Wednesday, 1 May 2024
ปกป้องสถาบัน

‘หมอพรทิพย์’ ประกาศไม่ขัดขวาง ‘พิธา’ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ขอยืนหยัดปกป้องสถาบันฯ ไม่ปล่อยภัยคุกคามให้ทำร้ายสังคม

(18 พ.ค. 66) แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ทวีตข้อความพร้อมรูปบูรพกษัตริย์ระบุว่า…

ความปั่นป่วนทางการเมือง มาจากความกลัวที่จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี หากตำแหน่งนั้นจะเป็นของเรามันก็จะได้เป็น เชื่อสิ

ประเด็นอยู่ที่ว่า ผู้นำตั้งใจจะมาสร้างอะไรให้กับคนไทย สังคมไทย ก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง สิ่งที่สื่อสารออกมามีแต่เรื่องตั้งใจจะทำลาย กำจัดทิ้ง โดยเฉพาะสถาบันหลักของไทย นโยบายที่ตั้งใจสร้างสิ่งดีๆ ให้สังคมอาจจะไปต่อไม่ได้ เพราะวางลำดับความสำคัญผิด สะดุดขาตัวเอง ล้มเอง ถ้าล้มแรงก็กลับมาเหมือนเดิมได้ยาก

คนที่เกิดมาก่อน คนที่เห็นต่างก็เป็นคนไทย เมื่ออ้างประชาธิปไตยต้องรับฟัง ระบบประชาธิปไตยไม่ใช่การใช้อารมณ์ การไล่ล่า การกดดัน การทำร้าย ทำลายฝ่ายตรงข้าม

หมอต้องการความชัดเจน ว่าเมื่อเป็นรัฐบาล คุณจะทำอะไรอย่างไรกับนโยบายของสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะนโยบายตอนหาเสียง สมาชิกพรรคพูดและแสดงออก คือ ‘การทำลาย’ ต้องไม่ลืมหลักธรรมะแห่งพุทธ การกระทำของเราเกิดจากตัวเรา เสียดายที่การเรียนวิชาประวัติศาสตร์หายไป แถมเรียนในสภาพแวดล้อมที่ที่เน้นวัตถุพัฒนากิเลส บางคนไปเรียนแต่เมืองนอก จึงไม่เคยทราบความจริงที่ไม่มีในสังคมโซเชียล

ปฐมกษัตริย์ของประเทศไทย พ่อขุนผาเมืองทรงรบเพื่อสร้างสุโขทัย ยกบัลลังก์ให้เพื่อนขึ้นปกครองก็เพื่อให้เป็นไทย และปลีกวิเวกไปปฏิบัติธรรม กษัตริย์ทุกพระองค์ทรงใช้ธรรมะปกครองแผ่นดิน จนทำให้ไทยเป็นไทยมาจนทุกวันนี้ ที่สำคัญเป็นแผ่นดินพุทธศาสนาหลังจากถูกทำลายที่อินเดียเมื่อครั้งพุทธกาล ปัญหาใหญ่ของสังคมไทยคือ ความเหลื่อมล้ำ ความยากจน ความไม่ยุติธรรม ทำไมไม่มุ่งแก้ปัญหาเรื่องนี้ที่พรรคการเมืองที่ผ่านมาไม่ได้ตั้งใจทำให้สำเร็จ หรือเพราะมีนายทุนทางความคิดกดดันชี้นำอยู่

ใครที่อ่านแล้วขัดใจก็ข้ามไปเสีย หมอตั้งใจกระตุ้นเตือนคนไทยที่รักแผ่นดิน รักสถาบัน ถึงเวลาที่ต้องไม่ปล่อยให้ภัยคุกคามแบบนี้ทำร้ายสังคม ไม่ต้องรอใครทำก่อน พลังความดีจะปกป้องเรา เราไม่ได้ขัดขวางที่คุณจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ แต่เราจะขัดขวางและร่วมปกป้องสถาบันแน่นอน สิ่งนี้ไม่ใช้เรื่องที่ต้องมีมติหรือเสียงส่วนใหญ่

