Sunday, 5 May 2024
ลอบสังหาร

‘ปูติน’ ปลดฟ้าผ่าจนท.เครมลินยกชุด 1,000 คน ตั้งแต่พ่อครัวยันเลขา หวั่นคนใกล้ตัวลอบสังหาร

กองทัพยูเครนยืนยันนายพลรัสเซียคนที่ 5 เสียชีวิตเมื่อวานนี้(19 มี.ค)ที่เมืองเคอร์ซอน ขณะที่มีรายงานประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ออกคำสั่งปลดเจ้าหน้าที่เครมลินถึง 1,000 คน หวั่นอาจตกเป็นเป้าถูกลอบสังหารจากคนใกล้ตัว

บิสซิเนสอินไซเดอร์ รายงานวันศุกร์(18 มี.ค)ว่า ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ในเดือนกุมภาพันธ์สั่งปลดเจ้าหน้าที่ใกล้ชิดในทำเนียบเครมลินถึง 1,000 คนในคราวเดียวกัน

อ้างอิงจากเดลีบีสต์ พบว่าในกลุ่มเจ้าหน้าที่ซึ่งถูกสั่งปลดนั้นมีตั้งแต่พ่อครัว พนักงานซักล้าง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และเลขา โดยอ้างอิงจากแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่รัสเซีย

ผู้เชี่ยวชาญซึ่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองลับฝรั่งเศสจากแผนกความมั่นคงภายนอก DGSE เคยทำหน้าที่วางแผนส่งสายลับออกไปปฎิบัติการเปิดเผยกับเดลีบีสต์ว่า เขา่เชื่อว่า "ความพยายามลอบสังหารน่าจะมาจากภายในเครมลินไม่ใช่มาจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างชาติ " และเป้าประสงค์อาจเพื่อต้องการให้สงครามยูเครนยุติ

การใช้ยาพิษเป็นสิ่งที่ชื่นชอบสำหรับรัสเซีย ยกตัวอย่างเช่น ผู้นำฝ่ายค้านรัสเซีย อเล็กเซ นาวาลนี ที่เกือบเสียชีวิตจากสารพิษทำลายประสาทโนวีช็อกในไซบีเรียเมื่อสิงหาคม ปี 2020 ซึ่งอดีตสายลับฝรั่งเศสกล่าวว่า ปูตินนิยมการใช้ยาพิษสำหรับการลอบสังหาร และเขายังชี้ต่อว่า ถึงแม้ว่าการใช้ยาพิษในหลายประเทศสามารถกระทำได้แต่ไม่มีใครเชี่ยวชาญได้มากเท่าพวกรัสเซีย

แต่ทว่าการใช้ยาพิษเพื่อลอบสังหารปูตินนั้นไม่ง่าย โดยแหล่งข่าวระดับสูงชั้นในระดับองค์กรของกระทรวงรัสเซียชี้ว่า ในเดือนกุมภาพันธ์มีการเปลี่ยนชุดเจ้าหน้าที่ทำงานยกชุด 1,000 คนที่ทำงานใกล้ชิดให้กับผู้นำรัสเซียในชีวิตประจำวัน ซึ่งทั้งพ่อครัว พนักงานซักล้าง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และเลขา ถือเป็นคนที่ใกล้ชิดและต้องทำงานให้กับปูตินและมีโอกาสสูงที่จะวางยาพิษเขาได้ และได้มีทำการเปลี่ยนให้ชุดใหม่เข้ามาแทน

เดลีบีสต์อธิบายว่า เคยมีการพยายามลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีสหภาพโซเวียต โจเซฟ สตาลิน ในปี 1952 จากฝีมือของอดีตประธานาธิบดีจีน เหมา เจ๋อตง มาแล้วด้วยการส่งเชฟเข้าไปในสหภาพโซเวียต

โดยในปี 1952 ซึ่งเป็นปีที่โรงแรมปักกิ่งตั้งอยู่ที่จัตุรัสมายาคอฟสกี( Mayakovsky) เกือบใกล้เสร็จเพื่อการเฉลิมฉลองสัมพันธภาพซิโน-รัสเซีย พบว่าประธานเหม๋าได้จัดส่งเชฟชาวจีนคนโปรดมายังกรุงมอสโกสำหรับการเปิดภัตตาคารอาหารจีนที่อยู่ภายในโรงแรม และถือเป็นภัตตาคารอาหารจีนเพียงแห่งเดียวในกรุงมอสโกเวลานั้น

ทั้งนี้เชฟชื่อดังแท้จริงแล้วเป็นนักฆ่าที่ถูกส่งมาเพื่อลอบสังหารสตาลินโดยเฉพาะ แต่ฝ่ายโซเวียตไหวตัวทัน สั่งให้ KGB เข้าจัดการเขาก่อน พวก KGB ใช้มีดปังตอเฉาะไปที่ศีรษะดับชีพนักฆ่า อ้างอิงจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับโรงแรมแห่งนี้ที่เปิดอย่างเป็นทางการในปี 1955 พบว่าวิญญาณของพ่อครัวนักฆ่ายังคงล่องลอยอยู่ภายในโรงแรมเพื่อตามหาสตาลิน เดลีบีสต์รายงาน

