Tuesday, 7 May 2024
โกง

'พงศ์พรหม' ดึงสติ!! สังคมปลื้มกระแส 'รวยทิพย์' อย่าหลง!! เพราะทุกการถ่ายอวด ก็เพื่อโกงคนอื่นต่อ

ถือเป็นอีกมุมมองในการเตือนสติสังคมนิยมความรวยด้วยความไม่พยายามที่น่าสนใจ เมื่อนายพงศ์พรหม ยามะรัต รองโฆษกพรรคสร้างอนาคตไทย ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

จากกระแส 'รวยทิพย์' ที่ผมคุยกับคนรอบตัวมานาน ว่ามันคือระเบิดเวลาที่จะทะยอยระเบิดมาเรื่อยๆ

ดูง่ายๆ ครับ
เศรษฐกิจไทยดีขึ้น หรือเลวลง?

แล้วในวันที่เศรษฐกิจเลวลง ทำไมอยู่ๆ มีคนกลุ่มหนึ่งว่างปาร์ตี้ ว่างถ่ายรูปกับรถ

ว่างโพสต์รูปเงินกับธุรกิจที่ไม่เห็นว่าจะมี 'นวัตกรรม' อะไร?

ผมนั่งดูรายละเอียดสินค้า
ขายคอลลาเจน ทำบริษัทอีเว้นท์

ธุรกิจเหล่านี้กำลังอยู่ในกระแสลงทั้งสิ้น

คำถามคือเอาเงินจากไหนมาอวดสังคม?

เอาแค่ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ยอดเงินที่ระเบิดจากนักรวยทิพย์ก็จะเกิน 5,000 ล้านบาทแล้ว

จริงๆ แล้วมันคือกระแส 'ถ่ายอวดปอร์เช่' เพื่อโกงเงินคนอื่น แต่ไม่มีกระแสเงินอยู่จริงตั้งแต่เริ่ม

ใครสังเกต ผมมักโพสต์วิธีการคิดการเป็นอยู่อย่างมีสติ มีเหตุผล เก็บออม และใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามลำดับความสำคัญเสมอ

เกริ่นมายาว

วันนี้มาแชร์ความคิด 1 ในคนที่มีอิทธิพลต่อความคิดผมสูงมาก คือ แม่ผมเอง

อาทิตย์ก่อนพาแม่ไปหาหมอ ได้นั่งรถกับแม่ 2 คน
อยู่ๆ แม่เปรยว่า...

กำลังคิดจะเปลี่ยนรถใหม่
จากรถคันเดิมที่แม่ใช้มา 15 ปี

รถคันเดิมแม่เป็นรถที่ราคาถูกที่สุดในบ้าน

เป็นรถญี่ปุ่น C-segment คันเล็กๆ ที่แม่พูดเสมอว่า ค่าดูแลต่ำ ไม่จุกจิก ให้คนขับรถขับง่าย และดีที่ “ไม่ต้องให้ใครมาสนใจฉัน”

'ความพอเพียง' ที่แม่มีนี่แหละ ที่แม่พูดเสมอว่า ดูเอาไว้ แล้วชีวิตจะมีความสุข

การจัดการเงินนั้น แม่จะพูดเสมอว่าอย่าตามกระแส เพราะกระแสจะหลอกเรา

เงินมี ก็ให้เก็บซัก 30% ของรายได้ แล้วแบ่งเป็นเงินสด และเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเสมอ เช่นหุ้น กองทุน อสังหาริมทรัพย์ จากนั้นคือค่าใช้จ่ายจำเป็น เหลือเท่าไหร่ ค่อยเอาไปใช้กับความฟุ่มเฟือย

ความฟุ่มเฟือย ไม่ผิด เพราะมันทำให้ชีวิตสนุก แต่เงินที่ใช้กับความฟุ่มเฟือย ต้องมาทีหลังการสร้างทรัพย์สิน ตรงนี้สำคัญ!!

จะซื้อของฟุ่มเฟือย จำไว้ ให้มีเงิน 10-20 เท่าของของสิ่งนั้น

จะซื้อกระเป๋า 300,000 บาทได้ แต่ต้องมี 3-6 ล้านบาทที่งอกเพิ่มขึ้นมา จึงจะเอามาซื้อกระเป๋าใหม่ 1 ใบ

แม่จึงเป็นคนใช้รถเก่า มีกระเป๋าแบรนด์เนมน้อยกว่าเพื่อนๆในรุ่นเดียวกัน

แต่รักษาของทุกอย่างเป็นอย่างดี
อยากทานอะไรพิเศษ ก็ไป ไม่ต้องบ่อย แต่ไป

ในวัย 78 ด้วยสภาพคล่องที่ดีของแม่ จากการที่ธนาคารต่างๆชอบประเคนบัตรเครดิตจำพวก 'Premier' มาให้แม่โดยไม่ต้องไปขวนขวายขอ แปลว่าแม่น่าจะซื้อรถประมาณ Mercedes S-class หรือ Land Rover Discovery สบายๆ

