Monday, 13 May 2024
ผู้หญิง

นวัตกรรมเพื่อสตรี ชุดตรวจมะเร็งปากมดลูก จากแบรนด์ AVA ‘สะดวก-ประหยัดเวลา’ สามารถตรวจได้ด้วยตัวเอง

"ไม่เอาหรอก...กลัวเจอหมอผู้ชาย อายเขาแย่"

"ไม่ดีกว่า...แค่คิดก็กลัวแล้ว เขาต้องมีอุปกรณ์ในการตรวจแน่ๆ"

"ไม่ไหวหรอก ราคาแพงน่าดู อีกอย่างร่างกายก็แข็งแรงอยู่ ไม่มีอะไรผิดปกติ"

นี่คงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงหลายๆ คนคิดเมื่อพูดถึงเรื่อง ‘การตรวจภายใน’ เพราะหากไม่สามารถเลือกหมอผู้หญิงได้ แล้วต้องให้ ‘หมอผู้ชาย’ มาตรวจร่างกายให้มันก็เป็นเรื่องที่ทำใจยอมรับได้ลำบาก หรือเรียกแบบอินเทรนด์ๆ ก็คือไม่ใช่ ‘เซฟโซน’ นั่นเอง (ถึงแม้หมอจะทำมาเยอะแล้วก็เถอะ) 

นอกจากเรื่องเจอหมอผู้ชายแล้วก็ยังกังวลเรื่องวิธีการตรวจที่อาจจะต้องใช้อุปกรณ์ ภาระค่าใช้จ่าย รวมไปถึงต้องสละเวลาเพื่อไปรับการตรวจ และอาจจะมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้ผู้หญิงไม่สามารถเข้ารับการตรวจภายในได้

แต่รู้หรือไม่ว่าการตรวจภายในสำคัญและ ‘จำเป็น’ อย่างมากสำหรับผู้หญิง เพราะการตรวจภายในจะทำให้ทราบสถานะความเป็นไปของ ‘มดลูก’ ด้วย

แล้วทำไมต้องทราบความเป็นไปของ 'มดลูก' ล่ะ?

คำตอบคือ เพราะ ‘มะเร็งปากมดลูก’ ถือเป็นโรคร้ายแรงที่พรากชีวิตหญิงไทยมากสุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากมะเร็งเต้านม ถึงแม้ว่าวิทยาการทางการแพทย์จะทันสมัย การเข้าถึงการรักษาก็ดูจะสะดวกกว่าสมัยก่อน แต่อัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปากมดลูกก็ยังพุ่งสูงจนน่าเป็นห่วง 

จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ระบุว่า ในแต่ละปีมีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกประมาณ 9,000 คน และมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งปากมดลูก 4,000 - 5,000 คนต่อปี ถือเป็นสถิติที่น่าตกใจมากเลยทีเดียว

โดยสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก มีดังนี้
1.) เชื้อ Human Papilloma Virus (HPV) 
2.) พฤติกรรมเสี่ยงด้านเพศสัมพันธ์ อาทิ เปลี่ยนคู่นอนหลายคน ไม่ใช้ถุงยางอนามัย 
3.) การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย 
4.) ผู้ที่มีระดับภูมิคุ้มกันต่ำ 
5.) ผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน 
6.) ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือมีบุตรหลายคน 

‘จิ๊บ ศศิกานต์’ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีการทำร้ายร่างกายผู้หญิง พร้อมชวนทุกคนร่วมกันต่อสู้ เพื่อให้ความรุนแรง-ทำร้ายร่างกายหมดไป

น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ (จิ๊บ) อดีตผู้สมัคร ส.ส. เขตบางแค ภาษีเจริญ หมายเลข 7 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ กรณีการทำร้ายร่างกายผู้หญิง โดยได้ระบุว่า ...

ในฐานะลูกผู้หญิง.. 
การถูกทำร้ายร่างกายจากคนที่เรารัก คือความเจ็บปวด
การถูกทำร้ายร่างกายจากคนที่สังคมเชิดชู คือ จุดเริ่มต้นแห่งหายนะของสังคม
ขอเชิญชวนทุกคน ร่วมกันต่อสู้เพื่อให้การใช้ความรุนแรงและการทำร้ายร่างกายต่อสตรีให้หมดไปจากสังคม เพราะฝันร้าย ต้องอยู่กับผู้กระทำ ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ.

อีกหนึ่งประโยคปลุกความกล้าและสร้างแรงบันดาลใจจาก แองเจลิน่า โจลี่ แด่ผู้หญิงทั่วโลก

อีกหนึ่งประโยคปลุกความกล้าและสร้างแรงบันดาลใจจาก แองเจลิน่า โจลี่ แด่ผู้หญิงทั่วโลก

หากผู้ชายคาดหวัง ให้ผู้หญิงเป็นนางฟ้าในชีวิตเขา เขาต้องสร้างสวรรค์ให้นางก่อน เพราะนางฟ้าไม่ได้อยู่ในนรก

If a man expects a woman to be an angel in his life. He must first create heaven for her first because angels don’t live in hell.

ผลสำรวจ ชี้!! ผู้หญิงดูหนังโป๊บนมือถือมากกว่าผู้ชาย เผย สาวไทยติดโผอันดับต้นๆ ของโลก แถมเพิ่มขึ้นทุกปี

เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 66 มีรายงานจากเว็บต่างประเทศชื่อดังอย่าง ‘independent’ ออกมาว่าผลจากการสำรวจว่า ผู้ชายหรือผู้หญิง เข้าดูหนังผู้ใหญ่ผ่านสมาร์ทโฟนมากกว่ากัน ทำให้เราถึงกับร้อง

โดยเว็บโป๊ดังชี้ว่ ผู้หญิงดูหนังโป๊บนสมาร์ทโฟนมากกว่าผู้ชาย แถมสาวไทยติดโผอันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ ทั้งนี้ มีการบันทึกไว้อย่างดีว่าสัดส่วนของผู้หญิงที่ดูสื่อลามกนั้นมีเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี

ทั้งนี้ จากผลการวิจัยจาก Pornhub ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่แล้วเข้าเสพความบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ด้วยช่องทางไหน?