ข่าวการเปลี่ยนตัวยกชุดของปูตินเกิดขึ้นในขณะที่กองทัพยูเครนในวันเสาร์(19) ออกแถลงการณ์อ้างว่า มีนายพลรัสเซียจำนวน 5 คนเสียชีวิตไปแล้วนับตั้งแต่สงครามบุกยูเครนเริ่มมาตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์

เดอะมิเรอร์ สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวานนี้(19)ว่า พลโท อันเดรย์ มอร์ดวิเชฟ ( Andrey Mordvichev) ผู้บัญชาการกองกำลังที่ 8 ของกองทัพเขตใต้รัสเซียเสียชีวิตในวันเสาร์(19) และกลายเป็นนายพลรัสเซียคนที่ 5 ที่เสียชีวิต

อ้างอิงจาก  โอเลคซี อเรสโตวิช (Oleksiy Arestovych )อดีตที่ปรึกษาผู้สมัครลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดียูเครน ในรายงานของสื่ออินเตอร์แฟกซ์( Interfax)เปิดเผยว่า มอร์ดวิเชฟเสียชีวิตขณะที่กองกำลังทหารยูเครนเข้าทำลายที่ตั้งกองบัญชาการทหารตั้งอยู่ในลานบินชอร์โนเบยิฟกา( Chornobayivka) ใกล้กับสนามบินเมืองเคอร์ซอน(Kherson)ทางใต้ของยูเครนเมืองเคอร์ซอนเป็นเมืองแรกในยูเครนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียแต่กองกำลังยูเครนพยายามต่อสู้เพื่อยึดคืน โดยในวันเสาร์(19)ฝ่ายยูเครนยังอ้างว่าสามารถสังหารกองกำลังรัสเซียไปทั้งหมด 14,400 คนแต่สหรัฐฯออกมาประเมินว่า รัสเซียน่าจะสูญเสียไปราว 7,000 คน บิสซิเนสอินไซเดอร์รายงาน

เสนาธิการทหารบกยูเครนกล่าวผ่านแถลงการณ์ในวันเสาร์(19)มีใจความว่า “เป็นผลจากยิงไปที่ข้าศึกจากฝีมือของกองกำลังยูเครนทำให้ผู้บัญชาการกองกำลังที่ 8 ของเขตใต้กองทัพรัสเซีย พลโท อันเดรย์ มอร์ดวิเชฟ ถูกสังหาร”

'เต้' ฉายแสง!! แถลงห่วง 'บิ๊กตู' หวั่นโดนยิงเหมือน 'อาเบะ' แนะ!! ใช้ 4 หมื่นคนคุ้มกัน หรือถ้ากลัวก็อยู่เฉยๆ ที่ รอ.1

(8 ก.ค.65) ที่รัฐสภา นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ แถลงถึงกรณี ชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ถูกลอบยิง 3 นัด ขณะที่กำลังปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครสภาสูงประเทศญี่ปุ่น ว่า...นายชินโซ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งมายาวนานที่สุดของประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลาถึง 7 ปี 8 เดือน 27 วัน ตนอดนึกไม่ได้ว่าต้องเป็นห่วงนายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 2557 ตราบจนปัจจุบัน ระยะเวลาใกล้เคียงกับนายชินโซ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ 7 ปี 10 เดือน 11 วัน

นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า ตนทราบมาว่านายกฯ ทั้งสองท่านมีความสนิทสนมกัน ในฐานะ ส.ส.ที่ประชาชนเลือกมา ตนมีความเป็นห่วงต่อนายกฯ ไทย เพราะช่วงนี้พล.อ.ประยุทธ์ลงพื้นที่หาเสียงบ่อย ไปในแต่ละจุดก็มีทั้งประชาชนที่ให้ความรักเป็นจำนวนพอนับได้ แต่ก็มีประชาชนที่ไม่รักเป็นจำนวนมากเช่นกัน จึงอยากให้ท่านระวังตัวนิดหนึ่ง เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ขนาดนายกฯ ญี่ปุ่น ประชาชนธรรมดาซื้อลูกซองหัวตัดธรรมดายังยิงได้เลย

รู้จักกฎหมายควบคุมอาวุธปืนในญี่ปุ่น ความเข้มงวดที่คนส่วนใหญ่ยังคงยึดมั่น

แม้ ชินโซ อาเบะ’ (Shinzo Abe) อดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น จะเสียชีวิตจากการถูกยิงโดยอดีตTetsuya Yamagami สมาชิกของกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลวัย ๔๑ ปี ทั้งๆ ที่ญี่ปุ่นมีกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดที่สุดประเทศหนึ่งในโลกนั้น อาจจะทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามถึงความปลอดภัย ความน่าอยู่ และน่าไปเยี่ยมเยือนดินแดนแห่งนี้อยู่อีกหรือไม่

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.โญธิน มานะบุญ นักวิชาการอิสระ ด้านความมั่นคง และประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ ได้ไขข้อข้องใจให้เห็นถึงกฎระเบียบและทัศนคติของคนในประเทศที่เชื่อว่ายังคงแอนตี้ทั้งอาวุธและความรุนแรงอยู่ไม่เปลี่ยน โดยมีเนื้อหาระบุดังนี้…

