Monday, 6 May 2024
ไปรษณีย์ไทย

‘ชัยวุฒิ’ เปิดการประชุมสหภาพไปรษณีย์เอเชียฯ ระดมความเห็นยกระดับบริการขนส่งยุคดิจิทัล

ประเทศไทย เป็นเจ้าภาพการประชุมใหญ่สหภาพไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก สมัยที่ 13 (13th APPU Congress)  

วันนี้ (29 สิงหาคม 2565) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานพิธีเปิด การประชุมใหญ่สหภาพไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก สมัยที่ 13 (13th APPU Congress) ณ โรงแรมแชงกรี-ล่า กรุงเทพฯ

ประเทศไทย โดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้รับความไว้วางใจ จากสหภาพไปรษณีย์ฯ เป็นประธานสภาบริหาร(Executive Council – EC) ต่อเนื่องเป็นเวลา 4  ปี ทำหน้าที่ กำหนดหลักเกณฑ์การให้บริการไปรษณีย์ระหว่างประเทศ รวมถึงวางระเบียบการบริหารงานของสหภาพฯ ทำให้ประเทศไทยมีบทบาทในการแสดงความร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์กับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค สามารถผลักดันแผนงานต่าง ๆ เพื่อพัฒนากิจการไปรษณีย์ของไทยและของประเทศสมาชิก รวมทั้งส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในฐานะประเทศที่ตั้งของสำนักงานใหญ่สหภาพฯ มากยิ่งขึ้น ปัจจุบัน มีประเทศสมาชิกทั้งหมด 32 ประเทศ


 

เปิดตัว Digital Post ID รหัสไปรษณีย์แบบดิจิทัล ส่งของไม่ต้องจ่าหน้า แปะ QR บอกพิกัดแทน

(1 ธ.ค. 65) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ปณท ร่วมกันเปิด โครงการ Digital Post ID (ดิจิทัลโพสต์ไอดี) ที่จะบอกข้อมูลที่อยู่ได้แบบพิกัด GPS โดยผู้ส่งไม่ต้องเขียนจ่าหน้า แต่ใช้เป็นฉลาก QR Code แปะ ผลักดันไปรษณีย์ไทยสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0พร้อมตั้งเป้าเปิดใช้งานจริงไตรมาส 2 ปี 2566 

Digital Post ID เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ระบบที่อยู่ดิจิทัล’ (Location based Digital ID) เป็นการปรับเปลี่ยนการระบุข้อมูลตำแหน่งที่อยู่เดิมให้เป็นที่อยู่ดิจิทัล หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ เชื่อมโยงข้อมูลผู้รับและผู้ส่งเข้ากับพิกัดที่อยู่ โดยต่อยอดมาจากการใช้รหัสไปรษณีย์ 5 หลัก ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานการส่งไปรษณีย์ที่ไทยใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 มาแปลงเป็นพิกัดที่ตั้งบนพื้นผิวโลกในประเทศไทย โดยมีหลักการทำงานเดียวกันกับระบบ GPS ซึ่งจะทำให้ระบุที่อยู่ได้แม่นยำกว่าเดิม 

“เดิมเลขไปรษณีย์ 5 หลักจะบอกได้ถึงเขตพื้นที่เท่านั้น แต่ Digital Post ID ระบุได้ถึงพิกัดตำแหน่งด้วยการปักหมุด บอกพิกัดแนวดิ่งได้ ทำให้ระบุที่อยู่สำหรับคนที่อยู่ในอาคารสูงได้แม่นยำ และที่น่าสนใจคือ เมื่อไม่ต้องจ่าหน้าเป็นตัวหนังสือ ก็จะทำให้ช่วยปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลได้ ป้องกันการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้การขนส่งมีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้นอีกด้วย”

