Monday, 17 June 2024
พลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณ

'ไพบูลย์' รับ 5 นโยบายของ P-move ชี้!! ‘พปชร.’ ดำเนินการมาตลอด ย้ำ!! ‘ลุงป้อม’ มองปชช. คือหัวใจสำคัญการทำงาน ไม่เคยทอดทิ้ง

'ไพบูลย์' ให้คำมั่น พลังประชารัฐ ไม่ทอดทิ้งประชาชน โดยเฉพาะนโยบาย 5 ข้อ ที่ P-move ยื่นถึงพรรค ยินดีช่วยเหลือ หาแนวทางแก้ไขร่วมกัน พร้อมย้ำ ‘ลุงป้อม’ ฝากความห่วงใย เพราะประชาชนถือเป็นหัวใจหลัก ในการทำงาน

(6 เม.ย.66) นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เข้าร่วมเวที ‘ภาคประชาชนเสนอนโยบายต่อพรรคการเมือง’ ซึ่งขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ P-move และเครือข่ายสลัม 4 ภาค ร่วมกันจัดขึ้นที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ท่าพระจันทร์ โดยกล่าวว่า วานนี้ (5 เมษายน 2566) P-move ได้เดินทางไปที่พรรค เพื่อยื่นข้อเสนอ 5 ด้าน ประกอบด้วย การแก้ปัญหาที่ดิน ที่อยู่อาศัย ทรัพยากรและที่อยู่อาศัย ในรูปแบบโฉนดชุมชน ที่ยังมีปัญหาทั่วประเทศ / เรื่องเสรีภาพ และกระบวนการยุติธรรม ผลักดันสิทธิสถานะและคุ้มครอง กลุ่มชาติพันธุ์ประชาธิปไตยและสิทธิชุมชน สร้างรัฐสวัสดิการและการกระจายอำนาจ รวมถึงแก้ไขปัญหาโครงการพัฒนาของรัฐและสาธารณูปโภค

ซึ่งเห็นด้วยกับข้อเสนอ โดยบางเรื่องบรรจุอยู่ในนโยบายของพรรคพลังประชารัฐอยู่แล้ว และรับไปดำเนินการ เรื่องอื่น ๆ ไปเสริมเติมแต่งให้เรื่องที่ทำสมบูรณ์เพื่อประโยชน์ของประชาชน โดยหลายเรื่อง พล.อ.ประวิตร ดำเนินการมาตลอด และจะดำเนินการต่อไปให้สมกับคำว่า พรรคกับประชาชน ที่ต้องแก้ไขปัญหา และก้าวข้ามความขัดแย้ง

สำหรับนโยบายเรื่องที่ดินที่ P-move เสนอ ถือว่าสอดรับกับนโยบายของพรรค วันนี้จึงทำหนังสือตอบรับเป็นลายลักษณ์อักษร มอบให้ผู้แทน P-move พร้อมนัดหมาย ในช่วงหลังเลือกตั้ง หากได้รัฐบาลชุดใหม่เป็นที่แน่นอนแล้ว ยินดีให้เข้าพบเพื่อประชุม กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ให้เป็นไปตามนโยบายที่ได้ยื่นไว้ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขข้อกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งพรรคเห็นว่า สามารถช่วยเหลือ นำเสนอได้ โดยให้ ส.ส.ของพรรค ร่วมลงชื่อเสนอแก้ไขให้ได้ 

ซึ่งถือเป็นกระบวนการทำงานร่วมกับภาคประชาชน ที่พรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ ‘ลุงป้อม’ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคเน้นย้ำมาตลอด อีกทั้งการแก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชน ถือเป็นหัวใจหลักของ ‘ลุงป้อม’ มาโดยตลอด และพรรคพลังประชารัฐ จะไม่ทอดทิ้งประชาชน

