Friday, 17 May 2024
ภูมิธรรมเวชยชัย

‘ภูมิธรรม’ ชู ‘เศรษฐา’ คุณสมบัติครบ เทียบชั้น ‘ทักษิณ’ ลั่น!! เลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ประเทศไทยเปลี่ยนทันที

(5 พ.ค.66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า เลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ประเทศไทยเปลี่ยนทันที ในโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ผมขอพูดถึงแคนดิเดตนายกฯ คนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย ‘เศรษฐา ทวีสิน’

ตลอดเวลานับตั้งแต่เปิดตัวทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทย ผมได้เห็นความทุ่มเท ความมุ่งมั่นในการลงพื้นที่เพื่อพบปะและรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชน

อย่างจริงจังและจริงใจ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากประการหนึ่งของคนที่อาสาเข้ามาเป็นนักการเมือง 
เมื่อพูดคนจะฟัง เมื่อลงมือทำคนจึงจะเชื่อ ใช่ครับ คุณเศรษฐาพิสูจน์ความเป็นนักการเมืองของตัวเองด้วยการลงมือทำ

‘ภูมิธรรม’ ปลุก ปชช. กา ‘พท.’ อย่าปล่อยโอกาสหลุดมือ ลั่น!! หากได้ ส.ส. เกิน 300 เสียง ประเทศไทยเปลี่ยนแน่

(11 พ.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า อย่าให้โอกาสในการเปลี่ยนแปลงประเทศต้องเป็นหมัน ไล่ระบอบประยุทธ์ออกไป เลือกเพื่อไทยเป็นรัฐบาล

การเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค.นี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคมไทย เพราะเป็นการเลือกตั้งที่จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับอำนาจในการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน โดยยังคงมีกลไก รธน.ที่กำหนดให้ สว. 250 คน มีสิทธิ์โหวตเลือกนายกฯ อันเป็นแต้มต่อที่สำคัญในการสืบทอดอำนาจต่อเนื่องของระบอบประยุทธ์ นั่นหมายความว่าหากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมสามารถจับมือรวมกันแค่ 126 เสียง ก็สามารถชนะการโหวตเลือกนายกฯ ได้แล้ว และประเทศไทยก็จะมีนายกฯ ในแบบเดิมที่ทำให้พี่น้องประชาชนต้องทนทุกข์ทรมานมานานถึง 8-9 ปี

นายภูมิธรรม ระบุว่า แต่หากจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง จะตั้งรัฐบาลได้จริง จำเป็นต้องใช้คะแนนเสียงของ ส.ส. ให้ได้มากเกิน 250 คน และจะมั่นใจมากกว่าหากได้ ส.ส. มากถึง 300 คน ซึ่งพรรคการเมืองที่มีโอกาสจะทำให้เป็นรูปธรรมได้จริง ๆ คือ พรรคเพื่อไทย แม้ว่าในช่วงหลังหลายโพลจากหลายสำนักระบุว่า บางพรรคมาแรงแซงพรรคเพื่อไทย ก็ตาม แต่หากดูจากข้อมูลในพื้นที่ซึ่งเป็นคะแนนจริง ๆ ไม่ใช่คะแนนในอากาศ ซึ่งเราติดตามอย่างใกล้ชิด ยังบ่งชี้ว่าพรรคเพื่อไทยยังคงได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนมาเป็นอันดับหนึ่ง

ทำไมถึงมั่นใจอย่างนั้น จริงอยู่กระแสอาจมีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกของพื้นที่ กทม.ปริมณฑลและเขตเมืองใหญ่ แต่ในจำนวนเขตเลือกตั้ง 400 เขตนั้น 300 กว่าเขตเป็นพื้นที่ อบต. เทศบาลตำบล กระแสไม่มีผลมากเท่ากับความผูกพันและการช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่าง ส.ส.กับ ประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ จำนวน ส.ส.เขตพื้นที่จึงเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลง และต่อการจัดตั้งรัฐบาล ในพื้นที่ที่มีการแข่งขันซึ่งจะทำให้เกิดการตัดคะแนนกันเอง ปล่อยให้ตาอยู่อย่างลุงและเครือข่ายชนะไปย่อมไม่เกิดผลดี

“ผมไม่อยากให้ความหวังในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลของพี่น้องประชาชนต้อง กลายเป็นคะแนนตกน้ำและตาอยู่ได้ชัยชนะไป นั่นจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมากถ้าความหวั่นเกรงของผมเป็นจริง บรรยากาศที่เอื้อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นง่ายนัก หากการตัดสินใจเลือกที่จะกาบัตรนั้นทำให้ความหวังที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นหมันอย่างน่าเสียดาย เราจะได้ระบอบประยุทธ์กลับมา และต้องทนอยู่ต่อไปอีก 4 ปี

ผมเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทย คือคำตอบที่เป็นจริงในการเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นความหวัง เกิดการแก้ไขปัญหา การเปลี่ยนแปลงของชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนที่เป็นจริง เพราะปัญหาของประเทศวันนี้อยู่ในขั้นวิกฤติระดับ โคม่า ต้องการทีมมืออาชีพเข้ามาแก้ไข ซึ่งพรรคเพื่อไทยเคยพิสูจน์ให้เห็นเป็นผลงานเชิงประจักษ์มาแล้ว วันนี้พรรค เพื่อไทย มีทั้งผู้นำที่พร้อม มีนโยบายที่พร้อม และมีทีมทำงานที่พร้อม 14 พ.ค.กาพรรคเพื่อไทยทั้งสองใบ ประเทศไทยเปลี่ยนทันที” นายภูมิธรรม ระบุ

‘ภูมิธรรม’ ซัด ‘พิธา’ มัดมือชก ‘เพื่อไทย’ แก้ 272  เหน็บ!! นี่คือ ‘วาระประเทศ’ ไม่ใช่วาระ ‘ก้าวไกล’ 

(17 ก.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค พท. กล่าวถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ระบุว่า จะต่อสู้ใน 2 สมรภูมิ คือ การโหวตนายกฯ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.272 ว่า ไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะการเปิดสมรภูมิใหม่ของพรรคก้าวไกล เป็นการเสนอประเด็นที่อยู่นอกเหนือเอ็มโอยูที่ 8 พรรคเซนต์ร่วมกัน ส่วนที่จะต่อสู้จนประสบความสำเร็จและไม่สามารถไปได้แล้ว และจะมอบอำนาจให้กับพรรคอันดับ 2 นั้น เป็นการพูดเช่นนี้ฟังดูดี แต่ทั้ง 2 ประเด็น มียากลำบากและไม่มีกรอบเวลาชัดเจน 

นายภูมิธรรม กล่าวว่า การแก้ไข ม.272 เป็นได้เพียงสัญลักษณ์ ไม่ได้รับชัยชนะ แต่การเร่งตั้งรัฐบาลจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่พรรค พท. ได้เสนอเป็นนโยบายไว้ว่าจะแก้ทั้งระบบ นี่ถือเป็นวาระสำคัญแต่การเปิดวาระใหม่ ของพรรคก้าวไกล เป็นการเสนอนอกเหนือเอ็มโอยู ตนเห็นว่าการที่นายพิธา และพรรคก้าวไกลนำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อสาธารณชน จึงคิดว่ามันไม่ใช่วาระของทั้ง 2 พรรค เราตกลงกันว่าจะกลับไปคุยในพรรคตัวเอง แต่ที่นายพิธาออกมาพูดเช่นนี้เหมือนมัดมือชก เราจึงจำเป็นต้องออกมาพูดความจำเป็น และความเป็นจริงให้ทราบ

นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนกล่าวไม่ใช่ความขัดแย้งหรือโกรธกัน แต่เราจะเสนอความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า วาระประเทศและวาระประชาชนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่วาระของพรรคก้าวไกล หรือวาระของนายพิธา วันนี้อยากให้เปิดใจให้กว้างแล้วเอาวาระประชาชนเป็นที่ตั้ง วาระประเทศเป็นที่ตั้งถูกต้องหรือไม่ การที่นายพิธา พูดว่าเวลานี้ อนาคตของพรรคก้าวไกล และอนาคตของประชาชนอยู่ในมือของประชาชนแล้ว ตนคิดว่าอย่าเอาประชาชนเป็นตัวประกัน วันนี้ประเทศชาติและปัญหาประชาชนอยู่ในมือพรรคก้าวไกล และนายพิธา จึงต้องหยิบเอาปัญหาและวาระของประชาชนเป็นที่ตั้งแล้วตัดสินใจ ถ้าการตัดสินใจครั้งนี้ผิดพลาด ปัญหาประชาชนจะลำบาก ต้องอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ไปอีกนาน และจะรักษาการไปเรื่อยๆ แต่ถ้าตัดสินใจถูกต้องปัญหาจะคลี่คลาย อยากให้นายพิธา และพรรคก้าวไกลนำไปคิด

“พรรค พท. ขอให้เอาวาระประชาชนเป็นที่ตั้ง แล้วหาทางออกร่วมกันอย่างรวดเร็ว เพราะเราห่วงโรคแทรกซ้อน หากรัฐบาลเดิมจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เราจะสู้เขาไม่ได้เพราะเขามี 188 เสียง และส.ว.อีก 250 เสียงสามารถตั้งรัฐบาลได้เลย เราต้องอยู่กับลุงไปอีก 4 ปี ประชาชนยินดีเช่นนั้นหรือไม่ ถ้าไม่ยินดีก็ต้องหาทางออก” นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามว่า ได้คิดเรื่องการเปลี่ยนตัวแคนดิเดตนายกฯ ไว้บ้างหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า พรรค พท. ไม่มีแผนสำรอง แผนแรกแผนเดียว เราอยากจับมือกับ 8 พรรคร่วมเดินหน้าไปให้ถึงที่สุด แต่ต้องมีคำตอบที่ชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยให้มีการเลือกไปเรื่อยๆ โดยที่ประเทศไม่รู้ว่าทางออกจะเป็นอย่างไร เรารอไปถึงต้นปีหน้าไม่ได้ เพราะปัญหาประเทศตอนนี้รุนแรงมาก ไม่ต้องห่วงเรื่องแคนดิเดตนายกฯพรรค พท. ซึ่งพรรค พท. มีแคนดิเดตอยู่แล้ว 3 คน หากวันไหนชัดเจนให้พรรค พท. เสนอ เราสามารถเสนอได้ แต่ไม่ใช่วาระสำคัญเราไม่คิดเรื่องนี้ก่อน เราคิดถึงการหาทางออกให้กับประเทศ 8 พรรคการเมืองเสนอนายพิธา ถ้าไม่ได้จะมีวิธีไหนที่ 8 พรรค จะดำเนินการร่วมกันให้ชนะ

