Saturday, 7 June 2025
อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ (ยีนส์)

อดีตเซลล์แมน Lenovo ฟ้องบริษัทฯ 50 ล้านบาท โทษฐานไล่เขาออก เพราะแอบฉี่ในล็อบบี้โรงแรมหรู

‘ริชาร์ด เบคเกอร์’ อดีตพนักงานขายวัย 66 ปีของบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลยักษ์ใหญ่ Lenovo ไม่คิด ไม่ฝันว่าในชีวิตเขาต้องมาทำเรื่องขายหน้าจนต้องถูกไล่ออกจากงาน ที่มีสาเหตุมาจากอาการป่วยเรื้อรังของตัวเอง 

เหตุเกิดขึ้น ราว ๆ เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ที่ Westin Hotel โรงแรมหรูในย่าน Time Square ของมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในขณะที่ริชาร์ด เบคเกอร์ อยู่ระหว่างการประชุมนัดพบลูกค้า แต่ก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ที่ทำให้เขาต้องเดินเข้า-ออก เพื่อทำธุระในห้องน้ำไม่ต่ำกว่า 5 รอบ จนเดินไม่ไหว จึงแอบมาหลบฉี่ในมุมอับ ที่โถงทางเดินในบริเวณล็อบบี้ของโรงแรมนั้นเอง 

แต่ก็ไม่พ้นสายตาของคนในบริษัท ที่ทนเห็นพฤติกรรมไม่ไหว จึงได้แจ้งเรื่องถึงฝ่ายบุคคล อันเป็นเหตุที่ทำให้เบคเกอร์ถูกไล่ออกจากงาน จากการที่แอบปัสสาวะในล็อบบี้โรงแรม

อย่างไรก็ตาม ริชาร์ด เบคเกอร์ เห็นว่าเป็นการไล่ออกจากงานที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งมั่นใจว่าเกิดจากความอาฆาต เคียดแค้นภายในองค์กร เขาจึงตัดสินใจจ้างทนายฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก Lenovo เป็นเงินสูงถึง 1.5 ล้านเหรียญ (ประมาณ 50 ล้านบาท) ต่อศาลฎีกาในนิวยอร์ก เมื่อ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา จากกรณีการเลิกจ้างพนักงานอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในความผิดฐานเลือกปฏิบัติโดยพิจารณาจากความพิการทางร่างกาย ซึ่งละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนของรัฐนิวยอร์ก

นาย เบคเกอร์ ได้กล่าวถึงอาการป่วยด้วยโรคกระเพาะปัสสาวะของเขา เรื้อรังมาตั้งแต่ปี 2016 แล้ว ซึ่งตอนนี้กำลังรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินปัสสาวะ โดยทั้งผู้จัดการ และเพื่อนร่วมงานในบริษัทต่างก็ทราบถึงอาการป่วยของเขามาโดยตลอด

นอกจากนี้ เขายังได้ระบุตัวตนในเอกสารของศาลว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการขายคอมพิวเตอร์ และตั้งแต่ Lenovo ได้จ้างเขาในปี 2022 เขาก็ประสบความสำเร็จอย่างดีในหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายในตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายขายต่างประเทศ ที่ให้เขาได้รับรางวัลจากบริษัทมากมาย รวมถึงทริปไปคอสตาริกาด้วย 

และอ้างว่าผลงานของเขามีส่วนที่ทำให้ธุรกิจเติบโตถึง 200% จากการทุ่มเททำงานหนักให้กับบริษัท ทำให้อาการป่วยเขากำเริบ จนต้องแอบปล่อยฉี่ในบริเวณโถงทางเดินใกล้ล็อบบี้ ที่เขาเห็นว่าเป็นที่ลับตา ไม่น่ามีคนเห็น 

แต่สุดท้าย คนที่เห็นเต็ม ๆ คือรองประธานบริษัท Lenovo ที่เข้าร่วมประชุมลูกค้าในวันนั้นด้วย เขาจึงแจ้งเรื่องถึงแผนกบุคคล และพิจารณาเลิกจ้างนาย เบคเกอร์ หลังจากนั้นเพียง 4 วัน และจนกระทั่งวันนี้ เขายังหางานใหม่ไม่ได้เลย 

ทนายของนาย เบคเกอร์ กล่าวว่า ทางบริษัทปฏิบัติต่อลูกความของเขาอย่างไร้ความเห็นอกเห็นใจใด ๆ และไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบายเรื่องราวกับฝ่ายบุคคลด้วยซ้ำ แม้การกระทำของเขาอาจจะดูน่ารังเกียจ แต่ไม่ใช่พฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อสังคม แต่บริษัทกลับละเมิดสิทธิ์ โดยการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จึงเรียกร้องเงินชดเชยจาก Lenovo ถึง 1.5 ล้านเหรียญ

ด้านบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ Lenovo ไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นในกรณีดังกล่าว แต่ทางโรงแรม Westin ได้ออกมาปฏิเสธว่า โรงแรมในสาขา Time Square ที่เกิดเรื่องนั้น ไม่มีพื้นที่ที่เรียกว่า ‘โถงทางเดิน ที่เป็นที่รโหฐาน’

จะมีก็แต่เพียงส่วนล็อบบี้ ที่เป็นพื้นที่สาธารณะ บริเวณชั้น 1 และ Concierge ที่ชั้น 2 และมีเสาคู่ขนาดใหญ่ไว้หลบมุมเท่านั้น และยืนยันว่าทางโรงแรมก็มีห้องน้ำให้บริการที่ล็อบบี้ 

'สิงคโปร์' แหกกฎ!! เตรียมแจกเงินคนตกงาน 1.5 แสนบาท แต่ต้องรับเงื่อนไข 'อบรมเพิ่มทักษะ' เพื่อกลับสู่ตลาดงานต่อไป

คนตกงานในสิงคโปร์เตรียมเฮ เมื่อ 'ลอเรนซ์ หว่อง' นายกรัฐมนตรีประกาศอัดฉีดงบประมาณก้อนใหม่ ลงในโครงการ SkillsFuture Jobseeker Support เตรียมแจกเงินช่วยเหลือแรงงานที่ว่างงานในประเทศ หลังจากที่เคยคัดค้านว่าเป็นนโยบายประชานิยมที่ส่งเสริมให้คนหวังพึ่งแต่สวัสดิการรัฐจนขาดแรงจูงใจในการหางานทำ

SkillsFuture Jobseeker เป็นโครงการภาครัฐที่สนับสนุนผู้หางาน ด้วยการจัดฝึกอบรม เพิ่มทักษะแรงงาน พร้อมบริการให้คำปรึกษาด้านอาชีพ และจัดหางานให้ ซึ่งวัตถุประสงค์ของโครงการนี้คือ ช่วยให้แรงงานยกระดับทักษะด้านอาชีพของตัวเอง เพื่อหางานให้ได้เร็วที่สุด

แต่เมื่อวันอาทิตย์ (18 ส.ค.67) ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ลอเรนซ์ หว่อง ได้ประกาศระหว่างการปราศรัยเนื่องในวันชาติ รัฐบาลสิงคโปร์จะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งสำคัญในการช่วยเหลือผู้ที่กำลังว่างงานในสิงคโปร์ด้วย

