Saturday, 4 May 2024
ลักลอบเข้าเมือง

จับอีก 2 ล็อตใหญ่แรงงานพม่าหนีเข้าเมือง จ่ายค่าหัว 2 หมื่น แลกเข้าสมุทรสาคร

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า กองกำลังสุรสีห์ (กกล.สุรสีห์) เจ้าหน้าที่ทหารชุดปฏิบัติการข่าว กกล.สุรสีห์ เจ้าหน้าที่ ร้อย.ตชด.136 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ไทรโยค เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.ไทรโยค รวมทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อ.ไทรโยค ปฏิบัติหน้าที่ เพื่อป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาที่บริเวณบ้านพุน้อย หมู่ 7 ต.ลุ่มสุ่ม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี 

ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่พบรถตู้หมายเลขทะเบียนนครปฐม วิ่งผ่านมา เจ้าหน้าที่จึงเรียกให้หยุดเพื่อขอตรวจค้น ผลปรากฏพบแรงงานชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายนั่งมาเต็มคันรถ นับรวมกันได้ 14 คน เป็นชาย 10 คน หญิง 4 คน ครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาชาวไทยที่เป็นผู้นำพาได้ 2 คน ประกอบด้วยนายหรรษา อายุ 27 ปี คนขับ และ นายสุพล อายุ 30 ปี ทั้ง 2 เป็นชาว ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค 

จากการสอบถามผู้ต้องหาที่เป็นแรงงานชาวเมียนมา ทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาจากกรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เมื่อข้ามมาถึงชายแดนฝั่งไทย ผู้ต้องหาคนไทยทั้ง 2 คน ได้ขับรถตู้มารับเพื่อมุ่งหน้าไปทำงานในพื้นที่จังหวัดชั้นใน แต่เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าจะไปทำงานในพื้นที่ใด โดยได้จ่ายค่าหัวให้กับผู้นำพาไปแล้วคนละ 20,000 บาท เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวแรงงานชาวเมียนมา รวมทั้งผู้ต้องหาที่เป็นชาวไทย ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ไทรโยค เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติมก่อนที่จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

“ผบ.ทร.” สั่งทุกพื้นที่บังคับใช้กม.อย่างจริงจัง สกัดลักลอบเข้าเมือง -สิ่งผิดกม. คาดโทษจนท.เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องฟันไม่เลี้ยง ทั้งวินัย-อาญา /พร้อมย้ำกำลังพล-ครอบครัว ในการใช้สื่อออนไลน์อย่างระมัดระวัง ในการแสดงความคิดเห็นที่บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร

ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ (บก.ทร.) พล.ร.ท. ปกครอง  มนธาตุผลิน เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ ในฐานะ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า กองทัพเรือ ได้จัดให้มีการประชุมหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ โดยมี พล.ร.อ.สมประสงค์  นิลสมัย ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เป็นประธานการประชุม ร่วมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ โดยการประชุมในครั้งนี้ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 โดยได้มีการตรวจ ATK เพื่อทำการคัดกรองผู้เข้าประชุม ก่อนเข้าร่วมการประชุม


 
ทั้งนี้ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มีการสั่งการในที่ประชุม ให้กองกำลังป้องกันชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำที่กองทัพเรือมีหน้าที่รับผิดชอบ ร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่ เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังและสกัดกั้นการกระทำผิดกฎหมายโดยเฉพาะการนำแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง การค้ายาเสพติด สินค้าหนีภาษี น้ำมันเถื่อน รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด

นอกจากนั้น ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งการให้ผู้บังคับหน่วยเน้นย้ำกำลังพล และครอบครัวเกี่ยวกับการใช้สื่อออนไลน์ การสร้างการรับรู้กรณีเฟคนิวส์ ซี่งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีการใช้สื่อออนไลน์ในการแสดงความคิดเห็นที่บิดเบือนข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่องทำให้สร้างความแตกแยกและขาดความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่คนไทยเคารพเทิดทูน

