Monday, 6 May 2024
อาหาร

'ไทย' ร่วมโชว์นวัตกรรม 'อาหาร-เกษตร' สานต่อ ซอฟต์พาวเวอร์ ในงาน 'พืชสวนโลก' เนเธอร์แลนด์

ไทยร่วมแสดงความก้าวหน้านวัตกรรมอาหารและเกษตรในงานพืชสวนโลก ที่เนเธอร์แลนด์ ตั้งแต่วันนี้ถึง 9 ต.ค. 65 โชว์ศักยภาพประเทศต่อเนื่องหลังประสบความสำเร็จจาก World Expo ที่ดูไบ ดึงคนเข้าชมศาลาไทย 2.3 ล้านคน

14 เม.ย. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย. - 9 ต.ค. 2565 ประเทศไทยได้เข้าร่วมการจัดแสดงนวัตกรรมด้านอาหาร สินค้าเกษตร การพัฒนากระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน สู่สายตานักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากทั่วโลก ในงานมหกรรมพืชสวนโลก ครั้งที่ 7 The International Horticultural Exposition 2022 หรือ EXPO 2022 Floriade Almere ณ เมือง Almere ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ซึ่งครั้งนี้มี 50 ประเทศ และ 60 องค์กรเข้าร่วม ซึ่งการเข้าร่วมแสดงนิทรรศการระดับโลกในครั้งนี้ต่อเนื่องจากการเข้าร่วมงาน World Expo 2020 ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่สิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2565 ซึ่งนับว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างยิ่งซึ่ง Thailand Pavilion หรือศาลาไทยมีผู้เข้าชมถึง 2.3 ล้านคน ตลอดระยะเวลา 6 เดือนของการจัดแสดง ติดท็อป 5 ของ Pavilion ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดจากทั้งหมด 192 ประเทศที่เข้าร่วม

“World Expo ที่ดูไบที่เพิ่งจบลงจะเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่จะต่อยอดมูลค่าเพิ่มให้ประเทศไม่ว่าจะเป็นภาคการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมภาพยนตร์และบันเทิง บริการด้านสุขภาพ ส่วนการเข้าร่วมมหกรรมพืชสวนโลก ครั้งนี้จะเป็นการโชว์ศักยภาพนวัตกรรมด้านเกษตรและอาหารซึ่งเป็นจุดแข็งของไทย ซึ่งคาดว่าตลอด 6 เดือนของการจัดแสดงจะเป็นการให้ความรู้ ข้อมูลที่สามารถดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเกษตรสมัยใหม่และอาหารซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลให้การส่งเสริมมากขึ้น” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

อัปเดตราคา ‘หมู-เนื้อ-ไก่’

อัปเดตราคาอาหารสดวันนี้ มาดูกันว่าตามท้องตลาด ราคาอาหารสด ประจำวันที่ 17 ตุลาคม 2565 จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็น ราคาหมู ราคาไก่ ราคาไข่ไก่ รวมไปถึงราคาผักสด เช็กกันเลย..

รู้จัก 'Plant-based' อาหารแห่งอนาคต เพื่อสุขภาพและรักษ์โลก

ใครที่กำลังสงสัยว่า ‘Plant-based’ คืออะไร? ทำไมถึงเป็นเทรนด์อาหารที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน อยากบอกเลยว่ามีรายละเอียดที่น่าสนใจมาฝากกัน สามารถติดตามได้จาก info นี้เลย

‘สาว’ ผวา!! เจอ ‘เบ็ดตกปลา’ พร้อมเอ็น ปนมากับผัดเผ็ดปลาดุก หลังกินไปได้คำเดียว ฟากทางร้านรับผิดชอบคืนค่าอาหารให้ 120 บาท

เมื่อวานนี้ (7 ส.ค. 66) จากกรณีที่ผู้ใช้เฟสบุ๊ครายหนึ่ง โพสต์ภาพและข้อความเตือนภัยว่า "มาแชร์ประสบการณ์เจอเบ็ดตกปลาในอาหารค่ะ สั่งอาหารจากแอปเขียว เป็นร้านอาหารใต้ กำลังจะตักเข้าปากตามองไปเห็นอะไรเป็นเส้น ๆ ตกใจมากค่ะ มันคือ เบ็ดตกปลา!! รีบโทรไปหาร้าน ได้คำตอบว่า ทางร้านก็ล้างดีแล้ว ไม่รู้หลงมาได้ไง เป็นคำตอบที่ไม่โอเคมาก ๆ ค่ะ อันตรายมาก ๆ ถ้ากินเข้าไป เตือนผู้บริโภคไว้เป็นอุทาหรณ์นะคะ จะกินอะไร มองกันดี ๆ ค่ะ"

จากโพสต์ดังกล่าว เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 6 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบผู้โพสต์คลิปดังกล่าวเพื่อสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยได้พบกับ น.ส.อิสรีย์ แสงอนันต์ขจร หรือ จูน อายุ 31 ปี พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ย่าน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นผู้โพสต์คลิปแจ้งเตือนภัย