สำหรับวิธีการใช้งาน คือ ผู้รับจะต้องสมัครและกรอกข้อมูลรายละเอียดการจัดส่ง คือ ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร พิกัด ของตัวเองลงในแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของไปรษณีย์ไทย (กำลังพัฒนาระบบ) จากนั้นก็ส่ง QR Code ให้ผู้ส่งนำไปพิมพ์ที่ที่ทำการไปรษณีย์ หลังจากนั้นไปรษณีย์จะพิมพ์ข้อมูลดิจิทัลโพสต์ไอดีออกมาเป็นฉลาก QR Code แล้วแปะบนกล่องพัสดุ หรือซองจดหมาย (โดยในอนาคตจะมีเครื่องพิมพ์ QR Code ในที่ทำการไปรษณีย์เพื่อรองรับระบบดิจิทัลโพสต์ไอดี) โดยผู้รับและผู้ส่งมั่นใจได้ว่าข้อมูลส่วนบุคคลจะไม่หลุด เนื่องจากบนจ่าหน้ากล่อง/ซอง จะไม่ปรากฏข้อมูลส่วนบุคคล และต้องใช้แอปพลิเคชันบนอุปกรณ์อ่าน QR Code เท่านั้น ถึงจะโชว์ข้อมูลผู้รับ-ผู้ส่ง

ไม่เพียงเท่านั้น QR Code จะเป็นแบบใช้งานได้ครั้งเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังมีการจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ตามหลักการของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

ตร. จับมือ ไปรษณีย์ไทย ส่งไซเบอร์วัคซีน เตือน 18 รูปแบบกลโกงแห่งปีที่ต้องระวัง แจกจ่ายทั่วประเทศ เป็นด่านแรกรู้เท่าทันกลโกง

วันนี้ (14 ธ.ค. 65) ที่ เวลา 11.00 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด  จับมือร่วมลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการประชาสัมพันธ์กลโกงของมิจฉาชีพในคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ระหว่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด สำหรับแจกจ่ายให้ประชาชน และสถานีตำรวจ ทั่วประเทศ 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ เปิดเผยว่า ปัจจุบันคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยียังมีสถิติเพิ่มสูงขึ้น เฉลี่ยวันละ 600-700 ราย แม้ตำรวจจะเร่งปราบปรามจับกุมทุกมิติมาต่อเนื่อง แต่กลุ่มคนร้ายจะมีการปรับเปลี่ยนวิธีการกลโกง หลอกลวงประชาชนหลายรูปแบบแตกต่างกัน ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน สูญเสียทรัพย์สิน และกระทบต่อระบบเศรษกิจของประเทศ ตำรวจเพียงหน่วยเดียวจึงไม่สามารถแก้ปัญหา จำเป็นต้องอาศัยภาคีเครือข่ายในการร่วมกันป้องกัน รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมกลโกงจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะประชาชน ถือเป็นด่านแรกของการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหา จึงจำเป็นที่จะต้องเพิ่มไซเบอร์วัคซีนให้ถึงประชาชนโดยเร็วและมากที่สุด ต้องขอบคุณ นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด ที่เข้ามาช่วยผลักดัน ไซเบอร์วัคซีน ให้ถึงประชาชนกลุ่มเป้าหมาย โดย ตร. ได้รวบรวมรูปแบบลักษณะการกระทําผิด แผนประทุษกรรม วิธีการหลอกลวง ที่เกิดขึ้นบ่อย วิธีการป้องกัน และวิธีการตรวจสอบข้อมูลการกระทําผิด ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ สื่อเตือนภัย สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชน (Cyber Vaccine) รู้เท่าทันรูปแบบกลโกงต่างๆ ของมิจฉาชีพ 18 รูปแบบ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จะเป็นผู้จัดส่ง สื่อประชาสัมพันธ์กลโกงของมิจฉาชีพในคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในรูปแบบเอกสาร ขนาด A4 สําหรับแจกจ่ายให้ประชาชน ทั่วประเทศ และโปสเตอร์ ขนาด A3 สําหรับสถานีตํารวจทั่วประเทศ โดยจะเริ่มจัดส่งสื่อเอกสารประชาสัมพันธ์ภายในเดือนนี้ ระยะแรก จะจัดส่งใบปลิว ขนาด A4 จำนวน 1,500,000 แผ่น ส่งให้กับประชาชนทั่วประเทศ และโปสเตอร์ ขนาด A3 จำนวน 500,000 แผ่น ส่งให้กับสถานีตำรวจทั่วประเทศ 

ตำรวจรวบแล้วคนร้ายแต่งชุดบุรุษไปรษณีย์ควงอาวุธปืนบุกเดี่ยวเข้าชิงร้านทองย่านอำเภอสามพราน

ที่แท้เป็นพ่อค้าขายสินค้าออนไลน์ลอกเลียนแบบไปรษณีย์ส่งจดหมาย ประวัติก่อคดีในเขตกรุงเทพฯเกี่ยวกับร้านทอง2ครั้ง 