โดยโครงการ SkillsFuture ใหม่นี้ รัฐจะให้เงินช่วยเหลือแก่คนงานรายได้น้อย - ปานกลาง ที่ตกงานเป็นค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในค่าครองชีพ ซึ่งเป็นเงินสูงถึง 6,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 1.57 แสนบาท) เป็นระยะเวลาสูงสุดที่ 6 เดือน 

ตัวเลขเงินจำนวนนี้ นักเศรษฐศาสตร์และนักสังคมวิทยามองว่า 'เหมาะสม' สำหรับแรงงานที่มีเหตุต้องว่างงานโดยไม่สมัครใจ และไม่เกินพอดี จนอาจเกิดปัญหาการหวังพึ่งพาสวัสดิการรัฐในระยะยาว หากอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม

ส่วนเงื่อนไข ก็คือ ผู้ว่างงานต้องลงทะเบียนเข้าโครงการพัฒนาแรงงาน SkillsFuture Jobseeker ตามมาตรฐานของกรมส่งเสริมแรงงานของสิงคโปร์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ย้ำว่า การเข้าฝึกอบรมในโครงการนี้ถือเป็นการลงทุนที่จำเป็นสำหรับแรงงาน เพื่อโอกาสในการได้งานที่ดีกว่าในอนาคต ซึ่งบุคคลที่ผ่านเกณฑ์ประเมินรายเดือน จึงจะมีสิทธิ์รับเงินชดเชยรายได้ 6,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ ในระยะเวลา 6 เดือน 

สำหรับการรับเงินช่วยเหลือของแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง ซึ่งต้องปฏิบัติตามขั้นตอนภายใต้เงื่อนไขที่รัดกุมนั้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านแรงงานครั้งสำคัญของประเทศสิงคโปร์ ที่ไม่เคยมีสวัสดิการสำหรับคนว่างงานมาก่อน เพราะเห็นว่าโครงการดังกล่าวจะส่งเสริมให้ประชาชนขาดความกระตือรือร้น แล้วเลือกที่จะรับสวัสดิการมากกว่าการทำงาน

ทั้งนี้การปฏิเสธแนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการสำหรับแรงงาน มีมาตั้งแต่สมัยที่สิงคโปร์แยกตัวจากมาเลเซียในปี 1965 และจัดตั้งรัฐบาลปกครองตนเองภายใต้การนำของ ลี กวนยู ซึ่งประกาศอย่างชัดเจนว่า เขาละทิ้งแนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการ เพราะรัฐบาลที่ดำเนินนโยบายตามแนวคิดดังกล่าวจะบั่นทอนความสามารถในการพึ่งพาตัวเองของประชาชน และความมุ่งมั่นในการสร้างตัวเพื่อความสำเร็จในชีวิต 

ดังนั้น ผู้นำที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากนายลี กวนยู ตั้งแต่ โก๊ะ จ๊กตง และ ลี เซียนลุง ก็ไม่เคยผลักดันนโยบายด้านสวัสดิการช่วยเหลือผู้ว่างงานเช่นกัน

ทว่า ลอเรนซ์ หว่อง กลับมีความเห็นว่า อาจถึงเวลาแล้วที่สิงคโปร์ต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อช่วยเหลือแรงงาน ในยุคสมัยที่มีความท้าทายทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น แต่ยังคงยืนยันว่า การรับสวัสดิการรัฐอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ส่งผลดีเชิงบวกต่อแรงจูงใจในการแสวงหางานของแรงงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลสิงคโปร์ระวังมาโดยตลอด 

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ จึงมองหาทางเลือกอื่น โดยใช้แบบแผน 'Workfare' แทนที่จะใช้คำว่า 'Welfare' ซึ่งหมายถึงสวัสดิการที่รัฐต้องเป็นผู้รับประกันการว่างงาน ที่นำไปสู่ความคาดหวังในการพึ่งพาแต่สวัสดิการรัฐ ซึ่งหมายถึงการใช้ภาษีจากการทำงานของประชาชนคนอื่น

Workfare เป็นแนวทางที่รัฐบาลสิงคโปร์นำมาใช้เป็นครั้งแรกในปี 2005 โดยแรกเริ่มเดิมที เป็นโครงการที่สนับสนุนกองทุนแก่ผู้มีรายได้น้อย ซึ่งรัฐจะเติมเงินให้กับกองทุนบำเหน็จบำนาญ แต่มีเงื่อนไขว่าผู้มีรายได้น้อยจะต้องมีงานทำ

แต่สำหรับโครงการล่าสุดนี้ รัฐบาลสิงคโปร์จะพิจารณาจ่ายเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ว่างงาน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ว่างงานต้องเข้าสู่กระบวนการฝึกอบรมพัฒนาอาชีพ ต้องผ่านคะแนนประเมิน และ ต้องเข้าโปรแกรมจัดหางาน เพื่อกลับสู่ตลาดแรงงานต่อไป 

ลอเรนซ์ หว่อง กล่าวว่า โครงการนี้มีไว้เพื่อสนับสนุนแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง และช่วยเหลือเรื่องค่าครองชีพที่จำเป็นระหว่างเข้าโครงการ แต่คนงานก็ต้องมีส่วนร่วม ด้วยการแสดงรับผิดชอบต่ออนาคตของตนเอง  และพยายามดึงตัวเองขึ้นมาให้ได้

ก็ถือเป็นโครงการแจกเงินอย่างมีวิสัยทัศน์ ตามสไตล์สิงคโปร์จริง ๆ ที่ยึดว่า 'เกิดเป็นคน ต้องทำงาน' และสวัสดิการรัฐมีไว้สำหรับผู้ที่เสียภาษีเท่านั้น

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘นทท.จีน’ หลงเสน่ห์ ‘ป้าย ธ.Maybank’ บน Gaya Street มาเลเซีย ดันเป็นจุดท่องเที่ยวยอดฮิตที่ต้อง ‘แชะภาพ-เช็กอิน’ อวดลงโซเชียล

กลายเป็น Maybank เมย์ใจ ชาวจีนไปเสียแล้ว เมื่อเกิดกระแสฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวจีน ที่แห่กันมาถ่ายรูปป้ายธนาคาร Maybank ที่ตั้งอยู่กลางสี่แยกถนน Gaya Street ในโกตากีนาบาลู เมืองหลวงของรัฐซาบะห์ ในมาเลเซีย จนกลายเป็นจุด Check in สุดฮิปยอดนิยมในโลกโซเชียลจีนอยู่ในขณะนี้

ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า จุดเริ่มต้นของกระแสถ่ายป้ายธนาคาร Maybank ของนักท่องเที่ยวจีนเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่การแวะถ่ายป้ายธนาคาร Maybank เริ่มนิยมในหมู่เซเลปคนดังใน Xiaohongshu แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีน และมีการส่งต่อกันจนกลายเป็นไวรัลไปทั่วจีน จึงเริ่มมีนักท่องเที่ยวจีนตามรอยมาถ่ายรูปป้ายธนาคาร Maybank ในสาขานี้กันเป็นจำนวนมาก และมีจำนวนไม่น้อยที่เจาะจงเดินทางมาถึงเมืองโกตากีนาบาลู เพื่อถ่ายรูปป้ายธนาคารแห่งนี้โดยเฉพาะ