ข่าวที่น่าจะเป็นที่สนใจมากที่สุดของเมื่อวาน คงหนีไม่พ้นเรื่องของ Shinzo Abe (ชินโซ อาเบะ) อดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นถูกยิงขณะกล่าวปราศรัยในเมืองนาราทางตะวันตกของประเทศ ซึ่งผมขอไม่กล่าวถึงสาเหตุหรือการเมืองของญี่ปุ่น เพราะเดี๋ยวจะมีทั้ง Guru และ ‘กูรู้’ มากมายออกมาให้ความเห็น จะขอเล่าเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดมากๆ ของญี่ปุ่น

กฎหมายอาวุธของญี่ปุ่น (The Swords and Firearms Possession Control Law) เริ่มต้นด้วยการระบุว่า...

ประชาชนไม่สามารถครอบครองอาวุธปืนหรือดาบ โดยไม่ได้รับอนุญาต” และการขออนุญาตทำได้ยากมากมากๆ พลเมืองญี่ปุ่นได้รับอนุญาตให้ครอบครองอาวุธปืนสำหรับล่าสัตว์และกีฬายิงปืน แต่สามารถครอบครองได้ภายหลังจากผ่านการยื่นขออนุญาตตามขั้นตอนในการออกใบอนุญาตที่นานและยืดเยื้อแล้วเท่านั้น ส่วนหนึ่งของขั้นตอนการทดสอบ จะต้องผ่านการทดสอบในสนามยิงปืนด้วย “คะแนนอย่างน้อย 95%” มีการประเมินสุขภาพจิตจากโรงพยาบาล และผ่านการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด ซึ่งมีการสัมภาษณ์ครอบครัวและเพื่อนฝูง อันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการในการขออนุญาตเช่นกัน

ใบอนุญาตครอบครองและใช้อาวุธปืน มีอายุสามปี หลังจากนั้นจะต้องผ่านการทดสอบเพื่อขอใบอนุญาตซ้ำอีกครั้ง หลังจากเป็นเจ้าของปืนลูกซองครบ ๑๐ ปีแล้ว ผู้ที่มีใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนจึงจะสามารถขอครอบรองปืนไรเฟิลได้ ไม่อนุญาตให้ครอบครองอาวุธปืนพกสั้นเด็ดขาด

ทั้งนี้ญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศที่มี “โครงการซื้อคืนปืนเป็นครั้งแรก” ในปี ค.. 1685 และเป็นประเทศแรกในโลกที่ออกกฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืน ดังนั้น อัตราการครอบครองอาวุธปืนจึงต่ำมากๆ เฉลี่ยการครอบครองอาวุธปืนอยู่ที่ ๐.๖ กระบอกต่อประชากร ๑๐๐ คนเท่านั้น (สถิติในปี พ.. ๒๕๕๐) ส่งผลให้การสังหารหมู่ในญี่ปุ่นนั้น บรรดาคนร้ายจึงนิยมใช้มีดหรือวิธีการอื่นๆ ที่ไม่ใช่ปืน อย่างในปี พ.. ๒๕๕๗ ญี่ปุ่นมีผู้เสียชีวิตจากอาวุธปืนเพียงหกราย เป็นต้น

ตำรวจญี่ปุ่นที่พกอาวุธปืน

 

นอกจากนี้ ในแต่ละจังหวัด ยังสามารถเปิดร้านขายปืนได้เพียงสามร้าน แถมกระสุนปืนสามารถซื้อได้หลังจากนำปลอกกระสุนปืนที่ยิงแล้วมาแสดงด้วยเท่านั้น และหากเจ้าของอาวุธปืนเสียชีวิต ครอบครัวของพวกเขาต้องส่งมอบอาวุธปืนให้ทางการ

ในส่วนของตำรวจที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธปืน ซึ่งโดยปกติตำรวจก็ไม่ค่อยได้ปฏิบัติหน้าที่ที่จำเป็นต้องใช้อาวุธปืนบ่อยครั้งนัก ยกเว้นหน่วยปฏิบัติการพิเศษ และโดยทั่วไปแล้วตำรวจญี่ปุ่นจะทำการจับกุมโดยไม่ใช้อาวุธปืน ซึ่งคาดว่า ตำรวจญี่ปุ่นน่าจะถูกฝึกให้มีความเชี่ยวชาญในด้านศิลปะการต่อสู้เช่น คาราเต้ หรือ ยูโด

หากย้อนกลับไปในอดีต หลังจากสมเด็จพระจักรพรรดิทรงได้พระราชอำนาจคืนจากโชกุน ได้ทำให้มีกฎหมายที่เรียกว่า พระราชกฤษฎีกายกเลิกดาบ’ (Haitorei) เป็นพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยรัฐบาลเมจิของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.. ๒๔๑๙ ซึ่งห้ามประชาชน ยกเว้นอดีตขุนนาง (Daimyōs) ทหาร และเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย พกพาอาวุธดาบไปในที่สาธารณะ ผู้ฝ่าฝืนจะถูกยึดดาบเอาไว้