คืบคดีเมื่อเวลา 13.20 น.วันที่ 16 มี.ค.66 คนร้ายใช้ปืนจี้ชิงทอง ร้านจำหน่ายทองเยาวราชเอ็มโกลด์ ถนนเข้าอำเภอสามพราน 27/22 หมู่ 1 ต.ท่าตลาด อ.สามพราน จ.นครปฐม โดยคนร้ายแต่งกายสวมใส่เสื้อแขนยาวชุดบุรุษไปรษณีย์ สวมหมวกกันน็อคแบบบุรุษไปรษณีย์ ถือจดหมายพร้อมกล่องพัสดุเดินมาอยู่หน้าร้าน ทำทีจะมาส่งจดหมาย ก่อนมีพนักงานร้านทองออกไปรับ คนร้ายได้ผลักประตูและดันพนักงานเข้ามาในร้าน และคนร้ายได้ชักอาวุธปืนพกสั้นออกมาขู่ และบอกพนักงานให้หยิบทองเส้นละ 10 บาทจำนวน 10 เส้น พร้อมโยนถุงผ้าให้พนักงานและคนร้ายได้ขู่ว่า “มึงอย่ากดสัญญาณถ้ากดกูจะยิงจริงๆจนพนักงานร้องว่าอย่ายิง” และพนักงานอาศัยจังหวะวิ่งเข้าไปหลบหลังร้าน จนคนร้ายเห็นว่าไม่ได้สร้องทอง  จึงรีบวิ่งหนีออกจากร้านไป และไปขึ้นรถยนต์ ฮอนด้า ซิตี้ สีดำไม่ติดทะเบียน ที่จอดอยู่ห่างจากจุดเกิดหตุ ประมาณ 100 เมตร ไม่ทราบเส้นทางหลบหนี

ต่อมาตำรวจชุดสืบสวน สภ.สามพรานได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่คนร้ายใช้หลบหนี ทั้งขาย้อนกลับที่คนร้ายมุ่งมาก่อนเหตุที่ร้านทองและเส้นทางหลบหนีหลังก่อเหตุ จนพบว่ารถยนต์ของคนร้ายก่อนมาก่อเหตุได้จอดเปลี่ยนสลับแผ่นป้ายทะเบียนที่ซอยข้างโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ตำรวจได้ตรวจสอบเช็คทะเบียนรถยนต์จึงทราบที่มาของรถยนต์คันดังกล่าว และสามารถจับกุมนายธีรพล เส็งสมวงศ์ อายุ40ปี คนร้ายที่ก่อเหตุได้ที่คอนโดแห่งหนึ่ง ย่านถนนอิสรภาพ แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กทม.เมื่อเวลา17.00น.วันที่17มีค.ที่ผ่านมา พร้อมของกลางอาวุธปืนปลอม1กระบอก, เสื้อคลุมไปรษณีย์ไทย1ตัว, กางเกงวอร์มสีดำ1ตัว ,หมวกนิรภัยไปรษณีไทย1ใบ, ถุงมือสีดำ1คู่, หมวกแก๊ปสีน้ำเงิน1ใบ, แว่นตา1อันและรถยนต์ ทะเบียน 1กย306กทม.ที่ใช้ก่อเหตุ1คัน ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีในห้อหา “ พยายามในห้อหาชิงทรัพย์ (ลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือการพาทรัพย์นั้นไป) ” 

ต่อมาเวลา 09.00น.วันที่18 มี.ค.66 ที่สภ.สามพราน จ.นครปฐม พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรง ผบช.ภ.7 ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.พงษกร อุปพงษ์ รอง ผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.ทรงวุฒิ เจริญวชยเดช ผกก.สภ.สามพราน แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เผยว่า นายธีรพล เส็งสมวงศ์ ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุ ประวัติเคยต้องคดีที่ลักทรัพย์ สน.จักรวรรดิ และสน.ประเวศ เมื่อ2565 ซึ่งทั้งสองคดีอยู่ระหว่างอุธรณ์ โดยทั้ง2 โดยสน.จักรวรรดิเมื่อวันที่9สค.65 สน.ประเวศเมื่อวันที่12 ส.ค. 65 โดยนายธีรพลผู้ต้องหาใช้ทองปลอมสับเปลี่ยนทองจริงของร้านทองหลบหนีไป

