Saturday, 4 May 2024
ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี

คนอะไร? เจอพี่ชายโบ้ย แถมฝ่ายค้านยังไล่โซ้ยต่อทั้งวัน แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมานั่งปั่นงานชาติต่อ เมื่อมีเวลา

เพจศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี PMOC ได้โพสต์ภาพการทำงานของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พร้อมคำบรรยายว่า แม้จะมีอภิปรายในรัฐสภา แต่ #หน้าที่และความรับผิดชอบ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ไม่ได้หยุดตามไปด้วย เพราะปัญหาของพี่น้องประชาชนที่รอการแก้ไขและพัฒนายังมีอีกมาก ดังนั้น การบริหารราชการแผ่นดินจึงรอช้าไม่ได้ 

จึงเป็นเรื่องคุ้นเคยกับการที่เราได้เห็นภาพนายกฯ ทำหน้าที่ทั้งผู้นำฝ่ายบริหาร และรับฟังการตรวจสอบจากรัฐสภาในเวลาเดียวกัน


ที่มา : https://www.facebook.com/photo?fbid=366737012307170&set=pb.100069126223361.-2207520000..

ภาพรวมและกำหนดเสร็จ 'โครงข่ายรถไฟความเร็วสูงของไทย'

อีกไม่นานเกินรอ!!

โครงข่ายทางรถไฟความเร็วสูงของไทยถูกวางแผนไว้ว่าจะใช้รางเกจมาตรฐาน 1,435 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นเกจมาตรฐานที่ทางรถไฟส่วนใหญ่ของโลกเลือกใช้ แบ่งออกได้ทั้งหมด 4 เส้นทาง มีระยะทางทั้งหมดรวมกัน 2,700 กิโลเมตร ดังนี้

=======
สายอีสาน กรุงเทพ-นครราชสีมา-หนองคาย เชื่อมโยงประเทศลาว
====

โครงการทางรถไฟความเร็วสูงสายอีสาน รองรับรถไฟความเร็วสูง มีความเร็วปกติ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง แบ่งออกเป็น 2 ระยะ 

ระยะที่  1 เส้นทางกรุงเทพ-นครราชสีมา โครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีระยะทาง 250 กิโลเมตร เชื่อม 6 สถานีคือ บางซื่อ-ดอนเมือง-อยุธยา-สระบุรี-ปากช่อง-นครราชสีมา กำหนดเปิดให้บริการ พ.ศ. 2569

ระยะที่ 2 เส้นทางนครราชสีมา-หนองคาย โครงการอยู่ในขั้นตอนการวางแผน มีระยะทาง 357 กิโลเมตร เชื่อม 6 สถานีคือ นครราชสีมา-บัวใหญ่-บ้านไผ่-ขอนแก่น-อุดรธานี-หนองคาย กำหนดเปิดให้บริการ พ.ศ. 2572 – 2573  

รถไฟสายนี้ จะเป็นเส้นทางที่เชื่อมโยงไปยังเส้นทางรถไฟลาว-จีน

=======
สายตะวันออก กรุงเทพ-ตราด
====

โครงการทางรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออก รองรับรถไฟความเร็วสูง มีความเร็วปกติ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง แบ่งออกเป็น 2 ระยะ 

ระยะที่  1 เส้นทางกรุงเทพ-อู่ตะเภา โครงการอยู่ในขั้นตอนการเตรียมงานก่อสร้าง มีระยะทาง 220 กิโลเมตร เชื่อม 9 สถานีคือ ดอนเมือง-บางซื่อ-มักกะสัน-สนามบินสุวรรณภูมิ-ฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-ศรีราชา-พัทยา-สนามบินอู่ตะเภา คาดว่าจะเสร็จ พ.ศ. 2572

รัฐบาล จ่ายต่อเนื่องอุดหนุนเด็กแรกเกิด ลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยเด็กมีพัฒนาการตามวัย