ปรากฏการณ์กระแสป้ายธนาคาร Maybank สร้างความประหลาดใจให้กับหลายคน ว่าเหตุใด ป้ายชื่อธนาคารสีเหลืองเรียบ ๆ ที่มีโลโก้หัวเสือโคร่ง และชื่อธนาคารอักษรสีดำ ที่เห็นทั่วไปในมาเลเซีย จึงกลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมายังถนนแห่งนี้ จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแนะนำอีกแห่งสำหรับการถ่ายรูปลง Instagram ของโกตากีนาบาลู

และกระแสความนิยมนี้ ส่งผลให้ธนาคารอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงกัน ต้องปรับลุคป้ายธนาคารใหม่เพื่อให้นักท่องเที่ยวแวะมาถ่ายรูปเช่นเดียวกัน 

กระแสความธรรมดา ที่ไม่ธรรมดานี้ ถือเป็นโอกาสที่จะกระตุ้นการท่องเที่ยวในรัฐซาบะห์ ที่มีแหล่งท่องเที่ยวสวย ๆ และ ร้านอาหารดี ๆ มากมายไม่แพ้รัฐอื่น ๆ ในมาเลเซีย เพียงแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะยังไม่รู้จัก 

ซึ่ง โทนี่ เฟอร์นานเดซ CEO ของสายการบิน AirAsia กล่าวว่า ถึงเราจะไม่เข้าใจว่า ทำไมป้ายธนาคาร Maybank ของที่นี่ถึงได้ฮิตนัก แต่ถ้าสามารถใช้เป็นจุดขายในการโปรโมตการท่องเที่ยว ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับธุรกิจสายการบินเช่นกัน และเขาหวังว่าจะสามารถรักษากระแสความนิยมนี้ให้ไปต่อได้เรื่อย ๆ 

แต่ในความเห็นของ ดร.แฮมซา ชาฮาบ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาการตลาดดิจิทัล ของมหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม มาเลเซีย ให้ความเห็นว่า กระแสของป้ายธนาคาร Maybank อาจไม่ใช่ความบังเอิญ แต่สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบ และพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวสมัยใหม่ที่เริ่มเปลี่ยนไป

จากเดิมที่เคยนิยมมาเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำยอดนิยมตามคู่มือท่องเที่ยว แต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวเริ่มมองหาแหล่งท่องเที่ยวที่สะท้อนวิถีความเป็นท้องถิ่นที่จริงใจ ที่บ่งบอกถึงความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องที่นั้นจริง ๆ ที่หาไม่ได้ในคู่มือท่องเที่ยว อีกทั้งกระแสที่ส่งผ่านทางโซเชียล ยิ่งกระตุ้นให้เกิดกระแสตามรอย เพื่อไม่ให้ตกเทรนด์

และจากกระแสนี้ ยังส่งผลย้อนกลับให้ชาวมาเลเซียหันมาลองสำรวจเมืองท้องถิ่นของตัวเอง หรือแม้แต่มาตามรอยที่ Gaya Street เพื่อหาคำตอบว่านักท่องเที่ยวจีนหลงใหลสิ่งใดในถนนสายนี้ ที่เป็นเสน่ห์ของมาเลเซีย ที่ชาวมาเลยเซียแท้ ๆ มองข้ามไป 

แต่สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้ จากกระแสป้ายธนาคาร Maybank คือ คุณค่าที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลงทุนข้ามน้ำ ข้ามทะเล เพื่อมาตามหา อาจเรียบง่ายกว่าที่เราคิด โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนปรุงแต่งอย่างอลังการ จนความเป็นท้องถิ่นของเราหายไปก็เป็นได้ 

‘ไต้หวัน’ แต่งตั้ง 'หลิน ยู่ถิง' เป็น 'ทูตด้านการต่อต้านการบูลลี่แห่งชาติ' หลังผ่านความขมขื่นเรื่องเพศ สู่เจ้าของเหรียญทองมวยสากลหญิง

ไต้หวันต้อนรับยิ่งใหญ่ นักกีฬาทีมชาติที่กลับจากการแข่งขันปารีส โอลิมปิก 2024 ซึ่งหนึ่งในนักกีฬาที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนไต้หวันมากที่สุด คือ หลิน ยู่ถิง นักกีฬามวยสากลหญิง ในรุ่น 57 กิโลกรัม ที่สามารถคว้าเหรียญทองมวยสากลให้กับไต้หวันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จนชาวไต้หวัน ต่างขั้นยกฉายาให้เธอว่าเป็น 'ลูกสาวของชาวไต้หวัน'

แต่กว่าที่ หลิน ยู่ถิง ก้าวมาถึงจุดนี้ เธอต้องผ่านความขมขื่นจากการถูกบูลลี่ ด้วยข้อความหยามเหยียด เกลียดชัง บนโลกออนไลน์มากมาย 

เช่นเดียวกับ อิมาน เคลิฟ นักชกหญิงจากแอลจีเรีย ในประเด็นความคลุมเครือเรื่องเพศสภาพ ที่ทำให้ทั้งคู่ไม่ผ่านการรับรองจากสมาคมมวยสากล (IBA) ให้เข้าแข่งขันในประเภทมวยสากลหญิง แต่ทว่า ทั้ง หลิน ยู่ถิง และ อิมาน เคลิฟ กลับผ่านเกณฑ์การพิจารณาจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ให้สามารถแข่งขันในงานโอลิมปิกได้

เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างร้อนแรง ถึงสิทธิ และความเท่าเทียมในการแข่งขันกีฬา ในกรณีความผิดปกติที่เกิดจากโครโมโซมเพศ ส่งผลให้เพศสภาพไม่ชัดเจน อันเป็นผลให้พวกเธอ ถูกโจมตีโดยชาวเน็ตจากทั่วโลก ที่มองว่าพวกเธอไม่ใช่ผู้หญิงแท้ และไม่เห็นด้วยที่ทั้งคู่จะได้ขึ้นชกกับนักมวยที่มีเพศสภาพเป็นหญิงชัดเจน 

แต่ในขณะเดียวกัน นักมวยทั้งคู่ก็ได้รับแรงสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากเพื่อนร่วมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวไต้หวันที่พร้อมออกมาปกป้อง หลิน ยู่ถิง ในฐานะ 'ลูกสาวของชาวไต้หวัน' อีกทั้ง ไล่ ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน สั่งให้ทีมกฎหมายเตรียมดำเนินคดีเอาผิดกับชาวเน็ตที่ออกมาบูลลี่ลูกสาวแห่งชาติของชาวไต้หวัน 

และล่าสุด หลิน ยู่ถิง ได้รับการแต่งตั้งจากหน่วยงานด้านกีฬาให้เป็น 'ทูตด้านการต่อต้านการบูลลี่แห่งชาติ' และยังได้ตำแหน่งทางวิชาการเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ในภาควิชาพลศึกษาของมหาวิทยาลัยวัฒนธรรมจีน โดยเธอจะได้สอนวิชาการชกมวยสากล และ ทักษะทางกีฬา ตั้งแต่ภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้เป็นต้นไป 