‘กกต.-ไปรษณีย์’ นำทีมสื่อร่วมสังเกตการณ์นับบัตรเลือกตั้งล่วงหน้า ยัน ไม่มีบัตรเสีย-ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน มั่นใจ!! เลือกตั้งไม่เป็นโมฆะ

‘กกต.-ไปรษณีย์’ นำทีมสื่อมวลชนสังเกตการณ์นับจำนวนบัตรเลือกตั้งล่วงหน้า ก่อนส่งถึง 400 เขต ภายในวันที่ 12 พ.ค. 66 ขออย่ากังวลปมจ่าหน้าซองผิด ตรวจสอบได้ส่งถึงทุกคะแนนไม่มีบัตรเสีย การันตีไม่ทำคะแนนตกน้ำ มั่นใจ!! ไม่กระทบการเลือกตั้งเป็นโมฆะ

(8 พ.ค. 66) ที่สำนักงานไปรษณีย์ สำนักงานใหญ่ นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พร้อมด้วย นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไปรษณีย์ไทย ได้นำคณะสื่อมวลชนร่วมติดตามการนับจำนวนและคัดแยกบัตรลงคะแนนเลือกตั้ง ที่ผ่านการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า และบัตรลงคะแนนผู้พิการ ผู้สูงอายุ เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงบัตรเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร ที่ส่งเข้ามาถึงประเทศไทยแล้ว

นายดนันท์ กล่าวว่า ในส่วนของบัตรเลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักรมีทยอยเข้ามา กว่า 60,000 ใบ หรือประมาณ 67% จาก 45 ประเทศ จากจำนวนทั้งหมด 67 ประเทศ มีคณะกรรมการ 3 ฝ่าย คือ กรมการกงสุล กกต. และไปรษณีย์ตรวจคัดแยก ขณะนี้ บัตรเลือกตั้งล่วงหน้าในประเทศ เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา ถูกได้ขนส่งมายังศูนย์คัดแยกเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างทำการคัดแยกโดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วย กกต. และไปรษณีย์ โดยในเบื้องต้นอยู่ในส่วนของการตรวจนับ และคัดแยก ยังไม่ถึงการคัดกรองที่จำตรวจเรื่องของการจ่าหน้าซองบัตร

อย่างไรก็ตาม กระบวนการคัดแยก ตรวจสอบจะใช้เวลาภายในวันที่ 7-9 พ.ค. ช้าสุดคือ วันที่ 10 พ.ค.นี้ และเริ่มส่งไปยัง 400 เขต คาดว่าจะถึงภูมิลำเนาของภายในวันที่ 12 พ.ค.นี้ ยืนยันว่าการดำเนินการในศูนย์คัดแยกจะมีวอร์รูมคอยมอนิเตอร์ดูการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีเจ้าหน้าที่ กกต.มาร่วมทำงานด้วย สำหรับเจ้าหน้าที่ที่เข้าพื้นที่ต้องลงทะเบียน ยืนยันตัวตน ห้ามนำอุปกรณ์ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือเข้าไป และเมื่อออกจากศูนย์ จะต้องมีการตรวจค้นก่อน สำหรับขั้นตอนการตรวจนับและคัดแยกบัตรเลือกตั้ง จะตรวจรหัสซ้ำ 3 รอบ เพื่อให้แน่ใจว่าบัตรลงคะแนนจะถูกส่งตรงตามที่ผู้ลงคะแนน

ด้าน นายแสวง กล่าวว่า จำนวนผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าประมาณ 91.83% ต้องขอบคุณผู้มาใช้สิทธิ์ ที่มาด้วยแรงศรัทธาประชาธิปไตย ซึ่งสำนักงาน กกต.สัญญาว่า จะรักษาทุกเสียงที่ประชาชนได้ลงคะแนนไว้ ส่วนกรรมการประจำหน่วย และอนุกรรมการประจำเขต ซึ่งการทำงานอาจจะมีการผิดพลาดบ้าง แต่ขอบคุณที่อดทนทั้งต่อสภาพอากาศ และแรงเสียดทานทางการเมือง ทำงานร่วมกว่า 16 ชั่วโมง รวมถึงประชาชนที่ร่วมกันตรวจสอบการทำงานของ กปน. และ กกต. ซึ่งมีทั้งเรื่องจริง เรื่องเท็จ แต่สั่งให้ ผอ.ทุกจังหวัด รายงานเข้ามาทุกเรื่องที่ปรากฏเป็นข่าว ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร มีการแก้ไขอย่างไร เป็นเรื่องดีที่สิ่งที่เราทำอยู่นั้นอยู่ในสายตาของประชาชนเสมอ