นักรบแห่งแผ่นดิน จักต้องปกป้องรักษาไว้ด้วยชีวิต

(หมายเหตุ คนที่ขัดใจข้ามไป เลิก Follow ไม่ต้องแชร์ความเห็นใดๆ มาให้ทุกช่องทาง หมอชัดเจนเรื่องนี้ เดี๋ยวกลับไทยวันเสาร์นี้จะติดต่อได้)

อาจารย์ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ตัวตึงเรื่องสถาบันกษัตริย์ ผู้ก่อตั้งเพจ ‘รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส-ตลาดหลวง’

รองศาสตราจารย์ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ เป็นนักวิชาการ นักเขียน นักรัฐศาสตร์และอดีตนักการทูตชาวไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นการมีอยู่ของ ‘สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย’ ผ่านรายการ วีโอเอไทย ในหัวข้อ ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ตัวตึงเรื่องสถาบันกษัตริย์’ เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2565 ว่า…

“เนื้อแท้ของปวิน คือ รอยัลลิสต์ ผมอยากเห็นสถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงอยู่ แต่การที่ผมวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงสนับสนุนให้มีการปฏิรูป เพราะผมอยากให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่กับสังคมไทย แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ ไม่มีโมเมนต์ไหนเลยที่ผมคิดว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่จำเป็นต่อประเทศไทยแล้ว”

‘ป๋าเทพ’ ตลกอาวุโสชื่อดัง ลั่น!! ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลชุดใหม่จะมาแตะต้อง ม.112

เมื่อไม่นานมานี้ นายสุเทพ โพธิ์งาม นักแสดงตลกชาวไทย กล่าวถึงเรื่องการเมืองในขณะนี้ว่า ตนเองเป็นไทยคนหนึ่งไม่อยากให้เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมาหากรัฐบาลใหม่จะไปแก้ ม.112 บางทีเราฟังแล้วเป็นห่วง ทั้งที่ท่านไม่ได้มายุ่งมาเกี่ยวอะไรกับพวกเรา หากว่าปล่อยไป ใครทำอะไรขึ้นมา เช่น อยู่ๆ ก็ไปเผารูปบ้าง เวลาท่านเสด็จไปไหนก็ไปขวางรถ ไปสร้างความรำคาญให้ท่านบ้าง แล้วเอาผิดอะไรไม่ได้ กฎหมายมฝมีทั้งนั้นท่านเป็นประมุขนะ คนธรรมดายังมีกฎหมายคุ้มครองเลย ม.112 นั้น หากมีใครไปยุ่งกับท่านมันถึงจะผิด ถ้าเราไม่ยุ่ง มันก็ไม่ผิดอะไร เราต้องมีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อยู่แล้ว ประเทศอื่นที่เขามีประธานาธิบดีมีปัญหา มีการล้มล้าง มีการฆ่ากัน บ้านเราไม่ค่อยมีอะไร เพราะมีระบบกษัตริย์ ซึ่งเป็นระบบที่ไว้วางใจได้

“เป็นห่วงแค่นี้แหละ เรื่องอื่นจะทำอะไรก็ทำไป เรื่องนี้ไม่ควรไปยุ่ง เราเป็นห่วงบ้านเมือง ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น ถ้าเรารักคนที่เขาไม่ชอบ เขาก็จะด่า เสียผู้เสียคน แค่ความคิดไม่ตรงกันเท่านั้น เหมือนโกรธกันมา 10 ชาติ อยากให้เขาดูด้วยว่าป๋าพูดเรื่องอะไร เพื่ออะไร เพื่อบ้านเมืองเท่านั้น ถ้าหากไม่มีกฎหมายก็ทำกันตามอำเภอใจเท่านั้น มันไม่ถูกต้อง ม.112 ไม่อยากให้ไปยุ่ง ประเทศเรา เราก็รักประเทศของเรา รักพระมหากษัตริย์ของเรา ไม่อยากให้ใครมายุ่ง มีคนมาด่าตนว่าแก่แก่กะโหลกกะลา ก็เฉพาะเรื่องนี้ ขอร้องเถอะครับ” ป๋าเทพ กล่าวทิ้งท้าย

‘ดร.นพดล’ ลั่น!! รู้ข้อมูลผู้อยู่เบื้องหลังม็อบปฏิรูปสถาบันฯ ชี้!! มีขบวนการคอยชักใยเพื่อบั่นทอนเสาหลักของชาติ