ประเด็นเรื่องความคลุมเครือทางเพศสภาพของ หลิน ยู่ถิง ทำให้เธอถูกเพิกถอนเหรียญรางวัลในการแข่งขันชิงแชมป์มวยโลก ที่จัดโดย IBA ที่ยังแสดงความเห็นขัดแย้งกับ IOC เรื่องสิทธิในการเข้าแข่งขันของเธอ อันเป็นเหตุให้หน่วยงานด้านกีฬาของไต้หวันกำลังพิจารณาฟ้องร้องเอาผิดทางกฎหมายกับ IBA  

ด้าน นายกรัฐมนตรี โช จุงไต เรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการมอบเหรียญเกียรติยศ พร้อมเงินอัดฉีดอีก 9 แสนเหรียญไต้หวันย้อนหลังให้ แม้ หลิน ยู่ถิงจะถูกริบเหรียญจากการแข่งขันชิงแชมป์โลกก็ตาม 

แต่ทั้งนี้ หลิน ยู่ถิง ไม่ต้องการดำเนินคดีกับฝ่ายใดทั้งสิ้น และบอกว่าการได้รับเหรียญทองโอลิมปิกเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวตนของเธอแล้ว และเธอยินดีรับตำแหน่งทูตต่อต้านการบูลลี่ และ ทำหน้าที่สอนกีฬาเพื่อส่งเสริมนักกีฬารุ่นใหม่ของไต้หวันต่อไป

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘สื่อเวียดนาม’ ปรี๊ดแตก!! หลังผลงาน ‘นักกีฬาโอลิมปิก’ ล้มเหลว ชี้!! ไม่ได้ด้อยกว่าชาติใด เตรียมจัดทัพใหม่ ลุ้นต่อไป โอลิมปิกที่อเมริกา

(12 ส.ค. 67) VN Express สื่อเวียดนามสรุปผลการแข่งขันกีฬาปารีส โอลิมปิก 2024 ที่ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา ยอมรับว่าผลงานของทีมชาติเวียดนาม ‘ล้มเหลว’ ไม่ได้เหรียญรางวัลติดมือกลับบ้านแม้แต่เหรียญเดียวติดต่อกันเป็นสมัยที่ 2 ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนต่างมีพัฒนาด้านกีฬาที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปี ที่เวียดนามไม่ได้เหรียญรางวัลโอลิมปิกถึง 2 สมัยติดต่อกัน นับตั้งแต่งานโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว และล่าสุดที่โอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส โดยกีฬาที่เป็นความหวังที่สุดคือ ยกน้ำหนักชายรุ่น 61 กก. แต่ทว่า ทรินห์ วัน วินห์ ล้มเหลวในการยกทั้ง 3 ครั้ง ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย 

จากผลงานของ ทรินห์ วัน วินห์ นอกจากจะดับความหวังของชาวเวียดนามในการลุ้นเหรียญแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พร้อมของเวียดนามในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปีล่าสุดนี้ ที่ทำให้ทีมนักกีฬาเวียดนามไม่ประสบความสำเร็จในการคว้าเหรียญรางวัลกลับบ้านได้

ซึ่งสวนทางกับผลงานในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2023 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ที่ผ่านมา ที่ทีมนักกีฬาเวียดนามประสบความสำเร็จอย่างมาก สามารถคว้าเหรียญทองได้ถึง 136 เหรียญ ครองตำแหน่งเจ้าเหรียญทองอาเซียนไปได้ และยังทิ้งห่างไทย ที่ได้เหรียญทองมาเป็นที่ 2 ถึง 28 เหรียญ

โดยเวียดนาม จัดเป็น 1 ใน 6 ชาติที่มีความโดดเด่นด้านกีฬาที่สุดในย่านอาเซียน อันได้แก่ เวียดนาม, ไทย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และ สิงคโปร์ 

แต่ความสำเร็จในกีฬาระดับ ซีเกมส์ ไม่ได้การันตีผลลัพธ์ระดับ เอเชียน เกมส์ หรือ โอลิมปิกสำหรับเวียดนาม เมื่อดูจากผลงานการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ที่เมืองหังโจว ประเทศจีน เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา เวียดนามจบที่อันดัน 21 จากตารางเหรียญ และเป็นอันดับที่ 6 ในกลุ่มชาติอาเซียน ได้ไป 3 เหรียญทอง ในขณะที่ไทยได้ไป 12 เหรียญทอง เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอาเซียน

และในการแข่งขันปารีส โอลิมปิก 2024 เวียดนามก็ยังไม่สามารถเอาชนะกลุ่มประเทศคู่แข่งด้านกีฬาของอาเซียนได้  โดย ชาติอาเซียนสร้างผลงานคว้าเหรียญโอลิมปิกได้ถึง 15 เหรียญ และเป็นเหรียญทองถึง 5 เหรียญ  

ซึ่งม้ามืดของปีนี้ ต้องยกให้ คาร์ลอส  ยูโล นักยิมนาสติกของฟิลิปปินส์ ที่ทำได้ถึง 2 เหรียญทอง ส่วน  อินโดนีเซีย ได้ไป 2 เหรียญทองเช่นกัน จาก วิดิค ลีโอนาโด ในกีฬาปีนเขา และ ริซกิ จูเนียนสยา จากกีฬายกน้ำหนักชายรุ่น 73 กิโลกรัม ในขณะที่ไทย แม้จะเพียงได้ 1 เหรียญทองจากกีฬาเทควันโด โดย น้อง เทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ แต่ทีมนักกีฬาของไทยก็สามารถคว้าเหรียญโอลิมปิกได้ถึง 6 เหรียญ มากที่สุดในกลุ่มชาติอาเซียน

เวียดนามเข้าร่วมกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกในปี 1988 แต่สามารถคว้าเหรียญเงินได้เป็นครั้งแรกในงานโอลิมปิก 2000 ที่เมืองซิดนีย์ ออสเตรเลีย  โดย ตรัน ฮิว งาน จากกีฬาเทควันโดหญิง หลังจากนั้นก็มีนักกีฬาเวียดนามเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง ฮวง ซวน วินห์ สามารถคว้าเหรียญทองแรกให้เวียดนามได้สำเร็จ จากกีฬาปืนอัดลม 10 เมตร ในงานโอลิมปิก ปี 2016 ที่ริโด เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล  

แต่ถึงแม้เวียดนามจะพยายามผลักดันศักยภาพของนักกีฬาให้สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งในย่านอาเซียนได้อย่างทัดเทียม แต่สื่อเวียดนามยอมรับว่า เพื่อนบ้านในอาเซียนต่างมีพัฒนาการในด้านกีฬาที่ก้าวกระโดดอย่างมาก จนสามารถบรรลุเป้าหมายเหรียญรางวัลในสนามแข่งขันระดับโลกได้มากกว่าเวียดนาม

อีกทั้งสรีระ รูปร่างของนักกีฬาของอาเซียน เป็นหนึ่งในข้อเสียเปรียบ ที่ทำให้ชาติอาเซียนจำเป็นต้องมุ่งเน้นประเภทกีฬาที่กำหนดน้ำหนักในการแข่งขัน อาทิ ยกน้ำหนัก มวยสากล หรือ เทควันโด 

