Monday, 6 May 2024
ษิทราเบี้ยบังเกิด

‘ทนายตั้ม’ แง้ม 3 คำใบ้ อดีตรองนายกฯ ‘เป็นชู้’ ย้ำ!! เหตุเกิดปี 65 จึงไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย

กลายเป็นอีกหนึ่งข่าวร้อน ที่มาแรงกลบทุกกระแสข่าวแรง ๆ ในช่วงนี้ไปเลย แถมยังทำพี่น้องชาวเน็ตไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพราะอยากรู้แล้วว่าใครกันนะ!! คือ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ทนายตั้ม หรือ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพบรรยายไว้อย่างถึงพริกถึงขิง 

ล่าสุด วันนี้ (9 ม.ค. 66) ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ออกมาตั้งโต๊ะแถลง ถึงกรณีดังกล่าว ที่สำนักงาน ‘Sittra Law Firm’ โดยเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม 3 ปมหลัก ให้ชาวเน็ตไปสืบกันต่อว่า อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่เล่นชู้ นั้นคือใคร? 

ปมข้อที่ 1 เป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี
ปมข้อที่ 2 มีความเกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย
ปมข้อที่ 3 ชอบตีกอล์ฟ แต่ไม่ชอบสนามกอล์ฟอัลไพน์

‘สมศักดิ์’ ชวน ‘ทนายตั้ม’ ซบ พปชร. หลังลาออก ‘พท.’ เชื่อฝีมือดีช่วยชาวบ้านได้เยอะ

(9 ก.พ.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน ได้เดินทางเข้าพบ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ โดยนายษิทรา ได้กล่าวว่า ตนได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยแล้ว วันนี้จึงได้เดินทางมาเข้าพบเพื่อขอคำปรึกษา หารือทิศทางการเมืองว่าควรจะเป็นอย่างไรต่อไป 

โดยทางนายสมศักดิ์ ได้สอบถามนายษิทราว่า “จะออกไปไหนล่ะ งานด้านการเมือง ทนายตั้มไม่ควรหยุดเล่น เพราะเป็นคนมีความสามารถ หากทำงานในด้านนี้ก็จะช่วยเหลือประชาชนได้ ซึ่งทางพรรคพลังประชารัฐก็ยังเปิดรับคนรุ่นใหม่ที่สนใจงานการเมืองอยู่ หากทนายตั้มสนใจ คิดว่าเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดี เพราะหากทนายตั้มมีโอกาสเป็น ส.ส. น่าจะช่วยประชาชนได้เป็นจำนวนมาก”

'ทนายษิทรา' แถลงข่าว!! เชื่อ 'ชูวิทย์' ได้เงินมากกว่า 6 ล้าน ชี้!! ออกมาพูดเพราะเสียความรู้สึกและอยากให้สังคมรู้ข้อมูลอีกมุม

(23 มี.ค.66) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เปิดเผยถึงกรณีภาพรูปเงิน ในถุงกระดาษ จำนวน 2 ถุง ระบุข้อความ แฉไป ไถมา ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า บุคคลที่ถูกพาดพิงนั้นเป็นใคร

นายษิทรา ยืนยันว่า ภาพถ่ายเงินเป็นเงินจากสารวัตรซัว ผู้ต้องหาคดีพนันออนไลน์ นำไปมอบให้กับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เพื่อขอให้หยุด

นายษิทรา ยังเปิดเผยข้อมูลว่า รูปเงินจำนวนราว 6 ล้านบาท เป็นรูปเมื่อปีที่ผ่านมา และนายชูวิทย์ก็ออกมายอมรับว่า ได้รับเงินจำนวนนี้จริง และมีหลักฐานอีกว่า ยังมีการแบ่งจ่ายมาแล้ว 2-3 ครั้ง ครั้งละ 10 ล้านบาท

‘ทนายตั้ม’ เผยภาพ ‘ชูวิทย์’ รับเงินจากสารวัตรซัว ลั่น!! ถ้าไม่ยอมเปิดเผยความจริง เดี๋ยวจะเปิดแทนเอง

(24 มี.ค. 66) ทนายษิทราได้โพสต์หลักฐานภาพถ่ายภายในโรงแรมของชูวิทย์ ในเฟซบุ๊ก ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน โดยระบุว่า…

#ชื่นมื่น ภาพนี้ถ่ายที่โรงแรมเดวิส และเป็นวันที่คนของสารวัตรซัว ซึ่งเป็นเจ้าของเว็บหนึ่ง (คนซ้ายในรูป) เอาเงินไปให้พี่ชูวิทย์ครั้งแรก เมื่อปีที่แล้ว ไม่ใช่มีแค่ตำรวจ 2 คนอย่างที่พี่ชูวิทย์ให้สัมภาษณ์