Haitorei เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่รัฐบาลดำเนินการเพื่อยกเลิกสิทธิพิเศษดั้งเดิมของชนชั้นซามูไร โดยกฎหมาย Haitorei ฉบับแรกออกในปี พ.. ๒๔๑๓ ห้ามชาวนาหรือพ่อค้าพกดาบและแต่งกายคล้ายซามูไร ซึ่งมาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะฟื้นฟูความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองสำหรับประชาชนในช่วงระยะเวลาอันวุ่นวายทันทีหลังการฟื้นฟูเมจิและระหว่างสงคราม Boshin

ในปี พ.. ๒๔๑๔ รัฐบาลได้ออกพระราชกฤษฎีกา Danpatsurei อนุญาตให้ซามูไรตัดผมและไว้ผมแบบตะวันตก อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็น เพราะเป็นการอนุญาตและสนับสนุน จากนั้นเริ่มมีการเกณฑ์ทหารเพื่อสร้างกองทัพตามแบบสากลขึ้นในปี พ.. ๒๔๑๖ โดยการสร้างกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นในช่วงนั้น บรรดาซามูไรไม่สามารถผูกขาดการรับราชการทหาร ไม่ได้รับทั้งค่าจ้างค่าตอบแทนที่ขุนนางศักดินาที่เป็นเจ้านายเคยจ่ายให้กับซามูไรในสังกัด ซึ่งถกยกเลิกเช่นเดียวกันในปี พ.. ๒๔๑๖ และนำมาสู่ข้อห้ามในการพกพาดาบเป็นที่ถกเถียงกันเป็นที่ถกเถียงกันต่อมา จนสุดท้ายการพกพาดาบก็ถูกห้ามตามกฎหมายในที่สุด

โดยวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.. ๒๔๑๙ พระราชกฤษฎีกา Haitō ก็ผ่าน Daijō-kan (รัฐสภาแห่งรัฐของจักรวรรดิญี่ปุ่น) ห้ามอดีตซามูไร (Shizoku) พกพาดาบไปในที่สาธารณะอย่างเด็ดขาด แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงในสังคมญี่ปุ่นและสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจของซามูไรเหล่านี้ เป็นสาเหตุหลักของความไม่พอใจในสมัยเมจิตอนต้นของญี่ปุ่น และนำไปสู่การจลาจลที่นำโดยซามูไรจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่นแถบตะวันตก และคิวชู นอกจากนี้ ผลของ Haitorei ทำให้ดาบหมดบทบาทที่สำคัญไปกับเหล่าบรรดาซามูไรทั้งหลาย จนทำให้ช่างตีดาบจำนวนมากต้องเปลี่ยนไปผลิตอุปกรณ์ทำการเกษตรและมีดต่างๆ ในครัวเพื่อความอยู่รอดแทน

อาวุธปืนที่จับกุมได้จากแก๊งยากูซาต่าง

 

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพญี่ปุ่นถูกปลดอาวุธ จนนำไปสู่การประกาศใช้กฎหมายควบคุมการครอบครองดาบและอาวุธปืนในปี พ.. ๒๕๐๑ เพื่อป้องกันการต่อสู้ด้วยอาวุธปืนและดาบของแก๊งยากูซาต่างๆ โดยกฎหมายฉบับแรกมีผลบังคับใช้ในปี พ.. ๒๕๐๑ มีวัตถุประสงค์ “...กฎระเบียบด้านความปลอดภัยที่จำเป็นสำหรับการป้องกันอันตรายที่เกี่ยวข้องกับการครอบครองและการใช้อาวุธปืนและดาบ” กฎระเบียบและข้อห้ามส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการครอบครอง การใช้งาน การนำเข้า การอนุญาต การขนส่ง การรับ และการขายอาวุธปืนและชิ้นส่วนของอาวุธปืน รวมทั้งระเบียบที่ต้องปฏิบัติในการขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืน ทั้งยังคงข้อจำกัดในอดีตเกี่ยวกับดาบและอาวุธมีดอื่นๆ และทำให้อาวุธปืนพก/อาวุธปืนสั้นถูกห้ามครอบครองโดยสมบูรณ์

กฎหมายถูกแก้ไขหลายครั้งเพื่อสนองตอบต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืน การแก้ไขครั้งสำคัญรวมถึงการเพิ่มการห้ามนำเข้าและเพิ่มอายุในการเป็นเจ้าของปืนไรเฟิลล่าสัตว์ในปี พ.. ๒๕๐๘ และข้อจำกัดที่เข้มงวดยิ่งขึ้นสำหรับการครอบครองอาวุธปืนลูกซอง เพื่อสนองตอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี พ.. ๒๕๕๑ เนื่องจากการควบคุมอาวุธปืนอย่างเข้มงวด จึงมีเพียงชาวญี่ปุ่นไม่กี่คนที่สามารถเป็นเจ้าของอาวุธปืน