แต่เมื่อมีการบรรจุกีฬาเอ็กซ์ตรีม เข้าไปอยู่ในงานโอลิมปิกมากขึ้น ได้เปิดโอกาสให้นักกีฬาหน้าใหม่จากอาเซียน สามารถทะลุเข้าถึงรอบแข่งไฟนอล  อาทิ น้อง ‘เอสที’ วารีรยา สุขเกษม นักกีฬาไทย วัย 12 ปี ที่อายุน้อยที่สุดในการแข่งขันกีฬาสเก็ตบอร์ตในปารีส โอลิมปิก  หรือความสำเร็จของ  วิดิค ลีโอนาโด ที่คว้าเหรียญทองกีฬาปีนเขาให้กับอินโดนีเซียเป็นครั้งแรก ถือเป็นกลยุทธในการส่งเสริมนักกีฬารุ่นใหม่ที่ได้ผลตอบแทนอย่างน่าภูมิใจ 

สื่อเวียดนามย้ำว่า นักกีฬาเวียดนาม ไม่ได้ด้อยกว่าชาติใดๆ ในอาเซียน เพียงแต่ต้องกลับมาเรียนรู้ ทบทวนใหม่ ว่าการส่งเสริมทีมชาติของเวียดนามพลาดที่ตรงไหน ก่อนจัดทัพใหม่อีกคร้้ง ในงานโอลิมปิกครั้งต่อไปที่นคร ลอส แอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 2028 

‘รัฐบาลจีน’ เดินหน้าโครงการดาวเทียม ‘Thousand Sails’ ตั้งเป้ายิงดาวเทียมอีก 15,000 ลูก ชิงตลาดแข่ง ‘Starlink’

เมื่อวันอังคารที่ 6 ส.ค. 67 ที่ผ่านมา จีนได้ส่งดาวเทียมชุดแรก จำนวน 18 ลูก ขึ้นสู่วงโคจรได้สำเร็จ ถือเป็นก้าวสำคัญของ ‘Thousand Sails Constellation’ โครงการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมระดับเมกะโปรเจกต์ ของรัฐบาลจีน ที่ตั้งเป้าส่งดาวเทียมให้ได้ถึง 15,000 ลูก ครอบคลุมการให้บริการอินเทอร์เนตทั่วทุกมุมโลก

เชียนฟาน ซิงจั้ว (千帆星座) หรือโครงการดาวเทียมเรือใบพันดวง แต่เริ่มเดิมทีใช้ชื่อว่า ‘G60 Starlink’ ดูแลโดย Shanghai Spacecom Satellite Technology (SSST) บริษัท Start-up ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเซี่ยงไฮ้ ถึง 6.7 พันล้านหยวน เพื่อพัฒนาดาวเทียมอินเทอร์เนตที่ใช้ได้ทั้งในเชิงพาณิชย์ และ การทหาร 

หลังจากที่เพิ่งประกาศเริ่มโครงการเมื่อปี 2566 ผ่านไปเพียง 1 ปี ก็สามารถส่งดาวเทียมชุดแรก 18 ดวง โดยจรวด Long March 6A ที่ฐานปล่อยยาน Taiyuan Satellite Launch Center ที่ตั้งอยู่ในมณฑลซานซี ทางตอนเหนือของจีนได้สำเร็จแล้วในวันนี้

สื่อ CCTV ของจีนรายงานว่า ภายในปี 2568 จีนมีเป้าหมายที่จะส่งดาวเทียมอีก 648 ดวง แล้วจะเริ่มเข้าสู่เฟสแรกของการสร้างโครงข่ายดาวเทียมสัญชาติจีน ซึ่งจะถือเป็นก้าวสำคัญในเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของจีนในการมุ่งสู่ธุรกิจบรอดแบนด์เชิงพาณิชย์ที่กำลังเติบโตในระดับโลก 

จากข้อมูลล่าสุด ปี 2567 มีดาวเทียมที่ใช้งานกันอยู่ในโลกประมาณ 10,000 ดวงบนชั้นบรรยากาศ โดยผู้บริโภคทั่วไป องค์กรเอกชน หน่วยงานภาครัฐ และ การทหาร ซึ่งบริษัทที่เป็นเจ้าตลาดผู้ให้บริการโครงข่ายอินเทอร์เนตดาวเทียมก็คือ Starlink ของ อีลอน มัสก์ ที่ครอบครองดาวเทียมมากที่สุดถึง 6,646 ดวง และมีแผนที่จะเพิ่มเป็น 12,000 ดวงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า 

ซึ่งโครงการ ‘Thousand Sails’ ของจีน มีการตั้งเป้าส่งดาวเทียมวงโคจรต่ำให้ได้ถึง 15,000 ลูกเช่นกัน  ที่ไม่ใช่เพียงแค่แข่งขันกับโครงข่าย Starlink ของอีลอน มัสก์ เท่านั้น แต่เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพ และความทะเยอทะยานในเทคโนโลยีด้านอวกาศของจีน ที่จะแข่งขันกับชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาให้ได้ในอนาคตอันใกล้

การพัฒนาด้านเทคโนโลยีอวกาศของจีนทะยานอย่างก้าวกระโดดในช่วงเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2563 จีนสามารถพัฒนาดาวเทียม BeiDou ที่ใช้สนับสนุนระบบนำทางและระบุตำแหน่งพิกัดระดับโลก ที่เทียบได้กับระบบ GPS ของรัฐบาลสหรัฐฯ

อีกทั้งความสำเร็จของโครงการฉางเอ๋อ 6 ที่สามารถลงจอดบนพื้นผิวด้านมืดของดวงจันทร์ที่ยังไม่เคยมีชาติใดสำรวจมาก่อน และยังสามารถพายานกลับถึงเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ พร้อมตัวอย่างหินด้านมืดของดวงจันทร์ที่เป็นประโยชน์ในงานวิจัยอีกจำนวนหนึ่ง

และโครงการสร้างเครือข่ายดาวเทียมขนาดใหญ่ ‘Thousand Sails’ เป็นการตอกย้ำให้ถึงความพร้อมของจีน ในการท้าชิงตำแหน่งมหาอำนาจด้านอวกาศ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ความฝันที่ไกลตัวอีกต่อไป แต่จีนจะไปได้ไกลแค่ไหนกับโครงการเทคโนโลยีอวกาศ เป็นเรื่องที่น่าติดตามไม่น้อยทีเดียว

'เดวิด หย่ง' เซเลปเศรษฐีผู้โชว์รวยใน Super Rich in Korea ของ Netflix ถูกจับโป๊ะ!! ข้อหาปลอมแปลงเอกสารเงินกู้ของบริษัทตัวเอง

หากใครเคยผ่านตา Super Rich in Korea รายการ Reality Show ของเกาหลีใต้ที่ถ่ายทอดชีวิตติดหรูสุดๆ ของสังคมมหาเศรษฐีที่ฉายทาง Netflix จะต้องรู้จัก 'เดวิด หย่ง' หรือชื่อจริงว่า 'หย่ง คัง หลิน' กับคำเคลมสุดฮิตที่ใช้เปิดรายการของเขาว่าเป็นมหาเศรษฐีระดับ Top 1% 'Super Rich' ของสิงคโปร์

ที่มาของความร่ำรวยของ เดวิด หย่ง มหาเศรษฐีวัยเพียง 38 ปีชาวสิงคโปร์ มาจาก Evergreen Group Holdings บริษัทบริหารสินทรัพย์ ที่ลงทุนในธุรกิจหลากหลายตั้งแต่ การค้าไม้, อสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงธุรกิจสันทนาการและวงการบันเทิง 