เมื่อถามว่า การพูดคุยวันนี้จะต้องเตรียมแคนดิเดตนายกฯ สำรองไว้เลยหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ความเป็นจริง เรารู้อยู่แล้วว่าแคนดิเดตของเราเป็นอย่างไร ถ้าบอกว่าพรรค พท. ไม่ได้คิดเลย ก็เท่ากับโกหก เราคิดทางออกแต่ยังพูดไม่ได้ เพราะอยากให้ชัดเจนถึงความมุ่งหน้าสนับสนุนของความร่วมมือของ 8 พรรค จนถึงเวลาจำเป็นแล้วถึงจะเสนอ และชัดเจนจะไม่มีคนนอก ขอให้สบายใจว่าหากถึงเวลาต้องเสนอ พรรค พท. มีคนเข้าไปทำงานแน่นอน แต่ขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับแคนดิเดตทั้ง 3 คน เพราะเรามุ่งหน้าทำเรื่องการเสนอนายพิธา เป็นเรื่องหลัก

“สิ่งที่ผมพูดอาจทำให้เกิดความไม่สบายใจของใครก็ตาม อาจมีรถทัวร์ลงก็ได้ แต่ผมคิดว่าเรายืนอยู่บนความเป็นจริง และอยากให้ความเป็นจริงประสบความสำเร็จ เราไม่อยากเห็นความเชื่อทำให้เกิดความจริง เราอยากเห็นความจริง เอามาคลี่คลาย และทำให้ความเชื่อประสบความสำเร็จ” นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามถึงกระแสข่าว ส.ส.พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ไปพูดคุยกับรัฐบาลเดิมหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า วันนี้มีข่าวลือมาก เราได้ยินข่าวดังกล่าว แต่เมื่อเป็นข่าวลือเราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ สิ่งที่สำคัญคือกลับไปตรวจสอบคนของตัวเอง เพราะประวัติศาสตร์การเมืองไทย เรื่องการแจกกล้วย เรื่องงูเห่าเคยเกิดมาแล้ว เราเสนอให้เกิดการระมัดระวัง เราต้องให้เกียรติ ส.ส.ทั้ง 2 พรรค และในส่วนของพรรค พท. ได้ให้แกนนำแต่ละส่วนไปพูดคุยกับ ส.ส.เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น

‘ภูมิธรรม’ เผย การเมืองไทยอยู่ในสถานการณ์ผิดปกติ ชี้ ควรอยู่กับความจริง-เร่งหาทางออก พาประเทศฝ่าวิกฤต

‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ชี้ สถานการณ์การเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และถือได้ว่าวิกฤตพอสมควร ระยะเวลาที่ล่าช้าออกไปอาจทำให้ประเทศวิกฤตมากขึ้นไปอีก ซึ่งพรรคเพื่อไทยยืนอยู่บนความเป็นจริง และใช้วิธีแก้ปัญหาแบบละมุนละม่อม แสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อฝ่าวิกฤตนี้ไปให้ได้และทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อยๆ

1.) ขณะนี้อยู่ในช่วงเวลาวิกฤต ทั้งด้านกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ปัญหาโครงสร้างภายในประเทศ ซึ่งมีความขัดแย้งที่เป็นพื้นฐานยังดำรงอยู่ การที่จะได้นายกรัฐมนตรีที่ทุกฝ่ายสบายใจจนสามารถเลือกมาได้ก็จะเป็นกระบวนการสร้างความเชื่อมั่นได้ดีที่สุด  

2.) สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้การจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยไม่ใช่เรื่องง่าย ในฐานะพรรคแกนนำจะต้องหนักแน่น มีความเป็นผู้นำ มิเช่นนั้นจะไม่สามารถนำพาประเทศและความแตกต่างของพรรคการเมืองต่างๆ มาช่วยกันพาประเทศพ้นวิกฤตได้ เราจะต้องตัดสินใจบนความเป็นจริงของสถานการณ์และความต้องการของประชาชน ขณะที่พรรคการเมืองต่างๆ ก็มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเราก็ต้องให้ความเคารพ

3.) “เราอยู่ในช่วงเวลาวิกฤต ทั้งด้านกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ปัญหาโครงสร้างภายในประเทศ ซึ่งมีความขัดแย้งที่เป็นพื้นฐานยังดำรงอยู่ การที่จะได้นายกรัฐมนตรีที่ทุกฝ่ายสบายใจจนสามารถเลือกมาได้ ก็จะเป็นกระบวนการสร้างความเชื่อมั่นได้ดีที่สุด”

