกลุ่มก่อการร้ายชาวมุสลิมหัวรุนแรง เพราะเชื่อมั่นในความสามัคคีระหว่างศาสนา และกลุ่มชาติพันธุ์ในรัสเซียอันเป็นเอกลักษณ์ที่หาได้ยากในโลก ส่วนภัยจากเหตุก่อการร้ายเป็นการแทรกซึมของฝ่ายยูเครน และ อริชาติตะวันตก 

แต่ใช่ว่าชาวรัสเซียทุกคนจะคิดเช่นนี้ และกำลังมองว่ารัฐบาลรัสเซียกำลังใช้ทรัพยากรของประเทศไปทุ่มให้กับสงครามในยูเครนมากเกินไปจนละเลยภัยซ่อนเร้นภายในบ้าน อันเป็นปัญหาที่หมักหมมค้างเติ่งที่รัฐบาลมองข้ามมานานนับสิบปี 

สำหรับเหตุกราดยิงกลางเมืองในดาเกสถาน ที่อุกอาจขนาดถล่มป้อมตำรวจ เผาโบสถ์คริสต์-ยิว ยิงบาทหลวงเสียวิต โดยเจาะจงเลือกช่วงเทศกาล Trinity Sunday ของชาวคริสต์ออร์โทดอกซ์พอดี และห่างจากเหตุก่อการร้ายของกลุ่ม ISIS-K ในกรุงมอสโกเพียงไม่กี่เดือนนั้น ก็ชวนให้ชาวรัสเซียเริ่มไม่แน่ใจว่า รัฐบาลเครมลินจะคุมสถานการณ์ของกลุ่มหัวรุนแรงในประเทศได้อยู่หรือไม่

‘คลินิกจีน’ เคลม!! ฝังเข็มบนศีรษะช่วยเพิ่ม IQ - เสริมความจำ นักเรียน-วัยทำงานแห่จองคิว ฟากชาวเน็ตท้วง “เป็นไปได้เหรอ?”

(24 มิ.ย.67) คลินิกฝังเข็ม IQ Boost ในโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนประจำจังหวัดแห่งหนึ่งในมณฑลเจ้อเจียง ทางภาคตะวันออกของจีน นำเสนอแพ็กเกจ ฝังเข็มที่ศีรษะช่วยเสริมความฉลาดปราดเปรื่อง และพัฒนาเรื่องความจำได้ จนกลายเป็นกระแสไวรัล ที่มีผู้ปกครองนำบุตรหลานของตนเข้ามาจองคิวฝังเข็มกันเป็นจำนวนมาก 

หง โชวไห่ แพทย์แผนโบราณจีนด้านการฝังเข็มกล่าวว่า การฝังเข็มสามารถกระตุ้นสมอง ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของเซลล์สมองให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยทำให้ออกซิเจนไหลเวียนไปยังสมองมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความฉลาดหลักแหลมให้กับสมองของเราได้ 

การฝังเข็มถูกกล่าวถึงในตำราทางการแพทย์จีนโบราณที่รู้จักกันในชื่อ ‘หวงตี้เน่ยจิง’ หรือคัมภีร์ลับแห่งจักรพรรดิเหลือง ซึ่งเป็นตำราแพทย์แผนโบราณของจีนที่มีอายุย้อนกลับไปนานถึง 100 ปีก่อนคริสตกาล

โจว ไห่เจียง แพทย์ด้านการฝังเข็มอีกคนในคลินิกได้อธิบายว่า ในฝังเข็มตรง ‘จุดไป๋ฮุ่ย’ หรือจุดที่อยู่ตรงกึ่งกลางศีรษะจะช่วยกระตุ้นสมอง และสร้างความกระปรี้กระเปร่า

โดยศาสตร์ด้านการฝังเข็มของจีนได้กล่าวถึง ‘The Four Intelligence Points’ หรือจุดอัจฉริยะทั้ง 4 อัน ได้แก่ ตำแหน่ง 4 จุด ที่ล้อมรอบจุดไป๋ฮุ่ย เกี่ยวพันกับอาการปวดศีรษะ, นอนไม่หลับ, และอาการหลงลืม

ส่วน จุดเฟิงชี่ หรือตำแหน่ง 2 จุดบริเวณก้านคอ จะกระตุ้นออกซิเจนให้ไหลเวียนในศีรษะและใบหน้าได้ดี ที่ช่วยพัฒนาศักยภาพด้านความทรงจำ ทางคลินิกจึงเคลมว่า หากฝังเข็มให้ตรงจุดเหล่านี้โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง สามารถเพิ่ม IQ ได้ 

หลังจากที่ปล่อยโฆษณาแพ็กเกจฝังเข็มเพิ่ม IQ ออกไป ก็มีกลุ่มนักเรียน และคนทำงานเข้ามาจองรอบฝังเข็มที่ศีรษะกับทางคลินิกเป็นจำนวนมาก เฉลี่ยราว 50-60 คิวต่อวัน

แต่ก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโลกโซเชียลที่ยังกังขากับวิธีการฝังเข็มแนวนี้ ว่าน่าเชื่อถือจริงหรือไม่

หม่า กวนฟู่เฉิง แพทย์แผนจีนโบราณแห่งโรงพยาบาลเซี่ยเหมินได้กล่าวกับสื่อจีนว่า การฝังเข็มเพื่อความอัจฉริยะ มีความเป็นไปได้ แต่ไม่ได้ถึงการเพิ่ม IQ ของคนอย่างที่เข้าใจกัน

เนื่องจากโดยหลักการแล้ว การฝังเข็มเป็นวิธีการควบคุมการทำงานทางสรีรวิทยาของร่างกายมนุษย์ด้วยการกระตุ้นในจุดฝังเข็ม จึงช่วยในเรื่องการไหลเวียนของเลือดในสมอง ปรับปรุงสภาพแวดล้อมจุลภาคของสมอง และสามารถส่งเสริมการฟื้นตัวของการทำงานของสมองได้ 

ในเวลาเดียวกัน การฝังเข็มยังสามารถควบคุมสมดุลของหยิน-หยาง พลังชี่ และการไหลเวียนโลหิต ซึ่งช่วยในเรื่องอาการนอนไม่หลับได้ดี แต่ไม่ใช่เครื่องมือที่เพิ่มระดับ IQ ได้โดยตรง

แต่ทั้งนี้ อวี๋ จิน ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์การฝังเข็มและสมองที่มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนกว่างโจว ยืนยันอีกเสียงว่า การฝังเข็มมีประสิทธิภาพในการปรับปรุงการทำงานของสมองได้จริง แต่ต้องดำเนินการโดยแพทย์มืออาชีพ และพบว่า การฝังเข็มยังประสบความสำเร็จในการรักษาอาการที่เกิดจากโรคทางสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคอัลไซเมอร์ ความบกพร่องทางสติปัญญาในเด็ก และโรคสมองพิการ ได้ 

นับเป็นศาสตร์พิศวงจากตำราแพทย์แผนจีนที่มีอายุมานานกว่า 2,000 ปี ที่วงการแพทย์ยุคใหม่ให้ความสนใจและต้องการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเหล่านี้ด้วยความตื่นเต้น 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top