จนเมื่อปี 2020 เดวิด หย่ง ตัดสินใจย้ายไปอยู่กรุงโซล เกาหลีใต้ เพราะสนใจธุรกิจ K-Pop และได้ร่วมลงทุนในค่ายเพลงเกาหลีใต้เล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่ชื่อว่า Attrakt ถึง 1 หมื่นล้านวอน และมีศิลปินในสังกัดที่เดบิวต์แล้วเป็นวงเกิร์ลกรุ๊ป Fifty Fifty ก็ทำให้ชื่อเสียงของเดวิด หย่ง เป็นที่จับตาในแวดวงไฮโซ ในเกาหลีใต้ จนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในรายการ Super Rich in Korea

โดยในรายการนั้น เจ้าตัว ได้เปิดเผยไลฟ์สไตล์เหนือระดับคนทั่วไปในห้องชุดสุดหรูบนตึกระฟ้า Lotte World Tower ในกรุงโซล เดินทางด้วยเครื่องบินเจทส่วนตัว ซื้อของแบรนด์เนมเป็นว่าเล่น และ มีธุรกิจทั้งในเกาหลีใต้, สิงคโปร์ และ กัมพูชา 

แต่มาวันนี้เซเลปเศรษฐีบนยอดพีระมิด 1% ของสิงคโปร์กลับเจอปัญหาเสียแล้ว เมื่อทางการสิงคโปร์ได้ออกหมายจับกุม และดำเนินคดี เดวิด หย่ง เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมานี้เอง ในข้อหาปลอมแปลงเอกสารการเงิน เพื่อใช้ประกอบการกู้เงินสำหรับบริษัท Evergreen Group ของเขา 

โดย เดวิด หย่ง ถูกกล่าวหาว่ามีเจตนาทุจริต และยังให้การสนับสนุน 'โจลีน โลว์ มง ฮาน' ผู้ช่วยของเขา ปลอมแปลงเอกสาร และ ใบกำกับภาษี ของ Evergreen Group ลงวันที่ 1 กันยายน 2021 เพื่อขายอุปกรณ์และเครื่องใช้ภายในบ้านจำนวนมากให้กับบุคคลที่ชื่อ 'รอย เตียว' ที่พบว่าเป็นเอกสารปลอม 

หากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง เดวิด หย่ง อาจถูกตัดสินโทษจำคุกได้ถึง 10 ปี หรือ ทั้งจำ ทั้งปรับ ตามมาตรา 477A ของสิงคโปร์ ที่ว่าด้วยเรื่องความผิดฐานการปลอมแปลงบัญชี

ทว่า คดีความของ เดวิด หย่ง ไม่ได้มีเพียงแค่นี้!!

สำนักงานกำกับดูแลการบัญชีและองค์กร พบว่า Evergreen Group ซึ่งเดิมใช้ชื่อว่า Evergreen Teak Trading มีทุนจดทะเบียน 490,000 เหรียญสิงคโปร์ โดยมี หย่ง อิงฟัต พ่อของ เดวิด หย่ง เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นเพียงคนเดียว ส่วน เดวิด หย่ง ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท และได้ยุติบทบาทการเป็นกรรมการของบริษัทตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2566 หลังจากที่ย้ายไปเกาหลีใต้ 

ต่อมา บริษัท Evergreen Group ของเขาก็ถูกระบุอยู่ในรายชื่อเพื่อแจ้งเตือนนักลงทุนของสำนักงานการเงินสิงคโปร์ ว่าบริษัทนี้ไม่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจการให้บริการทางการเงินในสิงคโปร์

และเมื่อ เดวิด หย่ง ถูกหมายจับคดีปลอมแปลงเอกสารในวันนี้ กรมกิจการพาณิชย์ก็จะดำเนินการสอบสวนกิจกรรมทางธุรกิจของ Evergreen Group ในข้อกล่าวหาเรื่องการฉ้อโกงอีกด้วย

นี่จึงกลายเป็นข่าว Talk of the town เมาต์กันสนั่นเมืองทั้งในสิงคโปร์ และ เกาหลีใต้ ถึง เดวิด หย่ง ที่เคยถูกมองว่าเป็นมหาเศรษฐีสิงคโปร์ผู้รวยล้นฟ้าตามแบบฉบับชาว Crazy Rich Asians หรืออัศวินขี่ม้าขาวผู้กอบกู้ค่ายเพลงเล็ก ๆ ในเกาหลีใต้ 

แต่ดูเหมือนมาวันนี้ เจ้าตัวจะเข้าตำรา ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง หรือเปล่าน้า?

‘นักกีฬารัสเซีย-เบลารุส’ ต้องร่วมโอลิมปิก 2024 ภายใต้ชื่อ ‘AIN’ เหตุสงครามยูเครนทำให้ถูกแบน จนต้องแข่งขันอย่างไร้ประเทศ

มหกรรมกีฬาโอลิมปิก ถือเป็นงานแข่งขันกีฬาระดับโลก ที่แต่ละประเทศในโลกจะส่งตัวแทนนักกีฬาต่างส่งนักกีฬาตัวแทนมาแข่งขันในงานนี้ พร้อมตราสัญลักษณ์ ธงชาติ หากนักกีฬาชาติได้รับชัยชนะ จะถือเป็นเกียรติประวัติ ผลงานความภาคภูมิใจของชาตินั้น ๆ

แต่ทว่า ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสในปี 2024 นี้ กลับมีนักกีฬาที่ลงสนามในนาม ‘AIN’ ที่ย่อมาจาก Athlètes Individuels Neutres ในภาษาฝรั่งเศส หมายถึง นักกีฬาเป็นกลางรายบุคคล และใช้ธงขาวที่แสดงสัญลักษณ์ AIN แทนธงชาติตามสัญชาติของนักกีฬา 

โดย AIN เป็นชื่อที่คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) อนุมัติให้กับนักกีฬาจากรัสเซีย และ เบลารุส ใช้เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันในปารีส โอลิมปิก 2024 นี้ แต่จะไม่อนุญาตให้นักกีฬาภายใต้ชื่อ AIN แสดงสัญลักษณ์ใด ๆ ก็ตามที่สื่อถึงชาติของตนระหว่างการแข่งขันกีฬา รวมถึงการใช้เพลงชาติเมื่อนักกีฬาจาก AIN ชนะเลิศ ได้เหรียญทองอีกด้วย เงื่อนไขนี้เป็นผลพวงจากที่รัสเซีย และ เบลารุส ถูกคว่ำบาตรจากเหตุการณ์รุกรานยูเครนในปี 2022 เป็นต้นมา

ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เนื่องด้วยรัสเซียเคยถูกแบนในการเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกที่กรุงโตเกียว ในปี 2020 มาก่อนจากคดีอื้อฉาวเรื่องการใช้สารกระตุ้นต้องห้าม แต่ทีมนักกีฬารัสเซียคนอื่น ๆ ยังสามารถเข้าร่วมการแข่งขันภายใต้ชื่อ ‘คณะกรรมการโอลิมปิกรัสเซีย’ หรือ ROC ได้ 