4.) สถานการณ์ขณะนี้ชี้ให้เห็นว่าประเทศเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ประชาชนและนักการเมืองก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน ทุกคนรู้ว่า8-9 ปีที่ผ่านมาประเทศเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง  รวมถึงวิกฤตการณ์ภายนอกประเทศอีกมากมาย ดังนั้น จึงต้องกำหนดปัญหาของประเทศเป็นหลัก ถ้าประเทศรอด ประชาชนรอด ทุกคนก็จะรอดหมด ซึ่งนักการเมืองทุกคนรู้อยู่แก่ใจ ดังนั้นจึงต้องมาหาทางออกร่วมกัน ต้องเอาวาระประเทศและประชาชนเป็นตัวตั้ง

5.) ภูมิธรรม ย้ำว่า นโยบายที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้จะต้องทำให้สำเร็จในอายุรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเรามุ่งมั่นที่จะทำการเมืองรูปแบบใหม่ ด้วยการเอาปัญหาของประชาชน และผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เอาปัญหาและผลประโยชน์ของพรรคการเมืองเป็นตัวตั้ง  

6.) ภูมิธรรมเชื่อมั่นว่าบุคลากรของพรรคเพื่อไทย รวมถึงประสบการณ์การทำงาน เป็นองค์ประกอบที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศที่วิกฤต และมีปัญหาความขัดแย้งสะสมมากว่า 20 ปี “เราเชื่อว่าจุดยืนของพรรคเพื่อไทย ที่ยืนอยู่บนความเป็นจริง ใช้วิธีการปัญหาแบบละมุนละม่อม แสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่าย จะช่วยให้เราฝ่าวิกฤตินี้ไปได้ และทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อยๆ”

'ภูมิธรรม' เด้งรับรัฐบาล ปรับลด 'ไฟฟ้า-น้ำมันดีเซล' ขอเวลา 15 วัน สินค้าหลายรายการจะลดราคาลงตาม

(14 ก.ย.66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดินเข้าทำงานที่กระทรวงพาณิชย์วันแรก ได้หารือกับข้าราชการระดับสูงเพื่อร่วมกันการแก้ไขวิกฤตของประเทศ โดยนโยบายเร่งด่วน คือ การดูแลราคาสินค้า เพราะคณะรัฐมนตรี ได้ออกมาตรการลดค่าไฟฟ้า และน้ำมันไปแล้ว ซึ่งมีผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าที่ควรจะปรับลดลงโดยได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน ไปหารือกับผู้ผลิตสินค้าในรายละเอียด เพื่อให้ได้เป้าหมายที่เป็นรูปธรรมชัดเจนภายใน 15 วัน และสามารถลดราคาได้ทันภายในต้นเดือนตุลาคม ทันเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน

อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์หน้า ได้เชิญผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน มาพูดคุยรับฟังข้อมูลเพื่อร่วมกันทำงานแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ส่วนนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ที่ทำภายใน 6 เดือนนั้น ได้มอบให้กรมที่เกี่ยวข้องไปศึกษาทบทวนงานในส่วนที่รับผิดชอบ จะรองรับการขับเคลื่อนนโยบายนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนได้อย่างไร เพราะเกี่ยวข้องกับกระทรวงพาณิชย์ในหลายเรื่อง โดยเฉพาะข้อกังวลเรื่องการใช้จ่ายในระยะ 4 กิโลเมตร ที่จะกระทบกับประชาชน โดยจะต้องหาวิธีในการกระจายสินค้า หรือ เพิ่มแหล่งให้ประชาชนได้ซื้อสินค้า

ส่วนครอบครัวที่ได้หลายคน อาจจะรวมยอดได้ 50,000 - 1 แสนบาท แม้บางครอบครัว อาจจะมองว่าเป็นเงินไม่เยอะ แต่บางครอบครัวอาจจะเป็นมูลค่ามาก นอกจากจะใช้เพื่ออุปโภคบริโภคได้แล้ว ยังอาจจะสามารถสร้างเป็นธุรกิจเล็กๆ หรือ เกิดธุรกิจใหม่ๆ ที่หมุนเวียนได้ ซึ่งกรมที่เกี่ยวข้อง สามารถเข้าไปให้ความรู้การค้าขาย อาทิ รถพุ่มพวง ต่อยอดอาชีพได้

ทั้งนี้ ยังมีนโยบายสำคัญ 7 เรื่องที่ต้องเร่งดูแล คือ การลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส ให้กับประชาชน การบริหารจัดการให้เกิดความสมดุล ระหว่างผู้บริโภค เกษตรกรและผู้ประกอบการภาคธุรกิจ ต้องทำงานเชิงรุกและบูรณาการร่วมกัน แก้ไขข้อจำกัดของกฎหมาย ร่วมขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัล wallet ให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ เร่งขยับตัวเลขส่งออกให้ติดลบน้อยลง และผลักดันให้มีการใช้ประโยชน์จาก FTA ให้มากขึ้น โดยการแบ่งงานให้กับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์นั้น อยู่ระหว่างพิจารณากันอยู่ โดยการบริหารงานของกระทรวงพาณิชย์จะร่วมมือกันทำงานเป็นทีมเป็นสำคัญ

