Saturday, 4 May 2024
เอสซีแอสเสท

'ครอบครัวรัตนพันธ์' ร้องนายกฯ สั่ง 'กลต.-ปปง.' สอบ 'เอสซี แอสเสท' พร้อมเร่งช่วยสู้คดียืดเยื้อ 6 ปี

(8 ธ.ค. 65) ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 ภายใน สนง.กพ. ได้มีครอบครัวรัตนพันธ์ จำนวน 5 คน นำโดย ดร.ศรายุทธ รัตนพันธ์ เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบความสุจริตและโปร่งใสในพฤติการณ์การดำเนินธุรกิจของ บริษัท เอสชี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

เนื่องจากบริษัท เอสชี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือเรียกว่าบริษัทเอสซีฯ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัท(มหาชน) จำกัด อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ จดทะเบียน ณ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ชื่อบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมีกรรมการผู้มีอำนาจประกอบด้วย นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์, นายณัฏฐ์พัฒน์ เอื้อใจ, นายอรรถพล สฤษฏิพันธวาทย์ กรรมการสองในสามคนนี้ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญ สามารถกระทำการแทนและมีผลผูกพันบริษัท มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยพัฒนาที่ดินและขออนุญาตจัดสรรเป็นหมู่บ้านจัดสรรเพื่อการอยู่อาศัยเพื่อจำหน่ายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่บุคคลทั่วไป และมีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองและพรรคการเมือง ได้บริหารและดำเนินกิจการจนทำให้ครอบครัวรัตนพันธ์ ได้รับความเสียหายมายาวนานกว่า 6 ปี สูญเสียบ้านและที่ดินมูลค่ากว่า 200 ล้านบาทเศษ

จึงขอให้ นายกรัฐมนตรี ได้กำชับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เข้าตรวจสอบการกระทำของบริษัทเอสซีฯ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในวงกว้าง และขอให้กำชับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในประเทศไทย เนื่องจากพฤติกรรมการที่บริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่มีมาตรฐานข้อบังคับในการนำเงินออกจากบริษัทอย่างชัดเจนและเคร่งครัด อาจจะนำไปสู่การเป็นเส้นทางการหลบเลี่ยงเส้นทางการเงิน หรือการนำเงินเข้าหรือออกนอกระบบได้อย่างง่ายดาย

‘ตระกูลรัตนพันธ์’ โดน ‘SC’ จี้ หลังให้ข้อมูลสื่อตีแผ่ข้อมูล พร้อมขู่!! ‘Top News’ หยุดนำเสนอข่าว-ลบข้อมูลทิ้ง

ครอบครัวรัตนพันธ์ ทำหนังสือถึงทีวีดาวเทียมช่องหนึ่ง เผื่อแผ่สื่อมวลชนทุกสำนัก กรณีแถลงข่าวแล้วเอสซี แอสเสท คู่กรณียื่นโนติสทีวีดาวเทียม หยุดนำเสนอข่าวและลบข่าวออกจากระบบ ขณะที่ก่อนหน้านี้เอสซีฯ แจงคดีอยู่ในศาล เคยแจ้งตลาดหลักทรัพย์แล้ว

(7 มี.ค. 66) จากกรณีที่ กลุ่มครอบครัวรัตนพันธ์ ได้เปิดแถลงข่าวที่ห้องกมลพร โรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ระบุว่า ถูกบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ไม่ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงการรวบรวมที่ดินเพื่อเสนอขาย เนื้อที่กว่า 34 ไร่ บริเวณถนนรัชดา-รามอินทรา แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพฯ เป็นเหตุให้ครอบครัวรัตนพันธ์ ต้องสูญเสียบ้านและที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท และต้องบ้านแตกสาแหรกขาด เนื่องจากทรัพย์สินทั้งหมดตกไปเป็นของนายทุนเงินกู้ ครอบครัวรัตนพันธ์ต่อสู้คดีกันด้วยตนเอง มายาวนานกว่า 3 ปี ซึ่งศาลได้มีคำสั่งรับฟ้องแย้งของครอบครัวรัตนพันธ์จำนวน 1,503 ล้านบาท เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2566 ที่ผ่านมา

