Thursday, 9 May 2024
ผี

‘อ.เจษฎา’ ตัดมุมความเชื่อ เปิดมุมวิทยาศาสตร์  ทำไม ‘รถเทสลา’ ถึงตรวจเห็น ‘ผี’ ในสุสานได้

(17 ต.ค. 66) ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้มุมมองทางวิทยาศาสตร์ ถึงไวรัลในโลกออนไลน์ ผ่านทางเพจ ‘อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์’ ความว่า “ทำไมรถเทสลา ถึงตรวจเห็น ‘ผี’ ในสุสานได้?”

มีรายงานข่าวถึงคลิปติ๊กต๊อกที่กำลังเป็นไวรัล จากการที่มีคนไปขับรถยนต์ไฟฟ้า ยี่ห้อ Tesla วิ่งวนรอบเมรุเผาศพ แล้วเซ็นเซอร์ของรถตรวจเจอ ‘วัตถุบางอย่าง’ ลักษณะคล้ายคน ปรากฏอยู่ข้างๆ ตัวรถ !?… มันเป็นผี หรือเป็นความผิดปรกติของรถกันแน่ครับ?

โดยผู้ใช้ติ๊กต็อก ชื่อว่า @aunnyc โพสต์คลิป ‘Tesล่าท้าผี’ โดยเธอขับเก๋งไฟฟ้าเทสล่า เข้าไปวนรอบเมรุ ณ วัดแห่งหนึ่ง จากคลิปจะเห็นว่า ระบบ Tesla Vision เทคโนโลยีเฉพาะรถยนต์เทสล่า ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับวัตถุรอบคันรถเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ขึ้นโชว์ว่ามี ‘วัตถุบางอย่าง’ ลักษณะคล้ายคน ปรากฏอยู่ข้างๆ ตัวรถ ซึ่งเธอยืนยันว่า ไม่มีคนอยู่บริเวณนั้น และไม่มีการจัดฉากใดๆ ทั้งสิ้น

เรื่อง “‘รถเทสลา’ ตรวจจับวัตถุคล้ายคนได้ ทั้งที่ไม่ได้มีคนยืนอยู่ตรงนั้น” แบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีรายงานข่าวและคลิปวิดีโอทำนองนี้ในต่างประเทศมาหลายครั้งแล้ว และหลายปีแล้วด้วยตั้งแต่ที่รถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อเทสลากลายเป็นที่นิยมใช้กันมาก โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา และก็มีคนเอาไปลองวิ่งตามสุสาน ตามสถานที่แปลกๆ เผื่อจะตรวจจับ ‘วัตถุลึกลับคล้ายคน’ กันได้

ที่เป็นเช่นนี้ได้นั้น ถ้าตัดความเชื่อเรื่องที่ ‘มีผีวิญญาณเฝ้าสุสาน แล้วรถเทสลามีตาทิพย์มองเห็นได้’ ออกไปแล้วนั้น ก็อาจเป็นไปได้ว่ารถคันนั้นมีปัญหาอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับระบบ Tesla Vision ของรถ ซึ่งประกอบด้วยกล้อง 8 ตัวและเซนเซอร์อัลตราโซนิก 12 ตัว

อาจมีอะไรเสียแล้วทำงานผิดพลาด หรือถ้าเซนเซอร์ปกติดี อาจเกิดจากตัวของโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ใช้ประกอบนั้น เกิดความผิดพลาดในการตรวจจับขึ้นได้

และคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มาก ก็คือ ปัญหา ‘ผลบวกปลอม’ หรือ ‘ฟอลส์โพสิทีพ’ (False Positive) ซึ่งหมายถึงการที่รถตรวจเจอสิ่งกีดขวางอันตรายทั้งที่มันไม่ได้มีอยู่ รถอาจจะตรวจจับวัตถุอะไรแถวนั้นที่กล้องมองเห็น เช่น ดอกไม้ พุ่มไม้ ป้ายหลุมศพ ฯลฯ แล้วตีความว่าเป็นสิ่งกีดขวางอันตราย