เพจเฟซบุ๊ก ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ได้โพสต์ข้อความถึงโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โดยระบุว่า โครงการดังกล่าว เป็นนโยบายสำคัญระดับชาติ มุ่งเน้นให้เด็กแรกเกิดได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ และมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย เพื่อเติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพในอนาคต อันจะยังประโยชน์ดังนี้

1) ช่วยให้เด็กอายุ 0 – 6 ปี ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และเป็นกำลังของสังคมและเศรษฐกิจในอนาคต

2) การลงทุนพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและให้ผลตอบแทนแก่สังคมที่ดีที่สุดในระยะยาว โดยให้ผลตอบแทนกลับคืนมาในอนาคต 7 - 10 เท่า ทำให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ มีทักษะที่สูงขึ้น ผลการเรียนที่ดีขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้น การเจ็บป่วยที่ลดลง และลดจำนวนอาชญากรรมลง เป็นต้น

3) ทำให้เด็กแรกเกิดสามารถเข้าถึงบริการทางสังคมได้เพิ่มมากขึ้น ทำให้ได้รับการพัฒนาให้เติบโตอย่างเหมาะสมตามวัย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้หน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องสามารถระบุกลุ่มเป้าหมายเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและจัดสวัสดิการตามภารกิจของหน่วยงานได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ และความยากจนลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยกความเดือดร้อนปชช. เป็นที่ตั้ง ภารกิจสำคัญ ‘น้ำท่วม’ ต้องร่วมกันแก้ไข

3ป - 2ช - 1ว ยังไงก็ไปทางเดียวกัน !!ร่วมแรง ร่วมกัน แก้น้ำท่วม !!

เพจศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี หรือ PMOC ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอ ประมวลภาพการทำงานของรัฐบาลร่วมกับกรุงเทพมหานครในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยในคลิปดังกล่าวมีความคิดเห็นของบุคคลหลากหลายสาขาอาชีพในช่วงสถานการณ์น้ำท่วม รวมถึงประมวลภาพภารกิจการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและการช่วยเหลือประชาชนของ 3 ป. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รมว.กลาโหม และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย รวมถึง นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมข้อความ “ยังไงก็ไปทางเดียวกัน ร่วมแรง ร่วมกัน แก้น้ำท่วม”

นับเป็นนิมิตหมายที่ดีของคนกรุงเทพมหานคร หลังได้เห็นความร่วมมือกับแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน จากรัฐบาลกลาง และกรุงเทพมหานคร ไร้ภาพความแตกแยก แต่ประสานมือร่วมคลี่คลายปัญหาไปด้วยกัน 

อย่างที่ทราบกันดีว่า ในช่วง 2 – 3 วันที่ผ่านมา ฝนกระหน่ำเมืองกรุง จนเกิดภาพน้ำท่วมขัง ระบายไม่ทัน สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในโซนกรุงเทพตะวันออก อย่างเขตลาดกระบัง

เป็นเหตุให้เกิดวิวาทะกันอย่างหนักในโซเชียลมีเดีย ระหว่างกองเชียร์ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และฝั่งที่มีความคิดเห็นตรงข้าม กับข้อกล่าวหาที่ว่า ทำงานไม่เป็น ก็ไม่ควรอาสามาทำหน้าที่ผู้ว่าฯ แม้แต่ส.ส.เขตลาดกระบัง พรรคเพื่อไทย ที่เคยอยู่ฝั่งเดียวกันอย่าง นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ถึงกับทนไม่ไหว ออกมาบ่นดัง ๆ ผ่านออนไลน์ ว่า ไม่เคยได้รับการช่วยเหลือ ขออะไรไปก็ไม่ได้รับการตอบสนอง

เหตุการณ์เช่นนี้ ยิ่งตอกย้ำภาพความแตกแยก แต่ทว่าภาพแห่งความหวังของคนกรุงเริ่มปรากฏสัญญาณบวก เมื่อนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)ได้มอบเครื่องเครื่องสูบน้ำขนาดหน้าตัด 30 นิ้ว จำนวน 6 เครื่อง ที่ระดมมาจากทั่วทุกภาคของประเทศ โดย 1 เครื่องจะติดตั้งที่ถนนศรีนครินทร์ เขตบางนา อีก 4 เครื่อง อยู่ที่สถานีสูบน้ำพระโขนง ส่วนอีก 1 เครื่อง จะมาในวันที่ 19 กันยายนนี้ 