คลิปจากกล้องมือถือเป็นภาพอาหารในช้อนที่ตักพร้อมรับประทาน พบเบ็ดตกปลาขนาดความยาวประมาณ 1 ซม. กว่าติดอยู่กับไส้ปลา น.ส.จูนจึงใช้มือแกะออกมาและยกให้เพื่อนอีกคนเป็นคนถ่ายคลิปเหตุการณ์ไว้เป็นหลักฐาน โดยพบมีที่ตัวเบ็ดตกปลายังมีสายเอ็นเบ็ดติดมาด้วย จึงได้นำไปวางลงในชามอาหารเพื่อให้ถ่ายชัดเจนขึ้น

น.ส.อิสรีย์ แสงอนันต์ขจร หรือ จูน เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากในช่วงบ่ายตนได้สั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชันเจ้าหนึ่ง โดยได้สั่งอาหารเป็นเมนูผัดเผ็ดปลาดุกใบยี่หร่าพร้อมข้าวเปล่า ส่วนของเพื่อนเป็นข้าวปลาแกะจากร้านอาหารปักษ์ใต้ร้านหนึ่ง

เมื่อตนได้รับอาหารมา แล้วนำมาแกะถุงเพื่อจะกินอาหารพร้อมกันกับเพื่อน ตนได้แกะถุงผัดเผ็ดปลาดุกใบยี่หร่าเพื่อตักแบ่งออกมาจากถุงส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือจะเก็บไว้กินในมื้อเย็น ปรากฎว่าหลังจากตนตักกินไปได้ 1 คำ และกำลังจะตักคำที่สองมากินต่อ โดยเลือกตักส่วนพุงปลาเพราะตนเองชอบกินพุงปลามาก ระหว่างที่ตนตักพุงปลาพร้อมกับข้าวเพื่อกำลังจะเอาเข้าปาก มองหันไปเห็นอะไรแปลก ๆ ในช้อนข้าวตัวเองว่ามีอะไรแปลก ๆ เป็นเส้นเงา ๆ อยู่ในช้อนข้าวพอดี ซึ่งในตอนนั้นตนยังคิดในใจว่าน่าจะเป็นเครื่องในปลาหรือเส้นเลือดปลา จึงลดช้อนลงมาดู

จากนั้นจึงใช้ช้อนซ้อมเขี่ยดู จึงเห็นว่าสิ่งที่ตนเห็นเป็นเส้น ๆ นั้น สายเอ็นกับตัวตะขอเบ็ดตกปลา ซึ่งทำให้ตนตกใจมากจึงรีบบอกเพื่อนที่นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันว่าเจอเบ็ดตกปลาในพุงปลาดุก เพื่อนก็งงว่ามาได้ยังไง

จากนั้นเพื่อความแน่ใจจึงนำเบ็ดตกปลาที่เจอ มาวางลงชามเพื่อดูให้แน่ใจอีกทีว่าใช่เบ็ดตกปลาจริง ๆ หรือไม่ จึงก็พบว่ามันคือเบ็ดตกปลาที่มาพร้อมเส้นจริง ๆ

น.ส.จูน กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นตนจึงถ่ายคลิปกับรูปไว้เป็นหลักฐาน และรีบโทรติดต่อกลับไปแจ้งทางร้านอาหารที่ตนสั่งมา ให้รับรู้ว่าตนเจอตะขอเบ็ดตกปลาในอาหารที่สั่งจากร้านเขามากิน ซึ่งทางเจ้าของร้านเองก็ตกใจว่าเป็นไปได้อย่างไร พร้อมกับยืนยันว่าทางร้านได้ทำความสะอาดปลาที่นำมาทำอาหารดีแล้ว ทำให้ตนต้องถามย้ำทางร้านกลับไปว่า มั่นใจว่าได้ล้างทำความสะอาดดีหรือเปล่า ทำให้ทางร้านตอบกลับตนมาว่ายินดีที่จะทำผัดเผ็ดปลาดุกมาให้ใหม่ แต่ตนไม่สะดวกใจที่จะกินอาหารจากทางร้านอีกเพราะยังไม่หายตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงไม่รับอาหารชุดใหม่ ทำให้ทางร้านแสดงความรับผิดชอบ ด้วยการโอนเงินคืนค่าผัดเผ็ดปลาดุกใบยี่หร่า มาให้ตนในราคา 120 บาทแทน

“ในวันนั้นโชคดีที่ตนมองไปเห็นเบ็ดตกปลาเข้าเสียก่อน ไม่อยากคิดต่อไปว่าถ้าวันนั้นตนเผลอกลืนเบ็ดตกปลาลงไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นกับตนบ้าง ไม่รู้ว่าเบ็ดตกปลาจะไปตกอยู่ตรงจุดไหนของร่างกาย มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เป็นตะขอมีความแหลมคม สุดท้ายคงจะต้องไปผ่าตัดเพื่อเอาออกแน่นอน ถือว่าตนโชคดีที่รอดจากเบ็ดตกปลามาได้หวุดหวิด เพราะโดยปกติแล้วระหว่างนั่งพักกินข้าว ตนก็จะเปิดโทรศัพท์ดูไปด้วยเป็นประจำ” 