โฆษกกองทัพเรือ กล่าวต่อว่า ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะ รอง ผอ.ศรชล.ได้สั่งการให้หน่วยต่างๆ บูรณาการการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล โดยการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเข้มงวดและหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด จะต้องถูกลงโทษทั้งทางวินัยและทางอาญาอย่างเด็ดขาด ไม่มีการละเว้น

“โฆษกกห.”​ ยันฝ่ายมั่นคงหนุนรัฐบาลเปิดประเทศ​ พร้อมตรึงกำลังเข้มสกัดแรงงานต่างด้าวลอบเข้าเมือง  วอนนายจ้างหยุดสั่งนำเข้าแรงงานเถื่อนหวั่นโควิดระบาดอีกระลอก

พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม​ กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคง พร้อมสนับสนุนรัฐบาลรับการเปิดประเทศในวันที่​1พ.ย.2564 โดย พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ได้ย้ำนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมกับทุกเหล่าทัพ ให้กองกำลังป้องกันชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำคงตรึงกำลังเข้มเฝ้าระวังชายแดน สกัดกั้นการลักลอบเข้าเมือง ยาเสพติด อาวุธสงครามและสินค้าผิดกฏหมายบริเวณพื้นที่ชายแดนรอบประเทศต่อเนื่อง โดยเฉพาะชายแดนเมียนมาและกัมพูชา ที่พบการลักลอบเข้าเมืองมากขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์​ กำชับทุกเหล่าทัพให้ประสานงานกับฝ่ายปกครอง ตำรวจและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องสกัดกั้นปราบปรามขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวเข้าเมืองในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ชั้นใน พร้อมสนับสนุน แนะนำกำกับการปฏิบัติของประชาชนให้เป็นไปตามมาตรการควบคุมโรคที่กำหนด  

ทั้งนี้ขอให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ ไม่ประมาทเตรียมให้การสนับสนุนมาตรการจำกัดควบคุมโรคเร่งด่วนเป็นพื้นที่ หากมีปัญหาการแพร่ระบาดเป็นกลุ่ม ส่วนพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ที่มีการแพร่ระบาดเริ่มมีแนวโน้มลดลง ขอให้คงร่วมกันสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ เพื่อรับวัคซีนและลดพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจเป็นปัญหาต่อการควบคุมโรค


 โฆษกกลาโหม.กล่าวว่าฝ่ายความมั่นคงต้องขอความร่วมมือผู้ประกอบการ หยุดจ้างแรงงานผิดกฎหมายเข้าทำงาน เนื่องจากไม่ผ่านการคัดกรองควบคุมโรค ซึ่งจะสร้างปัญหาการกลับมาแพร่ระบาดความเสียหายต่อส่วนรวมระยะยาวในสถานการณ์และโอกาสที่เรากำลังเปิดประเทศและกลับมาใช้ชีวิตปกติในวิถีใหม่ร่วมกัน


 

“เสธ.ทบ.” ตรวจชายแดน ย้ำ ผบ.ทบ.ห่วงใยขบวนการผิดกฎหมายทั้งลักลอบเข้าเมือง และยาเสพติด ฉวยโอกาสช่วงปีใหม่กระทำผิด สั่งกำลังพลเพิ่มความเข้มข้นเป็น 10 เท่า 

พล.อ.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ เสนาธิการทหารบก ในฐานะโฆษกกองทัพบก ลงพื้นที่ตรวจแนวชายแดนที่อำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พบการลอบเข้าเมืองและขนสิ่งผิดกฎหมาย ทั้งยาเสพติด สินค้า อาวุธร้ายแรง ลักลอบเข้ามาในประเทศไทย ทั้งนี้กองทัพบกให้ความสำคัญกับปัญหาเหล่านี้ โดย พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มีนโยบายชัดเจนในการสนับสนุนการปฏิบัติการชายแดนให้การเผ้าระวังเป็นด่านหน้าให้ประเทศปลอดภัย ไม่มีการลักลอบเข้าเมือง ขนสินค้าผิดกฎหมาย ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดอย่างเต็มกำลัง ให้สกัดกั้นทุกอย่างเพื่อไม่ให้เชื้อโรคเข้ามาในประเทศ 