ซึ่งปรากฎว่าผู้หญิง 80 เปอร์เซ็นต์เข้าถึง Pornhub จากอุปกรณ์มือถือ เทียบกับผู้ชาย 69 เปอร์เซ็นต์ โดยผู้หญิง 71 เปอร์เซ็นต์มาจากสมาร์ทโฟน และอีก 9 เปอร์เซ็นต์มาจากแท็บเล็ต ซึ่งหมายความว่าผู้หญิงส่วนใหญ่นั้นใช้งานคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปน้อยกว่าผู้ชายถึง 34 เปอร์เซ็นต์ (ทำไมน้า?)

ทั้งนี้ การใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่เพื่อเข้าถึงสื่อลามกได้เติบโตขึ้นสำหรับทั้งสองเพศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นร้อยละ 72 ของการเข้าชมทั่วโลก แต่สัดส่วนของผู้หญิงที่ทำเช่นนั้นกลับสูงกว่าผู้ชายอย่างต่อเนื่อง (แม้บ้านเราจะทำการบล้อก Pornhub แต่ก็มีวิธีง่ายๆ ที่จะทำให้สามารถเข้าดูหนังผู้ใหญ่ได้เหมือนกัน)

และนั้นจึงไม่ทำให้แปลกใจเลยที่คน Gen Y จะเป็นผู้นำในการเข้าถึงสื่อลามกบนมือถือ โดยผู้หญิงร้อยละ 78 ที่ใช้สมาร์ทโฟนดูหนังสำหรับผู้หญ่รวมไปถึงสื่อลามกมีอายุระหว่าง 18 ถึง 34 ปี และยิ่งผู้หญิงอายุมากเท่าไร ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะใช้แท็บเล็ตหรือเดสก์ท็อปมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็เช่นเดียวกันสำหรับผู้ชาย

ซึ่งจากการสำรวจของ Pornhub พบว่าสหราชอาณาจักรมีสัดส่วนการใช้โทรศัพท์มือถือมากเป็นอันดับสามของผู้หญิงที่ร้อยละ 86 รองจากแอฟริกาใต้เท่านั้น (ร้อยละ 91) และสหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 89) ส่วนสาวไทยคิดเป็นร้อยละ 79 และดูเหมือนจะเติบโตขึ้นในทุกๆ ปี

ทั้งนี้ นั้นเหตุผลที่ผู้หญิงชอบดูสื่อลามกบนสมาร์ทโฟนยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด

ไขข้อสงสัย!! เหตุใด ‘ผู้ชาย’ ส่วนใหญ่ถึงไม่อยากให้ ‘ผู้หญิง’ เก่งกว่า เพราะจุดหนึ่งของความสําเร็จ อาจทำให้เธอไม่เห็นหัวคุณผู้ชายอีกเลย

เมื่อไม่นานนี้ นายอดินันท์ หรือ ‘โค้ชอดินันท์’ ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ในครอบครัว ได้โพสต์คลิปวิดีโอผ่านติ๊กต็อก ‘Coachadinan’ ในหัวข้อ ‘จะเกิดอะไรขึ้น? เมื่อผู้หญิงเก่งกว่าผู้ชาย’ โดยในคลิปโค้ชอดินันท์ได้ระบุว่า…

เวลาที่ ‘ผู้หญิง’ ทำอะไรเก่งกว่า ‘ผู้ชาย’ เช่น หาเงินเก่งกว่า หรือทํางานเก่งกว่า ในระยะยาวอาจจะมีปัญหาตามมาได้ เหตุเพราะว่า เวลาที่ผู้ชายมีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังแพ้ผู้หญิง อาจทำให้เกิดความกระทบกระเทือนทางอารมณ์ จนร่างกายของผู้ชายเกิดการเสียสมดุลของสารที่เรียกว่า ‘เซโรโทนิน’ (Serotonin) ซึ่งเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งในร่างกาย ที่มีคุณสมบัติเป็นทั้งสารสื่อประสาทและเป็นฮอร์โมน มีหน้าที่ควบคุมความรู้สึกเจ็บปวด ความหิว ความอิ่ม ความอยากอาหาร การนอนหลับ อารมณ์ทางเพศ และความรู้สึกสุขสงบ ช่วยระงับความโกรธและความก้าวร้าว

ดังนั้น หากร่างกายของผู้ชายเกิดการเสียสมดุลของเซโรโทนินไป อาจทำให้ผู้ชายเกิดอาการซึมเศร้า เกิดความเครียด วิตกกังวล อยู่ไม่สุข โกรธง่าย หงุดหงิด หรือมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงได้

อีกทั้ง ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็เป็นเพศที่ไม่สามารถรับได้ หากต้องเจอกับผู้ชายที่มีคุณสมบัติที่ด้อยกว่าตนเอง

นอกจากนี้ หากลองสังเกตพฤติกรรมของสัตว์โลก เช่น แมงมุม ผึ้ง หรือตั๊กแตนตำข้าว เป็นกลุ่มสัตว์จำพวกที่มีตัวเมียเป็นใหญ่ ตัวเมียมักจะทํารังเก่ง ในขณะที่ตัวผู้จะมีหน้าที่ผสมพันธุ์ เมื่อตัวผู้ทำหน้าที่เสร็จ ตัวเมียจะทำการกินตัวผู้เป็นอาหาร เพื่อเอาสารอาหารเหล่านั้นมาเลี้ยงตัวอ่อน

เพราะฉะนั้น จึงเห็นว่าผู้หญิงที่เก่งๆ บางคนประสบความสําเร็จมากกว่าสามีของตนเอง และเมื่อถึงจุดนึง ผู้หญิงอาจทิ้งสามี