คนบนโต๊ะมีทั้งตำรวจระดับนายพล 2 คน (ตามที่พี่บอกกับสังคม) เจ้าของเว็บ กล่องดวงใจ และพี่ชูวิทย์ นั่งเจรจากัน เรื่องเว็บไหนแตะได้ เว็บไหนแตะไม่ได้ และที่สำคัญตำรวจระดับนายพลที่พี่ชูวิทย์พยายามเลี่ยง ไม่พูดถึง คนนึงเกษียณแล้วเป็นคนสนิทพี่ชูวิทย์เอง ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่อีกคนไม่ใช่ตำรวจแล้ว พี่พูดความจริงครึ่งเดียว คนนี้มีตำแหน่งสำคัญเกี่ยวกับการปราบปรามพนันออนไลน์ ซึ่งถ้าสังคมรู้ว่ามีตำแหน่งอะไรคงช็อกกันทั้งประเทศ ช็อกแรกคือคนนี้มาเกี่ยวข้องกับแก๊งพนันออนไลน์ได้ยังไง ช็อกที่สองก็คือทำไมพี่ชูวิทย์ต้องปกปิด

‘ทนายตั้ม’ แถลงโต้หลัง ‘ชูวิทย์’ เปิดหลักฐานแฉ ชี้!! เก็บ 3 แสนคือค่าเสี่ยงภัย ไม่ใช่ค่าแถลงข่าว

(27 มี.ค. 66) ทนายตั้ม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวนัดเปิดหลักฐานเด็ด มัดนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ รับมาจากสารวัตรซัว โดยทนายตั้มขอแบ่งการแถลงข่าวออกเป็น 2 ช่วง โดยจะเริ่มต้นแถลงชี้แจงเรื่องเรียกเก็บค่าแถลงข่าว 3 แสนบาท

ทนายตั้ม ระบุว่า ปีนี้ตนแถลงแค่ 2 ครั้ง เหตุผลที่เก็บค่าแถลงข่าว เพราะเรื่องดังกล่าวถูกฟ้องแน่นอน ไม่ใช่ค่าแถลงข่าวแต่เป็นค่าเสี่ยงภัย เพราะผมต้องมีต้นทุนในการดำเนินคดี ไม่เคยไถเพื่อจัดแถลงข่าว ปีนี้ที่เก็บเงินมีเคสรองนายกฯ กับเคสพี่ช่อ ซึ่งก็ถูกฟ้องและถูกดำเนินคดีมรรยาท 

“ผมยอมรับว่ามาปรึกษาคดีกับผม ผมคิดแพง ปีที่แล้วรับปรึกษาคดี 1,500 เคส ซึ่งผมรับคดีไม่ถึง 10% ค่าปรึกษาคดีผมคิดเงิน ถ้าคุยกับลูกน้องผม 20 นาที คิด 1,000 บาท คุยกับผม 20 นาทีเท่ากัน คิด 1,500 บาท ถ้ามาหาที่สำนักงาน มาเจอผมครึ่ง ชม. ผมคิด 3,000 บาท อันนี้เป็นวิชาชีพ ผมไม่ทำสีเทา ไม่ได้เปิดอาบอบนวด” ทนายตั้ม กล่าว

‘ทนายตั้ม’ เปิดอกเคลียร์ใจ ปมชีวิตหรูหรา ยัน!! บินฝรั่งเศสไปทำงาน-ไม่เอี่ยวเว็บพนัน

(3 พ.ค. 66) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ทนายความชื่อดัง เปิดแถลงข่าวชี้แจงประเด็นต่างๆ ที่ถูกกล่าวหา ที่สำนักงาน Sittra Law Firm โดย นายษิทรา กล่าวว่า ที่ผ่านมามีข้อสงสัยการใช้ชีวิตที่ดูหรูหราของตนในขณะที่งบการเงินของสำนักงานดูเหมือนจะขาดทุนหรือมีกำไรไม่มากนัก ซึ่งตนยืนยันยังชี้แจงเหมือนครั้งก่อน ๆ ว่าตนเปิดบริษัท Sittra Law Firm ในปี 2565 แต่ก่อนหน้านั้น ตนเคยเปิดบริษัทชื่อ Wisdom Law Firm และทำเหมือนทนายความทั่วไปคนหนึ่ง รายได้เข้าบริษัทบ้าง เข้าตนเองบ้าง แต่รับคดีไม่มีค่าใช้จ่ายก็เยอะ

กระทั่งตามทำคดีลุงพล จึงได้มาเปิดบริษัท Sittra Law Firm โดยหนังสือของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุชัดว่าบริษัท Sittra Law Firm เดิมชื่อ Wisdom Law Firm กระทั่งเปลี่ยนชื่อในวันที่ 25 ม.ค. 2565 จากนั้นจึงเริ่มทำธุรกิจจริง ๆ ในเดือน เม.ย. 2565 ดังนั้นอย่าไปดูงบการเงินปีเก่า ๆ เพราะตอนนั้นไม่ค่อยมีรายได้ โดยสามารถไปขุดภาพเก่า ๆ จากอินสตาแกรมของตนได้ ตนเพิ่งจะมามีรายได้มากในปี 2565 นี่เอง