ดร.นพดล กรรณิกา เผยกลางรายการ รู้ข้อมูลผู้อยู่เบื้องหลังและคนปั่นกระแส จนมาเป็นการชุมนุมปฏิรูปสถาบันฯ โดยใช้เครื่องมือ และมีคณะทำงานโดยมีกลุ่มไอที (IT) ด้วยกันทั้งหมด 3 กลุ่ม จนรู้ความจริง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ให้สัมภาษณ์ในรายการสนามข่าว ช่อง FM101 ยืนยันว่า รู้ข้อมูลผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด ตลอดจนผู้ปั่นกระแสจนเป็นที่มาของการชุมนุมปฏิรูปสถาบัน และยืนยันว่ามีกระบวนการอยู่เบื้องหลังจริง ตามที่รัฐบาลตั้งข้อสังเกต

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า อาจารย์สำรวจเสียงประชาชนในโลกโซเชียล ผ่านระบบเน็ตซุปเปอร์โพล เพื่อดูความเคลื่อนไหวข้อความที่มีแฮชแท็กและติดเทรนค์ทวิตเตอร์ เช่น #เยาวชนปลดแอก, #หยุดคุกคามประชาชน, #สู้เป็นไทยถอยเป็นทาส, #whathappeninthailand แล้วอาจารย์บอกว่า ไปดูแล้วมีการปั่นจากต่างประเทศเข้ามา 7 เท่า อาจารย์ไปเช็กอย่างไร?

ดร.นพดล ตอบว่า “เรามีวิธี มีเครื่องมือ และมีคณะทำงานโดยมีกลุ่มไอที (IT) ด้วยกันทั้งหมด 3 กลุ่ม แล้วเราใช้เครื่องมือที่เรามีอยู่ ทุกอย่างที่อยู่ในโลกโชเชียล จะมีอยู่ด้วยกัน 2 กลุ่ม คือกลุ่ม structure กับ unstructure ข้อมูลที่มันมีระบบระเบียบกับข้อมูลที่ไม่มีระบบระเบียบแล้วหลังจากนั้นเราจะกวาดหาทั้งหมด แล้วนำมาจัดเป็น layer ต่างๆ ข้อมูลที่มันออกมาจากที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นในโซเชียลหรือนอกโลกโซเซียล ทุกอย่างมันต้องมีแหล่งที่มา เพราะฉะนั้น จะทำให้ทราบว่า มันมาจากไหน ใครเป็นคนเริ่ม และเริ่มเมื่อไร เครื่องมืออันนี้มันมีครื่องมือในการตรวจจับอยู่แล้ว และเครื่องมือที่เราใช้อยู่มันจะสามารถรู้ได้ว่ามันไม่ได้มาจาก proxy มันเป็น uique P ที่เราสามารถจับได้ แล้วก็กลุ่มคนที่ใช้ VPN มันจะเป็น privacy ของเขา”

ดร.นพดล กล่าวต่อว่า มันเริ่มตั้งแต่ต้นปี เรารู้แล้วว่าใครเป็นคนเริ่ม เริ่มวันไหน เริ่มมาตอนแรกไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าทำกันเป็นขบวนการ เริ่มปล่อยออกมา พอปล่อยออกมาแล้วในช่วงจังหวะหนึ่งเราจะเห็นผมนำเสนอไปไม่ได้ทั้งหมด นำเสนอได้บางส่วนเพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเป็น privacy ของคน พอเราจับได้ เราจะเห็นว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ

โดยส่วนใหญ่มันมี Milestone หลักของการเคลื่อนไหว Timeline ของการเคลื่อนไหวแล้วก็จะมีช่วงเวลาหรือจังหวะเวลา หรือวันที่วันไหนที่จะเป็นช่วงที่จะปั่น โดยช่วงก่อนหน้านั้นจะเริ่มมีการปั่นมาทีละเล็กทีละน้อย เหมือนกับเป็น normal cuve ขึ้นจากจุดพีคแล้วก็ตกลง ซึ่งมีการทั้งBoostทั้งปั่น และมีที่เป็นตัวปลอม ที่หลายคนรู้จักคำว่า ‘อวตาร’ ซึ่งคนหนึ่งคน สามารถปั่นกระแสแทน ทำให้เราเห็นภาพภาพของคนป็นหลักหมื่น หลักแสน หลักล้าน จากคนคนเดียว เขาสามารถนั่งปั่นเข้าไปเรื่อยๆ และเครื่องมือที่เขาใช้ทำ ก็เป็นของบริษัทของโซเชียลมีเดียที่ต่างชาติเป็นที่นิยม

เราแยกออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 คือเชิงปริมาณ ซึ่งใช้คนๆเดียวสามารถเปลี่ยน SIM เปลี่ยน account เพิ่มaccount สร้าง account ขึ้นมา แล้วก็ปั่นคนเดียวทำได้เป็นหมื่น เป็นแสน เขาใช้เครื่องมือของบริษัทโชเชียลมีเดีย เชิงปริมาณ จำนวนคน คนคนเดียวทำมือถือไม่รู้เป็นร้อยๆ เครื่อง มีอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ใช้แค่มือถืออย่างเดียว เครื่องมืออุปกรณ์เชื่อมต่อออนไลน์ได้ อันนี้คือปั่นยอด ผมเสนอไปหมดแล้วคำว่าช่องทาง แต่ content ใครอะไร อย่างไร ผมไม่ได้สน สุดท้ายเราเกาะคนนี้ไปเชื่อมโยงคนนั้นเป็น networkไป เห็นออกมาเลยว่าเป็นวัฏจักรแบบนี้ เป็นเครือข่ายเขาทำแบบ online - on ground - online - on ground แบบนี้ไปเรื่อยๆ

on ground ก็คือ ลงพื้นที่ปฏิบัติการลงถนน ถ้าอยู่บนโลกออนไลน์เป็นล้าน แต่ on ground หลักหมื่น หลักพัน #whathappenedinThailand ประเทศไทยมีแค่ 12,290 บัญชีผู้ใช้งานเคลื่อนไหวแต่รวมต่างชาติไปเป็น 2.3 ล้านเพราะมันก็มีเทคนิคอะไรบางอย่าง แต่ที่สำคัญก็คือ คำพูดนี้มันเห็นชัดเจนว่ามันปั่นมาจากข้างนอกเยอะ แล้วก็คือใคร มันออกมาจากทั่วโลกมาจากหลายประเทศ แต่ว่ามันไม่ใช่จะใช้ VPN กันได้หมดทุกคน ก็เรียนให้ทราบได้แล้ว เราก็สามารถรู้แล้ว ซึ่งก็คนที่รู้ได้ดีจริงๆ คือ ISP (Internet service provider) เขารู้แน่ๆ

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า อาจารย์สามารถร่าง map ได้ แล้วว่ามันเริ่มต้นจากตรงไหนเครือข่ายเป็นอย่างไร รู้เลยเหรอว่าเป็นใคร?

ดร.นพดล ตอบว่า มันเปิดเผยตัวจริง รู้เลยว่าเป็นใคร แล้วก็คนนี้ไปเชื่อมโยงกับคนนั้น แล้วสุดท้ายก็ on ground ก็ไปอยู่ในกลุ่มนั้น แล้วก็ออกมาแถลงการณ์อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย อะไรแบบนี้ ซึ่งก็เป็นกลุ่มที่เรารู้กัน ซึ่งข้อมูลมี 2 ประเภท กลุ่มข้อมูลเปิดกับกลุ่มข้อมูลปิด ณ ตอนนี้หน่วยงานของรัฐไปจัดการกับกลุ่มข้อมูลเปิด กลุ่มข้อมูลปิดก็อยู่เบื้องหลัง จะมีเครื่องมือในการปฏิบัติการสามารถจัดการได้ ต้องพูดความจริงต้องเอาความจริงมาเปิดเผย แต่สุดท้ายก็ปั่นเป็นความเท็จ สิ่งนี้พวกเราทำกันเอง ไม่ได้หวังสิ่งใดทั้งสิ้น เราอยากเห็นความมั่นคงไม่อยากซ้ำเติมวิกฤต ซึ่งกลุ่มเคลื่อนไหวพยายามจะบั่นทอนเสาหลักของชาติ

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า ถ้าเราดูทิศทางจากการอภิปรายในสภา โดยรัฐบาลเชื่อว่ามีกระบวนการอยู่เบื้องหลัง