ดังนั้นอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืนจึงต่ำมาก ในช่วงระยะเวลา ๓๐ ปีที่ผ่านมา โดยปี พ.. ๒๕๔๔ มีผู้เสียชีวิตจากปืนมากที่สุดคือ ๓๙ คน และเพียง ๔ คนในปี พ.. ๒๕๕๒ และนี่ก็ยิ่งทำให้ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่สนใจอาวุธปืน และการรับรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับอาวุธปืน คือ ความอันตรายอย่างแท้จริงและจำเป็นที่จะต้องควบคุมอย่างเข้มงวด

๑๓ ขั้นตอนในการขออนุญาตครอบครองอาวุธปืนของญี่ปุ่น

. เข้าชั้นเรียนอาวุธปืนและสอบผ่านข้อเขียน ซึ่งจัดขึ้นปีละ ๓ ครั้ง

. รับบันทึกรับรองจากแพทย์ว่า มีความพร้อมทางจิตใจ และไม่มีประวัติการใช้ยาในทางที่ผิด

. ขอใบอนุญาตให้เข้ารับการฝึกยิง ซึ่งอาจใช้เวลาถึงหนึ่งเดือน

. อธิบายในการสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ทำไมถึงต้องการครอบครองอาวุธปืน

. ตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของผู้ขอ ประวัติการครอบครองอาวุธปืน หน้าที่การเงิน เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากรหรือไม่ หนี้สินส่วนบุคคล และความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว และเพื่อนบ้าน

. ขอใบอนุญาตซื้อกระสุนปืน

. เข้ารับการฝึกหนึ่งวัน และต้องผ่านการทดสอบการยิง

. ขอรับใบรับรองจากร้านค้าปืนที่ให้รายละเอียดของอาวุธปืนที่ผู้ซื้อต้องการ

. หากต้องการซื้อปืนล่าสัตว์ ต้องขอใบอนุญาตล่าสัตว์ด้วย

๑๐. ซื้อตู้เซฟเก็บปืนและตู้เก็บกระสุนตรงตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย

๑๑. ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบที่เก็บอาวุธปืนของผู้ขอ

๑๒. ผ่านการตรวจสอบประวัติเพิ่มเติม

๑๓. ซื้ออาวุธปืน

หน่วยข่าวกรองรัสเซียฟันธง ยูเครนอยู่เบื้องหลัง เหตุลอบสังหารลูกสาว ‘มันสมอง’ ของปูติน

หน่วยข่าวกรองด้านความมั่นคงของรัสเซีย (FSB) ยืนยัน สายลับยูเครนอยู่เบี้องหลังแผนลอบสังหาร ‘ดาร์ยา ดูกินา’ บุตรสาวของ ‘อเล็กซานเดอร์ ดูกิน’ นักการเมืองผู้เป็น ‘มันสมอง’ ของ ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย อย่างแน่นอน 

ดาร์ยา ดูกินา ในวัย 29 ปี ประกอบอาชีพเป็นผู้สื่อข่าวจากสถานีโทรทัศน์ช่อง Tsargrad ที่เป็นกระบอกเสียงให้กับรัฐบาลมอสโคว และเป็นบุตรสาวของ อเล็กซานเดอร์ ดูกิน ที่เป็นหนึ่งในผู้นำแนวคิดอุดมการณ์รักชาติของรัสเซีย และยังได้ชื่อว่าเป็นมันสมองของปูติน ได้เสียชีวิตจากเหตุลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ หลังจากกลับจากงานเทศกาลวัฒนธรรมเมื่อช่วงค่ำวันเสาร์ที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา 

โดยระเบิดได้ถูกติดตั้งไว้ในรถยนต์ SUV Toyota Land Cruiser ซึ่งแหล่งข่าวระบุว่าเป็นของอเล็กซานเดอร์ ดูกิน พ่อของเธอ แต่เกิดเปลี่ยนใจขับรถคันอื่นแทน ผู้รับเคราะห์จึงเป็น ดาร์ยา ดูกินา ที่เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ

ไขปมลอบสังหาร ‘จอห์น เอฟ เคนเนดี’ ‘หลานเคนเนดี’ บอก!! เป็นฝีมือของ CIA

‘โรเบิร์ต เคนเนดี จูเนียร์’ หนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการเลือกตั้งสมัยหน้า 2024 อีกทั้งยังเป็นหลานชายแท้ๆ ของ ‘จอห์น เอฟ เคนเนดี’ อดีตประธานาธิบดีชื่อดังที่ถูกลอบสังหาร ได้ออกมาทิ้งระเบิด เปิดประเด็นลูกใหม่ว่า CIA อยู่เบื้องหลังการแผนการลอบสังหารครั้งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย 

โรเบิร์ต เคนเนดี จูเนียร์ ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการวิทยุ ‘WABC 770 AM’ ของนิวยอร์กว่า มีหลักฐานต่างๆ มากมาย ที่ชี้ว่า CIA เกี่ยวข้องกับคดีลอบยิงอดีตผู้นำเคนเนดีที่เมืองดัลลัส ในรัฐเท็กซัส ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 1963 และความพยายามที่จะปกปิดหลักฐานเหล่านั้นด้วย 