3 คู่หยุดโลก!! รับฝีปากประชันศึกดีเบต

วันที่ 22 เม.ย.66 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ต้องทันกัน" โดยเสนอให้สื่อสำนักใหญ่จัดดีเบตการเมืองสามคู่หยุดโลก เริ่มด้วยคู่ “ประวิตรปะทะประยุทธ์” มันส์แน่นอน จากนั้นเป็นคู่ “สุดารัตน์ประลองกึ๋นอุ๊งอิ๊ง” แล้วตบท้ายด้วยคู่ “เศรษฐาโชว์มุมมองเศรษฐกิจกับพิธา” เชื่อว่าสื่อไหนทำได้รับรองถนนโล่ง ผู้ชมหน้าจอถล่มทลาย

นายจตุพร กล่าวถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ออกจดหมายฉบับที่ 10 ที่มีเนื้อหาสำคัญทิ่มแทง กระชวก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ชนิดตีความเนื้อหาในจดหมายสะท้อนถึงตัดขาดความเป็นพี่น้องชายชาติทหารอย่างสิ้นเยื่อใยต่อกัน

เนื้อหาส่วนสำคัญของจดหมายฉบับที่ 10 นั้น พล.อ.ประวิตร เปิดเผยถึงการก้าวข้ามความขัดแย้ง โดยสนับสนุนให้แก้ รธน.และกฎหมายเลือกตั้งมาเป็นระบบบัตรสองใบ และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ใช้ 100 หาร แต่ พล.อ.ประยุทธ์ คัดค้าน เชื่อตามความเห็น ส.ว. เพราะเกรงจะสู้พรรคเพื่อไทยไม่ได้ จึงยืนกรานให้ใช้แบบเดิมคือ บัตรเลือกตั้งใบเดียวและ ส.ส.บัญชีรายชื่อใช้ 500 หารจำนวนคะแนนเสียง พร้อมทั้งตอนท้ายของจดหมาย พล.อ.ประวิตร ยังให้ติดตามฉบับที่ 11 “ผมจะพูดถึงเรื่อง เป็นนายกต้องให้เกียรติสภาอย่างไร”

นายจตุพร กล่าวว่า ขอเสนอให้สื่อใหญ่ๆ จัดคู่ดีเบตระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์กับพล.อ.ประวิตร เพราะจดหมายของ พล.อ.ประวิตร ฉบับที่ 10 นั้นพุ่งเป้าโดยตรงใส่ พล.อ.ประยุทธ์ถึงกับกล่าวหาต่อต้านการแก้กฎหมายเลือกตั้งและ รธน.ที่เปลี่ยนจากบัตรใบเดียวมาเป็นบัตรสองใบและระบบปาตี้ลิสต์หาร 100 อีกทั้งจะมีจดหมายในฉบับที่ 11 เรื่องการเป็นนายกฯให้เกียรติสภาก็พุ่งชน พล.อ.ประยุทธ์ โดยตรงเพราะถูกข้อกล่าวหาว่า ไม่ให้เกียรติสภา

"ดังนั้น คู่นี้จะเป็นคู่มวยหยุดโลก ดีเบตระหว่าง พล.อ.ประวิตรกับ พล.อ.ประยุทธ์ มันต้องเกิดขึ้น พล.อ.ประวิตร จะเขียนจดหมายฝ่ายเดียวได้อย่างไร และ พล.อ.ประยุทธ์ จะตอบเป็นจดหมายทำไม มาดีเบตกันเลย พูดแบบไม่มีเวลาจำกัด เมื่อ พล.อ.ประวิตร แทงเข้าขั้วหัวใจ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วยังสำทับอีกว่า จะแทงอีกครั้งหนึ่งในจดหมายที่ 11 ดังนั้น ไม่มีทางอื่นแล้ว คู่มวยหยุดโลกนี้ต้องเกิดขึ้นในเวทีดีเบต”