“ตนก็อยากฝากไปถึงร้านอาหารต่าง ๆ ด้วยว่า ให้คำนึกถึงความสะอาดและตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบที่นำมาทำอาหารให้ลูกค้าดี ๆ เพราะลูกค้าที่ตัดสินใจสั่งซื้ออาหารก็ใช้เงินที่เขาทำงานมาแลกซื้อ เมื่อซื้ออาหารมาแล้วก็อยากจะกินอาหารแบบสบายใจ ไม่ต้องมานั่งระแวงความปลอดภัยแบบนี้ ส่วนตัวลูกค้าซึ่งผู้บริโภคเองก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังด้วย เพราะอาจมีสิ่งแปลกปลอมติดมาได้เสมอ ก็อย่าประมาท”

“ตนยอมรับว่าหลังเหตุการณ์เจอตะขอเบ็ดตกปลาในพุงปลาแล้ว ทำให้ตนกลายเป็นคนแพนิค หวาดระแวงกับอาหารที่สั่งมากิน จนทุกวันนี้ต้องเขี่ยอาหารให้กระจายออกทุกครั้งก่อนที่จะตักเข้าปาก โดยเฉพาะกับอาหารที่เป็นเมนูปลาต่าง ๆ ตนไม่กล้าสั่งมากินหรือซื้อกินอีกเลยนับตั้งแต่เจอเหตุการณ์ในวันนั้น เพราะภาพเบ็ดตกปลามันยังอยู่ในหัวตน” น.ส.จูน กล่าว

สำหรับเหตุการณืดังกล่าวคาดว่า ตะขอเบ็ดตกปลาที่พบว่าติดมากับพุงปลานั้น น่าจะเป็นเพราะปลาตัวดังกล่าว คงไปหลงกินเหยื่อที่มีคนตกปลานำมาเบ็ดมาตกไว้ แต่ปลาได้กลืนเบ็ดลงท้องไป ทำให้คนตกปลาใช้วิธีตัดสายเอ็นออกแทน ก่อนที่ปลาจะถูกจับนำมาขายแล้วทางร้านซื้อมาทำอาหารขายต่อให้กับลูกค้าอีกที

‘พาณิชย์’ เล็งส่งสินค้าสูตรโซเดียมต่ำตีตลาดญี่ปุ่น สอดรับนโยบาย รบ.ญี่ปุ่น รณรงค์ลดบริโภครสเค็ม

(10 ส.ค. 66) นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าจากการติดตามสถานการณ์การค้าในต่างประเทศ ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มาโดยต่อเนื่องนั้น ล่าสุดได้รับรายงานจากนายฉันทพัทธ์ ปัญจมานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ถึงสถานการณ์สินค้าอาหารในญี่ปุ่น

โดยทูตพาณิชย์รายงานว่า กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น ได้ตั้งเป้าปริมาณการบริโภคเกลือของประชากรอายุ 20 ปีขึ้นไป ไม่เกิน 7.0 กรัมต่อวัน ในปี 2567 ซึ่งเป็นเป้าหมายภายใต้โครงการ ‘ญี่ปุ่นสุขภาพดี 21’ หลังจากการสำรวจสุขภาพและโภชนาการของประชาชน พบว่า คนญี่ปุ่นบริโภคเกลือเฉลี่ยวันละ 10 กรัม ซึ่งเป็นสองเท่าของปริมาณที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ โดยร้อยละ 70 ของการบริโภคเกลือของคนญี่ปุ่นมาจากเครื่องปรุง ไม่ว่าจะเป็น ซอสโชยุ เต้าเจี้ยวมิโซะ เกลือ ซุป ซอสต่างๆ ฯลฯ แหล่งการบริโภคเกลือของกลุ่มผู้บริโภคแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกัน เช่น กลุ่มผู้สูงอายุบริโภคเกลือจากผักดอง กลุ่มคนหนุ่มสาวบริโภคเกลือจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เครื่องแกงกะหรี่ ซึ่งเป็นสินค้าอาหารแปรรูป เป็นต้น จึงคาดการณ์ได้ว่า สินค้าอาหารแปรรูปลดเกลือมีแนวโน้มความต้องการของตลาดสูงขึ้นในอนาคต

ซึ่งการบริโภคเกลือปริมาณมากเกินไปยังเป็นปัญหาสังคมที่สำคัญในด้านความยั่งยืนของระบบประกันสังคม ซึ่งคนญี่ปุ่นช่วงอายุ 40 - 59 ปี 1 ใน 3 คน และคนที่อายุมากกว่า 60 ปี 1 ใน 2 คนเป็นโรคความดันสูง

นอกจากนี้ ในอดีตคนญี่ปุ่นเป็นเส้นเลือดในสมองตีบหรืออุดตันจำนวนมาก โดยมีสาเหตุจากการบริโภคเกลือมากเกินไป ความอ้วน การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขาดการออกกำลังกาย ฯลฯ การแก้ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องร่วมมือกันแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐบาล ภาคเอกชน อาทิ ผู้ผลิตอาหาร ร้านอาหาร ฯลฯ ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตอาหารของญี่ปุ่นพยายามวิจัยและพัฒนาสินค้าอาหารลดเกลือภายใต้คอนเซปต์ ‘อร่อย สุขภาพดี สะดวก’ สินค้ามีความหลากหลายออกจำหน่ายมากขึ้น ภายในซูเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งมีชั้นวางสินค้าที่รวบรวมสินค้าเหล่านี้เอาไว้โดยเฉพาะ แสดงให้เห็นถึงความสนใจของผู้บริโภคต่อสินค้าเกลือต่ำ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีข้อจำกัดในการบริโภคเกลือ

