Wednesday, 8 May 2024
ประยุทธ์_จันทรโอชา

'วัน' แนะรบ. ปรึกษา 'เฉลิม' แก้ปห.ยาเสพติด อัด 'ยุคประยุทธ์' ยาบ้าซื้อง่ายกว่าลูกอม

นายวัน อยู่บำรุง ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า นโยบายแก้ปัญหายาเสพติดของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผิดพลาดมาตั้งแต่หน่วยงานความมั่นคง ที่ปล่อยให้ยาเสพติดทะลักจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาสู่พื้นที่กรุงเทพ รัฐบาลต้องใช้นโยบายป้องกันการนำเข้ายาเสพติดตั้งแต่ชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานการปกครองต้องบูรณาการร่วมกัน ต้องสแกนทุกจุด เพื่อป้องกันมากกว่าปราบปราบ แม้ในช่วงที่ผ่านมาภาครัฐจะจับกุมยาเสพติดได้เป็นจำนวนมาก แต่ไม่ช่วยอะไร เพราะเน้นแต่การปราบปรามแต่ไม่มีนโยบายในการป้องกันและปกป้องประชาชน ส่งผลให้การแก้ปัญหายาเสพติดของรัฐบาลล้มเหลว ทั้งนี้ขบวนการยาเสพติดใช้เยาวชนไทยอายุต่ำกว่า 12 ปี เป็นเด็กเดินยาหมดแล้ว

'นายกฯ' ลงพื้นที่ 'สวนกล้วยไข่' จ.กำแพงเพชร ขอร้อง 'อย่าทิ้งกล้วยไข่' รัฐพร้อมดูแล-หาปุ๋ยให้

'นายกฯ' ลงพื้นที่ติดตาม 'สวนกล้วยไข่' เผย 'รัฐบาล' พร้อมดูแล หาปุ๋ย ระบุ วันนี้อยู่เพื่อพวกเรา ทำต่อเนื่อง ถาม อยู่มา 8 ปี มีอะไรบ้าง ยัน แม้ไม่เลือก 'ประยุทธ์' ก็รักทุกคนทุกจังหวัด แตกกันไม่ได้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม นำคณะตรวจเยี่ยมการบริหารงานกล้วยไข่แปลงใหญ่ ที่บ้านท้องคุ้ง หมู่ที่ 7 ต.ท่าพุทรา อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร 

ทั้งนี้ นายกฯ ระบุว่า ขอชื่นชมในความเข้มแข็งและเข้าถึงปัญหา ทำอย่างไรให้มีเงินเพียงพอ วันหน้าใครจะเปลี่ยนไปปลูกอะไรก็ตามอย่าทิ้งกล้วยไข่ เรื่องเกษตรจีไอ คือนโยบายของรัฐบาล ต้องขอบคุณที่ทุกคนทำตามนี้ รัฐบาลจะหาช่องทางดูแลให้มากยิ่งขึ้น และพยายามอย่างเต็มที่ในการหาปุ๋ยขอให้อดทนกันหน่อย นายกฯ ก็เจ็บปวดเหมือนทุกครั้ง ทุกเรื่องที่มีปัญหากับประชาชน วันนี้อยู่เพื่อใคร อยู่เพื่อพวกเราและก็ทำต่อเนื่อง 

นายกฯ กล่าวว่า ตนอยู่มา 8 ปีดูสิมีอะไรบ้าง รู้ใช่หรือไม่ ถนนหนทาง รถไฟ อาจจะไม่ถึงที่บ้านเรา แต่ก็ไปตรงอื่นวันหน้าก็จะเชื่อมมาที่บ้านเราเอง นี่คือผลประโยชน์โดยอ้อม น้ำบนดิน ใต้ดิน น้ำบาดาล โครงการผลผลิตต่างๆ จะลงมาอีก เพื่อให้มีการพัฒนาต่อไป โครงการต่างๆ เราพยายามจะใส่ในจังหวัด ในอำเภอต่อไปข้างหน้าและที่ผ่านมาโครงการต่างๆ เกิด 14-15 จังหวัดแล้วมีระบบส่งน้ำใช้ประโยชน์ ด้านบริโภคและการเกษตร