อีกกรณีคือ ในครอบครัวที่มีลูกชาย คุณแม่ก็อาจจะพร้อมตำหนิทันที หากลูกชายทําอะไรผิดพลาด หรือหนักที่สุดอาจถึงขั้นไล่ออกจากบ้านเลยก็เป็นได้ ดังนั้น จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่ง และอาจคล้ายกับ ‘การบีบบังคับ’ ไปกลายๆ ว่าผู้ชายจะต้องเป็นคนที่มีความกล้าหาญ เป็นคนเก่งอยู่เสมอ

แต่ในขณะเดียวกัน ปัญหาในยุคสมัยนี้ คือการที่ครอบครัวไม่สามารถเลี้ยงดูลูกชายให้เป็นปกติได้ เหตุเพราะเด็กผู้ชายจะมีความเลี้ยงยากกว่าเด็กผู้หญิง เนื่องจากเด็กผู้ชายมีความเปราะบางทางอารมณ์อยู่ลึกๆ และค่อนข้างมีความรู้สึกขาดความอบอุ่นได้ง่ายกว่าเด็กผู้หญิง เพราะเด็กผู้หญิงค่อนข้างมีความยืดหยุ่นสูงในการเลี้ยงดู

อีกทั้งเด็กผู้หญิงยังมีความสามารถในการเติมเต็มอารมณ์ ความรู้สึกกับตัวเองได้ดีกว่า ทำให้เห็นคุณค่าในตัวเองได้ง่ายและดีมากกว่าเด็กผู้ชาย นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำเด็กผู้ชายหลายๆ คน เกิดความรู้สึกด้อยค่า ไม่พึงพอใจในตัวเอง มีพฤติกรรมก้าวร้าว บางรายอาจติดเกม มีเรื่องทะเลาะวิวาท หรือหนักที่สุดก็อาจจะหันไปพึ่งพายาเสพติดได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากความต้องการส่วนลึกในจิตใจของเด็กผู้ชาย ที่อยากเป็นที่ยอมรับในครอบครัวและสังคม

อย่างไรก็ตาม หากทางครอบครัวมีหลักการหรือแนวทางในการเลี้ยงลูกชายได้ดี ย่อมส่งผลดีกับครอบครัว ชุมชน ตลอดจนสังคมส่วนรวม เราจึงมักเห็นว่า คนจีนจะมีวัฒนธรรมที่จะให้ความสําคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว เพราะเขาเล็งเห็นถึงผลลัพธ์ในวงกว้างและระยะยาว แต่หากเลี้ยงลูกผิดวิธี ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาวตามมาได้อีกเช่นกัน

'เพจดัง' สะท้อนมุมมองเวที Miss Universe ในยุค 'แอน JKN' ผู้หญิง 'ไม่ควรตกเป็นความบันเทิง-ถูกล้ำเส้นจากผู้ชาย'

(12 ต.ค.66) จากเพจ 'บุญรอด เนล ปีเตอร์ จิระอนันต์' ได้โพสต์ข้อความสะท้อนนิยามเวที Miss Universe ในยุคของที่คุณแอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ เป็นเจ้าของเวทีแห่งนี้ ไว้ว่า...

คุณแอนบอกว่า MU ในยุคของเธอ จะขยายขอบเขตให้ผู้หญิงทุกๆ คน จะไม่ตกเป็นความบันเทิง หรือ ถูกล้ำเส้นจากผู้ชาย คณะกรรมการ ผู้บริหาร และ เจ้าหน้าที่ทุกคนจะมีแต่ผู้หญิงที่ทรงพลัง การประกวดรอบชุดว่ายน้ำยังมีอยู่ แต่จะไม่โฟกัสไปที่เรือนร่าง นางงามสามารถเลือกชุดและผ้าคลุมที่เน้นสื่อสารถึงเรื่องราวของตัวเองได้ และ "จะไม่มีการคัดออก ในรอบชุดว่ายน้ำ"

ฟังดูเหมือน ฟอร์แมตเดียวกับปีที่แล้ว ที่ไม่ได้คัดตัวจากรอบชุดว่ายน้ำ ส่วนตัวชอบค่ะ นี่แหละคือการมีจุดยืน ให้เกียรติผู้หญิง และมีมาเพื่อ Empower ผู้หญิงจริงๆ 

แต่ก็จะมีคนด่าแน่นอน เพราะอยากดูแบบยุคเก่า เน้นสนุกๆ ฟาดๆ จบ ไม่เน้นแก่นอะไรมาก

‘UN’ เผย ‘เด็ก-สตรี’ ถูกฆ่าตายเกือบ 8.9 หมื่นคนในปี 2022 ร้อยละ 55 เป็นฝีมือคนในครอบครัว สะท้อน ‘บ้าน’ ไม่ใช่ที่ปลอดภัย

เมื่อวานนี้ (22 พ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลการวิจัยใหม่จากสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยว่ามีผู้หญิงและเด็กผู้หญิงทั่วโลกถูกฆ่าในปี 2022 เกือบ 89,000 ราย ซึ่งถือเป็นตัวเลขรายปีที่สูงที่สุดในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมา

รายงานจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) และองค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) ชี้ว่าเหตุจูงใจฆาตกรรมผู้หญิง (femicide) เพิ่มขึ้น แม้เหตุฆาตกรรมโดยรวมลดลง

ร้อยละ 55 ของเหตุจูงใจฆาตกรรมผู้หญิงในปี 2022 มาจากฝีมือสมาชิกครอบครัวหรือคู่ชีวิต ขณะร้อยละ 12 ของเหตุฆาตกรรมผู้ชายเกิดขึ้นที่บ้าน ซึ่งจุดต่างนี้ตอกย้ำว่า ‘บ้าน’ ห่างไกลจากการเป็นพื้นที่ปลอดภัยของผู้หญิงและเด็กผู้หญิง

กาดา วาลี ผู้อำนวยการบริหารสำนักงานฯ กล่าวว่าเหตุจูงใจฆาตกรรมผู้หญิงที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจเป็นเครื่องเตือนใจว่ามนุษยชาติยังคงต้องต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมที่หยั่งรากลึกและความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิง

วาลีเสริมว่ารัฐบาลต่าง ๆ ต้องลงทุนในกลุ่มสถาบันที่มีความครอบคลุมและความพร้อมมากขึ้นเพื่อยุติการยกเว้นโทษ เสริมสร้างเกราะป้องกัน และช่วยเหลือเหยื่อ เริ่มตั้งแต่ผู้รับมือแนวหน้าจนถึงฝ่ายตุลาการ เพื่อยุติความรุนแรงก่อนสายเกินไป

การทารุณกรรมและย่ำยี ‘สตรีญี่ปุ่น’ ของ ทหารสหรัฐฯ-ออสเตรเลีย โศกนาฏกรรมและความอัปยศอดสูบนแผ่นดินญี่ปุ่น ที่ถูก ‘ห้ามกล่าวถึง’

หลังจากฮิโรชิมาและนางาซากิ : โศกนาฏกรรมและความอัปยศอดสู
การทารุณกรรมสตรีญี่ปุ่นของทหารสหรัฐฯ และออสเตรเลีย บนแผ่นดินญี่ปุ่น

พฤติการณ์และพฤติกรรมของทหารสังกัดกองกำลังสัมพันธมิตร ในระหว่างการยึดครองญี่ปุ่นโดยกองทัพสหรัฐฯ และสัมพันธมิตร หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ได้แตกต่างไปจากทหารสังกัดกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เลย ด้านมืดของการยึดครองญี่ปุ่นอันเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาหรือชาติอื่น ๆ ก็ตาม เมื่อญี่ปุ่นยอมจำนนในเดือนสิงหาคม 1945 ก็เริ่มเกิดการข่มขืนหมู่โดยทหารของกองกำลังยึดครอง (แม้จะมีซ่องโสเภณีมากมายก็ตาม) อาชญากรรมดังกล่าวยังคงเป็นเรื่องปกติ และหลายคดีโหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต โดยศาสตราจารย์ทางรัฐศาสตร์ ‘Eiji Takemae’ ได้เขียนเล่าเกี่ยวกับพฤติกรรมของทหารอเมริกันในขณะที่ยึดครองญี่ปุ่นว่า…

“เรา… กองทหารรวมตัวกันเหมือนผู้พิชิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสัปดาห์และเดือนแรก ๆ ของการยึดครอง พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมมีตั้งแต่การลักลอบค้าขายสินค้าในตลาดมืด การลักเล็กขโมยน้อย การขับรถโดยประมาท พฤติกรรมที่ไม่มีวินัย ไปจนถึงการทำลายทรัพย์สิน การทำร้ายร่างกาย การลอบวางเพลิง การฆาตกรรม และการข่มขืน ความรุนแรงส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่สตรีญี่ปุ่น

เหตุการณ์ครั้งแรกเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากมีการยกพลขึ้นบกของกองกำลังสัมพันธมิตร ในเมืองโยโกฮามา และประเทศจีน รวมถึงที่อื่น ๆ ทหารสัมพันธมิตรทั้งทหารบกและทหารเรือฝ่าฝืนกฎหมายโดยไม่ต้องรับโทษ และเกิดเหตุการณ์การปล้น การข่มขืน และการฆาตกรรม หลายครั้งหลายคราวก็มีการรายงานอย่างกว้างขวางในสื่อ (ซึ่งยังไม่ได้เซ็นเซอร์โดยกองทัพอเมริกัน) เมื่อพลร่มของสหรัฐฯ เข้าพื้นที่เมืองซัปโปโร เกิดการปล้นสะดม การข่มขืน และการทะเลาะวิวาทกันอย่างมากมายขึ้น”

พลโท ‘Robert L. Eichelberger’

การข่มขืนหมู่และการทารุณกรรมทางเพศอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ศาลทหารของกองทัพสัมพันธมิตรได้ลงโทษทหารที่ถูกจับกุมเพียงแค่ไม่กี่ราย ซึ่งล้วนแล้วแต่ถูกตัดสินลงโทษสถานเบา และแทบจะไม่มีการชดใช้ค่าเสียหายให้กับบรรดาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเลย

ความพยายามของชาวญี่ปุ่นในการป้องกันตัวเองนั้นจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง เช่น กรณีที่พลโท ‘Robert L. Eichelberger’ บันทึกไว้ในบทบันทึกความทรงจำของเขาว่า “เมื่อชาวบ้านญี่ปุ่นในท้องถิ่นจัดตั้งกลุ่มศาลเตี้ย และตอบโต้ต่อทหารอเมริกัน กองทัพที่แปดจึงสั่งการให้หน่วยรถถังทำการปิดถนนและจับกุมหัวโจกผู้นำ ซึ่งต่อมาได้รับโทษจำคุกอย่างยาวนาน”

กองทัพอเมริกันและออสเตรเลียไม่ได้รักษาหลักนิติธรรมเลย เมื่อมีการละเมิดผู้หญิงญี่ปุ่นด้วยฝีมือทหารสังกัดกองกำลังของตนเอง อีกทั้งประชากรญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้รับอนุญาตต่อสู้ปกป้องตัวเองด้วย แต่กองกำลังยึดครองกลับสามารถปล้นสะดมและข่มขืนหญิงสาวชาวญี่ปุ่นได้ตามต้องการ โดยทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย

หนึ่งในเหตุการณ์ดังกล่าว ได้แก่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 1946 เมื่อทหารอเมริกันราว 50 นายเดินทางด้วยรถบรรทุก 3 คัน บุกเข้าไปยังโรงพยาบาลนากามูระ ในเขตโอโมริ และได้ข่มขืนผู้ป่วยหญิงกว่า 40 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่หญิงอีก 37 คน มีหญิงคนหนึ่งถูกข่มขืนทั้งที่เพิ่งคลอดบุตรได้เพียง 2 วัน และลูกของเธอถูกโยนลงบนพื้นจนเสียชีวิต ผู้ป่วยชายที่พยายามปกป้องผู้หญิงก็ถูกสังหารด้วย สัปดาห์ต่อมา ทหารสหรัฐฯ หลายสิบคนได้ตัดสายโทรศัพท์ไปที่ตึกหนึ่งในเมืองนาโกย่า และข่มขืนผู้หญิงทุกคนที่พวกเขาสามารถจับได้ที่นั่น ซึ่งมีทั้งเด็กผู้หญิงอายุไม่เกิน 10 ขวบ ตลอดจนถึงผู้หญิงที่มีอายุไม่เกิน 55 ปี