นายจตุพร ประเมินว่า การเขียนจดหมายพุ่งชนแบบกามิกาเซ่นั้นเป็นเพราะฐานคะแนนของ พปชร.และ รทสช. มาจากที่เดียวกัน อีกอย่างฝ่ายอนุรักษ์มีความเชื่อว่ามีเพียง พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้นที่จะหยุดทักษิณ ชินวัตร ได้ ยิ่งจะทำให้ พล.ประวิตร-พปชร. คะแนนเสียงหายไปจากจอเรดาร์

ดังนั้น ในการแข่งขันรอบแรกระหว่าง รทสช.กับ พปชร.ต้องชิงดำกันก่อน ว่าใครจะเป็นที่หนึ่งของสายอนุรักษ์ โดยไม่เกี่ยวกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แต่เป็นเรื่องของสองพลเอกชื่อ “ประวิตรปะทะประยุทธ์” เท่านั้น เพราะจดหมายฉบับที่ 10 พุ่งใส่ พล.อ.ประยุทธ์ เต็มๆ โดยไม่ต้องมีใครมาเสี้ยมหรือยุกันให้บาดหมางใดๆ

อีกอย่าง เห็นว่า เสียง ส.ว. 250 คน ย่อมอยู่กับ พล.อ.ประวิตรหรือ พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้น จึงต้องวัดดวลกันให้รู้ไปเลยใครจะได้ ส.ว.เสียงข้างมากมาครอง แล้วยังต้องช่วงชิงเสียงในตลาดฝ่ายอนุรักษ์ด้วยกันเพื่อแข่งกันตั้งรัฐบาล โดยวงประเมินทั่วไปในขณะนี้ เชื่อกันว่า พล.อ.ประวิตรจะชนะ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ถ้ากระแสเป็นตามปกติแล้วเสียงจะมาเทให้พล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้น พล.อ.ประวิตร จะปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ เดินหาเสียงแบบสบายตัวอีกไม่ได้ จึงต้องจ้วงแทง นับเป็นการเขียนจดหมายที่อ่านการเมืองได้ขาดและพุ่งเป้าได้ตรง
ส่วนการจับมือพรรคข้ามฟากกับพรรคเพื่อไทยร่วมตั้งรัฐบาลนั้น นายจตุพร กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร จะเผยโฉมอีกไม่นาน เพียงจดหมายฉบับที่ 10 ก็เริ่มบอกเค้าลางให้เห็นบ้างแล้ว แต่จำเป็นต้องประกาศศึกกับพล.อ.ประยุทธ์ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งกันก่อน

อีกทั้ง เห็นว่า การเมืองมันอำมหิตมาก ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง เหมือนตามที่เพื่อไทยประกาศไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง อีกสายอนุรักษ์นิยมก็เริ่มไม่มีพี่ไม่น้องแล้ว ดังนั้น การข้ามมาเอาคะแนนเสียงอีกฝั่งที่มีเพื่อไทย ก้าวไกล ครองเสียงอยู่ย่อมเป็นไปไม่ได้ จึงต้องเปิดศึกแย่งเสียงในฝั่งเดียวกันก่อน คือ ดีงคะแนนจาก รทสช.

“ศึกดวลดีเบตระหว่าง พล.อ.ประวิตรกับ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นศึกที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์กับคนไทย เมื่อ พล.อ.ประวิตร ลงมือกระชวกขนาดนี้ แสดงถึงไร้ความเป็นพี่เป็นน้องกัน ไม่มีความเกรงใจหลงเหลืออยู่ เพราะจดมายฉบับ 10 มันคิดเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากเปิดศึกชนกัน แล้วมีจดหมายฉบับ 11 มาตอกย้ำให้ชัดยิ่งขึ้น”

นายจตุพร ค่าดว่า ทางฝ่าย รทสช. ต้องรู้ตัวเช่นกันว่า กระบอกปืนจากมือ พล.อ.ประวิตร คนฝ่ายเดียวกันได้หันมายิงใส่ พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นการชี้ชะตานายกฯ ภายใต้กติกา ส.ว. 250 คน เมื่อเป็นเดิมพันสูงชนิดทุ่มสุดตัว ก็ยอมกันไม่ได้ หลีกทางให้กันก็ไม่พ้น ดังนั้น จึงต้องให้คู่นี้มาดีเบตกันแล้ว