ทั้งนี้ นอกจากทหารบกแล้วยังมีการสนธิกำลังกับฝ่ายปกครอง และตำรวจตระเวนชายแดน  โดยในส่วนของกองทัพบกได้ส่งยุทโธปกรณ์เฝ้าระวัง อุปกรณ์เสริมในการร่วมปฏิบัติภารกิจที่ไม่ต้องใช้คน เช่น โดรน และสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานตามแนวชายแดนสะดวกขึ้น เพราะปฏิบัติงานตลอดงาน 24 ชั่วโมง ด้วยความยากลำบากและเสียสละ 

ซึ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่หยุดยาวต่อเนื่อง การปฏิบัติงานเพิ่มความเข้มงวดอย่างเต็มที่ เพราะในประเทศมีการเดินทางกลับภูมิลำเนา ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ศบค.เน้นย้ำให้ปฏิบัติตามมาตการ ในขณะที่ชายแดนให้ความสำคัญในกระบวนการไม่นิ่งนอนใจ มีการกำหนดความถี่ของการเผ้าระวังมากขึ้น นำยุทโธปกรณ์ให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ การลาดตระเวนโดยยานพาหนะ และใช้อุปกรณ์ไร้คนขับ โดยเฉพาะในพื้นที่สำคัญจะทำงานร่วมกับงานการข่าวเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพอย่างดี

ชาวเน็ตแห่ดูคลิป #ผีน้อยเกาหลี ใน TikTok แนะนำการใช้ชีวิต-วิธีผ่านตม. ยอดวิวทะลุล้าน

ท่ามกลางข่าว ตม.เกาหลีใต้ ส่งคนไทยกลับประเทศนับร้อยคน แต่คนไทยบางส่วน และแรงงานผิดกฎหมายยังยอมเสียเงินเสี่ยงเดินทางไป หวังจะได้ทำงานในต่างแดน ขณะที่ในสื่อสังคมออนไลน์พบ #ผีน้อยเกาหลี ถึงขั้นมีคลิปแนะนำวิธีผ่าน ตม. ยอดคนรับชมหลักหมื่นถึงหลักแสน

หลังสถานการณ์ COVID-19 เริ่มผ่อนคลาย คนไทยหลายคนเริ่มวางแผนที่ต้องการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศเพิ่มขึ้น บางคนเดินทางไปอย่างถูกกฎหมาย แต่ก็พบว่าบางส่วนได้มีการเดินทางไปทำงานอย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะคนไทยที่เดินทางไปประเทศเกาหลีใต้ มีจำนวนไม่น้อยที่เจ้าหน้าที่ ตม. ส่งกลับไทยทันที

ขณะที่ในแอปพลิเคชันยอดฮิตอย่าง Tiktok พบว่า #ผีน้อยเกาหลี และ #ผีน้อย มีผู้รับชมวิดีโอมากกว่า 5 ล้านครั้ง และมีคลิปวิดีโอจำนวนมากที่โพสต์คลิปบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่แนะนำทั้งการเตรียมเอกสาร การลงทะเบียน การจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก หรือแม้กระทั่งการแต่งกายเพื่อให้ผ่าน ตม.เกาหลีใต้

นอกจากนี้ ยังมีคลิปของผีน้อยที่ทำงานอยู่ในเกาหลีใต้แล้วอัดคลิปเล่าบรรยากาศการทำงาน การใช้ชีวิตในเกาหลีใต้ และเงินเดือนที่ได้รับในแต่ละเดือน บ้างก็บอกเล่าวิธีการขอวีซ่าใหม่ บางส่วนก็ช่วยคนอื่นให้มาทำงานที่เกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมายด้วย โดยแต่ละคลิปมียอดรับชมหลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนวิว

ยอดการเข้าถึงของคอนเทนต์ 'ผีน้อย' ในโซเชียลเป็นอีกหนึ่งเสียงสะท้อนถึงความนิยมของคนไทยบางกลุ่มที่มีความต้องการจะลักลอบไปทำงานผิดกฎหมายในเกาหลีใต้ ขณะเดียวกันอีกเสียงสะท้อนที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวจากสำนักข่าวเกาหลีใต้รายงานเกี่ยวกับคนไทยที่ถูกส่งกลับประเทศหลักร้อยคน หลังเจ้าหน้าที่ ตม.ปฏิเสธเดินทางเข้าประเทศ เมื่อเดินทางถึงเกาะเชจู กลายเป็นกระแสให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับประเด็น 'ผีน้อย' หรือคนไทยที่ตั้งใจเดินทางไปทำงานที่เกาหลีอย่างผิดกฎหมายจำนวนมาก 