รุกติดอาวุธทางปัญญาชาว ต.วังหินลาด สร้างเครือข่าย “นักข่าวชาวบ้าน” รู้เท่าทันกลโกงสื่อออนไลน์

พ.ท.พิสิษฐ์ ชาญเจริญ นายกสมาคมเครือข่ายหนังสือพิมพ์ วิทยุ และสื่อออนไลน์ ภาคอีสาน เปิดเผยว่า แนวโน้ม การรับรู้ และเผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ในปัจจุบันมีมากขึ้น ประกอบกับการเติบโตของเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้พื้นที่การเสนอข้อมูลข่าวสารสังคมทั่วโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับสื่อดั้งเดิม หรือนักข่าวกระแสหลัก จากสำนักข่าว หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์อีกต่อไป ปรากฏการณ์ของ “นักข่าวชาวบ้าน” ในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ผลิตและเผยแพร่ข่าว ทำให้เกิดปรากฏการณ์ว่า “ใครๆ ก็เป็นนักข่าวได้” ดูจะไม่ใช่คำพูดเกินจริงสำหรับยุคนี้ ด้วยความที่อุปกรณ์การสื่อสารทุกวันนี้ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้หลากหลายหน้าที่ และสามารถพกพาติดตัวได้ตลอด บวกกับทิศทางของข่าวในกระแสหลัก มักจะให้น้ำหนักไปด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป ข่าวของคนธรรมดา หรือเรื่องเล่าจากชุมชน จึงไม่ได้รับนำเสนอผ่านสื่อหลัก

“นักข่าวชาวบ้าน” คือ ปรากฏการณ์ที่ประชาชนจากหลายกลุ่ม หันมาจับกล้องสวมบทบาทเป็นนักข่าว บอกเล่าเรื่องราวในท้องถิ่นของตน แนวคิดนี้กำลังอยู่ในกระแสความสนใจ โดยมีการขยายแนวคิดนี้ ให้คนธรรมดาที่สนใจได้เปลี่ยนบทบาทเป็นนักข่าวชาวบ้าน ทำให้เกิดคำถามว่า “นักข่าวชาวบ้าน” มีมโนทัศน์เกี่ยวกับจริยธรรมสื่อในการผลิตและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างไร การรายงานข่าวสาร ข้อมูล เรื่องราวเกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสนใจของประชาชนผ่านทางสื่อออนไลน์อย่างเป็นอิสระ โดยไม่ได้ผ่านการฝึกฝนหรืออบรมวิชาชีพสื่อสารมวลชน ผลิตเนื้อหาข่าวเผยแพร่ไปสู่สาธารณะด้วยตัวเอง การรายงาน ข้อมูลข่าวที่เน้นความรวดเร็วของนักข่าวชาวบ้านผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งไม่มีการตรวจสอบโดยกองบรรณาธิการ ทำให้เกิดปัญหาข่าวสารที่มีลักษณะไม่รอบด้าน หรืออาจมีการเผยแพร่รูปภาพที่ไม่สมควรออกไป นำไปสู่ปัญหาการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล การละเมิดลิขสิทธิ์ หมิ่นประมาท และโฆษณาแฝง

'ตำรวจไซเบอร์' ขยายผลทลายเครือข่ายคดีหลอกลงทุน Turtle Farm จับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติม ตรวจยึดของกลางกว่า 100 ล้านบาท

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย ฯพณฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการชักชวนหลอกลวงให้ลงทุนออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าเป็นภัยออนไลน์ที่ได้สร้างความเสียหายมากที่สุดเป็นอันดับ 1 หรือคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของมูลค่าความเสียหายจากการถูกหลอกลวงทั้งหมด 

วันนี้ (15 ก.ย. 65) เวลา 11.00 น. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.มนเทียร พันธ์อิ่ม รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.รณชัย จินดามุข ผบก.สอท.1, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง ผบก.สอท.3, นายปิยะ ศรีวิกะ ผู้อำนวยการกองคดี 2 สำนักงาน ปปง. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวกรณีการขยายผลทลายเครือข่ายหลอกลงทุน Turtle Farm จับกุมผู้ต้องหา และตรวจยึดของกลางเป็นจำนวนมาก มีรายละเอียดดังนี้