“ประเทศไทยเป็นประเทศส่งออกสินค้าอาหารสำคัญของญี่ปุ่น หากผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตอาหารแปรรูปหรือวัตถุดิบที่ตรงกับความต้องการและแนวทางการสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่น ก็อาจได้รับความสนใจจากผู้ซื้อมากยิ่งขึ้นและเป็นโอกาสในการขยายตลาดและมูลค่าการส่งออกสู่ประเทศญี่ปุ่นต่อไป” นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว

ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศระบุว่า ช่วงเดือน มกราคม-มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ไทยส่งออกสินค้าอาหารไปญี่ปุ่นแล้วมูลค่ากว่า 59,243 ล้านบาท 

Torpenguin ผุดฟรีสัมมนา Restaurant Technology & Franchise 2023 ยกระดับธุรกิจร้านอาหารด้วยเทคโนโลยี 8-9 ธ.ค.นี้ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

Torpenguin สื่อผู้ให้บริการข้อมูลข่าวสารด้านการจัดการธุรกิจสำหรับร้านอาหาร เตรียมจัดงาน Restaurant Technology & Franchise 2023 งานอีเวนต์และสัมมนาด้านการจัดการเทคโนโลยีสำหรับธุรกิจร้านอาหาร งานที่จะช่วยยกระดับธุรกิจร้านอาหารให้ก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย พบกับบูธแสดงสินค้าและบริการด้านการจัดการร้านอาหาร จากบริษัทชั้นนำกว่า 150 บูท เช่น เทคโนโลยีสำหรับร้านอาหาร, อุปกรณ์ครัวสำหรับร้านอาหาร, เครื่องมือด้านการตลาด, ซัพพลายเออร์, เทคโนโลยีด้านการเงิน, แฟรนไชส์และพื้นที่เช่ากว่า 60 บูท และสัมมนาจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ และตัวจริงในวงการร้านอาหารแถวหน้าของเมืองไทยกว่า 20 ชีวิต พร้อมกิจกรรมเวิร์กช็อปพิเศษจากกูรูคนดังในวงการ พร้อมแชร์ประสบการณ์ที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน 

และไฮไลต์สุดพิเศษ ‘ตัวอย่างร้านอาหารแห่งอนาคต’ พร้อมสัมผัสประสบการณ์จริงที่จะรวบรวมเทคโนโลยีต่าง ๆ มารวมไว้ในร้านเดียว ทั้งหมดนี้ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย พบกันในวันที่ 8-9 ธันวาคม 2566 ณ อาคาร 6 อิมแพ็ค เมืองทองธานี 

พอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด “กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้เห็นผู้จัดงานรุ่นใหม่เข้ามาในวงการจัดงาน Exhibition 

นอกจากจะมีในส่วนของงาน Exhibition ต่าง ๆ แล้ว ทางอิมแพ็คเองยังอยู่ในวงการร้านอาหารมามากกว่า 20 กว่าปี ซึ่งก็ได้เจอปัญหาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ Operation ในร้าน Technology ในร้าน ปัญหาเรื่องของ Suppiler ซึ่งเราก็ได้เห็น Pain Point ของคนทำร้านอาหารมาค่อนข้างเยอะ ถึงแม้ว่าสถานการณ์ Covid-19 ได้ผ่านมาเรียบร้อย แต่พฤติกรรมลูกค้าก็ได้เปลี่ยนไปเยอะมาก เราก็หวังว่าในอนาคตอันใกล้ ด้วย Tool ใหม่ ๆ ที่เข้ามา จะสามารถช่วยให้เราปรับตัวไปตามโลกในยุคนี้ได้ 

ที่ผ่านมาเราได้เห็นหลาย ๆ งานเกิดจากผู้จัดที่เป็น Publisher มาก่อน ทำ Magazine เป็นนักข่าว แต่ยุคใหม่นี้จะเป็น Influencer ที่เริ่มปรับตัวมาเป็น Organizer ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจัดงานแบบ Online หรือ Offline และเราเองก็ดีใจที่ได้ร่วมงานกับลูกค้ารุ่นใหม่อย่างคุณต่อ ที่จัด Restech 2023 ขึ้นมา ซึ่งเป็นงานที่มีจุดมุ่งหมายชัดเจนที่จะสร้าง Ecosystem คนทำร้านอาหาร หวังว่าจากการเข้าชมงานนี้ไม่ว่าจะเป็นทั้งในส่วนของ Exhibition และ Conference จะได้รับประโยชน์ และหวังว่างานนี้จะช่วยผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยได้ และช่วยยกระดับ Community คนทำร้านอาหารให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”