'ตำรวจ' ปลอมตัวเป็น นทท. บุกข้าวสาร รวบแก๊งเมียนมา ลอบเข้าเมือง เปิดร้านขายโรตี-เคบับ แย่งอาชีพคนไทย

(8 ก.พ. 66) ว่าที่ พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่าภายในถนนข้าวสารและซอยรามบุตรี แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ว่ามีคนต่างด้าวจำนวนมาก มาเปิดร้านในลักษณะรถเข็น ขายโรตีและเคบับ ซึ่งเป็นอาชีพต้องห้าม แย่งอาชีพคนไทย

ต่อมาวันที่ 7 ก.พ. 66 จึงสั่งการให้ พ.ต.ท.สุริยะ พ่วงสมบัติ รอง ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 ตรวจสอบ และประชุมวางแผน เพื่อดำเนินการเข้าตรวจสอบจับกุม โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน บก.ตม.1 อำพรางตัวเป็นนักท่องเที่ยวเข้าไปตรวจสอบตามที่ประชาชนให้เบาะแส พบว่าภายในซอยรามบุตรีมีคนต่างด้าวมาเปิดร้านขายโรตีและเคบับจำนวนหลายร้าน จึงแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง พร้อมแสดงบัตรประจำตัวให้คนต่างด้าวดู

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบนั้น คนต่างด้าวหลายรายไหวตัวทันและวิ่งหลบหนีไป ทิ้งไว้เพียงรถเข็นขายของ จึงควบคุมตัวคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาไว้ได้ 11 ราย ได้แก่

1.) นายทะอ่อง อายุ 21 ปี, 2.) นาย โมยัมเอ อายุ 20 ปี, 3.) นาย ฮงทาย อายุ 33 ปี, 4.) นายอู อายุ 25 ปี, 5.) นาย โทเร อายุ 19 ปี, 6.) นาย มีโส อายุ 30. ปี, 7.) นาย ออจุน อายุ 33 ปี, 8.) น.ส.เลเนวี อายุ 29 ปี, 9.) น.ส.สาเน ทุย อายุ 33 ปี, 10.) น.ส.แวว อายยุ 46 ปี และ 11.) น.ส.มูมู อายุ 28 ปี

ซึ่งระหว่างการตรวจสอบคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาทั้ง 11 ราย ไม่สามารถแสดงเอกสารหนังสือเดินทางและใบอนุญาตทำงานให้เจ้าหน้าที่ดูได้

ทั้งนี้ การเร่ขายสินค้านั้นเป็นงานต้องห้าม คนต่างด้าวไม่สามารถทำได้ อันเป็นความผิดตามมาตรา 8 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 ทั้งหมดยอมรับว่าได้ลักลอบเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรทางพรมแดนที่ติดกับประเทศไทย และเข้ามาเปิดร้านขายโรตีและเคบับ รวมถึงสินค้าอื่น ๆ โดยมีลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มีรายได้เฉลี่ยต่อวันยังไม่หักต้นทุนถึง 1,000-1,500 บาท สร้างความเดือดร้อนให้คนไทยที่ค้าขายอย่างถูกต้องในบริเวณดังกล่าวเป็นอย่างมาก

'แก๊งขนเขมร' ห้าว ยิงปืนสกัด 'ทหารพราน' ขณะบุกรวบแรงงานเถื่อน จนท.เร่งล่าตัวด่วน

(22 ก.พ. 66) พล.ต.สราวุธ ไชยสิทธิ์ ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา สั่งการให้ พ.อ.ปิยะเณศร์ ภัทรศาศวัตวงษ์ ผู้บังคับการชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12 (ผบ.ชค.กรม.ทพ.12) นำกำลังกองร้อยทหารพรานที่ 1204 ร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 112 (ฉก.ร.112) ออกลาดตะเวนป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายของแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชา บริเวณท้ายหมู่บ้านกุดผือ ตำบลโนนหมากมุ่น อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว หลังสืบทราบว่า จะมีแรงงานกัมพูชาลักลอบเข้ามาในประเทศไทยตามช่องทางธรรมชาติ บริเวณชายแดนท้ายหมู่บ้านกุดผือ

