Saturday, 18 May 2024
หริรักษ์สูตะบุตร

อดีตรองอธิการฯ มธ. ค้านดึง ‘ลิซ่า’ เคาท์ดาวน์ แนะใช้เงินภาษีปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวดีกว่า

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงกรณีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เตรียมทุ่มเงิน 200 ล้านจ้างศิลปินดังร่วมโปรโมทเคาท์ดาวน์ปีใหม่ ว่า ล้มเลิกเสียเถิดครับ ที่จะใช้เงินงบแผ่นดิน 200 ล้าน จ้าง Lisa และ Andrea Bocelli มาเปิดการแสดงในงาน count down ของประเทศไทย 

งานที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ชอบทำมากคือการจัด event คงเป็นเพราะจัดงานจบแล้วจบเลย เห็นผลงานทันที ไม่ต้องรอนาน พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ดูเหมือนว่ากระทรวงการท่องเที่ยวฯ ถนัดแต่การโปรโมทการท่องเที่ยวแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นการทำงาน marketing ที่ไม่ครบวงจร ไม่ครบ 4 p's ซึ่ง p ที่สำคัญที่สุดก็คือ p ตัวแรกคือ Product ที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับความสนใจเท่าใดนัก ได้แต่ปล่อยให้อยู่ในมือของ เทศบาล อบต. อบจ. ไปตามยถากรรม

อย่าลืมว่าการโปรโมทเพียงอย่างเดียว โดยที่ตัว product ไม่ดีพอ จะไม่ทำให้เกิดการซื้อซ้ำ พูดง่ายๆ คือ หลงเชื่อการโปรโมท ซื้อครั้งเดียวแล้วเลิกเลย

แทนที่จะนำเงิน 200 ล้าน ไปละลายไปกับการจัด event แบบนี้ รัฐบาลน่าจะเอาเงินงบแผ่นดินที่มาจากภาษีของพวกเรา ประชาชนธรรมดา ไปปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศ ที่สำคัญคือ ปรับปรุงห้องน้ำที่แสนสกปรกให้สะอาด ทันสมัย ไร้ที่ติ ทำที่จอดรถให้เพียงพอ และสะดวก จัดระเบียบร้านค้าที่สถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมดให้ดูสวยงาม เรียบร้อย ไม่เขละขละ รกรุงรัง เหมือนเช่นในปัจจุบัน จะดีกว่า

ส่องความพ่ายแพ้ราบคาบของ 'รัสเซีย' ในสงครามข่าวสาร ใต้ 'เสรีภาพ-ความเป็นกลางของสื่อ' ที่ไม่มีอยู่ในโลก

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า... 

สงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ยังยืดเยื้อ ไม่จบลงง่ายๆ ซึ่งความจริงประธานาธิบดี Volodymyr Zelensky แห่งยูเครน มีทางเลือกที่จะยุติสงครามได้ง่ายๆ หยุดการสูญเสีย หยุดความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นทั่วโลก แต่เขาเลือกที่จะให้สงครามดำเนินต่อไป ภายใต้การสนับสนุนทุกทางจากสหรัฐอเมริกา และชาติอื่นๆ ใน NATO ขาดอยู่อย่างเดียวคือ ยังไม่มีการส่งกำลังทหารเข้าไปในยูเครนเท่านั้น

สงครามครั้งนี้ทำให้เห็นสัจธรรมข้อหนึ่งคือ... 

“เสรีภาพของสื่อ และความเป็นกลางของสื่อ ไม่มีในโลก”

สำนักข่าวที่รายงานข่าวที่ทำให้ รัสเซียและประธานาธิบดี Vladimir Putin ไม่ดูเป็นผู้ร้าย ล้วนถูกแบนออกจาก Platforms ต่างๆ ที่เป็นของสหรัฐอเมริกา ทั้ง Facebook และ YouTube คลิปต่างๆ ที่เป็นการวิเคราะห์วิจารณ์สงครามครั้งนี้ หากเป็นคลิปที่เห็นอกเห็นใจรัสเซีย ก็จะถูกลบออกไปเป็นส่วนใหญ่