ส่วนการดีเบตคู่ที่สอง นายจตุพร เสนอจัดประลองกึ๋นระหว่างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กับอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย เพราะคุหญิงสุดารัตน์ เคยเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยมาก่อน ปัจจุบันอุ๊งอิ๊งก็เป็นแคนดิเดตนายกฯเพื่อไทยอยู่ ตนเชื่อว่า ดีเบตคู่นี้คนอยากฟังมาก

ยังมีอีกคู่คือ ระหว่างนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล ซึ่งน่าสนใจ เพราะแนวคิดทางเศรษฐกิจในมุมต่างๆนั้นเป็นอย่างไร ส่วนนอกนั้น คงไม่ต้องดีเบตกันแล้ว เพราะแต่ละพรรคสร้างรังแต่พอตัวของตัวเองไปแล้ว คงไม่ได้ไปแข่งขันกับใคร แค่รักษาฐานเสียงให้ตัวเองรอดก็หนักหนาสาหัสแล้ว

"ผมว่า การดีเบตของสามคู่นี้ จะต้องมีคนดู เอาคู่ประวิตรกับประยุทธ์ มาเป็นแมตซ์หยุดโลก ตามด้วยคุณหญิงสุดารัตน์กับอุ๊งอิ๊ง จะเห็นมุมใหม่ แล้วเศรษฐากับพิธา จะเห็นหลักคิดวิธีคิดทางเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ผมว่าเอาสามคู่นี้มันส์แน่”

ในสถานการณ์ทุกพรรคเร่งโหมหาเสียงนั้น นายจตุพร เล่าถึงศิลปะโกงเสียงของของนักการเมืองว่า ทุกยุคของการเลือกตั้ง ล้วนมีลูกเล่นแกมโกงเพื่อชิงคะแนนเสียงกันทั้งนั้น บางยุคกล่าวหาผู้สมัครซื้อเสียง เมื่อเขาไปแล้ว ตัวเองก็เจรจาซื้อเสียงเสียเอง บางครั้งนักการเมืองก็เขี้ยวลากดินคิดกระทั่งกล่าวหาบางพรรคใช้แบงก์ปลอมซื้อเสียง ถ้าไม่อยากติดคุกต้องนำมาแลกกับตัวเองในครึ่งราคา ดังนั้น จึงได้กำไรฟรีๆ ไปเท่าตัว อีกฝ่ายก็เจ๊งทันที แถมทุกชาวบ้านรุมด่าเอาอีก สิ่งเหล่านี้เป็นศิลปะทำลายทางการเมืองของพวกเขี้ยวลากดินที่เคยปฏิบัติชิงคะแนนเสียงกันมาแล้วทั้งสิ้น

ส่วน นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.จะไม่ให้คนทุจริตเลือกตั้งไปเป็น ส.ส. พร้อมขู่ไม่ยอมให้ผีหลุดไปหนุนจัดตั้งรัฐบาลนั้น นายจตุพร กล่าวว่า คนไทยคงไม่เชื่อตามที่พูดแน่ ซึ่งการพูดดังกล่าวแสดงถึงจะไม่รับรองให้เป็น ส.ส. ก่อน