แลกหมัด!! ศึกอภิปรายซักฟอกรัฐบาล

จากกรณีที่ น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส. จังหวัดร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประเด็นเหมืองทองอัครา ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดินกระทำความผิด ใช้มาตรา 44 และมติครม. ออกคำสั่งระงับกิจการเหมืองแร่ทองคำจนทำให้เกิดความเสียหาย แม้เรื่องเหมืองทองอัคราจะถูกนำมาอภิปรายในสภาไปแล้ว และดูจะไม่จำเป็นต้องเอามาอภิปรายอีกครั้ง เพราะคดียังไม่ถึงที่สุดนั้น

ด้านรมต.อุตสาหกรรม ก็ได้ออกมาชี้แจงให้ทราบอีกครั้ง โดยยืนยันว่า ปมพิพาทเหมืองทองอัครา ยืนยันนายกฯ สั่งศึกษารอบด้าน-ยึดประโยชน์ชาติ และโอกาสชนะทางคดีมีกว่า 60% 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีตามรับธรรมนูญมาตรา 151 ประเด็นข้อพิพาทเหมืองทองอัคราที่มีการใช้มาตรา 44 ปิดเหมืองทองอัครา กรณีที่น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ระบุว่า...

ที่ผ่านมามีการเสนอให้นายกฯ ยกเลิกการใช้มาตรา 44 ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอให้นายกฯ ใช้มาตรา 44 ระงับทำเหมืองอัคราชั่วคราว โดยไม่ใช้กฎหมายทั่วไป

พล.อ.ประยุทธ์ตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบเกือบ 3 ปี ก่อนใช้มาตรา 44 ตามข้อเสนอ เพื่อความปลอดภัยประชาชน ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มใด

ส่วนเอกสารกระทรวงต่างประเทศที่ทักท้วงการใช้มาตรา 44 นั้น เป็นการพูดความจริงครึ่งเดียว เอกสารดังกล่าวระบุว่า หากมีความจำเป็นต้องใช้มาตรา 44 จะต้องทำเพื่อป้องกันสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อม

กรณีนี้จึงออกคำสั่งที่คำนึงถึงสุขภาพประชาชนเป็นสำคัญ

ส่วนที่บริษัททนายฝ่ายไทยประเมินไทยแพ้คดีแน่ ก็ไม่เป็นจริง หนังสือดังกล่าว ตนเสนอครม.รายงานการต่อสู้คดี ประเมินว่า ฝ่ายไทยมีโอกาสชนะ 66% แพ้ 34% ไม่ใช่แพ้คดีแน่นอน ถ้าบริษัทคิงส์เกตมีโอกาสชนะ 100% ได้ค่าเสียหาย 3 หมื่นล้านบาท คงไม่มาเจรจารัฐบาลไทย

ที่ผ่านมา คิงส์เกตกำไรปีละ 800 ล้านบาท ต้องใช้เวลา 38 ปี จึงได้เงินดังกล่าว ถ้าคิดว่าชนะแน่ คงไม่เจรจา ถ้าได้เงิน 30,000 ล้านบาทแน่นอน หลังจากคิงส์เกตเห็นข้อต่อสู้ฝ่ายไทย จึงเข้าใจสิ่งที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่ ทางบริษัท อัคราจึงกลับมาขอประทานอาชญาบัตร พื้นที่ 44 แปลง ส่วนการขออาชญาบัตรแสนกว่าไร ปัจจุบันยังไม่เดินเรื่องขอ ยังไม่อนุญาตใดๆ หากมาเดินเรื่อง ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับอนุญาต ต้องดูแผนสำรวจมีความเหมาะสมหรือไม่

'นายกฯ' ยัน!! ทุกปัญหา 'ศก.-เงินเฟ้อ-พลังงาน' แก้ไขเต็มที่ พ้อ!! จุดแข็งประเทศมีมาก แต่หลายคนชอบโจมตีเรื่องลบ ๆ

นายกฯ ชี้แจง!! รัฐบาลแก้ไขวิกฤตราคาพลังงานสูง เงินเฟ้อ ยืนยันดูแลทุกด้านเศรษฐกิจสาธารณสุขตามแนวทางสายกลางอย่างเต็มความสามารถ