ต่อมาชุดปฏิบัติการ ร่วมฯ ได้ตรวจพบกลุ่มบุคคลต้องสงสัยกลุ่มใหญ่ เดินเท้าฝ่าความมืดลักลอบข้ามตะเข็บชายแดนช่องทางธรรมชาติ จากฝั่งกัมพูชาเข้ามาในประเทศไทย ระหว่างจุดตรวจ จต.ส. 41 - จต.ส. 42 แล้วเดินลัดเลาะมาตามไร่อ้อยของชาวบ้าน เพื่อข้ามถนนศรีเพ็ญ ซึ่งเป็นถนนเลียบแนวชายแดนท้ายหมู่บ้านกุดผือ เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอตรวจสอบ แต่ถูกบุคคลคาดว่าเป็นคนไทยแก๊งลักลอบขนแรงงานเถื่อนที่นำพาแรงงานกัมพูชา ลักลอบเข้ามาในประเทศไทยใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาด ยิงขึ้นฟ้าประมาณ 3-4 นัด

ไม่เข็ด!! ‘ตม.ปทุมฯ’ รวบ 3 คนไทย ช่วย ‘ชาวจีน’ ลักลอบเข้าเมือง 1 ใน 3 สารภาพ เพิ่งถูกจับข้อหาเดียวกันเมื่อเดือนที่แล้ว

(6 มี.ค. 66) ตามนโยบายของ ผบ.ตร., ผบช.สตม.และ ผบก.ตม.3 ในการกวาดล้างอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับคนต่างด้าว โดยเฉพาะในความผิดและผู้ช่วยเหลือสนับสนุนการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2566 พ.ต.อ.เจริญพงษ์ ขันติโล ผกก.ตม.จังหวัดปทุมธานี สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวนปราบปราม ตม.จังหวัดปทุมธานี ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สกส.บช.ปส.และ สภ.คลองหลวง ร่วมตรวจสอบคนต่างด้าวสัญชาติจีน 1 ราย พร้อมด้วยคนไทย ซึ่งให้การช่วยเหลือให้คนต่างด้าวดังกล่าว ซึ่งเข้าเมืองมาผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม

ผู้ถูกจับรับว่า ได้เดินทางมาจากพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อนำคนต่างด้าวไปส่งในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้รับค่าจ้าง 20,000 บาท โดยใช้รถยนต์ฟอร์จูนเนอร์เป็นยานพาหนะ และรถยนต์เก๋งเป็นรถนำทาง ซึ่งมีการให้สัญญานระหว่างรถทั้งสองคันตลอดการเดินทาง เพื่อหลบเลี่ยงด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับแจ้งพฤติการณ์ต้องสงสัยรถคันดังกล่าว จึงได้ติดตามอย่างกระชั้นชิด และเข้าตรวจค้นยานพาหนะทั้งสองคัน พบการกระทำความผิด จึงได้ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.คลองหลวง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เปิดเหตุผลที่ ‘เมียนมา’ แห่ทะลักมาทำงานในไทย แม้ต้องเข้ามาแบบผิดกฎหมาย...ก็ยอม!!

ช่วงนี้เอย่าได้อ่านข่าวเรื่องการตรวจจับคนเมียนมาข้ามแดนอย่างผิดกฎหมายแทบจะเรียกได้ว่าทุกวัน

เหตุเพราะตอนนี้ คนเมียนมาส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นปัญญาชนหรือไม่ใช่ปัญญาชน ต่างก็มุ่งจะออกไปทำงานต่างประเทศ โดยไม่ได้สนใจว่าจะใช้วิธีที่ถูกต้องหรือผิดกฎหมาย 

ซึ่งปลายทางในการเดินทางผิดกฎหมายที่พบในข่าวฝั่งเมียนมามากที่สุดคือ ไทย รองลงมาคือ มาเลเซีย  

คำถาม คือ แล้วทำไมเป็นประเทศไทย ที่แรงงานเมียนมาอยากมามากที่สุด

วันนี้เอย่าจะนำข้อมูลที่ได้มาจากกลุ่มแรงงานที่เดินทางเข้าเมืองผิดกฎหมายในไทยมาให้ทราบกัน...