ระบบป้องกันการชนของรถเทสลานั้น ทำงานด้วยการใช้ทั้งเซนเซอร์และกล้องร่วมกัน เพื่อวิเคราะห์ว่ามีอะไรอยู่รอบรถบ้าง ข้อมูลดังกล่าวจะถูกส่งไปยังจอภาพในห้องโดยสาร ซึ่งจะแสดงเป็นภาพกราฟิกขึ้นมา แต่ไม่ใช้ภาพวิดีโอของสิ่งที่กล้องเห็นจริง

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องง่ายที่เกิดความผิดพลาดขึ้นในการแสดงผล เช่น แสดงหลุมศพ ด้วยภาพกราฟิกของ ‘คนเดินถนน’

ในคู่มือผู้ใช้ของรถเทสลาเอง ก็มีการแนะนำไว้เกี่ยวกับระบบป้องกันการชนของรถว่า “มีหลายปัจจัยที่สามารถลดประสิทธิภาพของระบบหรือทำให้ระบบผิดพลาดได้ และนำไปสู่การเตือนการชน ทั้งแบบที่ไม่จำเป็น เตือนผิด หรือไม่แม่นยำ”

ซึ่งในแง่ของ ‘ความปลอดภัย’ แล้ว การที่รถที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ (Auto pilot) อย่าง เทสลา นั้น แสดงผลการตรวจจับผิดปรกติแบบ ‘ผลบวกปลอม’ ย่อมดีกว่าการที่มันแสดงผลแบบ ‘ผลลบปลอม’ (หมายถึง รถตรวจไม่เจอสิ่งกีดขวางอันตราย ทั้งที่มันมีอยู่จริง)

ตัวอย่างเช่น มันย่อมจะดีกว่า ที่จะเตือนผิดว่ามีเด็กวิ่งลงมาที่ถนน (ทั้งที่ไม่มี) ดีกว่าที่จะตรวจไม่เจอว่าจริงๆ แล้วมีเด็กอยู่บนถนน

ดังนั้น ‘อัลกอริทึม’ (algorithm) ของซอฟต์แวร์ที่ใช้ในรถ จึงมีแนวโน้มที่จะทำการตรวจจับแบบเซนซิทีฟให้มากไว้ก่อน ยอมที่จะตรวจผิดแบบเจอผลบวกปลอม ดีกว่าจะผิดแบบผลลบปลอม

แต่การที่รถมีผลบวกปลอม ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะมันจะเกิดปัญหาอันตรายตามมา กับรถที่สามารถ ‘เบรกเองได้’ อย่างไม่คาดคิดและทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนกันได้ อย่างที่บริษัทเทสลาเอง โดนฟ้องร้องต่อศาล ที่รัฐอิลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา จากข้อหาที่ว่ารถมีความผิดปรกติ จนทำให้เกิดการเตือนการชนด้านหน้า ‘แบบผลบวกปลอม’ ขึ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่จะนำไปสู่อันตรายได้ และก็ทำให้เทสลาเคยเรียกรถบางคันคืนไปแก้ อันเนื่องจากมันเซนซิทีฟเกินไปจนเกิดปัญหา ‘เบรกเอง จากผลบวกปลอม’ ขึ้น

ถ้าผู้ใช้รถเทสลาท่านใด เจออาการผิดปกติแบบ ‘ตรวจเจอผี’ เช่นนี้ ควรเอารถเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจสอบการทำงานของรถของท่านว่ามีอะไรผิดปกติกับระบบเซ็นเซอร์ของรถหรือไม่ หรืออาจใช้วิธี ‘การรีบูต’ (Reboot) ซอฟต์แวร์ระบบออโต้ไพล็อตของรถ เผื่อสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ (รถเทสลาบางรุ่น เช่น Model X และ Model S จะใช้วิธีกดปุ่ม Scroll wheel ทั้งสองอันบนพวงมาลัย ค้างไว้ เพื่อรีบูต ซึ่งจะทำให้จอทัชสกรีนของรถดับลง แล้วสตาร์ตใหม่ในไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น)