ต่อมานายสมบูรณ์ คุปติมนัส เลขานุการ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือถึงบรรณาธิการ สำนักข่าว Top News (หรือสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมท็อปนิวส์) ลงวันที่ 3 มี.ค. ขอให้ยุติเสนอข่าว อ้างว่าข้อมูลทั้งหมดที่กลุ่มครอบครัวรัตนพันธ์แถลงเป็นความเท็จ ข้อเท็จจริงทั้งหมดอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล ซึ่งบริษัทฯ ได้เป็นโจทก์ฟ้องดำเนินคดีกลุ่มบุคคลนี้ ในข้อหาหมิ่นประมาท ทั้งทางแพ่งและทางอาญา ขณะนี้ อยู่ในกระบวน การพิจารณาของศาล จึงขอแจ้งให้สำนักข่าว Top News ยุติการนำเสนอข่าว และนำออกจากสื่อออนไลน์ระบบคอมพิวเตอร์โดยทันที มิฉะนั้น บริษัทฯ จำเป็นที่จะต้องดำเนินคดีกับตามกฎหมายต่อไป

ล่าสุด ครอบครัวรัตนพันธ์ ทำหนังสือเรื่อง ครอบครัวรัตนพันธ์ขอยืนยันว่าสิ่งที่ได้แถลงข่าว และหรือการให้สัมภาษณ์เป็นความจริงทุกประการ ลงวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา ถึงกองบรรณาธิการ สำนักข่าว Top News และพี่น้องสื่อมวลชนทุกสำนักข่าว ระบุว่า ตามที่ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ส่งหนังสือมายังกองบรรณาธิการ สำนักข่าว Top News โดยมีเนื้อหาให้ยุติการนำเสนอข่าวและนำออกจากสื่อออนไลน์โดยทันที โดยกล่าวอ้างเพียงว่าข้อมูลทั้งหมดที่ ครอบครัวรัตนพันธ์แถลงเป็นความเท็จทั้งสิ้นนั้น

ครอบครัวเราขอยืนยันว่า ทุกข้อมูลที่ได้นำเรียนไปในการแถลงข่าว ตลอดจนการได้รับเชิญให้มาร่วมรายการ การให้ข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์ ต่าง ๆ นั้น เป็นความจริงโดยทั้งสิ้น และประการสำคัญที่ครอบครัวต้องตัดสินใจนำเรื่องดังกล่าวมาเปิดเผยต่อสาธารณะ เพราะตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ครอบครัวเราต้องต่อสู้ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม อย่างโดดเดี่ยวมาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ใช้ความพยายาม ในการร้องเรียนและติดตามไปในหลายช่องทาง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับแต่อย่างใด จนทำให้ทางครอบครัวรู้สึกท้อใจ เพราะสิ่งที่กำลังต่อสู้อยู่นั้น คือ กลุ่มคนที่มีอำนาจ แต่ครอบครัวเราตระหนักดีว่าหากไม่สู้หรือยอมแพ้ พฤติกรรมแบบนี้ของคนกลุ่มนี้ อาจส่งผลกระทบให้กับประชาชนอื่น ๆ ตลอดจนครอบครัวอื่น ๆ ได้อีกเช่นกัน ครอบครัวรัตนพันธ์จึงตัดสินใจนำเสนอความจริงสู่สาธารณะ เนื่องจากเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจทางการเมืองและบริษัท (มหาชน) ในตลาดหลักทรัพย์ที่ประชาชนทั่วไปเข้าลงทุนได้ การเปิดเผยข้อมูลที่เกิดขึ้นจากการให้ครอบครัวรัตนพันได้รับประโยชน์จากส่วนต่างราคาที่ดินกว่า 200 ล้านบาทหรือการนำเงิน 20 ล้านบาทออกมาจากบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ มาให้กับครอบครัวรัตนพันธ์ เพื่อปกปิดพฤติการณ์ของตนเองในขณะนั้น กระทำได้หรือไม่ ถูกต้องชอบธรรมกับผู้อื่นหรือไม่ เหตุใดคุณณัฐพงศ์ CEO ต้องให้เงิน 20 ล้านบาท และถ้าไม่ให้ในขณะนั้นได้หรือไม่ การเปิดเผยข้อมูลที่เกิดขึ้นของบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ และเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะทำให้ครอบครัวรัตนพันธ์ได้รับความเป็นธรรม

ครอบครัวรัตนพันธ์เห็นด้วยว่า ในการที่สาธารณะได้รับทราบข้อเท็จจริงจากครอบครัวเราเพียงฝ่ายเดียวนั้น ย่อมไม่เป็นธรรมกับบริษัทเอสชีฯ และครอบครัวชินวัตร ดังนั้นครอบครัวรัตนพันธ์จึงประสงค์ให้บริษัทเอสซีฯ และครอบครัวชินวัตรได้นำเสนอข้อเท็จจริงออกมาเพื่อให้ประชาชนได้รับฟังความจริงจากท่านเพื่อความเป็นธรรมกับตัวท่านเอง หาใช่ว่าจะใช้วิธีการข่มขู่ คุกคามให้สื่อมวลชน ยุติการนำเสนอข่าว ซึ่งการจำกัดเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสาร เพื่อปิดกั้นการรับรู้ของประชาชนในสังคมเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในยุคประชาธิปไตย เพราะเสรีภาพสื่อคือเสรีภาพประชาชน การก้าวก่ายสื่อมวลชน ก็เท่ากับประชาชนขาดอิสรภาพในการรับรู้ข่าวสารไปด้วยไม่ต่างกัน นอกจากความจริงที่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะไปแล้วนั้น ครอบครัวรัตนพันธ์ยังมีข้อมูลความจริงอีกมาก ทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษรและคลิปเสียงหลักฐานในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเอสซีฯ และบุคคลในครอบครัวชินวัตรโดยตรง เช่น กรณีของคุณพานทองแท้ ชินวัตร (โอ๊ค) ก่อนการตัดสินคดีความเมื่อปี 2562 ข้อมูลที่เราแถลงออกมาเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของหลักฐานที่มีอยู่เท่านั้น

