Thursday, 2 May 2024
ปีใหม่2566

ทบทวนตัวเองก่อนปีใหม่ ตั้งคำถามซักฟอกใจ นำ 'ชีวิต' มุ่ง 'วิถีแห่งความสุข' ตามสูตรของตัวเอง

คำถามหนึ่งที่เป็นคำถามสำคัญและนับเป็นคำถามอมตะในวิวัฒนาการของมนุษยชาติ นั่นคือใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางกระแสเทคโนโลยีทันสมัย เปลี่ยนโลกและสังคมว่องไวเลื่อนไหลตลอดเวลา กระแสความเจริญทางเทคโนโลยีที่ดูเหมือนย่อโลกใบนี้ให้เล็กลง กลับกลายเป็นว่ากลับกักขังเราในกรอบหน้าจอแคบ ๆ ที่รับรู้ทุกสิ่งอย่างทุกเรื่องราว แต่ไม่สัมผัสเต็มเปี่ยมกับสิ่งใด เปลี่ยวเหงาทั้งที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน ลึก ๆ แล้วรู้สึกว่าชีวิตยังไม่เติมเต็ม ตอบไม่ได้ว่าความสุขคืออะไร และมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

ช่วงปลายปีเช่นนี้ถือเป็นช่วงพิจารณาชีวิต เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะมองไปข้างหน้า และหันกลับมามองข้างหลัง เพื่อถามตัวเองว่าจากนี้จะเดินไปสู่ทิศทางใด จะใช้ชีวิตแบบไหนในอนาคต  

ยิ่งใกล้สิ้นปีแต่ละหน ยิ่งต้องหันมาทบทวนตัวเอง โดยใช้ 'ดวงตาภายใน' มองตน ว่าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เราได้สร้างประโยชน์อะไรต่อโลกใบนี้บ้าง เคยกระทำผิดพลาดบาดใจใครไปบ้าง ช้าไปไหมที่จะขอโทษใครบางคน และสายไปหรือยังในการปรับปรุงตัวเอง

การดำเนินชีวิตไม่มีผิดถูกก็จริง แต่บางย่างก้าวของเราอาจทำให้ฝุ่น หรือเม็ดกรวดกระเด็นกระทบใครบ้างก็ได้

เบื่อไหมกับการเวียนว่ายกลางทะเลข่าวสารข้อมูลที่เต็มไปด้วยเสียงก่นด่าระหว่างผู้เห็นต่าง กี่ปีแล้วที่วนเวียนอยู่ ณ จุดนี้ สิ่งนี้คือสาระสำคัญในชีวิตหรือไม่ ในที่สุดมักลงท้ายด้วยการตั้งคำถามว่า “ทำอย่างไรถึงจะมีความสุข"

หากถามศิลปินว่าความสุขในชีวิตคืออะไร อาจจะได้คำตอบแบบ อัลแบร์ กามู นักเขียนรางวัลโนเบลและนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส เคยกล่าวไว้คือ “อยู่ในที่ที่มีอากาศปลอดโปร่ง พ้นจากความทะเยอทะยาน ทำงานสร้างสรรค์ และรักใครสักคน”

ผบ.ตร.สั่งเข้มทุกส่วน ดูแล ปชช. ช่วงปีใหม่ ต้องเดินทางถึงภูมิลำเนา โดยสวัสดิภาพ

(28 ธ.ค.65) ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และคณะ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาของศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) ร่วมกันเปิด ‘ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2566’ เพื่อกำกับดูแลและสั่งการ ในการอำนวยการจราจรและแก้ไขสถานการณ์อุบัติเหตุ ในช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 ถึง 4 มกราคม 2566

โดย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ได้เตรียมความพร้อม กำลังพลกว่า 50,000 นาย อำนวยความสะดวกด้านการจราจร และดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา รวมถึงการป้องปรามไม่ให้มีการฝ่าฝืนกฎหมายจราจร ด้วยการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดอุบัติเหตุ โดยจะปฏิบัติงานตลอดช่วงเทศกาลไม่มีวันหยุด ซึ่งวันนี้ถือเป็นวันแรกที่เปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนฯ จึงได้สั่งการให้ บช.น., ภ.1-9 และ บก.ทล. ปฏิบัติตามมาตรการ ดังนี้...

1. อำนวยความสะดวกการจราจร เพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างปลอดภัย ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีรถเดินทางเข้า-ออก กทม. มากถึง 7.3 ล้านคัน โดยปริมาณรถขาออกมากที่สุด วันที่ 29 และ 30 ธันวาคม 2565 และปริมาณรถขาเข้ามากที่สุด วันที่ 2 และ 3 มกราคม 2566 จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยประสาน คืนพื้นผิวการจราจร จุดที่มีการก่อสร้าง ซ่อมแซม เป็นเหตุให้รถชะลอตัว โดยสามารถคืนพื้นผิวได้ทั้งหมด 408 จุดทั่วประเทศ พร้อมจัดตำรวจอำนวยการจราจร ตามจุดสำคัญที่มีปัญหาการจราจร รวมถึงแหล่งท่องเที่ยว และในกรณีเกิดอุบัติเหตุ ให้มีชุดเคลื่อนที่เร็วพร้อมอุปกรณ์ เช่น รถยก, รถสไลด์ เข้าถึงที่เกิดเหตุและคลี่คลายการจราจรได้ทันที 

นอกจากนี้ ยังได้ออกข้อบังคับเปิดช่องทางพิเศษ เพื่อเร่งระบายรถ ทั้งขาเข้าและออก กทม. 9 เส้นทาง 10 จังหวัด รวมระยะทาง 450 กม. โดยตำรวจทางหลวงจะเปิดช่องทางพิเศษ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตามสภาพการจราจร และได้ออกข้อบังคับ ห้ามรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เดินในถนน 7 เส้นทาง เพื่อลดความหนาแน่นของการจราจร รวมระยะทาง 194 กม. สำหรับรถบรรทุกที่มีความจำเป็นต้องเดินรถ เช่น รถขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง, อาหารสด สามารถยื่นคำขออนุญาตผ่านระบบออนไลน์ ของ บก.ทล. ได้ที่ www.hwpdth.com

2. การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน กำหนดเป้าหมายให้ทุก ภ.จว. ลดจำนวนอุบัติเหตุ, ผู้เสียชีวิต, ผู้บาดเจ็บ จากค่าเฉลี่ยปีใหม่ 3 ปีย้อนหลัง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 โดยมีมาตรการให้ทุกหน่วยทำบัญชีกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่เพื่อเข้าไปรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ป้องปรามกลุ่มเป้าหมาย และตั้งจุดตรวจเพื่อกวดขันจับกุม การกระทำผิดกฎจราจร ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ โดยเริ่มบังคับใช้กฎหมาย ตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2565 เป็นต้นมา เน้นหนัก 4 ข้อหา ตามนโยบายของรัฐบาล ได้แก่ ขับรถในขณะเมาสุรา, ขับรถเร็วเกินกำหนด, ไม่สวมหมวกนิรภัย และไม่รัดเข็มขัดนิรภัย 


 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top