สรุปก็คือ ในทางวิทยาศาสตร์นั้น การที่รถสมัยใหม่ที่มีระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับสิ่งกีดขวางอันตราย อย่างเทสลา แจ้งเตือน ‘ผี’ ได้ เป็นผลจากความผิดปกติของระบบเซ็นเซอร์และซอฟต์แวร์ที่มีแนวโน้มจะเซนซิทีฟและให้ ‘ผลบวกปลอม’ ได้ ทั้งที่ไม่มีคนอยู่บริเวณ… แต่ต้องระวังปัญหาอื่นที่อาจเกิดขึ้นตามมา เช่น การเบรกเองอัตโนมัติเนื่องจากตรวจจับผิดพลาด

'หากิน' ด้วยการปั้นผีลวง ไว้ลวงหลอก 'ถูกหากิน' เพราะ 'อุปาทาน' ในใจตนหลอกตัว

เรื่องของ 'ผี' เป็นความเชื่อกันมาเป็นปกติทั่วโลก แต่ใครเห็นกัน จริง ๆ เห็นกัน จะ ๆ บ้าง ผมว่าคงนับได้เลย แต่ถ้าผีในใจผมว่าเรื่องนี้เล่ากันได้เยอะ

ครั้งนึงเมื่อหลายปีก่อน ผมได้อุปสมบทเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ร่วมกับอีกหลายบุคคล ณ วัดป่าศรัทธารวม จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งวัดแห่งนี้เดิมเป็นป่าช้าแห่งที่ ๒ ของจังหวัดนครราชสีมา และเป็นสถานที่สำหรับเผาศพผู้ที่ตายด้วยโรคติดต่อ เช่น อหิวาตกโรค, กาฬโรค เป็นต้น 

ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ณ ที่แห่งนี้ได้มีปักหมุดหมายในการสร้างวัดสำหรับการปฏิบัติภาวนาให้แก่ประชาชนให้เกิดขึ้นอีก ๑ แห่งในจังหวัดนครราชสีมา นอกเหนือไปจากวัดป่าสาละวัน ซึ่งมีพระกรรมฐานคณะแรกมาจำพรรษา ณ วัดป่าแห่งนี้อันประกอบด้วย ๑.พระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล ๒.พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี ๓.พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ๔.พระอาจารย์หลุย จันทสาโร ๕.พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ ๖.พระอาจารย์ภุมมี ฐิตธัมโม และสามเณรอีก ๔ รูป รวมเป็น ๑๐ รูป 

นั่นคือจุดเริ่มต้นของวัดป่าแห่งนี้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวัดป่าสำคัญที่มีพระอาจารย์นักปฏิบัติมาจำพรรษาหรือภาวนาด้วยความวิเวก ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังร่มรื่น สงบ สมกับเป็นวัดป่า แม้จะผ่านเหตุการณ์ที่น่าเศร้าใจอย่าง 'จ่าคลั่ง' กราดยิงมาเมื่อไม่นานมานี้ 

กลับมาที่เรื่องผีกันต่อ ตามที่ว่ากันว่า ณ วัดแห่งนี้เป็นป่าช้าเก่า มีที่เผาศพแบบเปิดโล่งไม่ใช่เมรุที่วัดทั่วไปมี เวลาเผาศพก็จะมีกลิ่นล่องลอยไปในชุมชนให้ได้ปลงสังเวชกัน และแน่นอนย่อมมีเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับผีสาง 

เรื่องที่เล่ากันมากก็มักจะเป็นการเห็นเงาคนมานั่งอยู่ใกล้ ๆ กับที่เผาศพ บ้างก็ว่าเห็นเงาคนมาเดินรอบเมรุกลางแจ้ง โดยเฉพาะเล่าว่า พระในวัดได้มาปฏิบัติเดินจงกรมอยู่ ณ บริเวณหน้าเมรุแล้วปรากฏว่ามีคนมาเดินจงกรมตามหลังแล้วภาวนาว่า 'พุทโธ' ตามที่พระรูปนั้นกำลังภาวนาอยู่ เรื่องนี้ถูกยกมาเล่าตอนที่ผมบวชอยู่และกำลังจะไปภาวนาในช่วงหลังทำวัตรเย็นแล้ว 