‘ชินวัตร’ ขายที่ดินย่านลาดหญ้า 22 แปลง ให้ ‘เอสซีฯ’ รองรับรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เพื่อต่อยอดอสังหาฯ

ครอบครัวชินวัตร ขายที่ดินย่านลาดหญ้า 22 แปลง ให้ SC มูลค่า 1,239 ล้าน พัฒนาคอนโด
เมื่อวันที่ (17 เม.ย.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้รายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทให้นำวาระบริษัท เอสซี แอสเสท โฟร์ จำกัด (SC FOUR ) เป็นบริษัทย่อยของเอสชีที่มีแผนจะเข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจำนวน 22 แปลง พื้นที่รวม 4 ไร่ 3 งาน 36.3 ตารางวา หรือ 1,936.3 ตารางวา มูลค่ารวม 1,239.23 ล้านบาท ตั้งอยู่บนถนนลาดหญ้า จากบริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (RENDE) ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวโยงกันกับบริษัท เพื่อนำที่ดินมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ตามแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทให้ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 พิจารณาอนุมัติในวันที่ 19 เมษายน 2566

อย่างไรก็ตามเนื่องจากบริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (RENDE) ผู้ขายเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวโยงกันกับบริษัท การเข้าทำรายการดังกล่าว จะต้องขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทเอสซี ซึ่งต้องได้รับคะแนนเสียงอนุมัติไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน โดยไม่นับส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสีย และภายหลังได้รับอนุมัติจะเข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายในเดือนพฤษภาคมนี้

โดยผู้ซื้อบริษัท เอสซี แอสเสท โฟร์ จำกัด กับผู้ขายบริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด มีความสัมพันธ์ ดังนี้ 

1. SC FOUR เป็นบริษัทย่อยของบริษัทโดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 บริษัทถือหุ้น SC FOUR ในสัดส่วนร้อยละ 99.99 
2. ครอบครัวชินวัตร เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 60.29 ของทุนที่ชำระแล้ว และเป็นผู้มีอำนาจควบคุมกิจการ
3. ครอบครัวชินวัตร เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน RENDE ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 100 ของทุนที่ชำระแล้ว 
4. นายณัฐพรศ์ คุณากรวงศ์ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรองประธานกรรมการของบริษัทและดำรงตำแหน่งกรรมการของ SC FOUR และเป็นสามีของนางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งถือหุ้นในบริษัทจำนวน 1,176,915,495 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 27.80 และถือหุ้นใน RENDE จำนวน 138,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30

การเข้าทำรายการซื้อที่ดินในครั้งนี้ จะทำให้ SC FOUR ได้ที่ดินเปล่าในบริเวณถนนลาดหญ้าขนาดพื้นที่ 4-3-36.3 ไร่ รวมกับที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ SC FOUR ขนาดพื้นที่ 0-3-10.9 ไร่ รวมเป็น 5-247.2 ไร่ เพื่อนำมาพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อขายจำนวน 2 อาคาร พื้นที่ขายรวมประมาณ 33, 322 ตารางเมตร โดยแบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 เฟส เฟสละ 1 อาคาร โดยทยอยก่อสร้างและเปิดขายที่ละเฟส ซึ่งจะทำให้ SC FOUR สามารถพัฒนาโครงการได้อย่างต่อเนื่อง

โดยทำเลที่ตั้งของที่ดินมีศักยภาพในการพัฒนาโครงการ ที่ดินแปลงนี้ตั้งอยู่บนถนนลาดหญ้า เป็นทำเลที่ดี มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย เป็นศูนย์กลางการขยายตัวและเติบโตของเมืองจากฝั่งพระนครมายังอีกฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา มีการคมนาคมที่สะดวก ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีคลองสานเพียง 600 เมตร รวมถึงการเริ่มพัฒนาโครงการสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top