โดยเป็นการตอบรับทันที ที่ผู้ว่าฯชัชชาติ ร้องขอมา โดยไม่มีอิดออด มิหนำซ้ำยังแสดงความยินดีและขอบคุณที่ได้ให้โอกาสกรมทรัพยากรน้ำ ได้มีส่วนร่วมในการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ 

ไม่เพียงแต่นายวราวุธ เท่านั้นที่ลงมาช่วยบรรเทาความเดือดร้อนน้ำท่วมครั้งนี้ แต่กลุ่มพี่น้อง 3 ป. ทั้งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว แต่ก็มิได้นิ่งนอนใจต่อความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนชาวกทม. ในฐานะรมว.กลาโหม ได้สั่งการให้หน่วยทหาร ออกช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทุกพื้นที่ ดังภาพที่ปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ทั้งทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และหน่วยทหารจิตอาสา ที่ระดมกำลังช่วยเก็บขยะ กำจัดวัชพืช ขุดลอกคูคลอง, ขุดลอกท่อ, นำรถทหารออกบริการประชาชนที่เดินทางไม่สะดวกในเส้นทางที่มีน้ำท่วมขัง เป็นต้น 

ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ ได้ลงพื้นที่ติดตามตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร ด้วยตัวเอง บริเวณสะพานคลองทับยาว เขตลาดกระบัง ซึ่งเป็นจุดที่มีปัญหาด้านการระบายน้ำ และทันทีที่ผู้ว่าฯชัชชาติ รายงานสถานการณ์ว่า “ลาดกระบังหนักสุดครับ ฝนตกลงมาเยอะมากครับท่าน 2 เท่าของค่าเฉลี่ย” พลันที่ได้ยินเช่นนั้น พล.อ.อนุพงษ์ ตอบกลับทันทีว่า “ท่านผู้ว่าฯ จะเอาอะไรบอกผมได้เลย” 

พร้อมย้ำว่า รัฐบาลและกทม.ทำงานใกล้กันอยู่แล้ว ต้องการอะไรที่จะให้สนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือหรือบุคลากรบอกได้ตลอด

ทางด้านพี่ใหญ่ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร หลายฝ่ายชื่นชมว่า ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีได้อย่างเหมาะสม เริ่มตั้งแต่การต่อสายตรงหาผู้ว่าฯชัชชาติ เพื่อหารือถึงการรับมือปัญหาน้ำท่วม โดยระบุว่า “มีอะไรให้ช่วยขอให้บอก” 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร ยังควงผู้ว่าฯชัชชาติ ลงพื้นที่ มีนบุรี หนองจอก ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม ด้วยตัวเองอีกด้วย

'รถไฟความเร็วสูง' และ 'รถไฟรางคู่' แตกต่างกันอย่างไร?

'รถไฟความเร็วสูง' เป็นรถไฟที่ถูกออกแบบมาเพื่อการขนส่งผู้โดยสารเท่านั้น มีความเร็วมากกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในขณะที่ 'รถไฟรางคู่' นั้น เป็นรถไฟแบบดั้งเดิมที่ได้รับการขยายเพิ่มจำนวนรางมากขึ้นเป็น 2 เส้น ซึ่งรถไฟแบบดั้งเดิมนี้ สามารถขนย้ายได้ทั้งผู้โดยสาร และสินค้าในขบวนเดียวกัน ตามแต่การเชื่อมต่อขบวนรถไฟ

ในอดีตที่ผ่านมา การรถไฟของไทย ใช้รถไฟแบบดั้งเดิมทั้งเพื่อการขนส่งผู้โดยสาร และการขนส่งสินค้ามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางวิศวกรรมรถไฟที่เปลี่ยนแปลงไป รถไฟความเร็วสูงได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถในการใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้แล้ว และได้รับการยกย่องว่าเป็น 'ยานพาหนะแห่งศตวรรษที่ 21' มีความสามารถที่จะขนส่งผู้โดยสารในระยะทางที่ไกลขึ้นได้ ด้วยค่าใช้จ่ายที่สามารถเอื้อมถึง