ตามที่เมื่อวันที่ (5 ส.ค. 65) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้แถลงผลการทลายเครือข่ายหลอกลงทุน Turtle Farm จับกุมผู้ต้องหาที่ได้หลอกลวงชักชวนประชาชนให้ร่วมลงทุนปลูกเห็ด กัญชา พืชกระท่อม เลี้ยงผึ้ง ฯลฯ โฆษณาผ่านแพลตฟอร์มสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ โดยอ้างว่าผู้ที่เข้าร่วมลงทุนจะได้ผลตอบแทนเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ต่อมาผู้ต้องหากับพวกอ้างเหตุขัดข้องต่างๆ ไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้เสียหายได้ ผู้เสียหายจึงแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามกฎหมาย จากนั้นพนักงานสอบสวนปากคำผู้เสียหาย และรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 9 ราย 

ผลการปฏิบัติสามารถทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 4 ราย อยู่ระหว่างหลบหนี 5 ราย และสามารถอายัดเงินในบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกว่า 72 บัญชี อายัดเงิน ได้กว่า 17.5 ล้านบาท นั้น ต่อมาในระหว่างเดือน ส.ค.65 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. สามารถทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับ ได้เพิ่มเติมอีก 2 ราย รวมจับกุมผู้ต้องหาได้ 6 ราย อยู่ระหว่างหลบหนี 3 ราย 

กระทั่งจากการสืบสวนขยายผลพบว่า บริษัท พี เอ็น ดิจิทัล มาเก็ตติ้ง ออนไลน์ จำกัด มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับบริษัท ไมน์นิ่งมายน์ เอ็กซ์ จำกัด และ หจก. สถานีหลักสี่ ของกลุ่มผู้ต้องหา โดยถูกว่าจ้างให้ทำการโฆษณา สร้างภาพลักษณ์ สร้างความน่าเชื่อถือ หลอกลวงประชาชนให้มาร่วมลงทุน โดยได้รับเงินจากกลุ่มผู้ต้องหากว่า 72 ครั้ง รวมเป็นเงิน 134 ล้านบาท พงส. จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญามีนบุรีขออนุมัติศาลออกหมายค้นสถานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 2 จุด คือ 
1. บ้านแห่งหนึ่งในพื้นที่ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ ตรวจยึดของกลาง 57 รายการ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์, สมุดบัญชีธนาคาร, บัตรกดเงินอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องประดับทองคำ, นาฬิกา, โฉนดที่ดิน และเงินสด จำนวน 10.6 ล้านบาท
2. บ้านแห่งหนึ่งในพื้นที่ แขวงคลองสามวา เขตสามวาตะวันตก กรุงเทพฯ ตรวจยึดของกลาง ตู้นิรภัยบรรจุเงินสด จำนวน 88 ล้านบาท รถยนต์ ยี่ห้อ ปอร์เช่ (Porsche) สีส้ม รุ่น Boxster PDK 1 คัน

สตม.รวบผู้ต้องหาแดนมังกรหนีคดีฉ้อโกง ผู้เสียหาย 7,704 ราย มูลค่าความเสียหาย กว่า 6,000 ล้านบาท

กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่กรณีสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย มีหนังสือขอให้จับกุมและผลักดัน นายเต๋อ (นามสมมติ) อายุ 49 ปี สัญชาติจีน ซึ่งเป็นบุคคลที่ทางการสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ออกหมายจับและต้องการตัวไปดำเนินคดี ในความผิดฐานฉ้อโกง โดยมีพฤติการณ์กระทำผิด คือ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2557 นายเต๋อได้จดทะเบียนและก่อตั้งบริษัท Jiahe โดยไม่มีการอนุมัติจากผู้กำกับดูแลการเงินฝากสาธารณะ นายเต๋อได้แนะนำโครงการลงทุน "Great Health Industry" แก่นักลงทุนโดยการออกใบปลิวของขวัญ การจัดกิจกรรมและทัวร์ฟรี จากนั้นได้ถอนเงินฝากสาธารณะไปอย่างผิดกฎหมายเพื่อวัตถุประสงค์ของการทำกำไร ทำให้มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อ จำนวน 7,704 ราย มูลค่าความเสียหาย 1.27 พันล้านหยวน (ประมาณ 6.35 พันล้านบาท) และในปี พ.ศ.2564 นายเต๋อ ได้หนีออกจากท่าอากาศยานนานาชาติโดยเที่ยวบิน Shanghai-Pudong  กก.1 บก.สส.สตม.ได้ตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า นายเต๋อ ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ทางด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ บก.ตม.2 เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2564 ได้รับการตรวจลงตราประเภท THAILAND PRIVILEGE CARD (PE) และการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด จึงได้ขออนุมัติ ผบก.สส.สตม. ดำเนินการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เนื่องจากเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับเข้าลักษณะต้องห้ามมิให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามมาตรา 12 (7) แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มีพฤติการณ์สมควรเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 