อีกอย่างนโยบายของพรรคเพื่อไทย เฉพาะที่มารายได้ทำโครงการเงินดิจิทัลก็ไปไม่ถูกแล้ว แต่อาจมีเจตนาการซ่อนเร้นอะไรไว้ ซึ่งหวังว่า การวินิจฉัยของ กกต.จะมีความตรงไปตรงมา เรื่องที่ไม่รู้ ก็ไม่ควรใช้ความรู้สึกของ กกต.วินิจฉัย แต่ต้องฟังผู้ชำนาญการพิจารณา และควรให้ประชาชนได้รับรู้ก่อนจะมีการหย่อนบัตรเลือกตั้ง อีกทั้งต้องปฏิบัติกับทุกพรรคตรงไปตรงมาเหมือนกับปฏิบัติกับพรรคเพื่อไทยด้วย "เรื่องซื้อเสียง ผมว่า กกต.ไม่มีปัญญาจัดการอยู่แล้ว งบประมาณอนุญาตให้ใช้จ่ายเป็นเรื่องจอมปลอม เป็นการแต่งบัญชีหลอกกันทั้งนั้น มีแต่ กกต.เท่านั้นที่เชื่อเป็นจริง แต่นักการเมืองไม่มีใครเชื่อเลย จึงขอให้ กกต.ได้ทำหน้าที่อย่างสุจริต ให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรมสักครั้ง อย่างน้อยคนจะได้จำว่า ได้ทำหน้าที่อย่างสุจริต โปร่งใสจริงๆ ตามที่กฎหมายกำหนด หรือที่ได้กล่าวไว้กับประชาชน"

‘บิ๊กป้อม’ ควง ‘ดรีมทีมเศรษฐกิจ’ สรุปนโยบายพรรค ก่อนเลือกตั้ง ลั่น!! หากเป็นรัฐบาลทำทันที ‘กระตุ้นเศรษฐกิจ-ลดราคาน้ำมัน’

‘บิ๊กป้อม’ ควง ‘ดรีมทีมเศรษฐกิจ’ สรุปนโยบาย พปชร.โค้งสุดท้าย ลั่น ถ้าเป็นรัฐบาลทำทันทีทุกอย่าง ชู ยุติความขัดแย้งช่วงวัย ไม่มีลงถนน บริหารประเทศแบบไม่ชะงัก ‘อุตตม’ เผย ภารกิจด่วน กระตุ้นเศรษฐกิจ ‘สนธิรัตน์’ ตีปี๊บ ใช้กองทุนหมู่บ้านเสริมเข้มแข็งชุมชน ‘มิ่งขวัญ’ ย้ำ ลดราคาพลังงาน-ก๊าซแน่ อ้อน ปชช. ขอใจร่มๆ ฟังแล้วไปเลือกเบอร์ 37 ‘คณิศ’ โอ่ พรรคไม่แจกเงินคนรวย ‘ธีระชัย’ กางแหล่งที่มาเงิน ใช้ ‘ไฟแนนซ์นโยบาย’ ทุกโครงการเศรษฐกิจมหภาคโตหมด ‘นฤมล’ สานต่อบ้านประชารัฐ

(4 พ.ค.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พร้อมดรีมทีมเศรษฐกิจของพรรค ประกอบด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายคณิศ แสงสุพรรณ ร่วมกันแถลง 'สรุปนโยบาย โค้งสุดท้าย สู่การเลือกตั้งเป็นรัฐบาล พลังประชารัฐ'

พล.อ.ประวิตร แถลงว่า เหลืออีก 10 วันเท่านั้น จะมีการเลือกตั้ง ถือเป็นโค้งสุดท้ายที่เราจะหาเสียงแล้ว ตลอดระยะเวลา 45 วันหลังจากที่รัฐบาลได้ยุบสภา เราได้หาเสียงกันมาตลอด 45 วัน มุ่งเน้นหาเสียงทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ทั้งนี้ 7 นโยบายของ พปชร.คือ 1. ก้าวข้ามความขัดแย้ง 2. ก้าวข้ามความยากจน 3. ลดความเหลื่อมล้ำ 4. สร้างสวัสดิการเข้มแข็ง 5. พลิกฟื้นเศรษฐกิจ 6. สร้างความเป็นธรรมของสังคม และ 7. พลิกโฉมการบริหารงานของภาครัฐ