ดร.นพดล ตอบว่า ไม่ใช่แค่ความเชื่อ มันเป็นความจริง แต่ผมไม่ได้อยู่ฝ่ายรัฐบาล

เมื่อผู้ดำเนินรายการ ถามว่า มันจะทำให้ การมองว่ากลุ่มเยาวชนถูกปลุกปั่น

ดร.นพดล ตอบว่า ผมอยู่กับข้อมูลเยาวชนจิตใจบริสุทธิ์จำนวนไม่น้อย แรกๆ ก็จะเป็นเยาวชนพลังเงียบบริสุทธิ์ เขาเริ่มข้ามในโซเชียล มันมีขบวนการ ปฏิบัติการ 2 รูปแบบ รูปแบบแรก คือ ใช้ BOT และ A รูปแบบที่ 2 คือใช้กองกำลังหรือกำลังคน เยาวชนเข้ามาในโลกโซเซียลด้วยความบริสุทธิ์สงสัยว่า เรื่องนี้ป็นอย่างไร พอคลิกกด A และ BOT จะปฏิบัติการทันทีส่งเรื่องนั้นเข้ามาทันที ในแง่ลบต่อสถาบัน ส่งมาอีก จากสงสัย เป็นสงสัยจะจริง จากสงสัยจริงน่าจะจริง ภายหลังจะจริง สุดท้ายจริงแน่ หลังจากนั้นจะเป็น name calling ทำให้ความเห็นแตกต่างจากความคิดหลายอย่างเหลือเพียงแค่ 2 ฝั่ง คือพวกชังชาติ กับพวกสลิ่ม สุดท้ายจะเป็นเหมือนฮ่องกงใครเห็นไม่เห็นด้วยกับเรา เห็นต่างเผาเลย

'เด็กไทยรักสถาบันฯ' แสดงจุดยืนต่อ 'เพลงสรรเสริญฯ' ลั่น!! "ทัวร์ลง ก็แค่เสียงลม คิดดีทำดี จะกลัวทำไม"

ไม่นานมานี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี ‘cancan0823’ ได้โพสต์คลิปแชร์เรื่องราวของ ‘น้องออมสิน วิชญาพร’ เด็กรุ่นใหม่ที่ได้ออกมาแสดงจุดยืนเกี่ยวกับประเด็น ยืนเคารพเพลงสรรเสริญฯ หรือเคารพธงชาติ แล้วโดนกล่าวหาว่าเป็นสลิ่ม ซึ่ง ‘น้องออมสิน’ ได้เปิดเผยความรู้สึกเหล่านี้ว่า…

“เราทำดีอยู่แล้ว เราจะไปกลัวทัวร์ลงทำไม? หนูไปดูหนังในโรง แล้วเขาก็หาว่าหนูเป็นสลิ่ม ตอนนั้นหนูก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน หนูก็ได้ถามกับตัวเอง ที่หนูยืนคือหนูโง่เหรอ? หนูก็แค่แสดงจุดยืนของหนู”

น้องออมสินได้เล่าต่อว่า “มีอยู่วันนึงหนูได้ไปอ่านโพสต์ของพี่เอเกี่ยวกับเรื่อง ‘เพลงสรรเสริญฯ’ และได้ไปคอมเมนต์ใต้โพสต์ว่า “หนูก็ยืน คือมีเพลงสรรเสริญเมื่อไหร่ จะยืนแล้วหยุด” ไม่ใช่แค่เพลงสรรเสริญฯ แต่รวมถึงเพลงชาติ หรือเพลงสวดมนต์ของโรงเรียนอะไรอย่างนี้ก็ต้องยืนแล้วหยุด เป็นการแสดงความเคารพให้กับเพลง หนูยืนตลอด เคยมีเหตุการณ์ที่เข้าไปยืนกับเพื่อน 2 คน แล้วโดนหาว่าเป็นสลิ่ม ก็ไม่ได้ทำยังไงต่อ เพราะพวกหนูยืนของหนูกันอยู่แล้ว ซึ่งก็จะมีคนอื่นเขาหันหน้ามาคุยกันบ้าง อะไรบ้าง แต่หนูก็ไม่ได้สนใจ เราทำหน้าที่ของเรา เราเป็นนักเรียน เราก็ทำหน้าที่ของเราไป เพราะเด็กนักเรียนควรเคารพในเพลงสรรเสริญฯ เพลงชาติ หนูขอถามหน่อยว่า ทำไมโรงเรียนถึงต้องให้เด็กนักเรียนเคารพธงชาติตอน 8 โมงเช้า นั่นเป็นเพราะว่า ‘เราเป็นคนไทย’ มันเป็น ‘เพลงชาติไทย’ ของเรา”