'สืบนครบาล'จับกุมดร.เอก คนปั้นดิน แอบอ้างรองนายกฝากเข้ารับราชการ ตุ๋นเงินเสียหายกว่า 14 ล้าน

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดยเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2565 ชุดลาดตระเวนออนไลน์สืบนครบาลร่วมกับชุด PCT 5 ออกลาดตระเวนออนไลน์จนพบความเดือดร้อนของประชาชนซึ่งเคยถูกคนร้าย  ชื่อ ดร.เอก ฅนปั้นดิน อ้างตนว่าสามารถฝากเข้ารับราชการองค์การบริหารปกครองส่วนท้องถิ่นได้ สนิทกับ รองนายกรัฐมนตรีเหยื่อหลงเชื่อจ่ายเงิน 3 แสน แล้วหนีหาย โดยได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนและศาลได้พิจารณาออกหมายจับแล้ว เหตุเกิดวันที่ 3 กันยายน 2560 ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังไม่สามารถติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้

จากการตรวจสอบประวัติการกระทำความผิดของผู้ต้องหาเพิ่มเติมของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 5 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. และชุด PCT5 ทราบว่าคนร้ายคือ  นายวรพนธ์ หรือเอก กุลสืบ มีหมายจับที่ยังต้องการตัวเพื่อดำเนินคดีอยู่ 6 หมายจับ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT5 กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 5 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ ฯรีบทำการสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมตัวคนร้ายดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว 

ต่อมาวันที่ 8 เมษายน 2566 เวลาประมาณ 13.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง.ผบ.ตร. (สส) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT 5 พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก สส.บช.น. , พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.ยิ่งยศ ลีชัยอนันต์ , พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฎศรี รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.สมพงษ์ เกตุระติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. และ ส.ต.อ.ประกิจ ภูมิวงศ์ ผบ.หมู่ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 5 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. และชุด PCT5 ได้ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุม

นายวรพนธ์ กุลสืบ อายุ 40 ปี อยู่ที่ บ้านเลขที่ 74/1 หมู่ 1 ตำบลดอนยายหอม อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม (เป็นที่รู้จักในนาม ดร.กิตติมศักดิ์ วรพนธ์ กุลสืบ หรือ “ครูเอก ฅนปั้นดิน)ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดปทุมธานี ที่ จ.133/2561 ลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2561 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกงทรัพย์ ”        

โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่บริเวณหน้าตลาดละแมเมืองใหม่ ตำบลละแม อำเภอละแม จังหวัดชุมพร           

ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การภาคเสธ โดยรับว่าตนเรียนจบปริญญาตรีคณะครุศาตร์ สาขาโยธา , ปริญญาโทคณะบริหารการศึกษา มีทักษะในการพูดเชิงโน้มน้าว เป็นวิทยากรให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะผู้นำ การทำงานเป็นทีม รับจัดกิจกรรม Team Building , Walk Rail ฝึกอบรมสัมมนาและพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ทักษะ ความสามารถ โดยเน้นจัดสัมมนาในรูปแบบกิจกรรมบันเทิงเชิงสาระตรงตามวัตถุประสงค์และค่านิยมขององค์กรต่างๆ และรับทำพิธีบวงสรวงต่างๆ เช่น พิธีบายศรู่ขวัญ ปฐมนิเทศ ปัจฉิมนิเทศนักเรียน นักศึกษาฯลฯ มีประสบการณ์การทำงานด้านนี้กว่า 15 ปี 

เกี่ยวกับคดีที่ถูกจับกุม ให้การว่าตนมีพฤติการณ์ชักชวนหาคนที่สนใจเข้ารับราชการซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกศิษย์ หรือผู้ซึ่งเคยเข้ารับการอบรมกับตน ตลอดจนบุคคลที่นับถือศรัทธาตนผ่านการบอกต่อปากต่อปากของคนที่นับถือตน ว่าสามารถฝากบรรจุเข้ารับราชการในหน่วยต่าง ๆ ได้ เช่น สอบบรรจุนายสิบทหารบก , นายสิบตำรวจ , ข้าราชการครู และหน่วยราชการอื่น ๆ อีกหลายหน่วยงาน โดยเรียกเก็บเงินกับบุคคลที่สนใจต่อหัว รายละ 200,000 – 300,000 บาท โดยอ้างว่าสามารถวิ่งเต้น โดยตนอ้างใช้เส้นสายของนักการเมืองระดับรองนายกรัฐมนตรีฝากเข้ารับราชการ มีผู้ร่วมขบวนการซึ่งอ้างว่าเป็นคนทำหน้าที่ติดต่อกับรองนายกรัฐมนตรี และข้าราชการระดับสูงให้ช่วยวิ่งเต็นได้ ชื่อนายเสกสรร โดยมีการแบ่งผลประโยชน์ที่ได้จากเหยื่อแต่ละรายกัน คือตนเองได้ 20 เปอร์เซ็นต์ นายเสกสรร ได้ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจากการตรวจสอบประวัตินายเสกสรร พบว่าเคยถูกจับกุมในข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน” มาแล้ว เมื่อปี 2562 