อีกทั้งยังอ้างอิงหนังสือ ‘JFK and the Unspeakable’ ของ เจมส์ ดักกลาส ที่ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้นานถึง 12 ปี และพยายามเสนองานของเขาให้กับหลายสำนักพิมพ์ แต่ถูกปฏิเสธ กว่าจะได้ตีพิมพ์จริงในสำนักพิมพ์ Orbis Book ที่ก็เคยปฏิเสธงานของดักกลาสถึง 3 ครั้ง ซึ่งเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้กว่า 500 หน้า ได้กล่าวถึงแรงจูงใจ และความเป็นไปได้ที่ทั้ง CIA และหน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ ต้องการกำจัดประธานาธิบดีคนที่ 35 คนนี้ แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ปิดคดีว่า นายลี ฮาร์วีย์ ออสวอล์ด เป็นผู้ลงมือสังหารแต่เพียงผู้เดียวในอีก 1 ปีต่อมา 

โรเบิร์ต เคนเนดี จูเนียร์ เป็นหนึ่งในครอบครัวเคนเนดี ที่เข้าสู่วงการการเมืองของสหรัฐฯ ปัจจุบันเป็นทนายด้านสิ่งแวดล้อม และสมาชิกพรรคเดโมแครต มีศักดิ์เป็นหลานชายของ จอห์น เอฟ เคนเนดี ซึ่งในวันที่ลุงของเขาถูกลอบสังหาร และเป็นข่าวดังไปทั่วโลกนั้น เขามีอายุเพียง 9 ปี และต่อมาเมื่อเขาอายุ 14 ปี พ่อของเขา ‘โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี’ หรือ บ๊อบบี้ ซึ่งเป็นน้องชายของจอห์น ก็มาถูกลอบสังหารเช่นเดียวกัน ขณะกำลังเดินสายหาเสียงเป็นตัวแทนพรรคในการชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐในปี 1968

‘วิลลาวิเซนซิโอ’ ผู้สมัครชิงตำแหน่ง ปธน.เอกวาดอร์ ถูกลอบยิงดับ ขณะลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้ง

เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 66 นายเฟร์นานโด วิลลาวิเซนซิโอ สมาชิกสภาแห่งชาติและผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเอกวาดอร์ ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตระหว่างไปร่วมงานที่จัดขึ้นในเมืองตอนเหนือของกรุงกีโต เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ตามเวลาท้องถิ่น

ทีมงานหาเสียงของนายวิลลาวิเซนซิโอให้สัมภาษณ์สื่อท้องถิ่นว่า นายวิลลาวิเซนซิโอกำลังก้าวเข้าไปในรถ เมื่อชายคนหนึ่งรุดขึ้นมาข้างหน้าและจ่อยิงเข้าที่ศีรษะของเขา โดยพยานที่เห็นเหตุการณ์ระบุว่า นายวิลลาวิเซนซิโอถูกยิงถึง 3 ครั้ง

ขณะที่อัยการสูงสุดของเอกวาดอร์ระบุผ่านโซเชียลมีเดียว่า ผู้ต้องสงสัยถูกยิงและยังยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ก่อนที่มือปืนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมาเนื่องจากได้รับบาดเจ็บ

ประธานาธิบดีกิเยร์โม ลาสโซ ของเอกวาดอร์ ซึ่งไม่ได้ลงสมัครชิงตำแหน่งในครั้งนี้ให้คำมั่นว่า อาญชากรจะต้องถูกนำตัวมาลงโทษ โดยเขาแสดงความโกรธเคืองและตกใจกับเหตุสังหารดังกล่าว และว่าอาชญากรมาไกลเกินไปแล้ว แต่น้ำหนักของกฎหมายจะต้องกดทับพวกเขา

ทั้งนี้ อาชญากรรมที่รุนแรงมากขึ้นในเอกวาดอร์เมื่อไม่นานมานี้ ได้รับแรงหนุนจากแก๊งค้ายาในประเทศที่เพิ่มมากขึ้น และเรื่องดังกล่าวได้กลายมาเป็นประเด็นการหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเอกวาดอร์ในปีนี้

เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นายลาสโซได้ประกาศภาวะฉุกเฉินและบังคับใช้มาตรการเคอร์ฟิวในช่วงค่ำคืนใน 3 จังหวัดหลัก หลังมีการสังหารหมู่ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มอาชญากร

นอกจากเรื่องควาปลอดภัยแล้ว การรณรงค์หาเสียงของนายวิลลาวิเซนซิโอยังเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาการทุจริต ซึ่งเป็นหัวข้อที่เขาให้ความสำคัญขณะที่ทำงานเป็นนักข่าวมาก่อนหน้านี้ รวมถึงการลดการทำลายสิ่งแวดล้อม

นายวิลลาวิเซนซิโอเป็น 1 ใน 8 ผู้สมัครในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเอกวาดอร์รอบแรก แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ที่คาดว่าจะเป็นผู้นำในการเลือกตั้งดังกล่าว