‘รองฯ อ้วน’ สาธิตผัดข้าวกะเพรา กลางงาน CAEXPO 2023 ย้ำ!! รัฐฯ หนุนเอสเอ็มอีเต็มที่ ดันสินค้าท้องถิ่นไทยสู้ตลาดโลก

เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 66 ที่นครหนานหนิง ประเทศจีน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ใช้โอกาสในการนำคณะผู้บริหารระดับสูง เดินทางเยือนเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ระหว่างวันที่ 15-18 กันยายน 2566 เพื่อเข้าร่วมพิธีเปิดงานแสดงสินค้าจีน-อาเซียน หรือ ‘China–ASEAN Expo’ (CAEXPO 2023) ครั้งที่ 20 ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมระหว่างประเทศนครหนานหนิง (Nanning International Convention & Exhibition Center) นครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ประเทศจีน

โดยเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 66 เข้าพบปะหารือกับผู้ประกอบการไทยที่มาออกบูธในงาน CAEXPO จำนวน 76 รายใน 4 กลุ่มสินค้า ได้แก่ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มแฟชั่นและเครื่องประดับ กลุ่มสุขภาพและความงาม และกลุ่มของใช้ในครัวเรือนและของตกแต่งบ้าน โดยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริม SMEs และได้ยืนยันกับผู้ประกอบการว่า จะเพิ่มความเข้มข้นในการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้เพิ่มมากขึ้นต่อไป

ทั้งนี้ ยังได้ใช้โอกาสนี้ เข้าเยี่ยมชมคูหาส่งเสริมข้าวไทย และสาธิตการทำเมนูผัดกะเพราหมู ซึ่งมั่นใจว่าข้าวไทย จะได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อ ผู้นำเข้าชาวจีน และผู้เข้าเยี่ยมชมงานจากประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมศูนย์แสดงสินค้าดีเด่นจีน-อาเซียน หรือ China ASEAN Merchantile Exchange (CAMEX หรือ คาเม็กซ์) เป็นโครงการสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าจีน – อาเซียนภายใต้กรอบความร่วมมือ ‘One Belt One Road’ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐทางเขตกว่างซี ลงทุนก่อตั้งและบริหารจัดการโดยบริษัทสิงคโปร์ CSILP (China-Singapore Nanning International Logistic Park) เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2565 โดยมั่นใจว่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการกระจายสินค้าจากไทยและอาเชียนเข้าสู่ตลาดจีนได้เพิ่มขึ้น โดยจะมีการเชื่อมโยงการทำงานระหว่างทูตพาณิชย์ พาณิชย์จังหวัด กับผู้ประกอบการในการนำสินค้ามาจำหน่ายต่อไป

ปัจจุบันมีสินค้าจากประเทศไทยจัดแสดงอยู่ในศูนย์ CAMEX จำนวน 18 บริษัท โดยเป็นสินค้าประเภทอาหาร เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ยางพารา อาทิ ข้าวเหนียวมะม่วง จาก จ.ตาก หมอนยางพารา จาก จ.อุตรดิตถ์ เป็นต้น

ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ เมืองหนานหนิง ได้บูรณาการร่วมกันกับพาณิชย์จังหวัดต่างๆ ในการส่งเสริมและผลักดันสินค้าโดดเด่นจากท้องถิ่นเข้าร่วมจัดแสดงในศูนย์ฯ เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญของ SMEs ไทยในการบุกตลาดจีนต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภูมิธรรม ขณะเยี่ยมชมคูหา Thailand Pavilion ในงาน China ASEAN Expo ได้สาธิตทำข้าวผัดกะเพรา เพื่อให้คนร่วมงานได้ชิม หนึ่งในการโปรโมตข้าวไทยและสมุนไพรไทย

‘ภูมิธรรม’ เปิดงาน ‘คูคลองใส ปี 66’ พร้อมเร่งฟื้นฟูสภาพดิน-น้ำ ย้ำ!! สิ่งแวดล้อมที่ดีถือเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ

(24 ก.ย. 66) ที่ตลาดน้ำขวัญเรียม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดในพิธี ‘งานคูคลองใส’ ประจำปี 2566 เนื่องในวันอนุรักษ์และรักษาแม่น้ำคูคลองแห่งชาติ และวันเยาวชนแห่งชาติ โดยมีนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานมูลนิธิคนรักเมืองมีน นายวิรัตน์ มีนชัยนันท์ ประธานสภากรุงเทพมหานคร เข้าร่วมพิธี โดยมีการตักบาตรพระสงฆ์ทางน้ำ ก่อนจะเดินข้ามฝั่งจากวัดบำเพ็ญเหนือไปเปิดพิธียังวัดบำเพ็งใต้