สัมพันธ์ไมตรีระหว่างมิตรประเทศกับไทย สะท้อนความเป็นกลางสยามไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะแต่ละประเทศต่างก็มีจุดยืน ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับประเทศไทย เนื่องด้วยประเทศไทยดำเนินนโยบายเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดตลอดมา ด้วยความที่ประเทศไทย มีความเป็นมิตรประเทศกับทุกฝ่าย โดยไม่เลือกข้างเข้ากับฝ่ายใด ทำให้ประเทศไทยได้รับน้ำใจจากมิตรประเทศตลอดมา

ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดจากโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 ก็เช่นกัน ที่ประเทศไทย ได้รับความช่วยเหลือด้านวัคซีนจากมิตรประเทศต่าง ๆ ดังต่อไปนี้...

>> จีน
จีนมอบวัคซีน 50.85 ล้านโดส และเวชภัณฑ์เพื่อสนับสนุนมาตรการการป้องกันและรับมือกับโควิด-19 แก่ประเทศไทย มูลค่ากว่า 10 ล้านหยวน

ล่าสุด วันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา จีนยังบริจาค “ห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่หัว-เหยี่ยน” ให้กับทางรัฐบาลไทย โดยห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่ดังกล่าวเป็นห้องปฏิบัติการที่ถูกต้องตามมาตรฐาน เพื่อใช้ในการตรวจหาเชื้อไวรัสก่อโรค และเพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ทั้งด้านเทคนิค และการบริการภายในอย่างครบครัน

>> ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นส่งมอบวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า  2,043,100 โดส อีกทั้งยังให้ความช่วยเหลือไทยในการจัดเตรียมอุปกรณ์ในระบบลูกโซ่ความเย็น (Cold Chain System) ซึ่งจำเป็นต่อการขนส่งและเก็บรักษาวัคซีน รวมถึงให้ความร่วมมือในการยกระดับความสามารถการตรวจหา และเฝ้าระวังเชื้อไวรัส การจัดหาอุปกรณ์และอาคารสถานที่ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนายารักษาโรค

>> อังกฤษ 
อังกฤษมอบแอสตร้าเซเนก้า 415,000 โดส อีกทั้งบริษัทแอสตร้าเซเนก้าของอังกฤษ ยังไว้วางใจให้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ของประเทศไทย เป็นฐานการผลิตวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

>> สวิตเซอร์แลนด์
สวิตเซอร์แลนด์มอบชุดอุปกรณ์ตรวจ Rapid Antigent จำนวน 1,100,000 ล้านชุด และเครื่องช่วยหายใจ 102 เครื่อง

>> สหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกามอบวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส, วัคซีนโมเดอร์นา 1 ล้านโดส และตู้เย็นเก็บวัคซีนจำนวน 200 เครื่อง

สรุปจำนวนวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ที่ 'บิ๊กตู่' จัดให้!!

การให้บริการฉีดวัคซีนป้องการโรคโควิด19 ถือเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาให้ความสำคัญ โดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้าง 'ภูมิคุ้มกันหมู่' (Herd Immunity) ให้แก่สังคมไทย

ภูมิคุ้มกันหมู่ เป็นนิยามที่เกิดขึ้นโดย สพ. แดเนียล เอลเมอร์ แซลมอน สัตวแพทย์ชาวอเมริกันใน ค.ศ. 1894 และได้รับการศึกษาวิจัยต่อมาจนเป็นที่ยอมรับในช่วง ค.ศ. 1930 จากงานวิจัยด้านระบาดวิทยาของโรคหัดในบัลติมอร์ โดยเอ ดับบลิว เฮดริช และมีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมมาตลอดทั้งในแง่ของการคำนวนหาจำนวนที่เหมาะสม และรูปแบบการกระจายวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์

นอกจากนี้ เทคโนโลยีในการสร้างวัคซีนป้องกันโรคโควิด ปัจจุบันมี 3 เทคโนโลยี ได้แก่วัคซีนชนิดเชื้อตาย (Inactivated Vaccine), ไวรัล เว็กเตอร์ (Viral Vector Vaccine) และ เอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA Vaccine) ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาสามารถจัดหามาให้บริการแก่พี่น้องประชาชนได้ทั้ง 3 ชนิด มีจำนวนดังต่อไปนี้..