การสังหารนายวิลลาวิเซนซิโอเกิดขึ้นหลังจากการสังหารนายออกัสติน อินทริอาโก นายกเทศมนตรีเมือง Manta ในเดือนกรกฎาคม และการสังหารนายโอมาร์ เมเนนเดซ ผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีในเมือง Puerto López ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

นายออตโต ซอนเนนโฮลซ์เนอร์ อดีตรองประธานาธิบดีและผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในครั้งนี้ ได้แสดงความเสียใจและความเป็นหนึ่งเดียวกับครอบครัวของนายวิลลาวิเซนซิโอ ซึ่งมีบุตรถึง 5 คน

ขณะที่ลุยซา กอนซาเลส ผู้ที่คาดว่าจะมีคะแนนนำในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเอกวาดอร์ ก็แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับครอบครัวของนายวิลลาวิเซนซิโอ พร้อมทั้งบอกด้วยว่า การกระทำอันเลวทรามนี้จะต้องไม่ถูกปล่อยให้ไม่ได้รับโทษ

ทั้งนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีเอกวาดอร์กำหนดจะมีขึ้นในวันที่ 20 สิงหาคมนี้

22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 ‘จอห์น เอฟ. เคนเนดี’ ผู้นำสหรัฐฯ คนที่ 35 ถูกลอบสังหาร ขณะเดินทางไปหาเสียงเลือกตั้ง

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความตื่นตกใจให้กับคนทั้งโลก เมื่อ ‘จอห์น เอฟ. เคนเนดี’ ประธานาธิบดีลำดับที่ 35 แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ถูกลอบสังหารขณะเดินทางไปหาเสียงเลือกตั้ง ปธน. ภายในรถเปิดประทุน โดยมีภรรยานั่งอยู่ด้านข้าง โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในเวลา 12.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ เดลลีย์พลาซา เมืองแดลลัส รัฐเท็กซัส

โดยจากการสืบสวนของคณะกรรมการวอร์เรน ซึ่งกินเวลา 10 เดือน ระหว่าง พ.ศ. 2506 - 2507 การสืบสวนของคณะกรรมการสมาชิกผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ว่าด้วยการลอบสังหารประธานาธิบดี (HSCA) ระหว่าง พ.ศ. 2519 - 2522 และการสืบสวนของรัฐบาล สรุปว่าประธานาธิบดีถูกลอบสังหารโดย 'ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์’

ซึ่งในเวลาต่อมา ออสวอล์ดถูกฆาตกรรมโดย แจ๊ค รูบี้ ก่อนที่เขาจะต้องขึ้นศาล ในช่วงแรกที่มีการเปิดเผยผลการสืบสวน ข้อสรุปนี้ได้รับการยอมรับจากสาธารณชนอเมริกัน แต่ในภายหลัง ผลสำรวจที่มีการจัดทำขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2509 - 2547 เปิดเผยว่าชาวอเมริกันประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์มีความเชื่อตรงกันข้ามกับข้อสรุปที่ได้จากการสืบสวนดังกล่าว

ดังนั้นการลอบสังหารในครั้งนี้ยังคงเป็นประเด็นการอภิปรายในวงกว้าง และก่อให้เกิดประเด็นเรื่องทฤษฎีสมคบคิดและการจัดฉากอย่างนับไม่ถ้วน จนกระทั่ง พ.ศ. 2522 คณะกรรมการสมาชิกผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ว่าด้วยการลอบสังหารประธานาธิบดี ค้นพบว่ารายงานการสืบสวนของเอฟบีไอและคณะกรรมการวอร์เรนมีข้อบกพร่องอย่างร้ายแรง 

คณะกรรมการฯ ยังสรุปด้วยว่ามีการยิงปืนใส่ไม่ต่ำกว่า 4 นัด ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าอาจมีฆาตกรสองคน และทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าวเกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาในภายหลัง ซึ่งรวมถึงผลการศึกษาของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐอเมริกาได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของหลักฐานที่คณะกรรมการฯ ใช้เพื่อสนับสนุนทฤษฎีกระสุนสี่นัดดังกล่าว

แต่แล้ว ในวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560 คดีการลอบสังหารในครั้งนี้ก็ดูเหมือนจะกระจ่างขึ้น เมื่อประธานาธิบดีโดนัลน์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐฯ เปิดเผยเอกสารเกี่ยวกับคดีลอบสังหาร ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี ที่ยังไม่เคยเปิดเผยกว่า 2,800 ชิ้น ตามที่ได้เคยกล่าวผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวว่าจะเปิดเผยข้อมูลในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560

แต่ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ ตัดสินใจวินาทีสุดท้าย ไม่เปิดเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับคดีดังกล่าวอีกกว่า 300 ชิ้น เพราะหน่วยข่าวกรองกลาง หรือซีไอเอ และสำนักงานสอบสวนกลาง หรือเอฟบีไอ ขอให้มีการเก็บข้อมูลบางส่วนต่อไป เนื่องจากมีข้อกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยการเปิดเผยคาดว่าจะมีการพิจารณาถึงความเหมาะสมต่อไปอีก 6 เดือน หรือประมาณช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. 2561