ส่วนวันเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. จะไม่ให้มีสิ่งผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นอีก และคาดว่าเลือกตั้งในวันดังกล่าว การบริหารจัดการจะง่ายกว่านี้ เพราะไม่ต้องส่งไปรษณีย์ และบุคลากรที่จะทำงานมีมากกว่านี้ การลงคะแนนตรงตามหน่วยเลือกตั้งนั้นๆ ประชาชนจะไม่สับสน แต่คิดว่าเรื่องหีบไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือ ปัญหาการจ่าหน้าซอง แต่ก็ยืนยันว่าเรามีกระบวนการตรวจสอบ ขอให้ผู้ใช้สิทธิ์มั่นใจว่า ซองบรรจุบัตรเลือกตั้งจะถูกส่งไปยังหน่วยเลือกตั้งของผู้มีสิทธิ์

นายแสวง ยังกล่าวถึงกระบวนการตรวจสอบคัดแยกบัตร กรณีกรรมการประจำหน่วยเขียนรหัสจังหวัด หรือเขตเลือกตั้งผิดพลาดว่า หลังปิดหีบจะมีการตรวจสอบว่าต้นขั้วที่ใช้ไป กับจำนวนบัตรที่ออกเสียงตรงกันหรือไม่ และกรรมการประจำหน่วยจะทำบัญชีมา เมื่อไปรษณีย์ได้รับถุงบัตรมาแล้ว ก็จะทำการตรวจเบื้องต้น เมื่อคัดแยกเสร็จก็จะดูว่า จำนวนซองที่คัดแยกกับยอดต้นขั้วตรงกันหรือไม่ ดังนั้น ยอดจะกระทบกันโดยอัตโนมัติ

“ถ้ามีการจ่าหน้าซอง ถ้าถูกต้องทั้ง 3 จุด ก็จะถูกแยกออกไปเลย แต่ถ้ามีปัญหากรอกครบแต่เขียนเขตหรือรหัสเลือกตั้งผิด จะยึดรหัสเขตเลือกตั้ง 3 ตัวท้าย ซึ่งอยู่ด้านล่างของซองเป็นหลัก แต่ถ้ากรอกไม่ครบ หรือไม่มีรายละเอียดใดๆ หรือไม่มีการกรอกอะไรเลย ซึ่งส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะมี แต่ถ้ามีจะถูกส่งมาให้คณะกรรมการ ที่มีเจ้าหน้าที่ กกต. และไปรษณีย์วินิจฉัยว่า ซองนี้จะไปลงเขตใด ซึ่งจะต้องไปสอบทานกับต้นขั้วก่อน ยอมรับว่าอาจจะยุ่งยากพอสมควร” นายแสวง กล่าว

เมื่อถามว่า มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอ ซึ่งส่วนใหญ่พบว่า มีการกรอกรหัส 3 ตัวท้ายผิด นายแสวงกล่าวว่า เขตเลือกตั้งนั้นคิดว่าประชาชนทราบ แต่รหัสเขต 3 ตัวท้าย ไม่รู้ว่าประชาชนเข้าใจหรือไม่ อาจจะเข้าใจว่า กปน.ต้องกรอกรหัสไปรษณีย์ที่ตนเองมีภูมิลำเนาอยู่ ยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของ กปน. แต่การที่เราออกแบบการจ่าหน้าซอง ให้เขียนถึง 3 ชั้น เพื่อที่เวลาเกิดปัญหาก็จะสามารถตรวจสอบได้ และสามารถส่งบัตรเลือกตั้งนั้นส่งไปยังหน่วยเลือกตั้งที่ประชาชนผู้มีสิทธิ์อยู่ ดังนั้น ยืนยันว่า แม้จะมีการตั้งข้อสังเกตการทำงานของ กปน. แต่ยืนยันว่าบัตรทุกใบไม่เป็นบัตรเสีย คะแนนเสียงไม่ตกน้ำ

'ชัยวุฒิ' ร่วม 'บวงสรวง-เททองหล่อ' ชนวนนำฤกษ์วัตถุมงคลพญาครุฑ รุ่น 'สมบัติแผ่นดิน 140 ปี ไปรษณีย์ไทย' คงไว้ซึ่งศิลป์แห่งปฐมบท