การทำสงครามข่าวสาร และสงครามจิตวิทยา ดูเหมือนว่าฝ่ายยูเครนจะชนะรัสเซีย อาจเป็นเพราะประธานาธิบดี Zelensky ถนัดเรื่องนี้อยู่แล้ว และฝ่าย Zelensky มีสำนักข่าวยักษ์ใหญ่จากตะวันตกสนับสนุน แต่บางครั้งฝ่ายตะวันตกก็เสียหน้าเมื่อนำข่าวที่ยังไม่ได้ตรวจสอบว่าเป็นจริง หรือกระทั่งตั้งใจนำข่าวที่ไม่เป็นจริงมานำเสนอ

กรณีที่น่าสนใจมากคือกรณี Snake Island ซึ่งเป็นเกาะหนึ่งของยูเครน อยู่ในทะเลดำ 

เรื่องมีอยู่ว่า BBC และ CNN และยังมีสำนักข่าวฝ่ายตะวันตกอื่นๆ รายงานว่า ที่ Snake Island นี้ มีทหารยูเครนอยู่ 13 นายในข่าวได้เปิดคลิปเสียงที่เป็นประกาศจากเรือรบของรัสเซีย ให้ทหารทั้ง 13 นายวางอาวุธ มิฉะนั้นเรือรบจะเริ่มโจมตี 

'อดีตรองอธิการมธ.' ชี้!! เด็กสามนิ้ว 'อบจ.จุฬาฯ' จงใจเหยียบย่ำพระเกียรติองค์พระมหากษัตริย์

(18 ต.ค.65) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า...

ที่อบจ หรือองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ลงใน facebook ใน page ของ อบจ เองในวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่เป็นแค่การเห็นต่าง แต่เป็นการหมิ่นแคลน เย้ยหยัน เหยียบย่ำพระเกียรติขององค์พระมหากษัตริย์ที่คนไทยให้ความเคารพเทิดทูนมากที่สุดพระองค์หนึ่งในราชวงศ์จักรี กระทำสิ่งที่ตัวเองสะใจโดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ของประเทศเลยแม้แต่น้อย ถือเป็นการกระทำที่ต่ำช้าจนถึงที่สุด

จงใจไม่โพสต์พระบรมฉายาลักษณ์และข้อความสดุดีพระองค์ยังไม่เป็นไร แต่นี่โพสต์ภาพโจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวชาวฮ่องกง background ของภาพจงใจทำให้ดูเหมือนเป็น background ของพระบรมฉายาลักษณ์ แต่งกลอนอวยพรนาย หว่อง ข้อความในบทกลอนยังไปแช่งประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ให้มอดม้วยเป็นผุยผง โดยแทนที่จะใช้ชื่อ สี จิ้นผิง ก็เลี่ยงไปใช้คำว่า "หมีพูห์" ลงท้ายบทกลอนด้วยข้อความว่า "ทรงพระเจริญ" ใต้ภาพมีข้อความว่า "ฮ่องกงเป็นประเทศ"

นี่ไม่ใช่เป็นเสรีภาพที่ทำได้อย่างที่อ้างกัน การใช้เสรีภาพต้องไม่เป็นการไปละเมิด เหยียบย่ำผู้อื่น กรณีนี้จัดได้ว่าอาจเป็นการกระทำที่เป็นความผิด 2 ประการ

ที่แน่ ๆ คือเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

‘รศ.หริรักษ์’ ชำแหละ เจ้าของพรรคแลนด์ไลด์ ตั้งลูกสาวนั่ง ‘หัวหน้าครอบครัว’ หวังกรุยทางกลับบ้าน

(30 ม.ค. 66) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ปีนี้ เราน่าจะได้เห็นการยุบสภาก่อนครบวาระในเดือนมีนาคม การเลือกตั้งครั้งต่อไปมีการคาดคะเนกันว่าจะเป็นการเลือกตั้งที่จะมีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดที่สุดระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ และจะมีการใช้เงินกันมากที่สุดเป็นประวัติการณ์