เมื่อค่ำของวันที่ 21 ก.ค.65 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยได้ชี้แจงต่อเรื่องวิกฤตด้านพลังงานสูง ของแพง น้ำมันแพง เป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นจริงกับไทย และเกิดกับทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งเกิดจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สงคราม ผลพวงจากนโยบายการเงิน-การคลังของประเทศใหญ่ ๆ ที่ใช้ในการแก้ปัญหาโควิด-19 โดยเฉพาะนโยบาย Zero Covid Policy ในบางประเทศ ก่อให้เกิดการผันผวนทางเศรษฐกิจทั่วโลก ทั้งอัตราค่าเงิน เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย เกิดปัญหาขึ้นกับทุกประเทศ เป็นไปตามหลักการเศรษฐศาสตร์ 

"อัตราเงินเฟ้อโลกพุ่งสูงมากในช่วงโควิด เกิดกับทุกประเทศแม้กระทั่งประเทศมหาอำนาจ ก็ได้รับผลกระทบ หากดูราคาน้ำมันดิบ ช่วงโควิด ราคาน้ำมันต่ำลงมากในช่วงที่ไม่มีการเดินทาง เมื่อเปิดประเทศมีการเดินทางและปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ทำให้ราคาน้ำมันดิบแพงขึ้น 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งไทยต้องนำเข้ามากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และได้มาจากประเทศเพื่อนบ้านซึ่งก็ไม่มากนัก สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติภัยครั้งใหญ่ของโลก เป็นคลื่นที่พัดพาความเสียหายเหล่านี้มายังประเทศไทย แม้ในบางพื้นที่จะดีขึ้น แต่ก็ยังฝากความเสียหายกับเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลกอย่างมหาศาล ซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ เรียกประชุมหลายครั้ง และประชุมหารือในเรื่องจำนวนคนเสียชีวิตจากโควิดทั่วโลกยังคงมีจำนวนสูง มีการปิดเมือง ปิดประเทศและการเดินทาง ทำให้ธุรกิจเสียหาย และกว่าจะตั้งหลักใหม่ต้องใช้เวลาพอสมควร หลายประเทศเลือกใช้นโยบายเศรษฐกิจนำหน้าสาธารณสุข ส่งผลให้จำนวนคนตายเยอะกว่าค่าเฉลี่ยโลก บางประเทศเป็นผู้ผลิตวัคซีนและยา เมื่อเกิดการผันผวนทางเศรษฐกิจ มีเกิดภาวะเงินเฟ้อและหนี้สาธารณะสูง เสถียรภาพทางเศรษฐกิจเสียหาย ทำให้เกิดเงินเฟ้อมหาศาล หลายประเทศต้องขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังจัดการดูแลสิ่งเหล่านี้อยู่

"ขณะที่บางประเทศ ใช้สาธารณสุขนำหน้าเศรษฐกิจ ผลคืออัตราคนตายน้อยลง และเศรษฐกิจผันผวนน้อยกว่า อย่างไรก็ดี ไทยใช้ทางสายกลาง สร้างความสมดุลระหว่างสุขภาพและปากท้อง ยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ ใช้มาตรการควบคุมเท่าที่จำเป็น ขอยืนยันว่า ไม่ได้ใช้เพื่อควบคุมการชุมนุม เพียงต้องการควบคุมสถานการณ์โควิด ไม่ต้องการให้มีการเสียชีวิต จึงต้องรักษาทางสายกลางให้ได้ ไม่ให้เกิดความเครียดจากโควิด เศรษฐกิจ และความขัดแย้ง สังคมไทยต้องไม่เครียดเกินไป กิจกรรมที่มีความเสี่ยงมากต้องควบคุม"

นายกฯ กล่าวอีกว่า อัตราการตายของไทยอยู่ระดับต่ำมาก อยู่ในลำดับ 127 ของโลก อันดับที่ 6 ของอาเซียน แต่นายกรัฐมนตรียังคงไม่พอใจ รัฐบาลทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทั้งการกู้เงิน เพื่อจัดหาวัคซีน รักษาประชาชน ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ 1.5 ล้านล้านบาท ใช้เงินกว่า 854,000 ล้านบาท แก้ไขปัญหาและช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบกว่า 45 ล้านราย ยืนยันว่า รัฐบาลนำเงินช่วยเหลือตรงกลุ่มเป้าหมาย ผ่านโครงการเราชนะ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ม.33 ช่วยเหลือค่าน้ำ-ค่าไฟ คนละครึ่ง รักษาการจ้างงาน SMEs