เมื่อวานนี้ (13 ส.ค.66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีบวงสรวงและเททองหล่อชนวนนำฤกษ์วัตถุมงคลพญาครุฑ รุ่น 'สมบัติแผ่นดิน 140 ปี ไปรษณีย์ไทย' เพื่อสืบสานตำนานศิลป์ปฐมบท 'ครุฑยุดแตรงอน' สัญลักษณ์ของกรมไปรษณีย์โทรเลข โดย สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี หรือ เจ้าคุณธงชัย เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถสมาคม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหารเป็นประธานพิธีฝ่ายสงฆ์ ณ ไปรษณีย์กลาง บางรัก กรุงเทพฯ

ทั้งนี้ วัตถุมงคลพญาครุฑฯ จำลองมาจากประติมากรรมที่ประดับบนอาคารไปรษณีย์กลาง ซึ่งออกแบบโดยศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี

‘KBank’ จับมือ ‘ไปรษณีย์ไทย-HSEM’ นำร่องเปิด EV Bike ใช้ง่าย!! ‘จอง-จ่าย-จบ’ ในแอปฯเดียว หวังลดการปล่อยมลภาวะ

(19 ก.ย. 66) ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับไปรษณีย์ไทย และ เอช เซม มอเตอร์ (HSEM) นำร่องโครงการ ‘WATT’S UP’ แพลตฟอร์มให้เช่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าหรือ ‘EV Bike’ แบบครบวงจร สามารถจอง และจ่ายเงินได้ภายในแอปพลิเคชันเดียว เริ่มใช้กับพนักงานไปรษณีย์ไทย 3 สาขา เพื่อสนับสนุนการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดมลภาวะจากฝุ่น PM2.5 ซึ่งจะเป็นการผลักดันให้เกิด ‘Green Ecosystem’ อย่างยั่งยืน ทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ธุรกิจ ตั้งเป้าเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้แพลตฟอร์ม WATT’S UP ภายในต้นปี 2567

ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยเดินหน้าสร้าง ‘Green Ecosystem’ ผ่านโครงการ GO GREEN Together ซึ่งมีการสนับสนุนการใช้ EV Bike อย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ธนาคารมีโครงการให้เช่า EV Bike หลากหลายแบรนด์ใน K PLUS Market ซึ่งได้รับความสนใจจากกลุ่มไรเดอร์กว่า 6,000 ราย เป็นการสะท้อนความต้องการใช้ EV Bike ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

จึงต่อยอดพัฒนาโครงการ WATT’S UP ซึ่งเป็น e-Marketplace แพลตฟอร์มให้เช่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ‘จอง-จ่าย-จบ’ ครบในแอปพลิเคชันเดียว โดยมีรุ่นรถให้เช่าหลากหลาย ชำระเงินสะดวกหลากหลายช่องทางรวมถึง K PLUS และนำแบตเตอรี่มาสลับ ณ ตู้สลับแบตเตอรี่ที่รองรับแอปพลิเคชัน WATT’S UP ได้ตลอดระยะเวลาการเช่า ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในแหล่งชุมชนทั่วกรุงเทพฯ จำนวน 10 ตู้ และอยู่ระหว่างขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมมากขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานหลังจากเปิดให้ประชาชนทั่วไป

สำหรับความร่วมมือแรกของโครงการ WATT’S UP กับพันธมิตรแถวหน้าระดับประเทศอย่างไปรษณีย์ไทย และ HSEM บริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่อันดับต้นๆ ของไทย เพื่อร่วมกันผลักดันให้การเข้าถึงการใช้ EV Bike เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นและนำไปสู่การใช้อย่างแพร่หลาย เนื่องจากการใช้ EV Bike 1 คันต่อสัปดาห์เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 1.5 ต้น และการใช้ EV Bike 1 ล้านคันเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 80 ล้านต้นต่อปี สามารถลด PM2.5 ได้มากกว่า 760 ตัน และลดก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 748,000 ตัน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่ Net Zero ได้ตามเป้าหมาย และธุรกิจสามารถลดค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันลงได้ถึง 25%