ด้วยระบบการเมืองและนักการเเมืองที่มีอยู่เป็นอยู่ในขณะนี้ พรรคการเมืองที่ได้เปรียบย่อมเป็นพรรคที่มีเงินทุนมาก ดังนั้น พรรคที่ประกาศว่าจะชนะเลือกตั้งแบบ landslide คงต้องทุ่มทุกอย่างจนสุดตัว ใช้ทุกวิธี เพื่อที่จะให้ชนะเลือกตั้งแบบ landslide ให้ได้

พรรคการเมืองพรรคนี้ ใครที่เป็นหัวหน้าพรรคเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด เพราะแทบจะไม่มีอำนาจตัดสินใจในระดับนโยบายเลย ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งยังมีการสร้างตำแหน่งขึ้นใหม่ในพรรค เป็นตำแหน่งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย นั่นคือตำแหน่ง 'หัวหน้าครอบครัว' เพื่อให้ลูกสาวเจ้าของพรรคเข้ามาดำรงตำแหน่งนี้ และจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีต่อไป หัวหน้าพรรคต้องคอยเดินตามหลัง ค้อมคำนับให้หัวหน้าครอบครัวที่มีอายุคราวลูก ยืนอยู่ข้างหลังเวลาหัวหน้าครอบครัวให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน และจะต้องทำหน้ายิ้มแย้มด้วยความชื่นชม ยากเหลือเกินสำหรับการทำหน้าที่หัวหน้าพรรคของพรรคการเมืองพรรคนี้

หัวหน้าครอบครัวประกาศว่า จะต้องได้ชัยชนะแบบ landslide และจะนำพ่อกลับบ้านมาเลี้ยงหลาน พูดเช่นนี้คอการเมืองก็เข้าใจทันทีว่า ที่ต้องการชนะแบบ landslide เพราะต้องการเป็นรัฐบาลที่สามารถคุมเสียงในสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมให้พ่อได้กลับบ้านโดยไม่ต้องเดินเข้าคุกนั่นเอง เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่จะให้พ่อกลับบ้านแบบเท่ ๆ ได้

ทั้งเจ้าของพรรคและหัวหน้าครอบครัวดูจะมีความมั่นใจมากว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังคงเชียร์ตัวเองแบบไม่ลืมหูลืมตา จีงกล้าประกาศเช่นนั้น แต่มาวันนี้น่าจะเห็นแล้วว่า คนไทยไม่ได้เชียร์พ่อตัวเองอย่างไม่ลืมหัวลืมตาแล้ว แน่นอนคนแบบนั้นยังมีอยู่จำนวนหนึ่ง แต่คนอื่นๆ ที่เคยเลือกพรรคนี้เป็นจำนวนมากเริ่มไม่สบายใจที่จะเลือกพรรคนี้เพื่อให้ไปออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อคนเพียงคนเดียว หากเลือกพรรคนี้ก็จะมีความวุ่นวายในบ้านเมืองตามมาแน่ ๆ และอาจจะมีความรุนแรงกว่าเมื่อครั้งออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยเสียอีก

ล่าสุดเจ้าของพรรคซึ่งประกาศว่าตัวเองจะกลับบ้านมาทุกปีเป็นเวลาหลายปีแล้ว ยังคงกลับไม่ได้ จึงออกมาพูดนำทางแก้เกี้ยวว่ายังกลับบ้านไม่ได้เพราะครอบครัวกลัวจะไม่ปลอดภัย (ว่าเข้าไปนั่น) แต่เมื่อจะกลับ จะไม่ต้องออกฎหมาย ไม่ต้องเกี้ยเซี๊ยกับพรรคพลังประชารัฐ ไม่ต้องใช้พรรคเพื่อไทย หลังจากนั้นหัวหน้าครอบครัวผู้เป็นลูกสาวก็ให้สัมภาษน์นักข่าวว่า จะมุ่งทำงานให้ประชาชน เรื่องนำพ่อกลับบ้านยังไม่คิด กลับลำซะงั้น เสมือนไม่เคยพูดว่าต้องการชนะแบบ landslide เพื่อพาพ่อกลับบ้านมาก่อนเลย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top