หรืออีกเรื่องก็เล่ากันว่าในป่าช้าเดิมซึ่งอยู่ทางหลังวัดเวลาที่มีพระไปนั่งสมาธิภาวนาอยู่หน้าองค์พระขาว พระพุทธรูปปางประทานพร ซึ่งเดิมเป็นอุโบสถ โดยขณะนั่งสมาธิไปก็ได้ยินเสียงโหยหวนลอยมาตามลมบ้าง ได้ยินเสียงคนจำนวนมากพูดซุบซิบกันบ้าง ได้ยินเสียงเท้าหนัก ๆ เดินอยู่ใกล้ ๆ บ้าง หรือพระบางรูปเดินจงกรมภาวนาก็รู้สึกว่ามีคนจ้องมอง หรือมีคนนั่งอยู่ใกล้ๆ ที่เดินจงกรมบ้าง เอาเข้าจริงๆ ก็ยังไม่มีคนที่พบจริงๆ มาเล่าให้ฟังนะ มีแต่เรื่องเล่า เพื่อมาเล่าต่อ...

อย่างเรื่องที่มีผู้มาเล่าให้ผมฟังตอนอุปสมบท ก็คือเรื่องจากผู้ที่อุปสมบทพร้อมผมได้พบเจอ 'ผี' ที่กุฏิของเขา โดยท่านผู้นั้นเล่าว่าท่านกำลังจำวัดอยู่แล้วได้ยินเสียงกุกกัก ๆ ก็เลยจะลุกขึ้นไปดู ก็ปรากฏว่าลุกไม่ขึ้นพยายามเท่าไหร่ก็ลุกไม่ขึ้น ด้วยอาการที่เรา ๆ ท่าน ๆ รู้จักกันดีว่า 'ผีอำ' แต่พอกลั้นใจหลับตาภาวนา ท่านผู้นั้นก็ค่อย ๆ ลืมตาแล้วก็เห็นเงาขนาดใหญ่นั่งอยู่บนร่างของท่าน เมื่อกลั้นใจภาวนาอีกครั้งเงานั้นก็หายไป และสามารถลุกขึ้นมาได้แล้วท่านก็เดินลงจากกฏิด้วยความรู้สึกหวาด ๆ 

พอลงจากกุฏิ ก็ได้พบเห็นเหมือนร่างคนกำลังเดินออกจากกุฏิไปแบบเลื่อนตัวไป หรือไปแบบลอย ๆ จนค่อย ๆ หายไป นี่คือเรื่องราวของพระนวกะที่ได้อุปสมบทพร้อมผมมาเล่าในวงสนทนาก่อนที่เราจะแยกย้ายกันไปภาวนา 

พอฟังเรื่องเล่าเรื่องนี้ คุณเชื่อไหม? ผมรู้สึกอย่างเดียวว่าท่านผู้นั้นมาบวชอย่างไร? ถึงเจอผี ทั้ง ๆ ที่คณะของท่านช่างเสียงดัง เจี๊ยวจ๊าว ราวกับการมาอุปสมบทคือการมาเข้าค่าย ไม่น่าจะเจออะไรเพราะเสียงมันช่างดังเหลือเกิน อ้อ!! ผมลืมบอกไปว่าการอุปสมบทครั้งนั้นคือ การอุปสมบทหมู่ ถ้าอยากปลีกวิเวกต้องหาที่ทางและช่วงเวลาเอาเอง เพราะความไม่สงบมีอยู่สูง 