ในส่วนของการดำเนินการที่ผ่านมา นายกฯ เผยว่า เป็นผลดีพอสมควร ได้รับการร่วมมือจากนโยบายเปิดประเทศได้อย่างดี หลายประเทศชื่นชมไทย หารือความร่วมมือกับไทยเพื่อดูแลและแก้ไขปัญหาโควิด และมีการจัดตั้งศูนย์โรคระบาดใหม่ที่ไทย จึงขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้ประเทศไทยมีชื่อเสียง องค์กรระหว่างประเทศชื่นชมไทยว่า ดูแลโควิดได้ดีที่สุด เป็นต้นแบบความสำเร็จอันดับ 3 ของโลก 

นอกจากนี้ เรื่องสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP หลายประเทศมีนโยบายต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะ ไทยก็เช่นกัน และมีการกำหนดเป็นไปตามหลักการสากล โดยไทยรักษาหนี้สาธารณะได้อย่างดี ซึ่งจากข้อมูลของ IMF ไทยมีหนี้สาธารณะเป็นเพียงสีส้มอ่อน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับหลายๆ ประเทศ ไทยมีหนี้สาธารณะไม่มาก ทั้งนี้ ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และวิกฤตพลังงาน ซ้ำเติมภาวะเงินเฟ้อ ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอ่อนค่าลง รัฐบาลมีความพยายามในการแก้ไขปัญหามาตลอด เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนประชาชน เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของไทยไว้ให้ได้ ดูแล ลดค่าครองชีพ ลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ ลดผลกระทบภาวะเงินเฟ้อ เพื่อให้ประชาชนได้มีเวลาปรับตัวด้วยมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น การช่วยเหลือซื้อก๊าซหุงต้ม ค่าน้ำมันให้ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ช่วยลดภาระค่าไฟฟ้า ก๊าซ NGV รักษาราคาน้ำมันดีเซล เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ยังขอความร่วมมือผู้ประกอบการตรึงราคาสินค้าให้ได้มากที่สุด ขายสินค้าราคาถูกผ่านร้านธงฟ้า ตลอดจนได้เสริมสภาพคล่องให้แก่ภาคธุรกิจ และแรงงานในระบบประกันสังคม ด้วยการลดเงินสมทบประกันสังคม ในส่วนของนายจ้างและผู้ประกันตน ทุกมาตราเป็นระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม 2565 โดยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 34,540 ล้านบาท และได้ต่อมาตรการดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง จนถึงเดือนกันยายน 2565 

"รัฐบาลทำงานอย่างเต็มที่มาโดยตลอด และสามารถประคับประคองประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ มาได้ และแม้ปัจจุบันจะเผชิญหน้ากับแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อที่อาจจะสูงที่สุดในรอบ 13 ปี แต่ยังรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง และยังคงรักษาอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของประเทศไว้ได้ในระดับที่ดีเหมือนก่อนเจอวิกฤต ต่อจากนี้ วิกฤตเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะแย่ลง หลายประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ๆ กำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือ Recession ในขณะที่เกิดภาวะเงินเฟ้อสูง ถึงสูงมาก รัฐบาล และธนาคารกลางทั่วโลก ต้องใช้นโยบายเศรษฐกิจตึงตัว รวมถึงการดึงเงินกลับเข้าประเทศ (Quantitative Tightening) และออกมาตรการต่างๆ ขึ้นดอกเบี้ย ขึ้นภาษี เพื่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ที่มีการกู้เงินในช่วงวิกฤตโควิด และกำลังเผชิญกับดอกเบี้ยที่สูงขึ้น จะทำให้รัฐบาลมีเงินเหลือใช้จ่ายประจำ และลงทุนน้อยลง ก็จะเป็นสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบาก"


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top