แต่สำหรับโอลิมปิกคราวนี้ มีประเด็นการเมืองที่ต่างออกไป และเป็นครั้งแรกที่เบลารุส ถูกแบน จึงทำให้นักกีฬาของเบลารุส และ รัสเซีย ต้องลงแข่งขันภายใต้ชื่อใหม่ ‘AIN’ ใช้เพียงตราสัญลักษณ์บนพื้นขาว และใช้เพลงบรรเลงที่กำหนดโดยคณะกรรมการโอลิมปิก เมื่อขึ้นรับเหรียญรางวัลเท่านั้น

และไม่ใช่นักกีฬารัสเซีย และ เบลารุส ทุกคนสามารถเข้าร่วมการแข่งขันในนาม AIN ได้ แต่ต้องได้รับการอนุมัติจากสหพันธ์กีฬานานาชาติแต่ละแห่งก่อน แม้ว่านักกีฬาจะมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ก็ตาม 

อีกทั้งนักกีฬา AIN ไม่ถือเป็นทีม หรือเป็นตัวแทนของชาติใด จึงไม่สามารถเข้าร่วมในขบวนแห่นักกีฬาในพิธีเปิดที่แม่น้ำแซนได้ รวมถึงตัวแทนรัฐจากทั้งรัสเซีย และ เบลารุส จะไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในพิธีใด ๆ ในงานโอลิมปิกครั้งนี้ และเหรียญรางวัลที่ได้จากการแข่งขันของนักกีฬา AIN ก็จะไม่ถูกรวมอยู่ในตารางเหรียญรางวัลด้วยเช่นกัน

จึงถือว่า รัสเซีย และ เบลารุส ได้ถูกแบนจากการเข้าร่วมกีฬาโอลิมปิก 2024 แล้ว แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ยูเครนบางคนแย้งว่า ทาง IOC ไม่ควรอนุญาตให้นักกีฬารัสเซีย และ เบลารุสคนใดเลยเข้าร่วมการแข่งขันเลย แม้ว่าจะอยู่ในนาม AIN ก็ตาม 

แต่คณะกรรมการ IOC ได้กล่าวในแถลงการณ์แสดงความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกับยูเครนเมื่อเดือนมกราคม 2023 ว่า ‘ไม่ควรมีนักกีฬาชาติใดถูกกีดกันเพียงเพราะหนังสือเดินทางของพวกเขา’

แต่หาก IOC ใช้ประเด็นเรื่องการรุกรานยูเครน ในการแบนรัสเซีย และ เบลารุส จึงเกิดคำถามว่า IOC ควรใช้มาตรฐานเดียวกันกับประเด็นความขัดแย้งในสงครามกาซาด้วยหรือไม่? 

โดยมีการยื่นคำร้องจากผู้ร่วมลงนามหลายแสนคนให้แบนอิสราเอลจากการเข้าร่วมมหกรรมกีฬาโอลิมปิก เช่นเดียวกับ รัสเซีย และ เบลารุส จากเหตุใช้กำลังทหาร และ การโจมตีทางอากาศของกองทัพอิสราเอลเข้าถล่มเขตพลเรือนในฉนวนกาซ่า อันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 4 หมื่นคน ในจำนวนนั้นมีนักกีฬาชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 400 คน 

แต่สุดท้าย อิสราเอลสามารถเข้าร่วมงาน ปารีส โอลิมปิก 2024 โดยได้ส่งนักกีฬา 88 คน เข้าร่วมแข่งขันในกีฬา 16 ประเภท

สมเป็นมหกรรมกีฬาของโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง และการเมืองที่แท้จริง

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘มาเลเซีย’ ออกกฎหมายต่อสู้กับอาชญากรรมในโลกออนไลน์ บังคับทุกแพลตฟอร์ม ‘โซเชียลมีเดีย’ ต้องขอใบอนุญาตจากภาครัฐ

รัฐบาลมาเลเซียเอาจริงกับปัญหาสื่อสังคมออนไลน์ในประเทศ เมื่อคณะกรรมการการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) กำหนดให้แพลตฟอร์มผู้ให้บริการโซเชียลมีเดีย และส่งข้อความออนไลน์ ที่มีบัญชีผู้ใช้งานตั้งแต่ 8 ล้านบัญชีขึ้นไปในมาเลเซีย ต้องขึ้นทะเบียนเพื่อขอใบอนุญาตตามกรอบกฎหมายการกำกับดูแลใหม่ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 1 มกราคม 2568

กรอบระเบียบใหม่นี้ สอดคล้องกับการตัดสินใจในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่ว่าโซเชียลมีเดียและบริการส่งข้อความทางอินเทอร์เน็ตจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของมาเลเซีย เพื่อต่อสู้กับคดีอาชญากรรมและการฉ้อโกงทางไซเบอร์ รวมถึงพฤติกรรมการกลั่นแกล้งกันบนโลกออนไลน์ และอาชญากรรมทางเพศต่อเด็กและเยาวชน ผ่านสื่อโซเชียลที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก 

โดยรัฐบาลมาเลเซียเชื่อมั่นว่า กรอบระเบียบใหม่นี้ จะช่วยสร้างระบบนิเวศออนไลน์ที่ปลอดภัย มีคุณภาพ เพื่อประสบการณ์ที่ดีสำหรับผู้ใช้งานทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะเด็กและครอบครัว

นั่นหมายความว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ อาทิ Facebook, Instagram, WhatsApp, Line, Youtube, TikTok, Telegram, X และอื่น ๆ ที่มีผู้ใช้งานในมาเลเซียเกิน 8 ล้านบัญชี ต้องมาลงทะเบียนขอใบอนุญาต และปฏิบัติตามกรอบกฎหมายใหม่นี้ นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 นี้เป็นต้นไป จนถึงภายในวันที่ 1 มกราคม 2568 มิฉะนั้น จะถือเป็นความผิด ที่ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายของมาเลเซีย ที่อาจมีผลถึงการถูกระงับการเผยแพร่ หรือใช้งานภายในประเทศได้

ก่อนหน้านี้ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และสื่อออนไลน์ ได้รับการยกเว้นในการขอใบอนุญาตตามระเบียบข้อบังคับกิจการสื่อในมาเลเซีย ซึ่งแตกต่างจากสื่อออฟไลน์ดั้งเดิม ที่ต้องอยู่ภายในกฎหมายควบคุมของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด และนั่นจึงกลายเป็นช่องโหว่ที่นำไปสู่การก่ออาชญากรรมมากมาย ที่ใช้ช่องทางโซเชียลเข้าถึงเหยื่อผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก

จากข้อมูลของ MCMC พบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2020 - ตุลาคม 2023 มีคดีหลอกลวงทางไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายให้แก่เหยื่อ เป็นมูลค่าสูงกว่า 506 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีคดีเกี่ยวข้องกับการ กลั่นแกล้ง และเผยแพร่คำพูดแสดงความเกลียดชังผ่านโซเชียลถึง 3,419 รายการ