กลับมาที่เรื่องผีที่พระร่วมรุ่นของผมเล่าว่าเจอ ผมคิดเอาเองในฐานที่ปกติผมมักจะปฏิบัติภาวนาแบบเอกา เรื่องผีสางผมก็กลัว แต่การอุปสมบทครั้งนั้นมีความหมายเนื่องจากเป็นการอุปสมบทระยะสั้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ จึงอยากตั้งใจปฏิบัติภาวนา ซึ่งสถานที่ ที่ 'เขาเล่าว่า' ผมก็ล้วนไปปฏิบัติ ทั้งเดินจงกรม ทั้งนั่งสมาธิวิปัสสนา ปรากฏว่าผมไม่เจอ 'ผี' แต่สิ่งที่ผมเจอและสัมผัสได้จากวัดป่าแห่งนี้ กลับกลายเป็นการที่เราสามารถเข้าสู่สมาธิได้อย่างรวดเร็ว สมกับที่เป็นวัดป่าที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านมาปฏิบัติไว้ดีแล้ว ชอบแล้ว 

ผมบอกตรง ๆ เลยว่าผมไม่เคยเจอผี หรือผมอาจจะเจอ แต่ผมไม่ได้สนใจก็ได้ เพราะสิ่งที่สำคัญของการจะเจอหรือไม่เจอมันสำคัญที่ 'ใจ' เมื่อ 'ใจ' เป็นใหญ่เราก็สามารถควบคุมการ พบ เจอ นิมิต หรือการสัมผัสใดๆ ได้ คำว่า 'ใจ' เป็นใหญ่หรือใช้ 'ใจนำ' นี้ อาจารย์ใหญ่ของพระป่า 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ท่านได้เคยกล่าวไว้แล้ว และเมื่อเราอุปสมบทในร่มเงาวัดป่า เราจึงต้องนำมาใช้ให้เห็นจริงใช้ 'ใจ' ควบคุมให้จิตไม่โลดแล่นไปอยากเจออะไร ไปสนใจอะไรภายนอก 'จิตใจ'

ฉะนั้น 'ผี' ที่พระท่านนั้นเจอ ผมจึงคิดว่ามันเกิดขึ้นจาก 'อุปาทาน' ที่เกิดจากการฟังแล้วคิดตามว่ามันมี มันต้องมี มันควรมี พอคิดตามนี้ 'ผี' ในใจก็ปรากฏได้เพราะเราไม่ควบคุมมัน สุดท้ายมันก็มาปรากฏกับสังขารของเรา ด้วยความเหนื่อยจากการคิด พูด ฟัง กลายเป็น 'ผีอำ' หรือการเป็น 'ผีเลื่อน' / 'ผีลอย' ผมคิดว่ายังงั้นนะ 

เช่นเดียวกันกับเรื่องราวในสังคมยุคนี้ที่ชอบยกเอาเรื่องที่ไม่จริง สิ่งที่ไม่มี โกหกตนเองจนเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนี้ ทำให้ความหลอกลวงถูกยกเป็นเรื่องจริงในใจตนเอง และเอาความจริงที่หลอกลวงตนเองเหล่านั้นไป หลอกเด็ก หลอกเยาวชน หลอกคนที่เชื่อให้หลงไปกับ 'ผี' ในใจที่มันไม่มีอยู่จริง อาทิ จดหมายของผู้นำปฏิวัติ ๒๔๗๕ ที่ไม่มีจริง การใช้วาทกรรมที่ล่วงละเมิดผู้อื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องจริง การอวดอุตริในตนที่ไม่มีอยู่จริงตามสำนักทรงหรือสำนักลงนะทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งตัวแทนประชาชนที่นำเอาข้อมูลอันไม่มีอยู่จริงมาอภิปรายกันในสภา หรือแม้กระทั่งการสัญญาของผู้บริหารประเทศที่ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่  

สิ่งเหล่านี้คือ 'ผี' จริง ๆ 'ผี' ในใจของคนบางคนที่ถูกนำไปหลอกให้กลายเป็น 'ผี' ในใจของสังคมโดยรวม จากเรื่องของผีในวัด เรื่องของพระที่โดนผีหลอก มาสู่เรื่องของ 'คน' เรื่องของ 'อุปาทาน' ที่ทำให้สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงกลายเป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นจนเป็นตัวตน แล้วคุณจะยินดีให้ 'ผี' แบบนี้มาหลอกคุณอยู่ทุกวันไปทำไม


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top