ธนพงศ์ วงศ์ชินศรี เจ้าของเพจ Torpenguin สื่อผู้ให้บริการข้อมูลข่าวสารด้านการจัดการธุรกิจสำหรับร้านอาหาร กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ว่า “SME ทุกคนคือปลาตัวเล็ก ๆ ไม่ว่าเราจะกินขนาดไหนก็ยังเป็นได้แค่ปลาตัวเล็ก ไม่นานก็จะโดนปลาตัวใหญ่กิน ซึ่งสิ่งที่เรากำลังทำอยู่คือ ‘การรวมปลาตัวเล็กให้กลายเป็นปลาฝูงใหญ่’ ที่ไม่ได้จะไปกินปลาตัวใหญ่ แต่จะเป็นภูมิคุ้มกัน เป็นเกราะกำบังไม่ให้ปลาตัวใหญ่มากินเราได้ Torpenguin เราจึงพยายามสร้าง Ecosystem สร้างระบบนิเวศที่ดีให้ปลาตัวเล็ก ๆ สามารถเติบโตต่อไปได้ มันก็เลยเป็นความพร้อมที่เราจะต้องจัดงานอีเวนต์บางอย่างขึ้นมา เลยเป็นที่มาของงาน Restech : Restaurant Technology & Franchise 2023

นั่นก็เพราะว่าน้อยคนในวงการร้านอาหารให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ซึ่งถ้าคนทำร้านอาหารยังไม่ให้ความสำคัญ ในวันหนึ่งที่คนในธุรกิจอื่น ๆ ไปข้างหน้าหมดแล้ว ธุรกิจร้านอาหารกลายเป็นคนที่ถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง จึงรู้สึกว่าเราอยากจะเอาเรื่องร้านอาหารที่คนคิดว่าเป็นแค่การขายอาหารเพียงอย่างเดียว กับเรื่องเทคโนโลยีเรื่องยาก ๆ ที่ใครคิดว่าไกลตัว ให้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น

สิ่งที่เราเห็นที่ผ่านมาก็คือ ต้นทุนค่าแรงของธุรกิจที่มันสูงขึ้นเรื่อย ๆ จาก 10% เป็น 15%-20% ของยอดขาย และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีก และจากสภาพการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันเจ้าของร้านอาหารในเมืองไทยมีกว่า 700,000 ราย แต่ Market Size อยู่ที่ 4 แสนล้านบาทเท่าเดิม นั่นหมายความว่าไม่แปลกใจเลยถ้าร้านเรายอดขายจะตก เพราะเรามีคู่แข่งเพิ่มขึ้น

เมื่อก่อนเชนร้านอาหารอยู่แต่ในห้าง แต่ในตอนนี้เขาออกมาทำการตลาดนอกห้างมากขึ้น ซึ่งถ้าเราไม่รู้จักเทคโนโลยีไม่ปรับตัว เราก็คงสู้เขาไม่ได้ ผมจึงเชื่อว่า เทคโนโลยีนี่แหละที่จะเป็นจุดเปลี่ยนให้คนตัวเล็กมีศักยภาพแข่งขันสู้กับเจ้าใหญ่ได้

รวมไปถึงพฤติกรรมของลูกค้า เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าตั้งแต่สถานการณ์ Covid-19 ที่ผ่านมา ว่าทุกอย่างคือ ทุกอย่างจัดการอยู่บนโทรศัพท์มือถือ POS การทำ CRM ไม่รู้จักการทำระบบบัญชีออนไลน์ ไม่รู้วิธียิงแอด ไม่รู้วิธีการไลฟ์ แล้วเราจะไปสู้เจ้าใหญ่ได้อย่างไร

เทคโนโลยีพัฒนามากขึ้น แต่มีราคาที่ถูกลง นี่คือโอกาสที่ SME อย่างเราที่จะเข้าถึงเทคโนโลยีในราคาที่ถูกได้ 

เหล่านี้แหละคือทั้งหมดที่เราอยากทำเพื่อให้เจ้าของร้านอาหารทุกคนได้เรียนรู้ และเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของตัวเอง”

Restaurant Technology & Franchise 2023 งานอีเวนต์และสัมมนาด้านการจัดการเทคโนโลยีสำหรับธุรกิจร้านอาหารโดยเฉพาะ พบกันวันที่  8-9 ธันวาคม 2566 ณ อาคาร 6 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

‘วันนอร์’ จ่อนัดเคลียร์ปัญหา จัดสรรอาหาร สส.ใหม่ ชี้!! ต้องยึดหลักความเหมาะสม และไม่ฟุ่มเฟือย

(8 ก.ย.66) ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่มีสส.นำอาหารที่ทางสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จัดให้ระหว่างการประชุมสภาฯ ไปรับประทานนอกสถานที่ ว่า เบื้องต้นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้รายงานเรื่องดังกล่าวมาที่ตนเอง ซึ่งคาดว่าภายหลังจากรัฐสภาพิจารณานโยบายของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วเสร็จ จะหารือกับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการต่อไป ส่วนแนวทางเกี่ยวกับการบริการอาหารให้กับสส.นั้น ส่วนตัวคิดว่าจะต้องยึดหลักความเหมาะสม และไม่ฟุ่มเฟือย พร้อมทั้งต้องให้สส.ได้รับการบริการที่ดีด้วย แต่ในอนาตจะมีการปรับลดงบประมาณในเรื่องนี้หรือไม่ คงต้องพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับรองประธานสภาฯ ทั้งสองคนอีกครั้ง

ถามว่าที่ผ่านมาการจัดสรรอาหารให้กับสส.ระหว่างประชุมสภาฯ ปรากฏว่ามีปริมาณอาหารเหลือเป็นจำนวนมาก ทางสภาฯ จะมีแนวทางการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ยอมรับว่ามีปริมาณอาหารเหลือ แต่ในทางปฏิบัติที่ต้องเข้าใจว่าบางครั้งมีจำนวนสส.มาประชุมมาก หรือบางครั้งก็มีสส.เดินทางกลับไปก่อน ดังนั้น การจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ต้องร่วมหารือกันทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดความสมดุล

“อาหารเตรียมไว้มากไปก็ไม่ดี หรือเตรียมอาหารไว้พอดี ถ้าเลิกประชุมเร็วก็ทำให้มีอาหารเหลือบ้าง จึงต้องมีมาตรการที่ทำให้เกิดความสมดุลให้ได้” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพสส.นำอาหารของสภาฯ กลับไปรับประทานนอกอาคารรัฐสภา พร้อมกับมีการตอบโต้เป็นอาหารที่เหลือหลังจากการประชุมสภาฯเสร็จแล้ว นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า กรณีถ้ามีอาหารของสภาฯเหลือ เลขาธิการสภาฯแจ้งให้ทราบเบื้องต้นว่าจะนำไปบริจาคในทางสาธารณกุศล เช่น สถานรับเลี้ยงเด็ก เป็นต้น

‘Jet Delivery’ เปิดแผนรุกตลาดธุรกิจส่งอาหาร ตั้งเป้าขยายพื้นที่บริการ 100 สาขาทั่วประเทศในปี 68

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท ศิริอริย จำกัด ผู้บริหาร แพลตฟอร์มแอปพลิเคชั่น Jet Delivery เตรียมแผนรุกตลาดธุรกิจส่งอาหาร ตั้งเป้าขยายพื้นที่เปิดบริการ 100 สาขาอำเภอ ทั่วประเทศ ภายในปี 2568

 

แอปพลิเคชัน Jet Delivery แพลตฟอร์มของคนไทย เริ่มเปิดดำเนินธุรกิจส่งอาหารในช่วงปลายปี 2564 จวบจนปัจจุบัน มีสาขามากกว่า 30 สาขา ทั่วประเทศ ได้เตรียมแผนธุรกิจเชิงรุก เพื่อรองรับการขยายสาขาในปี 2567 โดยตั้งเป้าหมาย มีพื้นที่เปิดบริการสาขา รวมไม่น้อยกว่า 60 สาขา และในปี 2568 ตั้งเป้าขยายสาขาให้ได้ ครบ 100 สาขา ปัจจุบัน มีร้านค้าเข้าร่วมขายอาหารบนแพลตฟอร์ม มากกว่า 5,000 ร้านค้า 

2 ปี ที่ผ่านมา Jet Delivery กระตุ้นให้เศรษฐกิจในท้องถิ่นหมุนเวียน สร้างอาชีพให้คนในท้องถิ่น ทั้งในส่วนของร้านค้ามีช่องทางการขายมากขึ้น มีรายได้จากการขายอาหารเพิ่มขึ้น มีอัตราการจ้างแรงงานมากขึ้น มีพนักงานส่งอาหารซึ่งเป็นคนในพื้นที่ มีรายได้โดยไม่ต้องจากถิ่นฐานบ้านเกิด

ในการให้บริการ Jet Delivery มีนโยบายการคิดค่า GP (Gross Profit) ที่ต่ำ เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค ให้สามารถใช้บริการสั่งอาหารได้ประหยัด ตาม Concept ‘ส่งถูก ส่งดี ส่งฟรี ส่งไกล’

รูปแบบการดำเนินงานของ Jet Delivery จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ คือ การเปิดสาขาบริการ ที่บริหารงานโดยบริษัทฯ เอง และ การหาพาร์ตเนอร์ลูกค้าที่มีความพร้อม ความสนใจที่ต้องการสร้างธุรกิจ ในท้องถิ่น โดยการซื้อแฟรนไชส์ ไปเปิดบริการในพื้นที่อำเภอที่ตนสนใจ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี สาขาแฟรนไชส์หลายสาขา สามารถสร้างผลตอบแทน และคืนทุนได้ภายใน 4-6 เดือน

ล่าสุด ผู้บริหาร ได้รับการคัดเลือกเข้าอบรม ในโครงการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ ผ่านโครงการ WE RISE Together สนับสนุนโดยรัฐบาลออสเตรเลียผ่านความร่วมมือแม่น้ำโขง-ออสเตรเลีย จัดโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) แสดงให้เห็นถึงการให้โอกาสกับทุกเพศ อย่างเท่าเทียมในการทำงาน และการสร้างองค์กรธุรกิจด้วยความเสมอภาค

จากนโยบายของบริษัทฯ ที่ต้องการสร้างโอกาสให้คนไทย มีธุรกิจเป็นของตนเอง ส่งเสริมการสร้างอาชีพในท้องถิ่น สามารถสร้างรายได้ ด้วยการกำหนดราคาแฟรนไชส์ราคาประหยัด เพื่อให้ผู้สนใจ สามารถเข้าถึงธุรกิจแพลตฟอร์มแอปฯ เดลิเวอรี่ได้ และมุ่งเน้นทำตลาดในพื้นที่ โดยใช้เงินทุนที่ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับการต้องสร้างแพลตฟอร์มธุรกิจขึ้นมาใหม่ ย่อมเป็นการเริ่มต้นในการลงทุนที่ดี สำหรับผู้ที่กำลังมองหาธุรกิจใหม่ ๆ และอยากทำธุรกิจที่บ้านเกิดของตนเอง