>> ประการแรกคือ ประเทศไทยนั้นมีเอเยนต์ที่คอยการข้ามแดนของพวกเขา เมื่อชาวเมียนมาเข้ามาแล้ว ก็จะไปวิ่งเต้นในการทำบัตรแรงงานต่างด้าวหรือที่เรียกกันว่าบัตรชมพูให้ด้วย 

ซึ่งนั่นจะทำให้แรงงานเมียนมาที่ข้ามมาได้แล้ว (ได้บัตรชมพู) ทุกอย่างก็จบพวกเขาสามารถทำงานได้เลยเพราะบริษัทหรือห้างร้านในไทยไม่ได้ตรวจสอบการเดินทางเข้ามาเพียงแต่ตรวจสอบเรื่องการมีบัตรชมพูหรือไม่เท่านั้นเอง

>> ประการต่อมา ในประเทศไทย ไม่ว่าคุณจะเข้าเมืองมาแบบใด ไม่ว่าจะมาแบบมีวีซ่าทำงาน หรือ ท่องเที่ยว หรือ แรงงานก็ตาม หากไปทำเรื่องที่สถานทูตเมียนมาก็สามารถเปิดบัญชีธนาคารได้กับธนาคารที่มีการดีลกับสถานทูตไว้ ซึ่งนี่เป็นอภิสิทธิ์อีกอย่างหนึ่งให้แก่คนเมียนมา

กลับกันหากเป็นในประเทศอื่น การเดินทางเข้าเมืองแบบไม่ถูกต้อง หรือมาแบบท่องเที่ยว การจะเปิดบัญชีธนาคารนั้นจะยากมาก เนื่องจากตามกฎหมายในหลาย ๆ ประเทศไม่อนุญาตให้กระทำ

สตม.จับกุมผู้ประสานงานขบวนการขนชาวบังกลาเทศ/เมียนมา ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย (เครือข่ายชาลิสา)

ตม.จว.ชุมพร, ร่วมกับ กก.ปอพ.บก.สส.สตม., สภ.บ้านมาบอำมฤต จว.ชุมพร จับกุม นายยุธพงษ์ฯ (นามสมมติ) อายุ 47 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดชุมพร ที่ จ.86/2567 ลงวันที่ 4 มีนาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่ตนรู้ว่าหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อให้พ้นการจับกุม นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านมาบอำมฤต จว.ชุมพร ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บริเวณหน้าบ้านพักแห่งหนึ่งใน ต.บางใหญ่ อ.บางใหญ่ จว.นนทบุรี