สำหรับประวัติ นายวรพนธ์ เป็นที่รู้จักในนาม ดร.กิตติมศักดิ์ วรพนธ์ กุลสืบ หรือ “ครูเอก ฅนปั้นดิน” ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมไทย เคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมวิทยากรฅนปั้นดิน, ประธานฝ่ายกิจกรรม สหพันธ์คนดนตรีแห่งประเทศไทย, ผู้ช่วยผู้ตรวจการประจำสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ, เลขานุการองค์กรการมีส่วนร่วมภาคประชาชนตามรัฐธรรมนูญ, คณะกรรมการองค์กรปลูกปัญญาเรียนรู้ชุมชนท้องถิ่น เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเคยได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น ด้านอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรม ม.ย่านปทุม , รางวัลธรรมลักษณ์ศิลา คนดีแบบอย่างของชาติ, รางวัลศิษย์ดีเด่น คนดีศรีพอเงิน, รางวัลลูกผู้มีความกตัญญูอย่างสูง, รางวัลผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ, รางวัลบุคคลดีของแผ่นดิน สาขาบุคคลผู้เป็นต้นแบบต่อสังคมดีเด่น จนภายหลังเป็นวิทยากรฝึกอบรม จัดสัมมนา พิธีกร และรับจัดพิธีกรรมตามงานมงคลต่างๆ เช่น พิธีบวงสรวง พิธีบายศรีสู่ขวัญ ทำขวัญนาค ทำขวัญบ่าวสาว

‘ชูวิทย์’ แฉหมดเปลือก เปิดตัวเลข ‘ซื้อเสียง’ สะท้านทุกภูมิภาค เผย ใช้ อสม.เป็น ‘ตัวกลาง’ ชี้!! รอบนี้หนักสุดในประวัติศาสตร์

(24 เม.ย. 66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ หัวข้อ ‘เลือกตั้งประเทศไทย 2566’ โดยมีเนื้อหาดังนี้…

“การเลือกตั้งครั้งนี้ มีการจ่ายเงินซื้อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์”

โดยใช้ อสม. (อาสาสมัครหมู่บ้าน) เป็น ‘ตัวกลาง’ ในการประสานงานกับชาวบ้าน ทั้งจดชื่อ แนะนำ แจ้งวิธีการจ่าย จำนวนเงิน ชวนให้ไปฟังปราศรัย พบปะผู้สมัคร ไปจนถึงการลงคะแนนในวันเลือกตั้ง

สรุปการจ่ายได้ดังนี้

1.) มัดจำด้วยวิธีการทยอยจ่าย เช่น 300 - 500 บาทต่อคน และอีกส่วนก่อนวันเลือกตั้ง

2.) จ่ายเพื่อให้มาร่วมฟังนโยบายแบบวงย่อย ได้คนละ 100 - 300 บาท

3.) จ่ายเพื่อให้ไปฟังปราศรัยใหญ่ 300 - 500 บาท เป็นการเกณฑ์คนมาฟังเพื่อแสดงให้ดูกำลังของพรรค และ ส.ส.

4.) การเช็คจำนวนคนที่ลงคะแนน เนื่องจากในแต่ละหน่วยเลือกตั้งมีจำนวนคนไม่มาก เงินที่จ่ายให้ชาวบ้านจึงเบี้ยวยาก

5.) การให้ไม่ได้หมายความว่าจะได้แน่นอน เพราะคู่แข่งขันอาจให้มากกว่า เช่น ตั้งเป้าให้ 1,000 ต่อหัว แต่ไปเจอคู่แข่งให้ 1,500 หรือเกทับกลับไป 2,000 ก็มี

ชาวบ้านจึงรับเงินฟรีแต่ไม่กา ไปกาให้อีกฝั่ง อย่างนี้ไม่ผิด ไปว่าชาวบ้านไม่ได้

ราคาดังกล่าวเป็นราคาในภาคอีสาน เหนือ ส่วนภาคกลางที่มีการต่อสู้หนัก ราคาไหลไปสูงกว่านั้น ไฮไลต์อยู่ที่ภาคใต้ ราคาเฉลี่ย 2,000 ต่อหัวอย่างต่ำ โดยที่จ่ายสูงสุด คือ จังหวัดภูเก็ตราคาอยู่ที่ หัวละ 3,000 บาท ในขณะนี้