‘รมว.ปุ้ย’ สานต่อภารกิจ ‘ศูนย์นวัตกรรมจังหวัดมิเอะ-ไทย’ ดันส่งออกไทย ‘อาหาร-เกษตร’ แตะ 1.32 ล้านล้านในปี 70

(11 ม.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม จับมือผู้ว่าราชการจังหวัดมิเอะ ประเทศญี่ปุ่น ผลักดันต่อยอดความบันทึกความเข้าใจ (MOU) ขยายกรอบการทำงาน (Framework Agreement) ชูนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต ยกระดับเกษตรอุตสาหกรรมแปรรูป พร้อมจัดงานใหญ่ ‘นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต Mie-Thailand’ ฉลองความสำเร็จครบรอบ 5 ปี พาเหรดผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมอาหารชื่อดังจากจังหวัดมิเอะ นำทัพสินค้าอาหารเกรดพรีเมียมมาให้ชม ชิม และจับคู่ธุรกิจภายในงาน ตั้งเป้าต่อยอดพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์อาหารแห่งอนาคตร่วมกัน หวังเกิดการค้า การลงทุนระหว่างไทย-ญี่ปุ่น และคาดว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนส่งออกกลุ่มสินค้าอาหารแปรรูปของไทยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 60 หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.32 ล้านล้านบาท ภายในปี 2570

รมว.พิมพ์ภัทรา เปิดเผยว่า ประเทศไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์และความร่วมมือกันในทุก ๆ มิติมาอย่างยาวนานซึ่งปัจจุบันญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย เห็นได้จากการลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทยมีมูลค่ากว่าร้อยละ 40 ของการลงทุนจากต่างชาติทั้งหมด ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม จึงให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นในการส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของสองประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารที่ได้มุ่งเน้นยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับเวทีโลก ผ่านศูนย์นวัตกรรมมิเอะ-ประเทศไทย (Mie-Thailand Innovation Center) ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงาน ได้แก่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม, สถาบันอาหาร และจังหวัดมิเอะ ประเทศญี่ปุ่นเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งนับเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้ดียิ่งขึ้นและช่วยผลักดันให้การส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารแปรรูปของไทยเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าไทยจะมีสัดส่วนการส่งออกกลุ่มสินค้าอาหารแปรรูปเพิ่มขึ้นร้อยละ 60 หรือคิดเป็นมูลค่ากว่าร้อยละ 1.32 ล้านล้านบาท ภายในปี 2570 

ขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้ต่อยอดความร่วมมือกับจังหวัดมิเอะในการมุ่งเน้นพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรมอาหารทั้งในด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลและการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านนวัตกรรมอาหาร เพื่อช่วยยกระดับความสามารถการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทย และเสริมสร้างความแน่นแฟ้นของการเชื่อมโยงระหว่างภาคอุตสาหกรรมของทั้ง 2 ประเทศให้สามารถก้าวหน้าไปด้วยกันในลักษณะ win-win นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมมีความยินดีที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการค้า การลงทุนระหว่างไทยและญี่ปุ่น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการของทั้ง 2 ประเทศ

ด้านนายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า สำหรับศูนย์นวัตกรรมมิเอะ-ประเทศไทย จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2561 นับเป็นหนึ่งในเครือข่ายของศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) ที่กระทรวงอุตสาหกรรมมอบหมายสถาบันอาหารดำเนินการ โดยได้ติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับการแปรรูปอาหารที่ได้รับจาก บริษัท ซูเอฮิโระ อีพีเอ็ม (SUEHIRO EPM) ประเทศญี่ปุ่น เพื่อช่วยยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการไทยในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหารต้นแบบให้มีศักยภาพและเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร ดังนั้น ศูนย์นวัตกรรมฯ นี้ ถือเป็นกรณีความสำเร็จที่มีนัยสำคัญที่เป็นผลลัพธ์จากการร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในปี 2558 ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม และจังหวัดมิเอะ 

สำหรับการจัดงานในวันนี้เป็นการขยายความร่วมมือโดยการแลกเปลี่ยนกรอบการทำงาน (Framework Exchange) ระหว่างดีพร้อมและจังหวัดมิเอะ เพื่อต่อยอดความร่วมมือจากใน MOU ที่มุ่งเน้นการขยายโอกาสธุรกิจของเอสเอ็มอีทั้ง 2 ประเทศสู่ระดับสากล ด้วยการพัฒนาสินค้าอาหารและเกษตรแปรรูป ทักษะบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต ยกระดับเกษตรอุตสาหกรรมแปรรูป ตลอดจนเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเตรียมพร้อมรับกระแสความเปลี่ยนแปลงในบริบทต่าง ๆ และอยู่รอดได้ในโลกยุคใหม่อย่างมั่นคงและยั่งยืน 

นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา 
ศูนย์นวัตกรรมมิเอะ-ประเทศไทย ได้ดำเนินกิจกรรมทางวิชาการร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องและการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากการใช้เครื่อง Twin Screw Extruder เพื่อช่วยยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการไทยในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหารต้นแบบให้มีศักยภาพและเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร และกิจกรรมอื่น ๆ อาทิ การจัดแสดงผลิตภัณฑ์อาหารที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีจากเครื่อง Twin Screw Extruder ณ งาน THAIFEX 2019 การเข้าร่วมงานสัมมนาที่จังหวัดมิเอะ รวมทั้งนำผู้ประกอบการไทยร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) และสร้างเครือข่ายกับผู้ซื้อของประเทศญี่ปุ่น ณ จังหวัดมิเอะ โดยล่าสุดได้ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืช จาก Isolate soy protein กับ Pea starch และนำมาทดลองปรุงอาหารเป็นเมนูกระเพาะปลาน้ำแดง เพื่อสอดรับแนวโน้มตลาดอาหาร Plant-based ที่กำลังมาแรง ซึ่งคาดว่าระหว่างปี 2566-2576 ตลาดอาหารโลกจะเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึงร้อย 12.2 โดยในปี 2566 ที่ผ่านมามีมูลค่าสูงถึง 11.3 พันล้านดอลลาร์ 

นอกจากวันนี้จะเป็นการฉลองความสำเร็จ 5 ปี ในการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมฯ แล้ว จังหวัดมิเอะยังได้นำคณะผู้แทนด้านเศรษฐกิจซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จังหวัดมิเอะ และผู้ประกอบการ จำนวน 14 ราย เข้าร่วมกิจกรรมเจรจาธุรกิจ (Business Matching) พร้อมบรรยายความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเครื่องจักรแปรรูปอาหารและเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างจังหวัดมิเอะ-ไทย ตลอดจนการสาธิตการปรุงอาหารจากวัตถุดิบที่มีชื่อเสียงของจังหวัดมิเอะ อาทิ เนื้อวัว ปลาดิบ เบียร์ และขนม นอกจากนี้ ยังจัดแสดงผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปอื่น ๆ ของจังหวัดมิเอะอีกด้วย

'หมอเตือน' กินของไหว้ตรุษจีน ระวังติดคอ แนะ!! สูงวัยเลี่ยงขนมเหนียว 'เข่ง-เทียน-ลอย'

(8 ก.พ. 67) นพ.ฆนัท ครุธกูล นายกสมาคม สมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ กล่าวถึงการรับประทานอาหารในช่วงเทศกาลตรุษจีน ว่า ช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ประชาชนชาวไทยเชื้อสายจีนมีการไหว้เจ้า กินเลี้ยงตามประเพณี ตนจึงขอแยกออกเป็น 2 กรณี คือ 

1.อาหารจากการไหว้เจ้า ที่ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นหมู เป็ด ไก่ ฉะนั้นความสำคัญคือ อาหารจะต้องมีความสดใหม่ โดยพบว่าอาหารเหล่านี้มักจะถูกแช่แข็งมา ดังนั้นเวลาที่เรานำมาปรุงอาหารจะต้องทำให้สุกทั่วถึง หากมีเนื้อที่ยังไม่สุกก็จะต้องนำไปปรุงให้สุกก่อนนำมารับประทาน ไปจนถึงหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ถูกแต่งสี เพราะเราไม่รู้ว่าสีที่นำมาใช้นั้นเป็นสีที่ใช้สำหรับอาหารหรือไม่ และระวังเรื่องของสิ่งปนเปื้อนในอาหารไหว้เจ้า เช่น อาหารที่บูดเนื่องจากทิ้งไว้ข้ามวัน ขี้เถ้าจากธูป หรือเศษฝุ่นจากการไหว้เจ้า 

2.การเลือกรับประทานอาหารในช่วงการกินเลี้ยง โดยส่วนใหญ่การเลี้ยงอาหารช่วงตรุษจีนจะเป็นการสังสรรค์ในครอบครัวซึ่งจะเป็นมื้อเย็น ขณะที่อาหารที่กินเลี้ยงนั้นจะประกอบไปด้วยอาหารจำพวกโปรตีน แป้งและไขมัน ฉะนั้น คำแนะนำสำหรับการกินอาหาร ควรกินในเวลาที่เร็วขึ้นมา ไม่ควรกินจนลากยาวไปถึงมื้อดึก และระวังเรื่องเครื่องดื่มประจำพวกชา กาแฟ ที่อาจทำให้นอนไม่หลับในช่วงกลางคืน รวมถึงการหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ด้วย

“สิ่งที่ต้องระวังอย่างยิ่งคือ ผู้สูงอายุที่ปกติแล้วจะมีปัญหาด้านการเคี้ยว การกลืนและการสำลัก ฉะนั้น จะต้องเลือกกินอาหารที่นิ่ม เคี้ยวง่าย และต้องเลี่ยงการกินอาหารที่เหนียว เคี้ยวยาก เพราะจะทำให้ติดคอหรือสำลักได้ แต่เราจะเห็นว่าหลายครั้งผู้สูงอายุจะพยายามกินอาหารในช่วงตรุษจีนเพราะถือว่าเป็นอาหารมงคล เช่น ขนมถ้วยฟู ขนมเทียน ขนมเข่ง หรือบัวลอยที่มีแป้งเหนียว ๆ ดังนั้น ควรจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ในคนสูงอายุ เพื่อป้องกันปัญหาอันตรายจากการติดคอ” นพ.ฆนัทกล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top