โดยนายภูมิธรร กล่าวภายหลังมอบโล่สนับสนุนการจัดงานและมอบเกียรติบัตร ‘เด็กและเยาวชนดีศรีเมืองมีน’ ว่า ในนามของรัฐบาลและนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งมอบหมายให้ตนมาปฏิบัติภารกิจสำคัญ ขอแสดงความยินดีกับนักเรียนและเยาวชนที่ได้รับยกย่องให้เป็นเต็กดีศรีเมืองมีนในปีนี้ ขอแสดงความชื่นชมต่อผู้มีเกียรติและหน่วยงานที่ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ ในการส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมดีๆ ของสังคม และขอชื่นชมมูลนิธิคนรักเมืองมีน ที่ได้พยายามจัดงาน คูคลองน้ำใสมาอย่างต่อเนื่องถึง 11 ปี โดยมุ่งหวังให้สภาพชุมชนริมฝั่งคลอง และคุณภาพน้ำในคลองแสนแสบสะอาดขึ้น หลายคนคงทราบดีว่าคูคลองในอดีตใช้ประโยชน์ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านคมนาคม ขนส่ง อุปโภคบริโภคเป็นที่รองรับหรือระบายน้ำฝน น้ำเสีย เป็นแหล่งผลิตอาหารแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและอุตสาหกรรม

นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ แม่น้ำคูคลองยังเป็นแหล่งรวมของศิลปวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิตที่สั่งสมกันมาตั้งแต่โบราณ แต่สถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้บทบาทของแม่น้ำคูคลองลดความสำคัญลงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต และวัฒนธรรมในการเป็นอยู่ ทำให้มีการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำคูคลองลดน้อยลง แต่ที่หนักกว่านั้นคือ การบุกรุกคลองและเห็นคูคลองเป็นที่รองรับน้ำทิ้ง ขยะ สภาพแม่น้ำ คูคลองหลายแห่งจึงเป็นอย่างที่เห็น รัฐบาลตระหนักดีว่าทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่ดีของประเทศ เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาของประเทศ และส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน ภาครัฐจึงมีนโยบายสำคัญในการส่งเสริมและเร่งฟื้นฟูความสมบูรณ์ของดินและน้ำคืนสู่ธรรมชาติ ขณะเดียวกัน ภาคเอกชน ทุกคนทุกฝ่ายก็ต้องช่วยเหลือร่วมมือกันด้วย

จากนั้นนายภูมิธรรม ได้ติดป้ายตลาดต้องชม และร่วมกิจกรรมต่างๆ อาทิ เทน้ำ EM ปล่อยพันธุ์ปลา 200,000 ตัว ชมขบวนเรือบุปผชาติ ขบวนเรือสุวรรณหงษ์ (จำลอง) เยี่ยมชมนิทรรศการ และเป็นประธานจับรางวัล Lucky Draw และมอบรางวัลให้กับประชาชนที่จับจ่ายใช้สอยในงานธงฟ้า

‘ภูมิธรรม’ เดินหน้าลดราคาสินค้า-ดึงร้านธงฟ้ารับดิจิทัลวอลเล็ต หนุน ปชช.ได้สินค้าราคาถูก-ลดค่าครองชีพ คาด ต.ค.นี้ ชัดเจน

‘ภูมิธรรม’ ย้ำลดราคาสินค้าได้เห็นแน่ หลังทำการวิเคราะห์ต้นทุนรายตัว เริ่มเห็นสัญญาณดี แม้จะลดไม่ได้ทั้งหมด แต่มีแน่ คาดต้น ต.ค.นี้ ชัดเจน ส่วนการเปิดจุดจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัด จะเดินหน้าต่อไป เพื่อดูแลพี่น้องประชาชน ให้สามารถซื้อสินค้าราคาประหยัด และลดภาระค่าครองชีพ เผยจะดึงร้านธงฟ้า เข้าร่วมใช้จ่ายในโครงการดิจิทัล วอลเล็ตด้วย

(24 ก.ย. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมชมการจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัด ที่วัดบำเพ็ญเหนือ/วัดบางเพ็งใต้ เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่าขณะนี้กระทรวงพาณิชย์กำลังติดตามการลดราคาสินค้า หลังจากที่ต้นทุนการขนส่งได้ปรับลดลง จากการปรับลดราคาน้ำมันดีเซล โดยได้ทำการคำนวณต้นทุนสินค้าแต่ละรายการแล้ว แม้จะลดไม่ได้หมด แต่จะพยายามเอาส่วนต่างๆ มาลดให้ได้ โดยเฉพาะสินค้าที่อยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชน ตัวไหนลดได้ จะลดทันที ตัวไหนที่ลดไม่ได้ จะพยายามตรึงราคาไว้ และมีการติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน และถ้าหากมีปัจจัยเงื่อนไขอื่นที่สามารถลดราคาได้อีก ก็จะพยายามให้ปรับลดลง โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2566 นี้

ส่วนการเปิดจุดจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัดนี้ เป็นโครงการที่กระทรวงพาณิชย์ทำคู่ขนานไป จากที่จะดูแลประชาชนในวงกว้าง ก็ทำการเปิดจุดจำหน่ายเจาะลึกไปยังแหล่งชุมชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวน 100 จุด โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการ นำสินค้าราคาประหยัดถูกกว่าท้องตลาดประมาณ 50-60% มาจำหน่ายให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ที่คนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็ก โดยสินค้าที่นำมาลดราคา เช่น ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช หมูเนื้อแดง ไก่ นม อาหารต่างๆ ซองปรุงรส อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เครื่องอุปโภคบริโภค เป็นต้น และยังมีผลไม้ตามฤดูกาล ซึ่งตอนนี้เป็นมังคุด และลองกอง

สำหรับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต กระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปดูแล เพื่อให้มีจุดจำหน่ายสินค้าให้ครอบคลุมทั้งประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ได้ โดยร้านธงฟ้า จะผลักดันให้เข้าในโครงการเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน ส่วนผู้ประกอบการรายย่อยที่กังวงเรื่องการเก็บภาษี มองว่าอย่าไปกังวล เพราะไม่ใช่เป้าหมายของรัฐบาล เป้าหมายของรัฐบาลคือ จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งผู้ได้ประโยชน์ คือทุกคนทั่วหน้าทุกฝ่าย ทั้งพี่น้องประชาชน ซึ่งถ้าเศรษฐกิจดีก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น การจับจ่ายใช้สอยก็จะดีขึ้น การจ้างงานต่างๆ จะเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง ก็จะได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย หวังว่า 6 เดือนที่ใช้เงินจำนวนนี้ จะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมให้มันดีขึ้น ประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนและการสร้างงาน

ส่วนกรณีนายทุนใหญ่มาฮุบตลาด ทำให้ผู้ค้ารายย่อยได้รับผลกระทบ จากการขายหมูถูกจากนายทุนใหญ่ และนายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า จะมีการพูดคุยกับกระทรวงพาณิชย์ ในเรื่องของการกำหนดราคาให้มีเสถียรภาพมากขึ้น

นายภูมิธรรมกล่าวว่า ตอนนี้เท่าที่ดูราคาหมูก็ได้มาตรฐานตามกลไกตลาดอยู่แล้ว ทางกระทรวงพาณิชย์เฝ้าดูอย่างใกล้ชิด ในส่วนที่เกี่ยวข้องหรือกระทบกับผู้ประกอบการรายเล็ก ถ้ากระทรวงเกษตรฯ ซึ่งเป็นต้นทางที่อยู่กับผู้ผลิตเสนอมาตนก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร ยินดีร่วมมือและช่วยเหลือ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เองก็ได้มีการพูดคุยกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ถือเป็นต้นทุนอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตนจะพยายามลดราคาปุ๋ย และพยายามจะเพิ่มราคามันสำปะหลังและข้าวโพด ถ้าสิ่งเหล่านี้มีการประสานงานกันสิ่งที่คาดหวังก็อาจจะเกิดขึ้นได้

‘ภูมิธรรม’ เบรกเสียงวิจารณ์ ผลงานรัฐบาล 60 วันไม่คืบ ขอฝ่ายค้านใจเย็นๆ มั่นใจ ผลงานชัดเจนใน 100 วัน ลั่น!! มีเวลา 4 ปี ให้ ปชช.ตัดสินว่าผ่านไม่ผ่าน

(10 พ.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงเสียงวิจารณ์จากฝ่ายค้านว่าการแถลงผลงาน 60 วัน ของรัฐบาล ไม่มีอะไรใหม่ ว่า ไม่เป็นไร เป็นธรรมดา และพยายามจะบอกกับฝ่ายค้านว่ารัฐบาลทำงานสร้างสรรค์ อย่าคิดว่าเป็นรัฐบาลกับฝ่ายค้าน อยากให้มองว่าอะไรที่รัฐบาลทำ และเห็นว่าจะมีผลดีเกิดขึ้นในอนาคต อย่าซีเรียส อย่ามองทุกอย่างเป็นการเมืองหมด แต่เมื่อมีความเห็นก็สะท้อนได้เพราะรัฐบาลก็จะได้เป็นกระจกสะท้อนตัวเองด้วย ว่าทำอะไรไปแล้วเข้ายังไม่เข้าใจ

หน้าที่รัฐบาล คือ ทำให้เกิดความเข้าใจ และขณะนี้ทุกอย่างได้เริ่มต้นหมดแล้ว และที่วางไว้จริงๆ คือช่วง 100 วันแรก ที่จะปรากฏผลงาน แต่นายกรัฐมนตรี ต้องการชี้แจง 30 วัน 60 วัน เพื่อจะได้เห็นว่ามีความคืบหน้าในการทำงานอะไรบ้าง เชื่อว่าช่วง 90 วัน และ 100 วัน จะเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น เช่น กระทรวงพาณิชย์ ได้ทำอะไรหลายอย่างแต่ยังไม่ได้เอามาพูดออกสื่อ เช่น แก้ปัญหาสินค้าราคาแพง การบุกตลาดเชิงรุกไปมณฑลต่างๆ และคิกออฟเรื่องการส่งออก