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2567 ตม.จว.ชุมพร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจยานพาหนะ บ้านพละ อ.ปะทิว จว.ชุมพร จับกุมนายกรวิทย์ (นามสมมติ) ขณะขับรถยนต์ส่วนบุคคล (รถเก๋ง) บรรทุกคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง สัญชาติบังกลาเทศ 4 ราย จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่าชาวบังกลาเทศทั้งหมดได้ลักลอบเข้ามาทางชายแดนไทย-กัมพูชา พบพยานหลักฐานเป็นการติดต่อสั่งการว่าจ้างขนคนผ่านทางไลน์กับ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก (นามสมมติ) และพบหลักฐานการโอนเงินเป็นค่าน้ำมัน และค่าจ้างขนคนต่างด้าวฯ โดยก่อนเกิดเหตุกลุ่มของผู้ต้องหารับคนต่างด้าวฯ จากพื้นที่ อ.บางปะกง จว.ฉะเชิงเทรา เพื่อไปส่งที่ อ.บางกล่ำ จว.สงขลา ตกลงค่าจ้างคนละ 2,500 บาท ซึ่ง น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก จะโอนค่าจ้างบางส่วนซึ่งเป็นค่าน้ำมันมาให้ก่อนออกเดินทาง และจะได้ค่าจ้างทั้งหมดเมื่อถึงปลายทาง จากการขยายผลพบว่าในวันเกิดเหตุกลุ่มผู้ต้องหาขนชาวบังกลาเทศมาทั้งสิ้น ๑๒ คน โดยใช้ขบวนรถเก๋ง ๓ คัน คันละ ๔ คน มีการเคลื่อนที่จาก จว.ฉะเชิงเทรา มายังถนนพระราม ๒ และเข้าถนเพชรเกษม โดยมีนายปรีชา (นามสมมติ) ขับรถนำทาง และนายยุธพงษ์ฯ ขับรถขนคนต่างด้าวฯ อีกคัน ซึ่งทั้งหมดมีการติดต่อกันผ่านแอปพลิเคชัน Zello ในระหว่างขนคนต่างด้าวฯ เพื่อหลบเลี่ยงด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ในเส้นทาง ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งพนักงานสอบสวนเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับ และต่อมาศาลจังหวัดชุมพรได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ที่ร่วมกระทำความผิดในฐานความผิดช่วยเหลือซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่ตนรู้ว่าหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อให้พ้นการจับกุม ดังนี้ (1) น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ผู้ว่าจ้าง (2) นายปรีชาฯ ทำหน้าที่ขับรถนำ (3) นายยุธพงษ์ หรือต๋อย ทำหน้าที่ขับรถขน คนต่างด้าว และ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. ได้จับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ได้ในเวลาต่อมา

จากข้อมูลของ บก.สส.สตม. ยังพบว่า นายกรวิทย์ฯ (นามสมติ)/ผู้ต้องหา เป็นหัวหน้าทีมขนคนในพื้นที่ ภาคกลางโดยจะติดต่อรับงานมาจาก น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก และนายสมชายฯ (นามสมมติ) ซึ่งทั้งสองจะทำหน้าที่ประสานงานและจัดหารถเพื่อจัดส่งคนไปยังพื้นที่ภาคใต้ โดยพบว่า น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ยังมีความเกี่ยวข้องกับคดีลักลอบขนคนต่างด้าวฯ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 สภ.รัตภูมิ จว.สงขลา ซึ่งจับกุมนายสำฤทธิ์ (นามสมมติ) และ นายยุธพงษ์ฯ พร้อมชาวบังกลาเทศหลบหนีเข้าเมือง 10 ราย ซึ่งนายยุธพงษ์ฯ ได้รับการติดต่อว่าจ้างมาจากนายกรวิทย์ฯ และ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ให้ขนชาวบังกลาเทศจาก จว.ฉะเชิงเทรา ไปยัง จว.สงขลา โดยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา ได้รวบรวมพยานหลักฐานและจัดทำรายงานการสืบสวนส่งพนักงานสอบสวนเพื่อยื่นต่อศาลออกหมายจับ จำนวน 3 ราย ได้แก่ นายบุญเชิด (นามสมมติ) ทำหน้าที่รถนำ, นายกรวิทย์ฯ ผู้ว่าจ้าง และ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ผู้ว่าจ้าง ซึ่งทั้ง 3 รายอยู่ระหว่างรอออกหมายจับ นอกจากนี้ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก และนายกรวิทย์ฯ ยังมีความเชื่อมโยงในคดีช่วยเหลือ ซ่อนเร้นฯ อีก 3 คดี ดังนี้

1. คดีเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2567 สภ.พะวอ จว.ตาก จับกุม นายสุริยงค์ฯ และ น.ส.ฐิติกานต์กมล (นามสมมติ) ขณะลักลอบขนชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง 2 ราย จากการสืบสวนขยายผล พบว่าผู้ต้องหามีความเชื่อมโยงกับทีมรถขนคนของนายกรวิทย์ฯ
2. คดีเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 สภ.หนองปลิง จว.นครสวรรค์ จับกุมนายนิรันดร์ฯ (นามสมมติ) พร้อมชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 25 ราย โดยจากการสืบสวนขยายผลของ ตม.จว.นครสวรรค์ ร่วมกับ บก.สส.ภ.6สามารถออกหมายจับ 1.นายกรวิทย์ฯ (นามสมมติ) 2.นายสุริยงค์ (นามสมมติ) 3.นายอนุภัทรฯ (นามสมมติ) 4.นายวิโรจน์ฯ (นามสมมติ) ซึ่งนายกรวิทย์ฯ /ผู้ต้องหาตามหมายจับ มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายลักลอบขนชาวบังกลาเทศของ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ถูกจับกุมได้ทั้งหมด
3. คดีเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 สภ.เมืองชุมพร จับกุมนายณัฐวัฒน์ฯ (นามสมมติ) ผู้ต้องหาตามหมายจับความผิดฐาน ช่วยเหลือซ่อนเร้นฯ จำนวน 2 คดีในพื้นที่ สภ.เสวียด จว.สุราษฎร์ธานี และ สภ.วัฒนานคร จว.สระแก้ว พร้อมคนต่างด้าวชาวไต้หวันหลบหนีเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร ได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งพนักงานสอบสวนเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับ นายสมชายฯ (นามสมมติ) ต่อมา กก.สส.บก.ตม.3 ได้จับกุมนายสมชายฯ ในพื้นที่ สภ.บางศรีเมือง จว.นนทบุรี ซึ่งจากการสืบสวนพบว่านายสมชายฯ ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานเรื่องรับส่งคนต่างด้าวกับ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก และนายกรวิทย์ฯ ร่วมกันมาแล้วหลายครั้ง

เมื่อวิเคราะห์แผนประทุษกรรมในเครือข่าย น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก นั้น น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก จะทำหน้าที่   เป็นนายหน้าประสานงานและจัดหารถขนคนเช่นเดียวกับนายสมชายฯ โดยมีนายกรวิทย์ฯ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมรถขนคนต่างด้าว คอยจัดหาขบวนรถประกอบไปด้วย รถนำทางและรถขนคน โดยจะมีการจัดหารถขนคนทั้งจากพื้นที่ภาคกลาง ไปยังพื้นที่ภาคใต้ เมื่อคนต่างด้าวถึงพื้นที่ จว.สงขลา จะมีนายหน้าจังหวัดชายแดนใต้ จัดหารถขนคนมารับที่จุดพักคอย ซึ่งจะเป็นโรงแรมขนาดเล็กหรือพื้นที่รกร้างที่อยู่ริมถนนหลวง เพื่อนำไปยัง จว.นราธิวาส และลักลอบเดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย ซึ่ง น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก จะได้รับค่าจ้างขนคนต่างด้าวมาจากนายหน้าตามแนวชายแดน ฝั่งประเทศกัมพูชา ซึ่งใช้บัญชีร้านแลกเงินที่อยู่ตามแนวชายแดน เป็นจำนวน 4,000 บาท/คน ก่อนจะหักไว้ 500 บาท/คน และติดต่อว่าจ้างนายกรวิทย์ฯ ในราคา 3,500 บาท/คน ก่อนที่นายกรวิทย์ฯ จะจัดหารถขนคน และหักส่วนต่างไว้ 500 บาท/คน โดยในเส้นทาง ฉะเชิงเทรา-สงขลา รถขนคนจะได้รับค่าจ้าง 2,500 - 3,000 บาท/คน เมื่องานสำเร็จขบวนรถขนคนจะได้รับค่าจ้างเป็นเงินโอนจากบัญชีของนายกรวิทย์ฯ ซึ่งนายกรวิทย์ฯ จะได้รับค่าจ้างมาจากบัญชีของ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก

สรุปผลการปฏิบัติการจับกุมมีความเชื่อมโยง 5 คดี จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 12 ราย เป็นการขยายผลออกหมายจับ 8 หมายจับ ผู้ต้องหา 8 ราย / จับกุมคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 42 ราย / ตรวจยึดยานพาหนะ 6 รายการ (กระบะ 1 ตู้ทึบ 1 รั้วคอก 1 รถเก๋ง 3)


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top