กองกำลังออสเตรเลียในญี่ปุ่น

พฤติกรรมดังกล่าวไม่ได้มีลักษณะเฉพาะสำหรับทหารอเมริกัน แม้แต่กองกำลังออสเตรเลียก็ปฏิบัติตนในลักษณะเดียวกัน ในระหว่างที่ประจำการในญี่ปุ่น ดังที่พยานชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งได้ให้การไว้ว่า “ทันทีที่กองทหารออสเตรเลียมาถึงคูเระ ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในจังหวัดฮิโรชิมะ เมื่อต้นปี 1946 พวกเขาได้ลากหญิงสาวขึ้นรถจี๊ปไปบนภูเขา และทำการข่มขืน ฉันได้ยินพวกเธอกรีดร้องขอความช่วยเหลือเกือบทุกคืน” พฤติกรรมดังกล่าวเป็นเรื่องปกติ แต่ข่าวอาชญากรรมจากกองกำลังยึดครองก็ถูกระงับการเผยแพร่อย่างรวดเร็ว

‘Allan Clifton’ นายทหารออสเตรเลียได้เล่าถึงประสบการณ์ของเขา เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศโดยทหารออสเตรเลียที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นว่า “ผมยืนอยู่ข้างเตียงในโรงพยาบาล บนเตียงนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งนอนสลบอยู่ ผมยาวสีดำพันอยู่ในหมอนอย่างยุ่งเหยิง แพทย์และพยาบาลสองคนกำลังทำงานเพื่อช่วยชีวิตเธอ หนึ่งชั่วโมงก่อนที่เธอจะถูกทหารออสเตรเลีย 20 นาย รุมข่มขืน เราพบเธอในที่ที่พวกเขาทิ้งเธอไว้บนผืนดินรกร้าง โรงพยาบาลอยู่ในฮิโรชิมา ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนญี่ปุ่น ทหารเป็นพวกออสเตรเลีย เสียงครวญครางและคร่ำครวญได้หยุดลงแล้ว และตอนนี้เสียงเธอก็เงียบลงแล้ว ความตึงเครียดอันทรมานบนใบหน้าของเธอคลี่คลายลง และผิวสีน้ำตาลอ่อนที่เรียบเนียนไร้ริ้วรอย เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ราวกับใบหน้าของเด็กน้อยที่ร้องไห้จนหลับไป เมื่อมีการตรวจสอบก็พบว่า ทหารออสเตรเลียที่ก่ออาชญากรรมดังกล่าวในญี่ปุ่น จะได้รับโทษจำคุกในสถานเบามาก และต่อมาทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่มักได้รับการบรรเทาโทษหรืออภัยโทษ โดยศาลออสเตรเลียในภายหลัง”

Clifton ได้เล่าถึงเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยตัวของเขาเองว่า เมื่อศาลออสเตรเลียยกเลิกคำตัดสินของศาลทหาร โดยอ้างว่า “หลักฐานไม่เพียงพอ” แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะมีพยานหลายคนก็ตาม เห็นได้ชัดว่าศาลที่ดูแลกองกำลังยึดครองของฝั่งตะวันตก ได้ใช้มาตรการเพื่อปกป้องตนเองจากอาชญากรรมที่กระทำต่อชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นอาชญากรรมที่ผู้ยึดครองชาวตะวันตกส่วนใหญ่ มองว่าเป็นเพียงการเข้าถึง ‘ความเสียหายของสงคราม’ ในขณะนั้น

เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในช่วงสงคราม โดยมีการรายงานการข่มขืนในยามสงบน้อยเกินไป เนื่องจากผู้ที่เกี่ยวข้องรู้สึกความอับอายต่อสังคมดั้งเดิม รวมถึงการไม่ทำอะไรเลยของเจ้าหน้าที่ (การข่มขืนในทั้ง 2 กรณีเกิดขึ้น เมื่อกองทัพสัมพันธมิตรมีอำนาจ) จึงทำให้ตัวเลขดังกล่าวลดลงอย่างมาก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรู้สึกไม่สบายต่ออาชีพของตนมากขึ้น กองทัพสหรัฐฯ จึงดำเนินการเซ็นเซอร์สื่ออย่างเข้มงวด ส่งผลให้การกล่าวถึงอาชญากรรมที่ทหารสัมพันธมิตรกระทำต่อพลเรือนญี่ปุ่น ถือเป็นเรื่องต้องห้ามโดยเด็ดขาด

‘ทหาร Gurkha’ แห่งกองทัพอังกฤษในกองกำลังยึดครองญี่ปุ่น

กองกำลังยึดครอง ออกสื่อและรหัสล่วงหน้า เซ็นเซอร์ห้ามการตีพิมพ์รายงานและสถิติทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่า “ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการยึดครอง” ไม่กี่สัปดาห์แรกในการยึดครอง สื่อมวลชนญี่ปุ่นกล่าวถึงการข่มขืน และการปล้นสะดมอย่างกว้างขวางโดยทหารอเมริกัน กองกำลังที่ยึดครองตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการเซ็นเซอร์สื่อทั้งหมด และใช้นโยบายต่อต้านการรายงานอาชญากรรมดังกล่าวเป็นศูนย์ ไม่เพียงแต่อาชญากรรมที่กระทำโดยกองกำลังตะวันตกเท่านั้น แม้แต่การวิพากษ์วิจารณ์ประเทศสัมพันธมิตรฝั่งตะวันตกใด ๆ ก็ตาม ถือเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเคร่งครัดในช่วงการยึดครองเป็นเวลานานกว่าหกปี