“นายกฯ ต้องการจะบอกว่ามีอะไรคืบ แต่ต้องใช้เวลา 90 วัน 100 วัน ถึงจะเห็น อย่าเพิ่งวิจารณ์ วันนี้รัฐบาลทำงานหนักมากอยู่แล้ว นายกฯ บุกทุกด้าน และวันที่ 21 พ.ย.นี้ จะเป็นการรวมทีมระหว่างบีโอไอ เอกอัครราชทูต และทูตพาณิชย์ทั่วโลก สภาอุตสาหกรรมสภาหอการค้าสภาการท่องเที่ยว จะประชุมที่กรุงเทพฯ กำหนดรูปแบบการทำงานร่วมกัน เพื่อรุกตลาดต่างประเทศ การทำงานได้วางรูปแบบไว้และเคลียร์เรื่องต่างๆ ผลจึงยังไม่เกิด ขอให้อดใจรอ 100 วัน จะแถลงว่ามีอะไรบ้างที่เกิดเป็นรูปธรรม เรื่องไหนที่เริ่มต้นแล้วและจะดำเนินการต่อไปอย่างไร เรื่องใดที่ทำสำเร็จในขั้นต้นแล้ว ใจเย็นๆ รอจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น ขอย้ำว่าทุกอย่างเริ่มต้นแล้ว ขอให้รอดูวัดกัน รัฐบาลมีโอกาส 4 ปี ค่อยๆ ดูไป ถ้า 4 ปี คิดว่าไม่สามารถทำอะไรได้เลย มาเสวยอำนาจเสวยสุขอย่างเดียว งวดหน้าก็พร้อมให้ประชาชนพิจารณา แต่ผมเชื่อว่าเราตั้งแต่เวลาหลายวันทุกอย่างจะค่อยๆ ปรากฏให้เห็นผล”

นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังมีเรื่องที่นายกฯ สั่งการให้ผู้ว่าฯ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือกันเคลียร์เรื่องปัญหาหนี้นอกระบบ ขณะที่ระดับอำเภอ ให้นายอำเภอและผู้กำกับการตำรวจ ร่วมมือจัดการปัญหาโดยเชิญทุกฝ่าย ทั้งคนที่ให้เงินกู้กับผู้กู้มาหารือ สมมติกู้ 1 หมื่นบาท ผ่อนไป 3-4 หมื่นบาทก็น่าจะพอแล้ว เพราะที่ทำมาก็ผิดกฎหมาย เก็บดอกเบี้ยไม่ใช่ดอกเบี้ยตามกฎหมายอยากให้ยุติ เรื่องนี้ทำแล้วแต่ยังไม่เกิดผล และนายกฯ เตรียมที่จะแถลงเรื่องแก้หนี้นอกระบบ

นอกจากนั้น ที่เราทำยังมีเรื่องของยาเสพติดที่จะดำเนินการ โดยนายกฯ สั่งการเสมอว่ามีการวัดเคพีไอผู้ว่าฯ ต้องบอกได้ว่าดีขึ้นอย่างไร ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะเข้ามาทำงานแก้ฐานรากให้ดี แต่พอจะแก้บางทีมีอุปสรรคมาก เพราะสังคมไทยมีความหลากหลาย ดังนั้น หน้าที่รัฐบาลคืออดทน ชี้แจง ทำความเข้าใจ และปรับปรุงให้สอดรับกับสิ่งที่คิดให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯ ควรจะแบ่งหรือกระจายงานให้คนอื่นเป็นเจ้าภาพหลักดูแล เช่น เรื่องกฎหมาย เศรษฐกิจ ความมั่นคง โดยไม่ต้องดูแลหรือพูดเองทุกเรื่อง หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ใช่นายกฯ แย่งงานทำคนเดียวทำคนเดียวทุกเรื่อง เวลานี้งานที่นายกฯ แบ่งให้รองนายกฯ และรัฐมนตรี ก็เต็มไปหมดทุกเรื่อง ผู้ที่รับมอบก็หนักพอสมควร ทุกอย่างอยู่ในขึ้นเตรียมการ

ทั้งนี้ เราเข้ามาในช่วงที่ประเทศ เผชิญกับวิกฤตการณ์เศรษฐกิจภายในที่สะสม ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง และวิกฤตการณ์ของโลก เช่น วิกฤตการณ์การเงินที่เฟดขึ้นดอกเบี้ย เราจึงต้องเร่งทำงาน และเป็นข้อดีที่นายกฯ ลงรายละเอียดทั้งหมดและสั่งทุกเรื่อง แต่ไม่ใช่แย่งงานไปทำ

เวลานี้ ครม.มี 35 คน อยากจะมี 50 คน 100 คนด้วยซ้ำ เพราะงานหนัก แต่ไม่หวั่น พร้อมสู้ โดยมีนายกฯ เป็นธงนำให้ลงพื้นที่ต่างๆ การที่นายกฯ ออกต่างจังหวัดตลอด ได้เรียนรู้และเข้าใจ และทราบปัญหาแท้จริง เพราะเจอทั้งเกษตรกร และกลุ่มต่างๆ และกำชับว่าไม่ต้องตามไป ใครมีงานที่เกี่ยวข้องก็ไป ใครไม่เกี่ยวก็ไม่ต้องไป ให้ทำงานของตัวเอง

เมื่อถามว่ามั่นใจว่า รัฐบาลจะสอบผ่านหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า มั่นใจแน่นอน เราตั้งใจ 100% เอาความรู้และประสบการณ์ เรามีความสามารถ ส่วนจะมั่นใจหรือไม่มั่นใจประชาชนจะเป็นคนตอบ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top