- Sinovac จำนวน 26,530,000 โดส 
- Sinopharm จำนวน 14,860,000 โดส
- AstraZeneca จำนวน 48,620,000 โดส
- Pfizer จำนวน 43,490,000 โดส
- Moderna จำนวน 6,590,000 โดส

นายกรัฐมนตรียินดีและชื่นชม 'โตโน่' ทำความดีเพื่อสังคม

นายกรัฐมนตรียินดีและชื่นชม 'โตโน่' ทำความดีเพื่อสังคม

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฎิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความชื่นชม นายภาคิน คำวิลัยศักดิ์ หรือ โตโน่ นักร้องและนักแสดง และยินดีที่สามารถบรรลุภารกิจว่ายน้ำข้ามลำน้ำโขง ระดมเงินจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ให้โรงพยาบาลนครพนม และโรงพยาบาลแขวงคำม่วน สปป.ลาว ภายใต้ชื่อกิจกรรม One Man And The River หนึ่งคนว่าย หลายคนให้

เปิด 8 ผลกระทบ ส่งฝนกระหน่ำหนักไทยครึ่งปีหลัง 65 ภายใต้การกู้สถานการณ์เร็ว ลดสูญเสียหนัก จากรบ. 'บิ๊กตู่'

นับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากสภาพภูมิอากาศ เกิดร่องมรสุม และพายุอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีปริมาณฝนตกเป็นจำนวนมาก สร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง 

ส่งผลให้ในปีนี้ประเทศไทยมีสถิติฝนตกสูงมากกว่าปกติ และในบางจังหวัดทุบสถิติฝนตกมากที่สุดในรอบ 30 ปี

ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีดังนี้...

1. ร่องมรสุมพัดพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 2 - 8 สิงหาคม 

ส่งผลให้ฝนตก และฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทย หลายพื้นที่ในภาคเหนือ, ตะวันตก, ตะวันออก, ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ มีปริมาณฝนตกหนักมากกว่า 125  มิลลิเมตร (125 ลิตรต่อตารางเมตร) ในหลายพื้นที่

2. พายุดีเพรสชัน มู่หลาน ระหว่างวันที่ 11 – 13 สิงหาคม

ส่งผลให้ฝนตกเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมแทบจะทุกภูมิภาคของประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือจังหวัดน่านตอนบนที่ รองลงมาคือเชียงรายและเชียงใหม่, กาญจนบุรี, สระแก้ว และปราจีนบุรี 

ในหลายพื้นที่มีฝนตกหนักมากกว่า 100 มิลลิเมตร (100 ลิตรต่อตารางเมตร)

3. ร่องมรสุมพัดพาดผ่านภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 20 – 22 สิงหาคม

ส่งผลให้ฝนตกเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือจังหวัดยโสธร, ร้อยเอ็ด, กาฬสินธุ์, น่าน, พังงา และระนอง รองลงมาคือจังหวัด สกลนคร, อุดรธานี, พิษณุโลก, จันทบุรี และตราด 

ในหลายพื้นที่มีฝนตกหนักมากกว่า 100 มิลลิเมตร (100 ลิตรต่อตารางเมตร)

4. พายุดีเพรสชัน หมาอ๊อน ระหว่างวันที่ 24 – 26 สิงหาคม

ส่งผลให้ฝนตกเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือจังหวัดปราจีนบุรี, ลำปาง, พังงา และภูเก็ต รองลงมาคือจังหวัดลพบุรี, นครสวรรค์, ชัยนาท, สิงห์บุรี และกระบี่ 