สิ่งนี้ทำให้กองทัพสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศ ลอยตัวอยู่เหนือความรับผิดชอบในหัวข้อต่าง ๆ เช่น การจัดตั้งสถานีอำนวยความสะดวก และการสนับสนุนผู้หญิงกลุ่มเปราะบางให้เข้าสู่การค้าบริการทางเพศ การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์เกี่ยวกับตลาดมืด ปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับกับความอดอยากของประชากร หรือแม้แต่การอ้างอิงถึงผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจตะวันตก การต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมทั่วเอเชีย และความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในสงครามเย็น ล้วนถูกห้ามเผยแพร่ทั้งสิ้น

หลังจากอ่านบทความทั้งหมดแล้ว
นักแปลอาวุโสจะแปลเรื่องที่ต้องเซ็นเซอร์เป็นภาษาอังกฤษและส่งต่อ

สิ่งที่น่าสังเกตเป็นพิเศษเกี่ยวกับการเซ็นเซอร์ที่กำหนดขึ้น ภายใต้การยึดครองของอเมริกัน คือ มันมีวัตถุประสงค์เพื่อปกปิดการดำรงอยู่ของมันเอง ซึ่งหมายความว่าไม่เพียงแต่บางเรื่องจะถูกจำกัดอย่างเข้มงวดเท่านั้น แต่ยังห้ามกล่าวถึงการเซ็นเซอร์อีกด้วย

ดังที่ศาสตราจารย์ ‘Donald Keene’ แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ตั้งข้อสังเกตว่า “การเซ็นเซอร์ของกองทัพอเมริกันระหว่างการยึดครองนั้น น่าหงุดหงิดยิ่งกว่าการเซ็นเซอร์ของกองทัพญี่ปุ่นเสียอีก เพราะเป็นการยืนยันว่า มีการปกปิดร่องรอยของการเซ็นเซอร์ทั้งหมด” ซึ่งหมายความว่า บทความจะต้องเขียนใหม่ทั้งหมด แทนที่จะส่ง XXs สำหรับวลีที่ไม่เหมาะสมเท่านั้น

สำหรับกองทัพอเมริกันไม่เพียงแต่จะต้องควบคุมข้อมูลเท่านั้น แต่ยังต้องสร้าง ‘ภาพลวงตา’ ของสื่อเสรี เมื่อมีสื่ออยู่ด้วย ในความเป็นจริง มีข้อจำกัดมากกว่าที่เคยเป็นในช่วงสงครามภายใต้การปกครองของจักรวรรดิ

การเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ของกองเซ็นเซอร์พลเรือน (Civil Censorship Detachment : CCD) 

การก้าวไปอีกขั้นหนึ่งในการเซ็นเซอร์ แม้กระทั่งการกล่าวถึงการเซ็นเซอร์ สหรัฐฯ สามารถอ้างสิทธิ์ในการยืนหยัดเพื่อเสรีภาพในการทำสื่อและเสรีภาพในการแสดงออก ด้วยการ ‘ควบคุมสื่อ’ กองทัพอเมริกันสามารถพยายามส่งเสริมไมตรีจิตในหมู่ชาวญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันการก่ออาชญากรรมโดยทหารอเมริกันและพันธมิตร ก็กลายเป็นเหตุการณ์ที่ถูกโดดเดี่ยว ละเลย จนเลือนหายไปในที่สุด

แม้ว่า ความโหดร้ายของกองทัพอเมริกันและออสเตรเลียต่อพลเรือนญี่ปุ่น จะเห็นได้อย่างชัดเจนในระหว่างการยึดครองญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเกิดผลที่ตามมาในทันที โดยเฉพาะในโอกินาวา ที่มีคดีฆ่า-ข่มขืน โดยทหารสัมพันธมิตร 76 รายใน 5 ปีแรก หลังจากการถูกยึดครอง แต่ก็ไม่ได้จบลงแค่หลังจากการยกเลิกการยึดครองเท่านั้น ตัวเลขประมาณการว่า ตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมา มีหญิงสาวชาวโอกินาวาถูกข่มขืนไม่ต่ำกว่า 10,000 ราย

และด้วยทุกวันนี้สหรัฐฯ ยังคงมีบทบาททางทหารในญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา และอาชญากรรมต่าง ๆ รวมถึงความรุนแรงทางเพศ ตลอดจนการฆาตกรรมพลเรือนชาวญี่ปุ่นโดยทหารอเมริกัน ก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ต่อไป จนกว่าในที่สุดจะไม่มีฐานทัพอเมริกันในญี่ปุ่นเหลืออยู่อีกเลย

https://worldhistoryandevents.blogspot.com/2023/10/after-hiroshima-and-nagasaki-tragedy.html?m=1 และ https://en.wikipedia.org/wiki/Rape_during_the_occupation_of_Japan

‘Akku Yadav’ ชายโฉดชั่วผู้ถูกสตรีนับร้อยรุมประชาทัณฑ์ จนเสียชีวิตคาศาล ผลจากความล้มเหลวของกฎหมาย สู่การแก้แค้นที่โหดที่สุดของอินเดีย


เรื่องราวนี้เกิดขึ้นใน ‘ประเทศอินเดีย’ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ด้วยอินเดียเป็นประเทศที่มีปัญหาทางสังคมอันเนื่องมาจากวิถีชีวิตผู้คนในประเทศนี้ ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากความเชื่อและความศรัทธาในศาสนาฮินดู โดยจะยึดถือระบบวรรณะอย่างเคร่งครัด และจะไม่มีการข้ามวรรณะกันเด็ดขาด วรรณะทั้ง 4 นั้นได้แก่ พราหมณ์, กษัตริย์, แพศย์ และศูทร นอกจากนี้ ยังมีคนนอกวรรณะ ซึ่งถือว่าเป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุดในสังคม นั่นคือ ‘จัณฑาล’