“งบการเงินของ Sittra Law Firm ปี 2565 ที่ผ่านมา ผมมีรายได้ทั้งหมด 22 ล้าน เป็นรายได้ของบริษัท แต่ตอนนี้งบเขายังทำไม่เสร็จ ผมก็เลยยังไม่รู้ว่าจะต้องเสียภาษีเท่าไร แต่ผมเสียภาษีทุกเดือนเยอะอยู่แล้ว เพราะมีทั้งภาษี VAT ภาษีอะไร 2-3 ตัวที่ผมจะต้องโอนจ่ายอยู่ทุกเดือน แล้วของ Sittra Law Firm เรามีผู้ตรวจบัญชีแล้วก็ส่งสรรพากร อันนี้เราก็ยินดีให้ตรวจสอบได้” นายษิทรา กล่าว

นายษิทรา กล่าวต่อไปว่า ตนทำธุรกิจด้านกฎหมาย เป็นที่ปรึกษาให้หลายบริษัท รวมถึงรับว่าความ ซึ่งในปี 2565 ที่ผ่านมา ตนยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปประมาณ 1 ล้านบาท ยังไม่รวมกับทางบริษัท Sittra Law Firm ดังนั้นรายได้ทุกบาททุกสตางค์ที่เข้ามาตนยื่นภาษีถูกต้อง นี่จึงเป็นเหตุที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ไม่รับคดีของตนแต่ส่งเรื่องให้กรมสรรพากรตรวจสอบตามกระบวนการ ใครจะไปร้องเรียนอะไรตนไม่กังวล เพียงแต่ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ออกมาตอบโต้เพราะรอบุคคลและเอกสารที่เกี่ยวข้อง 

ส่วนประเด็นการทำคดีลุงพลในเวลานั้น ยอมรับว่าเคยเจอกระทั่งรอ 6 เดือนกว่าเงินจะเข้า เพราะเมื่อไปทำคดีลุงพล ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นจึงไม่มีใครจ้างตน เวลานั้นจึงใช้เงินเก่าไปก่อนในช่วงที่ไม่มีงาน ส่วนการเปิดมูลนิธิทนายประชาชน ก่อนหน้านี้ที่มีบุคคลอ้างว่ามีการโอนเงินให้ตนหลักหมื่นถึงหลักล้าน บอกได้เลยว่าไม่เป็นความจริง เรื่องนี้ค้นหาข่าวเก่า ๆ ได้ ตนก็เคยตอบไปแล้วว่าแฟนคลับลุงพลชอบสร้างเรื่อง 

โดยสามารถตรวจสอบจากเอกสารเส้นทางเงินเข้า-ออกบัญชี หรือสเตทเม้นของมูลนิธิ ช่วงเดือน ม.ค.-พ.ย. 2564 ที่ตนรับทำคดีลุงพลได้ ยอดโอนเข้ามามีเพียงหลักสิบ หลักร้อย อย่างมากก็หลักพันบาท และล่าสุดที่เพิ่งปรับสมุดบัญชีมา เพราะสเตทเม้นยังไม่ออก พบมูลนิธิมีเงินเหลือประมาณ 2 แสนบาท ส่วนประเด็นคำถามว่าเหตุใดตนต้องเดินทางไปประเทศฝรั่งเศสบ่อยครั้ง เรื่องนี้ด้านหนึ่งคือการไปเที่ยว แต่อีกด้านก็ไปทำงานด้วย เพราะตนก็มีลูกความเป็นเศรษฐีชาวไทยที่ไปอยู่กับสามีที่ฝรั่งเศส 

จากนั้น นายษิทรา ได้เชิญลูกความคนดังกล่าวมาร่วมแถลงข่าวด้วย โดยขอไม่เปิดเผยชื่อ-นามสกุลจริง เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว โดยขอเรียกว่า 'พี่อ้อย' ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้อยากมาออกสื่อ แม้ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 จะเคยสมทบทุน 20 ล้านบาทเพื่อจัดซื้อวัคซีน แต่ที่ผ่านมามีการนำคลิปวิดีโอไปเผยแพร่แล้วทำให้ได้รับความเสียหาย ส่วนอีกคนที่มาด้วยกันคือ 'พี่น้อย' เป็นเลขาของพี่อ้อย ซึ่งเหตุที่บินกลับมาเมืองไทย เพราะวันที่ 5 พ.ค. 2566 ต้องไปทำพิธีส่งมอบอาคารเรียนที่ ร.ร.วัดขนงพระเหนือ ที่บริจาคเงิน 84 ล้านบาทเพื่อก่อสร้าง

โดย อ้อย เล่าว่า คลิปที่มีตำรวจยกกระเป๋า วันนั้นนายษิทราไปส่งตนที่สนามบิน แล้วมีตำรวจ 2 นาย เห็นตนยกกระเป๋าอยู่ และเห็นนายษิทรา ด้วยความที่รู้จักกับนายษิทราจึงเข้ามาทักทายสอบถามว่าจะไปไหน นายษิทราก็ตอบไปว่ามาส่งตนไปต่างประเทศ ตำรวจ 2 นายนั้นก็เข้ามาช่วยยกกระเป๋า แต่ตนก็ไม่ทราบว่าทั้ง 2 นายเป็นใคร ส่วนตอนไปเช็กอินแล้วมีพนักงานยกมือไหว้ อันนี้เป็น Service Mind ของพนักงานอยู่แล้ว ก็ต้องไปถามสายการบิน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top