ในหลายพื้นที่มีฝนตกหนักมากกว่า 100 มิลลิเมตร (100 ลิตรต่อตารางเมตร)

5. ร่องมรสุมกำลังแรงพัดพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 5 – 9 กันยายน

ส่งผลให้ฝนตก และฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือกรุงเทพมหานคร, สมุทรปราการ, ปทุมธานี, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี, ตราด, เลย, ตาก, นครสวรรค์, พิษณุโลก, ระนอง, พังงา และสุราษฎร์ธานี รองลงมาคือจังหวัดปราจีนบุรี, นครราชสีมา, บุรีรัมย์, มหาสารคาม, เชียงใหม่, เชียงราย และ กำแพงเพชร

บางพื้นที่มีปริมาณฝนตกหนักมากกว่า 200 มิลลิเมตร (200 ลิตรต่อตารางเมตร)

6. ร่องมรสุมพัดพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 6 – 11 กันยายน

ส่งผลให้ฝนตก และฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือกรุงเทพมหานคร, สมุทรปราการ, ปทุมธานี, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี, ตราด, สระแก้ว, ปราจีนบุรี, นครราชสีมา, เลย, อุดรธานี, หนองบัวลำภู, อุตรดิตถ์, พิษณุโลก, นครสวรรค์, เชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, ลำพูน, ลำปาง, ระนอง และพังงา

บางพื้นที่มีปริมาณฝนตกหนักมากกว่า 300 มิลลิเมตร (300 ลิตรต่อตารางเมตร)

7. พายุดีเพรสชัน โนรู ระหว่างวันที่ 28 – 30 กันยายน

ส่งผลให้ฝนตก และฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือจังหวัดอุบลราชธานี, อำนาจเจริญ, ยโสธร, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, บุรีรัมย์, นครสวรรค์, เพชรบูรณ์, ลพบุรี, ระนอง, พังงา. สุราษฎร์ธานี และสตูล รองลงมาคือจังหวัดเลย, อุดรธานี, ตาก และชุมพร

บิ๊กตู่ มั่นใจ 'เป้าหมายกรุงเทพฯ' จะบรรลุผลและนำไปสู่ความร่วมมือในภูมิภาคที่เป็นรูปธรรม

ไม่นานมานี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานและกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานประชุม Global Compact Network Thailand Forum (GCNT 2022) หัวข้อ ‘เร่งหาทางออกของภาคธุรกิจเพื่อแก้ปัญหาสภาวะโลกร้อนและวิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพ’ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ (UNCC)   

การเข้าร่วมการประชุม GCNT ในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญและเป็นช่วงของการเตรียมตัวก่อนที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC 2022) โดยไทยได้ผลักดันการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเปคในยุคหลังวิกฤตโควิด – 19 เพื่อให้ทุกประเทศเติบโตได้อย่างยั่งยืน สมดุล และครอบคลุมมากขึ้น ภายใต้หัวข้อหลัก ‘Open. Connect. Balance.’  

รัฐบาลไทยยืนยันถึงเจตนารมณ์ “ความมุ่งมั่นและการลงมือทำของไทยในฐานะเจ้าภาพการประชุมเอเปค เพื่อลดสภาวะโลกร้อนและความเสียหายต่อธรรมชาติ” โดยภาคเอกชนและสหประชาชาติเป็นภาคีสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนของไทย

ไทยตระหนักดีว่าการลดภาวะโลกร้อนมิใช่เพื่อแก้ปัญหาภาวะวิกฤติธรรมชาติเท่านั้น แต่เพื่อความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนด้วย และได้เสนอหลักการ ‘การพัฒนาเศรษฐกิจแบบ BCG’ ที่คำนึงถึงการพัฒนาเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่กับการเยียวยารักษาธรรมชาติอย่างมีสมดุล เป็นหัวใจของเอกสารผลลัพธ์ของเอเปค ที่เรียกว่า ‘เป้าหมายกรุงเทพว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว’ 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top