และล่าสุดจากกรณีการฆ่าตัวตายของ ‘Esha’ หรือ ราชาสวารี อัพพาหุ TikToker สาวชื่อดังชาวมาเลเซีย ที่ทำคอนเทนต์ด้านความงาม และการใช้ชีวิตแบบคิดบวก แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถต่อสู้กับข้อความบูลลี่ คุกคาม ไปจนถึงการขู่ฆ่าทางออนไลน์ได้ จนเกิดอาการซึมเศร้าและจบชีวิตตนเองเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา กลายเป็นประเด็นที่ชาวมาเลเซียวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงมาตรการป้องกันการกลั่นแกล้ง ดูหมิ่นกันในโลกออนไลน์อย่างเหมาะสม

แต่เมื่อรัฐบาลมาเลเซียตัดสินใจที่จะจัดระเบียบโซเชียลใหม่ ก็มีกลุ่มต่อต้านมองว่า รัฐบาลกำลังใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการควบคุมสื่อออนไลน์ เป็นการละเมิดเสรีภาพทางการพูด และนำเสนอข่าวทางสื่อสาธารณะ ที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ที่จะนำไปสู่การปิดกั้น และ ปราบปรามกลุ่มเห็นต่างทางการเมือง ที่ต่อต้านรัฐบาลได้ในภายหลัง

และมีการส่งจดหมายเปิดผนึกจากองค์กรอิสระ 44 แห่งและนักเคลื่อนไหว 23 คน ถึงนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ประณามการออกกฎหมายควบคุมสื่อโซเชียลมีเดียดังกล่าวว่า เป็นการใช้อำนาจมิชอบอย่างโจ่งแจ้ง เพื่อโจมตีระบอบประชาธิปไตย และลดการมีส่วนร่วมของประชาชน

ในขณะเดียวกัน กฎหมายควบคุมแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหม่ของมาเลเซีย กำลังจะกลายเป็นต้นแบบให้กับรัฐบาลอื่น ๆในอาเซียน อย่างอินโดนีเซีย และ สิงคโปร์ ที่กำลังพิจารณากฎหมายควบคุมสื่อสังคมออนไลน์ด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันอาชญากรรมทางออนไลน์ไม่ให้ประชาชนของชาติตกเป็นเหยื่อ

หากรัฐบาลหลายชาติเริ่มออกมาเคลื่อนไหวในการกำหนดกรอบกติกาการใช้สื่อโซเชียลมีเดียมากขึ้น ก็ต้องมาติดตามว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ว่าจะออกมาปรับตัวให้อยู่ในกรอบเพื่อรักษาตลาด หรือ ปลุกกระแสต่อต้านเพื่อรักษาคำว่า "เสรีภาพสื่อ" ที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้กฎหมายของชาติใด

'ญี่ปุ่น' เข้ม!! จัดหมวด 'กระเป๋าเดินทางไฟฟ้า' เป็น 'ยานพาหะ' สั่งแบนขี่ซิ่งใน 'สนามบิน - ท้องถนน - ทางเท้า' ฝ่าฝืนเจอจับปรับ

นับเป็นปีทองด้านการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นจริง ๆ ด้วยอานิสงส์จากค่าเงินเยนอ่อน บวกกับสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะอันยอดเยี่ยม สถานที่ท่องเที่ยว และวัฒนธรรม ที่มีเอกลักษณ์ดึงดูดใจ จึงทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตพุ่งแรงในปีนี้ จากตัวเลขนักท่องเที่ยวช่วงครึ่งปีแรกของปี 2024 อยู่ที่ 17.78 ล้านคน มากกว่าช่วงเดียวกันของปี 2019 ก่อนเกิดวิกฤติการณ์ Covid-19 ถึง 1 ล้านคนทีเดียว

ในขณะที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวญี่ปุ่นกำลังบูมสุดขีด แต่ญี่ปุ่นกลับต้องแลกกับความวุ่นวาย และความไร้ระเบียบที่เกิดจากความไม่คุ้นชินของนักท่องเที่ยว จนทางการญี่ปุ่นจำเป็นต้องออกกฎระเบียบเพิ่มมากขึ้น และระเบียบใหม่ล่าสุดที่เพิ่งออกมาคือ ข้อห้ามในการใช้กระเป๋าเดินทางไฟฟ้า 

‘กระเป๋าเดินทางไฟฟ้า’ หรือ ที่บ้านเราเรียกว่ากระเป๋าเดินทางขี่ได้ กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยว เป็นกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กที่ติดมอเตอร์ไว้ด้านใน สามารถขึ้นไปนั่งขี่ได้คล้ายรถสกูตเตอร์ไฟฟ้า ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเทียม ขับขี่ได้ด้วยความเร็วตั้งแต่ 10-15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

และเมื่อมีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาในญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก จึงมักพบเห็นนักท่องเที่ยวนำกระเป๋าเดินทางไฟฟ้าออกมาขี่ตามท้องถนน และทางเท้าในญี่ปุ่น ไม่นับรวมการขี่ด้วยความเร็วภายในอาคารสนามบินที่มีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นจึงได้ออกระเบียบใหม่ สำหรับการใช้กระเป๋าเดินทางไฟฟ้าในญี่ปุ่น เพราะมันจะไม่นับเป็นกระเป๋าที่ใช้บรรจุสัมภาระเดินทางอีกต่อไป แต่ถูกจัดให้เป็น 'ยานพาหะติดเครื่องยนต์' แทน 

เมื่อเป็นถูกจัดให้อยู่ในหมวด 'ยานพาหะ' ก็หมายความว่าผู้ใช้สามารถขี่กระเป๋าเดินทางไฟฟ้าบนท้องถนนได้ต่อเมื่อติดตั้งอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ และหมวกกันน็อก พร้อมมีใบอนุญาตในการขับขี่ด้วย แม้ว่าจะขี่ด้วยความเร็วไม่มากก็ตาม

นอกจากนี้ สนามบินนานาชาติชูบุเซ็นแทรร์ ในจังหวัดไอจิ และสนามบินคันไซ ในโอซาก้า ได้ออกมาประกาศขอให้ผู้โดยสารงดขี่กระเป๋าเดินทางไฟฟ้าภายในอาคาร เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุแล้วเช่นกัน

กฎระเบียบใหม่ของการใช้กระเป๋าเดินทางไฟฟ้าในญี่ปุ่น มีผลบังคับใช้แล้ว และมีการจับ ปรับ จริงเมื่อพบเห็นผู้ฝ่าฝืน อย่างกรณีนักศึกษาสาวจีนคนหนึ่งได้ขี่กระเป๋าเดินทางไฟฟ้าบนทางเท้า และเด็กชายชาวอินโดนีเซีย ที่นำกระเป๋าเดินทางมาขี่เล่นกลางย่านการค้าโดทมโบริ ในโอซาก้า โดยที่ไม่รู้ว่าต้องมีใบขับขี่ และสวมหมวกกันน็อก จึงขี่ได้ 

เป็นข้อมูลอัปเดตล่าสุดสำหรับนักท่องเที่ยวสายติดล้อ ที่ใช้กระเป๋าเดินทางไฟฟ้าอยู่ ยังสามารถใช้ใส่สัมภาระขึ้นเครื่องบินได้ ใช้ลากได้ แต่ขี่ในสนามบินบางแห่งของญี่ปุ่นไม่ได้ และนำมาขี่เล่นตามทางเท้าก็ไม่ได้แล้วด้วย มิฉะนั้น อาจถูกจับ และปรับได้ แล้วจะหาว่าเจ้าบ้านไม่เตือน ไม่ได้นะ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top