นายนเรศ ไชยวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานระบบไปรษณีย์และปฏิบัติการนครหลวง บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ของไทยมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ไปรษณีย์ไทยในฐานะผู้ให้บริการขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศ มีการนำจ่ายถึงครัวเรือนโดยใช้ยานยนต์สันดาป ไปรษณีย์ไทยจึงมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนผ่านระบบงานของไปรษณีย์ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกให้มากขึ้น เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทย ความร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยและ HSEM ในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเปลี่ยนผ่านโดยมีแนวทางการนำรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเข้ามาใช้ในระบบ ซึ่งไม่เพียงจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของไปรษณีย์ไทยแล้ว ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมตามแนวทาง ESG อีกด้วย

ด้านนายวันชัย ลี้นะวัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอช เซม มอเตอร์ จำกัด หรือ ‘HSEM’ ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยหลักการทำงานภายใต้แนวคิด ESG เอช เซม มีความแน่วแน่และตั้งใจเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมสีเขียว โดยร่วมเป็นผู้ช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คืนอากาศบริสุทธิ์ให้สังคมและสิ่งแวดล้อม และมีความมั่นใจว่าความร่วมมือกันในครั้งนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนที่จะกระตุ้นให้การใช้ EV Bike เพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน

สำหรับความร่วมมือภายใต้โครงการ WATT’S UP แพลตฟอร์มเช่า EV Bike จอง-จ่าย-จบครบในแอปเดียว จะนำร่องใช้งานที่ไปรษณีย์ไทย 3 สาขา ได้แก่ สาขาจตุจักร สาขาสามเสนใน และสาขานนทบุรี โดยพนักงานไปรษณีย์ที่เป็นเจ้าหน้าที่ขนส่งขับขี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า HSEM และนำมาสลับแบตเตอรี่ได้ตลอดการใช้งาน โดยไม่ต้องชาร์จไฟเอง ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้การขับขี่มีความสะดวกและคล่องตัวยิ่งขึ้น สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ลดมลภาวะ และลดค่าใช้จ่ายจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิง

ทั้งนี้ จะนำความเห็นจากกลุ่มผู้ใช้งานมาพัฒนาโครงการ ให้รองรับการเปิดให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปภายในต้นปี 2567

‘แสตมป์แพงสุดในโลก’ มูลค่าสูงกว่า 300 ล้านบาท ถึงเมืองไทยแล้ว ปชช.ร่วมชมความยิ่งใหญ่ได้ที่อาคารไปรษณีย์กลาง 27 พ.ย.-3 ธ.ค.นี้

(27 พ.ย.66) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และสมาคมนักสะสมตราไปรษณียากรแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ (ส.ต.ท.) นำแสตมป์สีม่วงแดง 1 เซ็นต์ บริติช กีอานา ปี 1856 (The British Guiana One-Cent Black on Magenta) แสตมป์ที่แพงที่สุดในโลกที่มีมูลค่าสูงกว่า 300 ล้านบาท และแสตมป์มังกร พิมพ์กลับหัว (500 Mon) ปี 1871 ซึ่งมีราคาแพงที่สุดในทวีปเอเชีย มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท โดยแสตมป์ทั้งสองดวงเดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว และเตรียมจัดแสดงในงาน POSTiverse ส่งสุขไปทุกเวิร์ส 140 ปี ไปรษณีย์ไทย และงานแสดงตราไปรษณียากรโลก 2566 ณ อาคารไปรษณีย์กลาง บางรัก โดยเป็นครั้งแรกของโลกที่แสตมป์ที่แพงที่สุดของโลกและแพงที่สุดของเอเชียได้ถูกจัดแสดงร่วมกัน

งานแสดงตราไปรษณียากรโลก 2566 ยังมีแสตมป์ไฮไลท์ที่นำมาจัดแสดง ได้แก่ แสตมป์สะสมส่วนพระองค์ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แผงประกวดที่ได้รางวัลจากสมาคมนักสะสมตราไปรษณียากรแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ (สตท.) ผลงานการประกวดตราไปรษณียากรจากนักสะสม กว่า 60 ประเทศทั่วโลก แม่พิมพ์แสตมป์ชุดแรกของไทย ‘ชุดโสฬศ’ อายุ 140 ปีที่หาชมที่ไหนไม่ได้http://www.thailandpost.co.th

ติดตามข่าวสารไปรษณีย์ไทยเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ : www.thailandpost.co.th , เฟซบุ๊ก : บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด , ทวิตเตอร์ : @Thailand_Post , ไลน์ออฟฟิเชียล : @Thailand Post , ติ๊กต็อก : @thailandpostchannel


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top