ระบบวรรณะในสังคมของอินเดียนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเหลื่อมล้ำของลำดับชนชั้น โดยส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับอาชีพ ซึ่งบางอาชีพจะถือว่าต่ำต้อยมาตั้งแต่ดั้งเดิม เช่น คนกวาดถนนหรือคนเก็บขยะ ซึ่งจะอยู่ในชนชั้นที่ต่ำที่สุดทางสังคม ตามคำสอนเก่าแก่ที่ตกทอดกันมาในอินเดีย ถ้าชาวฮินดูแต่งงานกับคนนอกวรรณะ หรือกินอาหารร่วมกับคนที่วรรณะต่างจากตัวเองจะถือว่าเป็นเรื่องที่บาป ดังนั้น คนอินเดียจึงปฏิบัติและยึดถือเรื่องของวรรณะอย่างเคร่งครัด


ในสลัม ‘Kasturba Nagar’ ซึ่งอยู่นอกเมืองนาคปุระ รัฐมหาราษฏระทางตอนกลางของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นที่อยู่ของ ‘ครอบครัวชาวทลิต’ (Dalit) วรรณะที่ต่ำที่สุดในอินเดีย (ต่ำกว่าจัณฑาล) เป็นชนชั้นของอินเดียที่ถูกตีตราชนิดที่ว่า ‘ห้ามเข้าไปจับต้องยุ่งเกี่ยว’ (Untouchable) โดยชาวทลิตเป็นกลุ่มที่ถูกแยกออกจากวรรณะทั้ง 4 ในศาสนาฮินดู และถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของอวรรณะ หรือ ‘วรรณะที่ 5’ ที่เรียกว่า ‘ปัญจม’ (Panchama)

และในสลัมแห่งนี้ที่มีทรชนขาใหญ่ที่ชื่อ ‘Akku Yadav’ (Bharat Kalicharan) เป็นนักเลง ขโมย โจร นักลักพาตัว นักข่มขืนต่อเนื่อง นักกรรโชกทรัพย์ และเป็นฆาตกรต่อเนื่องอีกด้วย ซึ่งเคยทำร้ายและข่มขืนผู้หญิงมากกว่า 200 คนในสลัมดังกล่าว โดยผู้หญิงเหล่านี้ ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวชาวทลิต Dalit จึงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิกเฉยละเลย


ตัว Akku Yadav เองก็เกิดและเติบโตขึ้นมาในสลัม Kasturba Nagar แห่งนี้ เป็นลูกชายของคนส่งนม ซึ่งต่อมาเขาได้ก้าวไปสู่ภัยคุกคามในท้องถิ่น โดยเริ่มต้นจากการเป็นอันธพาลตัวเล็ก ๆ มาเป็นมาเฟีย จนในที่สุดก็ได้เป็น ‘ราชาแห่งสลัม’

Yadav ปกครองกลุ่มอาชญากรที่ควบคุมสลัม Kasturba Nagar ด้วยการ ปล้น ทรมาน และฆ่าผู้คนโดยไม่ต้องรับโทษ Yadav ก่ออาชญากรรมเป็นเวลาหลายปีด้วยการสร้างอาณาจักรธุรกิจมืดขนาดเล็ก เขาและสมาชิกแก๊งมักคุกคามและข่มขู่ผู้คนเพื่อกรรโชกทรัพย์ และการขู่กรรโชก รีดไถ รีดไถเงิน ทำร้าย และข่มขู่ผู้ที่ต่อต้านเขา จนกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของ Yadav และสมุน ซึ่งมักจะทำร้ายผู้คนหากพวกเขาไม่ได้จ่ายเงินให้แก่เขา

ในช่วงชีวิตของเขาในฐานะอาชญากร Yadav ได้สังหารบุคคลอย่างน้อย 3 คน ได้ทรมานและลักพาตัวผู้คน บุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้คน และข่มขืนหญิงสาวและเด็กผู้หญิงนับร้อยคน หรือหากพวกเขาทำให้ Yadav โกรธในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เขาก็จะขู่ว่า จะข่มขืนใครก็ตามที่ต่อต้านเขาเป็นพิเศษ

เป็นที่ทราบกันดีว่าเหยื่อข่มขืนของ Yadav จำนวนมากคือ ชาวทลิตซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบาก จากความอยุติธรรมสำหรับคดีล่วงละเมิดทางเพศ โดย Akku Yadav ได้ติดสินบนเพื่อจูงใจให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เพื่อให้มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านั้นจะปกป้องเขา Yadav ยังคงทำร้ายผู้หญิงต่อไปโดยไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากการกระทำที่ชั่วร้ายและป่าเถื่อนเลย แม้ว่าเหยื่อจะแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะถูกข่มขู่ และ Yadav ก็สามารถรอดพ้นจากการจับกุมได้เสมอ


‘Usha Narayane’ หญิงผู้กล้าหาญคนหนึ่ง รายงานพฤติการณ์และพฤติกรรมของ Yadav ต่อรองผู้บัญชาการตำรวจของเมืองนาคปุระ ด้วยหวังว่าจะได้รับความยุติธรรม แต่กลับมีข่าวที่ชี้ให้เห็นว่า Yadav อาจหลบหนีการลงโทษได้อีกครั้ง วันที่ 6 สิงหาคม 2004 ฝูงชนก็พากันไปที่บ้านของ Yadav แล้วเผาบ้านทิ้ง จนทำให้ Yadav ต้องรีบไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอความคุ้มครอง หลังจากที่ตำรวจจับกุม Yadav เพื่อปกป้องตัวเขาเอง ก็มีกำหนดการพิจารณาคดีของเขาในวันที่ 13 สิงหาคม 2004 ในศาลแขวง Nagpur ของอินเดีย ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วละแวกใกล้เคียง ว่าเขาจะได้รับการปล่อยตัว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงวางแผนที่จะควบคุมตัวเขาไว้ จนกว่าเหตุการณ์จะสงบลงแล้วจึงจะปล่อยตัวเขาไป