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนอยากให้คนไทยมีความรักใคร่ สามัคคีกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง เมื่อประเทศมั่นคง ไม่มีขัดแย้งกันแล้ว จะเกิดความสงบสุข รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้ ต่างประเทศจะมาลงทุนในประเทศไทย การค้าขายจะเจริญเติบโต ไม่มีการหยุดชะงักถ้าไม่มีประชาชนมาเดินในถนน เมื่อเราทุกคนมีความเป็นหนึ่งเดียว สามัคคีกัน จะสามารถบริหารประเทศไปได้ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ตนไม่สามารถทำให้คนไทยมีความคิดเป็นหนึ่งเดียวกันได้ การเมืองใครจะคิดอย่างไร อยู่พรรคไหน อยู่ไป ไม่ว่าอะไร แต่เมื่อเลือก ส.ส.มาแล้ว 400 เขต ให้ไปว่ากันในสภา จะแก้รัฐธรรมนูญ แก้กฎหมาย ไปว่ากันในเรื่องของสภา เพราะเป็นตัวแทนของประชาชน

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ส่วนการบริหารประเทศเป็นเรื่องของรัฐบาล เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้ประชาชน เมื่อบริหารประเทศโดยไม่มีอะไรติดขัด ไม่มีหยุดยั้ง ไม่มีการเดินถนน จะทำให้ประเทศชาติสามารถเดินไปได้ บริหารประเทศไปได้ ประชาชนไม่ชอบหรือ ถ้าเราทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น เงินในกระเป๋าท่านดีขึ้น รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้โดยไม่ติดขัด จึงอยากฝากประชาชนทุกคนว่า ความเป็นหนึ่งเดียวนั้นมีความสำคัญมากที่จะสร้างความเจริญให้กับประเทศต่อไป ความขัดแย้งระหว่างรุ่นอายุ ทุกคนเป็นคนไทยทั้งนั้น ถึงเวลาที่เราจะต้องยุติสักที ฝากกับประชาชนว่าความเป็นคนไทยไม่ว่าจะอายุ หรือเพศไหน อย่างไรเป็นคนไทย ต้องมีความรักใคร่ มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ประเทศจะได้เจริญรุ่งเรืองถ้าพวกเราก้าวข้ามความแย้งสำเร็จ มั่นใจว่าคนไทยกว่า 60 ล้านคน จะสามารถก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องน้ำ เรื่องที่ดิน ถ้ามีน้ำจะไม่มีแล้ง มีที่ดินจะไม่มีจน เราจะดูแลเกษตรกรให้เข้มแข็ง หาที่ดินทำกิน ส่วนเรื่องน้ำ รัฐบาลทำมาตลอดสี่ปี ทำให้ประชาชนไม่มีแล้งเลย แสดงถึงความสำเร็จของรัฐบาลที่ตนได้ดำเนินการมาสามารถทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีเพิ่มมากขึ้น ส่วนเรื่องน้ำท่วมเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีฝนตกมากจะต้องมีน้ำหลาก ต้องมากันว่าในพื้นที่ว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้มีน้ำหลาก ไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ต่างประเทศน้ำก็เดือดร้อนเพราะน้ำหลากเช่นกัน แต่เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ รัฐบาลสามารถเยียวยาได้

นายอุตตม กล่าวว่า ภารกิจด่วนที่ต้องทำทันทีเมื่อ พปชร.ได้เป็นแกนนำรัฐบาล จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้น ต้องเร่งเศรษฐกิจให้โต เพราะเศรษฐกิจประเทศไทยโตต่ำกว่าศักยภาพมาหลายปี จะแก้ปัญหาความยากจนด้วยการกระตุ้น นอกจากนี้ ต้องลดค่าใช้จ่าย โดยเรื่องค่าใช้จ่ายพลังงาน พปชร.พร้อมจะแก้ไขทั้งระบบให้เกิดความเป็นธรรมในเรื่องราคา และเราจะแก้ไขภาระหนี้สินของประชาชนอย่างครบวงจร