เหตุการณ์สะเทือนโลกครั้งนี้จึงนับเป็น เหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ชาวโลกยังคงจดจำ ต่อการจากไปของประธานาธิบดีหนุ่ม ‘จอห์น เอฟ. เคนเนดี’ ที่สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติมากมาย อีกทั้งยังเป็นคดีที่ยังคงมีถูกตั้งข้อสงสัยและยังไม่ได้รับความกระจ่างอย่างแท้จริงจากเอกสารบางส่วนที่ยังไม่เปิดเผย มาจนถึงทุกวันนี้

‘อิหร่าน’ เดือด!! ประกาศแก้แค้นกลุ่มผู้ก่อการอย่างถึงที่สุด หลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดกลางงานรำลึก ‘กาเซม โซเลมานี’

สื่ออิหร่านรายงานข่าวด่วน เหตุลอบวางระเบิดถึง 2 ครั้งในงานรำลึกการเสียชีวิตของนายพล กาเซม โซเลมานี ผู้นำของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน (IRCG) ที่เมืองเคอร์มาน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 95 คน รัฐบาลอิหร่านประกาศ จะแก้แค้นกลุ่มผู้ก่อการอย่างถึงที่สุด

ความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลางยังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเกิดเหตุระเบิดถึง 2 ครั้ง ใกล้กับอนุสรณ์สถานของนายพล กาเซม โซเลมานี ที่มีการจัดงานรำลึกประจำปีให้กับอดีตผู้นำสูงของกองกำลัง IRCG ที่ถูกลอบสังหารอย่างโหดเหี้ยมด้วยโดรนพิฆาตของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2020 ขณะกำลังเดินทางเยือนอิรัก โดยงานรำลึกในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4

สื่ออิหร่านรายงานว่า เหตุระเบิดลูกแรก เกิดขึ้นช่วง 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ในบริเวณด้านหน้าสุสานผู้พลีชีพ ใกล้ ๆ กับมัสยิด Saheb al-Zaman ส่วนระเบิดลูกที่ 2 เกิดขึ้นหลังจากนั้น 15 นาที และห่างจากระเบิดจุดแรกเพียง 700 เมตรเท่านั้น โดยมีเจตนาสังหารผู้คนที่กำลังวิ่งหนีอย่างโกลาหลหลังจากเกิดเหตุระเบิดลูกแรก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 95 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 200 คน ถือเป็นการก่อการร้ายครั้งรุนแรงที่สุดในอิหร่าน ในรอบ 42 ปี 

ด้านผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อยาตอลเลาะห์ คาเมเนอี สาบานว่าจะล้างแค้น กลุ่มอาชญากรที่ก่อเหตุระเบิดนองเลือดครั้งนี้อย่างถึงที่สุด หลายประเทศ รวมถึงรัสเซียและตุรกี ออกมาประณามการโจมตีดังกล่าว ในขณะที่เลขาธิการสหประชาชาติเรียกร้องให้สอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้ให้ได้

แต่ ณ ขณะนี้ยังไม่มีกลุ่มก่อการร้ายใด ออกมาแสดงตนอ้างตัวเป็นผู้ความรับผิดชอบ แต่คาดเดาว่าน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนอาหรับ หรือกลุ่มผู้ก่อการร้ายจิฮัด และ ISIS เมื่อพิจารณาจากรูปแบบการก่อเหตุ และ การก่อความไม่สงบหลายครั้งในอิหร่านที่ผ่านมา 

แต่ก็มีไม่น้อยที่ตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือของหน่วยลับจากอิสราเอล และ สหรัฐอเมริกา เนื่องจาก อิหร่าน ประกาศตนเป็นปฏิปักษ์กับอิสราเอล และ สหรัฐฯ อีกทั้งยังเป็นประเทศหลักที่ผลักดันให้เกิด กลุ่ม Axis of Resistance - พันธมิตรแห่งการต่อต้าน เพื่อสนับสนุนกลุ่มฮามาส ในการต่อต้านการรุกรานของอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์

ด้าน แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกมาแถลงผ่านห้องประชุมผู้สื่อข่าวว่า ทั้งสหรัฐอเมริกา และ อิสราเอล ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการโจมตีในเมืองเคอร์มาน และไม่มีเหตุผลที่ต้องทำด้วย จึงขอให้เลิกสงสัยสหรัฐอเมริกา และ อิสราเอล เสีย 

เชื่อได้ว่า การก่อเหตุระเบิดรุนแรงในงานรำลึกนายพล กาเซม โซเลมานี มีเป้าหมายเพื่อทำลายขวัญของชาวอิหร่าน ที่จะมาเยือนสุสานของเขา แต่รัฐบาลอิหร่านยังยืนยันที่จะจัดงานรำลึกเป็นประจำทุกปี แม้อาจเสี่ยงเป็นเป้าหมายของการก่อเหตุรุนแรง ส่วนหนึ่งก็เพื่อยกย่องผู้นำของกองกำลัง IRCG แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการตอกย้ำพฤติกรรมก่อการร้ายข้ามชาติของสหรัฐอเมริกาให้ยังอยู่ในความทรงจำของชาวอิหร่านนั่นเอง 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top