วันที่ 13 สิงหาคม 2004 เมื่อการพิจารณาคดีเกิดขึ้นในศาลแขวงนาคปุระหมายเลข 7 ในใจกลางเมืองนาคปุระ ห่างออกไปจากสลัม Kasturba Nagar หลายกิโลเมตร มีผู้หญิงหลายร้อยคนเดินขบวนจากสลัมไปยังศาลโดยถือมีดหันผักและพริกป่น เดินเข้าไปในห้องพิจารณาคดี และนั่งเก้าอี้แถวหน้า Yadav เดินเข้าสู่ศาลอย่างมั่นใจและไม่หวาดหวั่น

เวลาประมาณ 14.30-15.00 น. เมื่อ Yadav ปรากฏตัว เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาข่มขืน Yadav ก็แสดงท่าทีเยาะเย้ยเธอ แล้วเรียกเธอว่า ‘โสเภณี’ และบอกว่าเขาจะข่มขืนเธออีกครั้ง บรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พากันหัวเราะ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็เอารองเท้าของเธอตี Yadav เข้าที่ศีรษะ เธอบอก Yadav ว่าเธอจะฆ่าเขา หรือไม่เขาก็จะต้องฆ่าเธอ โดยพูดว่า “เราทั้งคู่ไม่สามารถอยู่บนโลกนี้ด้วยกันได้ ถ้าไม่เป็นฉัน ก็ต้องเป็นตัวแกเอง” และผลการพิจารณาคดีคือ ‘การยกฟ้อง Yadav’


จากนั้น Yadav ก็ถูกรุมประชาทัณฑ์ทันที่ โดยกลุ่มผู้หญิงหลายร้อยคนที่ปรากฏตัวขึ้นในห้องพิจารณาคดี เขาถูกแทงไม่ต่ำกว่า 70 ครั้ง พริกป่นและก้อนหินถูกปาใส่หน้า อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เฝ้าอยู่ก็ถูกปาพริกป่นใส่หน้าด้วย บรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างพากันตกใจกลัวจึงรีบหนีไปจนหมดในทันที หนึ่งในเหยื่อของเขายังตัดอวัยวะเพศของเขาจนขาดด้วย

การรุมประชาทัณฑ์เกิดขึ้นบนพื้นหินอ่อนของห้องพิจารณาคดี ขณะที่เขาเริ่มถูกประชาทัณฑ์ Yadav ซึ่งถูกผงพริกปาใส่หน้าก็ตกใจกลัวมากและตะโกนขึ้นว่า “ยกโทษให้ฉันด้วย ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีก!!” พวกผู้หญิงส่งมีดต่อกันไปรอบ ๆ เพื่อผลัดกันแทงเขา ผู้หญิงแต่ละคนตกลงที่จะแทง Yadav อย่างน้อยคนละ 1 แผล เลือดของเขานองอยู่บนพื้นและกระเซ็นไปทั่วผนังห้องพิจารณาคดี ภายใน 15 นาที Yadav วัย 32 ปี ก็ถึงแก่ความตาย หลังการชันสูตรพลิกศพพบว่า กลุ่มผู้หญิงเหล่านี้ยังคงทำร้ายศพของเขาต่อ


กลุ่มผู้หญิงเหล่านั้นอ้างว่า การฆาตกรรมนั้นไม่ได้วางแผนไว้ ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวว่า “เราไม่เคยมีการประชุมพูดคุยอย่างเป็นทางการใด ๆ แต่เป็นการบอกปากต่อปาก ว่าเราจะต้องจัดการร่วมกัน” และอวัยวะเพศของเขาก็ถูกตัดออก ผู้หญิงทุกคนอ้างว่าจะรับผิดชอบต่อการฆาตกรรมนี้ และถึงแม้บางคนจะถูกจับกุม แต่ในที่สุดพวกเขาก็พ้นผิด แม้ว่าผู้หญิงหลายร้อยคนจะมีส่วนร่วมในการรุมประชาทัณฑ์

Usha Narayane และคนอื่นๆ ถูกจับในข้อหาฆาตกรรม แต่ต่อมาได้รับการปล่อยตัวเนื่องจากขาดหลักฐาน ผู้พิพากษา ‘Bhau Vahane’ ยอมรับสถานการณ์ที่ยากลำบากที่ผู้หญิงต้องเผชิญ และความล้มเหลวของตำรวจในการปกป้องพวกเธอ

การตายของ Akku Yadav กลายเป็นหนึ่งในเรื่องราวการแก้แค้นที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อินเดีย และมีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ Netflix ในชื่อ ‘Murder In a court room’

‘นายกฯ’ ชี้!! อัตราการเกิดคนไทยลดลงต่อเนื่อง เป็นการบ้านสำคัญรัฐบาล ต้องสร้างอนาคตที่ดีแก่ลูกหลาน ผู้หญิงต้องมีชีวิตบาลานซ์ ‘ทำงานได้-มีลูกได้’

(21 ธ.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

“เห็นข้อมูลชุดนี้แล้วน่าตกใจนะครับ แม้ว่าปัญหาอัตราการเกิดของประเทศไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจะไม่ใช่เรื่องใหม่

จากบทความนี้ของ The​ Nation https://www.nationthailand.com/thailand/general/40023947 ก็จะเห็นว่าอัตราการเกิดปีที่ผ่านมาของไทยต่ำที่สุดในรอบ 71 ปี

ประเด็นนี้ละเอียดอ่อน!!

ผมในฐานะนายกฯ และรัฐบาล ตระหนักในเรื่องสิทธิเหนือร่างกายและอำนาจของผู้หญิง ที่พึงมีสิทธิ์เต็มที่ในการตัดสินใจที่จะมีลูกหรือไม่มีลูก

ขณะเดียวกันในฐานะนายกฯ ผมคิดว่าผมมีหน้าที่ในการทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่อยู่แล้วมีความสุข เศรษฐกิจดี มีความปลอดภัย ถ้าคนจะมีลูกก็มั่นใจว่า ลูกหลานของเขาจะได้รับการศึกษาที่ดี มีงานทำ ไม่มีเรื่องยาเสพติด ผู้หญิงมี Work Life Balance ทำงานได้ มีลูกได้

เรื่องใหญ่ครับ และเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเอาไปทำการบ้าน”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top