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรื่องการสร้างความเข้มแข็งนั้น สิ่งแรกที่เราจะทำ คือ ใช้โครงสร้างกองทุนหมู่บ้าน จะดำเนินโครงการที่ พปชร.เคยทำมาแล้วในอดีต จะผลักดันกองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้งบประมาณ 1 แสนล้านบาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ส่วนภาคเกษตร เราจะลดค่าใช้จ่าย คือ แก้ปัญหาปุ๋ยแพงทันที โดยโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง จัดตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ นอกจากนี้ จะให้ทุนการเพาะปลูก 3 หมื่นบาท ครอบคลุม 8 ล้านครัวเรือน รวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการเกษตร คือ เขตเศรษฐกิจพิเศษปาล์มน้ำมัน ส่วนนโยบายด้านสาธารณสุข จะเน้นสาธารณสุขเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามา มี รพ.สต.เป็นฐานหลัก

นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า เรามีปัญหาค่าครองชีพ ทุกคนเดือดร้อนกันหมด เริ่มจากน้ำมัน พปชร.จะลดราคาน้ำมันเบนซิลิตรละ 18 บาท ดีเซลลดลิตรละ 6.30 บาท ไม่ว่าน้ำมันโลกจะขึ้นหรือลง เมื่อ พปชร.ได้ขึ้นเป็นรัฐบาลจะทำทันที ส่วนเรื่องแก๊ส หลังวันเลือกตั้งถ้า พปชร.ได้ขึ้นมาบริหารจัดการ ราคาค่าไฟฟ้าครัวเรือนจะอยู่ที่ 250 บาทต่อหน่วย ค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 2.70 บาทต่อหน่วย พปชร.จะทำให้ค่าครองชีพลดลง นอกจากนี้ จะผลักดันนโยบายเบี้ยผู้สูงอายุ โดยอายุ 60 ปีขึ้นไป จะได้เบี้ยผู้สูงอายุ 3,000 บาท อายุ 70 ปี ขึ้นไปได้ 4,000 บาท อายุ 80 ปีขึ้นไป ได้ 5,000 บาท ทั้งนี้ เหลืออีก 10 วันจะเลือกตั้งแล้ว ขอให้คนไทยใจเย็นๆ ใจร่มๆ ฟังดรีมทีมเศรษฐกิจของเรา และถามตัวเองว่าใช่สิ่งที่ท่านต้องการหรือไม่ ถ้าใช่ขอให้เลือกเบอร์ 37 ด้วย

นายสันติ กล่าวว่า สำหรับนโยบายอีสานประชารัฐ อีสานเป็นภาคที่มีความสำคัญ เป็นภาคที่มีประชากรมากที่สุด มีพื้นที่ทำเกษตรกรรมจำนวนมากและมีแรงงานมากที่สุด ถ้าพัฒนาอีสานได้จะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่ตลาดโลก เป็นความคิดที่จะดูแลภาคอีสาน เป็นความตั้งใจที่ชาญฉลาดในการพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวอีสาน อีสานประชารัฐ คือ การพัฒนาอีสาน เริ่มต้นจากการที่จะมีโครงการรถไฟความเร็วปานกลางวิ่งตั้งแต่ จ.บึงกาฬ มาถึงภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่อีอีซี

นายคณิศ กล่าวว่า นโยบายของ พปชร.คือ ไม่แจกเงินคนรวย เพื่อให้ทุกคนกลับฟื้นคืนมา ก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน ทั้งนี้ สำหรับนโยบายระยะยาวนั้น เราจะทำเขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนภาคใต้ ใน 5 จังหวัด ซึ่งเป็นนโยบายที่ได้รับการตอบรับดี ไม่ได้ทำร้ายใคร แต่ทำให้ทุกคนดีขึ้น ตอนนี้เราทำแผนกันไว้แล้ว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top