ชาวบ้านมองการเลือกตั้งคือการเทศกาลจ่าย เงินสะพัด เป็นการคืนกำไรที่โกงกลับมาให้ หรือเป็นการจ่ายเพื่อลงทุนในการเป็น ส.ส.การเมืองไทยจึงเปรียบเสมือนธุรกิจ ที่ต้องใช้เงินจ่ายค่า ‘สัมปทาน’ ในการผ่านเข้าไปสู่ระบบ ส.ส.ตามขั้นตอน

หากพรรคกลายเป็นตัวแปรหลังคะแนนออก การจับคู่เจรจาตำแหน่งเจ้ากระทรวงจะมีกำลังเพิ่มเป็นโบนัสชิ้นใหญ่ พรรคการเมืองกลับคำได้หมด ไม่สนที่ปราศรัยไว้ตอนหาเสียง เพราะต้องเสียสัตย์เพื่อชาติ ต่อรองเอากระทรวงที่มีโครงการมาก มีงบมาก เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม ส่วนพรรคเล็กได้ ส.ส.ไม่มาก ได้กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงอุดมศึกษาฯ

โดยเฉลี่ย มี ส.ส. ในมือ 7 คนได้รัฐมนตรี 1 ตำแหน่ง แต่ขึ้นอยู่กับพรรค และการต่อรองเป็นหลัก

อย่างพรรคภูมิใจไทยที่ได้ทั้งกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคมในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์เมื่อปี 2552 เพราะเนวินยอมหัก ‘นายเก่าทักษิณ’ ให้อภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ กระทรวงทำเงินจึงตกอยู่กับพรรคภูมิใจไทยหมด

จนกระทั่งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังอ่อนประสบการณ์เจรจาจัดตั้งรัฐบาล ห่วงแต่จะเป็นนายกฯ และเน้นเอาเฉพาะกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และเศรษฐกิจ จึงเสียกระทรวงคมนาคมไปให้พรรคภูมิใจไทย กระทรวงสาธารณสุขก็จะเอา เพราะต้องผลักดันนโยบายกัญชาเสรี

จุดจบคนโกง สืบนครบาลรวบ 'ป้าประยูร' บัญชีม้าติด แบล็กลิสต์ หลอกขายเสื้อวงศิลปินเกาหลี อ้างว่าเอาบัญชีจำนำไว้

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบที่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนผู้สุจริต ชุดลาดตระเวนออนไลน์ได้สืบสวนหาข่าวพบว่ามีมิจฉาชีพใช้บัญชีม้าธนาคาร หลอกขายเสื้อของวง 'Got7'และเป็นเสื้อของศิลปินดัง 'Jackson Wang' ให้กับเยาวชนเป็นจำนวนมาก เจ้าตัวอ้างว่าเปิดบัญชีแล้วได้นำบัญชีไปจำนำไว้เป็นเงิน 7,000-8,000 บาท 

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2566 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์  พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. สั่งการให้ ชุดลาดตระเวนออนไลน์ บก.สส.บช.น. นำโดย พ.ต.ต.ทศรัสมิ์ กิติธารา สว.กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ ชุดปฏิบัติการที่ 4 สืบสวนจับกุม นางประยูร จินดา อายุ 57 ปี อยู่ 14 ม.8 ต.อุ่มเม้า อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด ตามหมายจับศาลจังหวัดพิษณุโลก ที่ 183/2566 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2566 คดีอาญาที่ 973/2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

สามารถจับกุมได้ที่บริเวณหน้าบ้านเช่าไม่ทราบเลขที่ ภายในซอยชุมชนวัดมะกอกกลางสวน ซ.9 แขวงและเขต พญาไท กรุงเทพฯ

สืบเนื่องจากมีผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กรายหนึ่ง หลอกขายบัตรเสื้อผ้าของเหล่าศิลปินเกาหลีชื่อดัง โดยใช้ชื่อบัญชีรับโอนเงินชื่อบัญชี “นางประยูร จินดา”  ตำรวจสืบสวนนครบาลจึงได้ทำการตรวจสอบพบว่า ชื่อบัญชีดังกล่าวมีประวัติในแบล็กลิสต์บัญชีคนโกงของเว็บไซต์ “www.blacklistseller.com” จำนวน 14 รายการ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้สืบสวนหาข้อมูล นางประยูร จนสืบทราบว่า นางประยูร ได้มีการหลบหนีมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านเช่าแห่งหนึ่ง เมื่อพบผู้ต้องหาจึงได้แสดงตัวจับกุมตัวพร้อมแจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิตามกฎหมาย ให้นางประยูรทราบ

เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ว่าได้มีการเปิดบัญชีแล้วได้นำบัญชีดังกล่าวไปให้กับเพื่อนในที่ทำงาน โดยเป็นการนำบัญชีไปจำนำไว้ และได้เงินจากการนำบัญชีไปจำนำเป็นเงิน 7,000-8,000 บาท หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการไปนำบัญชีของกลับมาเลย

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะควบคุมตัวผู้ต้องหานำส่ง สภ.เมืองพิษณุโลก จ.พิษณุโลก ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ตำรวจไซเบอร์ ตามรวบเอเย่นต์รับซื้อบัญชีม้า ตุ๋นเหยื่อสูญเงินกว่า 2.5 ล้าน

กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 จับกุมเอเย่นต์รับซื้อบัญชีม้า ในขบวนการแอบอ้างเป็นหญิงสาวหน้าตาดี เข้ามาตีสนิทผ่านโลกออนไลน์ ลวงเหยื่อลงทุนเทรดเงินดิจิทัล ผลตอบแทนสูงร้อยละ 50 สูญเงินรวมกว่า 2.5 ล้านบาท

สืบเนื่องจากเมื่อเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา มีประชาชนซึ่งตกเป็นผู้เสียหาย จากการถูกกลุ่มขบวนการ Hybrid Scam หลอกให้รักแล้วลงทุน ใช้โปรไฟล์หญิงสาวหน้าตาดี เข้ามาทักทายตีสนิทผ่านทางเฟสบุ๊ค จากนั้นได้มีการพูดคุยติดต่อกันทางแอปพลิเคชั่น ไลน์ และได้เริ่มชักชวนให้ผู้เสียหายลงทุนเทรด ซื้อขายเงินสกุลดิจิทัล USDT ซึ่งมีผลตอบแทนสูงถึงร้อยละ 50 ของเงินลงทุน เมื่อผู้เสียหายสนใจ คนร้ายได้ส่งแพลตฟอร์ม Bidget-coins เพื่อให้ผู้เสียหายสมัครสมาชิกเข้าไปลงทุน ซึ่งในช่วงแรกสามารถทำกำไรและเบิกถอนเงินได้ตามปกติ จนกระทั่งผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีคนร้าย จำนวน 7 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 2,588,000 บาท ต่อมาไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ โดยคนร้ายใช้ข้ออ้างต่างๆ เช่น ต้องชำระค่าภาษีหรือค่าธรรมเนียม หรือ ต้องเพิ่มการลงทุนให้มากขึ้น จึงจะถอนเงินได้ เมื่อผู้เสียหายรู้ตัวว่าถูกหลอกจึงได้มาร้องทุกข์กับ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 จึงได้สั่งการให้ทำการสืบสวนสอบสวนและติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว จนกระทั่งต่อมาชุดสืบสวน กก.4 บก.สอท.1  สามารถจับกุมขบวนการนี้ไว้ได้ ซึ่งได้ให้การรับสารภาพและซัดทอดว่า นายธานุศักดิ์ฯ หรือเกมส์ (ขอสงวนนามสกุล) เป็นผู้ว่าจ้างให้เปิดบัญชี จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหานี้ไว้

ต่อมาวันที่ 5 กันยายน 2566 พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 พ.ต.อ.ทำนุรัฐ คงมั่น รอง ผบก.สอท.1 พร้อมกำลังฝ่ายสืบสวน กก.4 บก.สอท.1 นำกำลังเข้าจับกุมตัว นายธานุศักดิ์ หรือ เกมส์ (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี ผู้ต้องหา ซึ่งทำหน้าที่ชักชวนและว่าจ้างให้เปิดบัญชี เพื่อรวบรวมบัญชีม้าไปส่งให้นายทุนใหญ่อีกทอดหนึ่ง ได้ที่ บริเวณบ้านเอื้ออาทร ซอยรังสิตนครนายก 24 ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น , นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัติยังพบว่า ผู้ต้องหามีประวัติพัวพันกับยาเสพติดก่อนหน้านี้เคยถูกจับกุมตัวมาแล้วหลายครั้ง

พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ฯ กล่าวว่า “จากการจับกุมบัญชีม้าก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน และขยายผลจนทราบว่า นายธานุศักดิ์ ทำหน้าที่ชักชวนคอยหาบัญชีม้าให้กับกลุ่มมิจฉาชีพโดยว่าจ้างให้เปิดบัญชีธนาคาร และลงทะเบียนซิมการ์ดโทรศัพท์ (บัญชีม้า ซิมม้า) โดยให้ค่าตอบแทนบัญชีละ 700 บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ขยายผลไปยังนายทุนผู้อยู่เบื้องหลังต่อไป”

พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ฯ ผบก.สอท.1 ได้ฝากเตือนไปยังพี่น้องประชาชนว่าอย่าได้หลงเชื่อหรือตกเป็นเหยื่อ โดยไม่ควรรับแอดเพื่อนในสื่อสังคมออนไลน์ที่ไม่รู้จัก หากจะรับขอให้ตรวจสอบข้อมูลในบัญชีให้ดี และหากมีการชักชวนลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นมิจฉาชีพ และควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของการลงทุนอีกด้วย หากมีข้อสงสัยสามารถปรึกษาสอบถาม สายด่วน ตำรวจไซเบอร์ 1441 ได้ทันที

ตำรวจไซเบอร์เปิดปฏิบัติการล่าเครือข่ายผู้ร่วมขบวนการระดับสั่งการแก๊งค์เครื่อง Stingray ที่ส่งข้อความให้กดลิงก์โหลดแอปดูดเงิน

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒนครบัญชา ผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ สอท. สั่งการให้ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 , พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 , พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผบก.สอท.5 นำกำลังตำรวจไซเบอร์ร่วมกันเปิดปฏิบัติการล่าเครือข่ายผู้ร่วมขบวนการระดับสั่งการแก๊งค์เครื่อง Stingray ที่ส่งข้อความให้กดลิงก์โหลดแอปพลิเคชันดูดเงิน 

สืบเนื่องจากการขยายผลกลุ่มเครือข่ายขบวนการเครื่องกระจายสัญญาณ ที่ใช้อุปกรณ์ส่งข้อความ SMS ให้ประชาชนกดลิงก์ จากนั้นคนร้ายเข้าควบคุมเครื่องโทรศัพท์มือถือแล้วโอนเงินในบัญชีธนาคารที่เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่น Mobile Banking ในโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหาย โดยตำรวจ สอท.ได้รวบรวมหลักฐานขอศาลอาญาธนบุรีออกหมายจับกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งเป็นขบวนการในระดับสั่งการจัดหาชุดอุปกรณ์เครื่องกระจายสัญญาณ ในความผิดฐาน "ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเห็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน , ร่วมกัน นำ มีใช้นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต , ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต และเป็นอั้งยี่และหรือซ่องโจร”ต่อมาศาลอาญาธนบุรีได้อนุมัติหมายจับกลุ่มผู้ต้องหา ตำรวจไซเบอร์ชุดปฏิบัติการจึงได้วางแผนเข้าจับกุมในคราวเดียวกันทุกจุด เพื่อตัดวงจรของกลุ่มขบวนการดังกล่าว

ตำรวจไซเบอร์นำโดย พ.ต.อ.อภิรักษ์ จำปาศรี ผกก.1 บก.สอท.3 และ พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.2 บก.สอท.3 นำกำลังตรวจค้น 4 จังหวัด 5 จุด ภายในวันเดียว เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้แก่ จังหวัดพัทลุง จังหวัดจันทบุรี จังหวัดสระแก้ว และกรุงเทพมหานคร สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี 5 คน ได้แก่

1. น.ส.พรรธช์ธนกรณ์ จับกุมที่บ้านเลขที่ 28/2 ถ.อุบลนุสรณณ์ ต.คูหาสวรรค์ อ.เมืองพัทลุง จ.พัทลุง 
2. นายชิษณุพงษ์ จับกุมที่หอพักนักศึกษาชาย ห้อง 103 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจันทบุรี หมู่ 10 ต.พลวง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี 
3. นายศุภชัย จับกุมที่บ้านเลขที่ 95 หมู่ 3 ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว 
4. น.ส.บุญรอด จับกุมที่บ้านเลขที่ 55/5 ถ.บ้านวังปาตอง ต.อรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว 
5. นายภูริช จับกุมที่บ้านเลขที่ 18/108 ซอยประชาอุทิศ 60 แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร 

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้จับกุมตัวผู้ต้องหาในขบวนการแก๊งค์เครื่อง Stingray 6 ราย พร้อมยึดของกลางรถยนต์ 4 คัน ที่มีการติดตั้งเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. ได้ขยายผลกลุ่มเครือข่ายขบวนการ จนกระทั่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาระดับสั่งการเป็นผู้ว่าจ้าง จัดหาและขนส่งเครื่อง Stingray และหลังจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท.จะร่วมกันสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่ร่วมขบวนการที่เหลือมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้หมดทั้งขบวนการต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top