นอกจากนี้ น้องออมสินยังได้เล่าถึงที่บ้านของตน ว่าภายในบ้านจะมีภาพของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในหลวงรัชกาลที่ 5 และในหลวงรัชกาลที่ 10 ติดไว้ในบ้านด้วย อีกทั้งคุณแม่ของตนจะชอบเปิดข่าว ซึ่งตัวของน้องออมสินนั่นเป็นคนชอบฟังข่าวในพระราชสำนักอยู่แล้วด้วย เนื่องจากจะมีภาพฉายให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกปรุงแต่งขึ้นมา และตนเชื่อตามสิ่งที่ตนเห็น 

น้องออมสินยังกล่าวถึงเหตุผลที่ว่า ทำไมตนนั้นไม่เชื่อสื่อที่ให้ร้ายต่อสถาบันฯ ด้วยว่า “เราต้องถามค่ะ อย่างเวลาเห็นอะไรมาหนูจะถามคุณแม่ ว่ามันเป็นแบบนี้จริงเหรอ? ส่วนเพื่อน ๆ นั้นก็จะมีส่งมาให้ดูบ้างเช่นกัน แต่หนูก็จะถามคุณแม่ ซึ่งคุณแม่จะบอกว่า มันก็จะมีพวกแอนตี้อะไรแบบนี้ มันเป็นเฟคนิวส์ ซึ่งหนูก็ไม่ได้โง่ ที่จะยอมให้ใครมาจูงจมูกได้ หนูจะคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนี้ เขามีเจตนาอะไร คือจะรู้อยู่แล้วว่าเขาให้ร้าย หนูเลยเลือกที่จะไม่เชื่อ”

ต่อมา น้องออมสินได้เล่าถึงประเด็น ‘ทัวร์ลง เพราะปกป้องสถาบันฯ’ ว่ามีคนมาคอมเมนต์ด่าหยาบคายและแรงใส่ตน แต่น้องออมสินก็ยังยืนหยัดที่จะขอแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบฯ ต่อไป

“ถ้าหนูจะโดนหาว่าเป็นสลิ่ม ทั้งที่หนูจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ หนูก็ยอมที่จะเป็นสลิ่ม หนูรู้ว่าเรามีความคิดเห็นที่ต่างจากคนอื่น จึงโดนว่าหรือโดนทัวร์ลง แต่หนูก็ไม่กลัว เพราะมันเป็นการแสดงความคิดเห็นของหนู ทำไมหนูถึงต้องกลัว? นั่นเป็นสิ่งที่หนูคิด คนคนหนึ่งคิดเหมือนกัน คนอื่นเขาก็อาจจะมีความคิดเห็นที่ต่างจากเรา หรือคิดเหมือนเรา ซึ่งพวกเขาสามารถคิดได้ ไม่มีใครสามารถมาว่าเราว่าคิดแบบนี้มันไม่ถูกต้อง เวลาเขาแสดงความคิดเห็นของเขา หนูก็รับฟังเหมือนกัน เพราะมันคือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เขาแสดงความคิดเห็นและจุดยืนของเขา หนูก็แสดงจุดยืนให้เขาเห็นเหมือนกัน หนูรับฟังความคิดเห็นของเขาอยู่แล้ว ไม่ได้ไปเถียง ไม่ได้ไปโต้แย้งว่าความคิดเห็นของคุณไม่ถูก และเวลาหนูฟัง หนูก็จะวิเคราะห์ตามเสมอว่าสิ่งนั้นถูกหรือไม่ เราต้องคอยเสพข่าวหลายๆ ทาง หาข้อมูลจากที่อื่น ว่าเขาเขียนเหมือนกับที่เราไปเจอไหม แล้วจึงนำข้อมูลเหล่านี้ มาคิดวิเคราะห์แยกแยะอีกทีหนึ่ง ว่ามันถูกต้องหรือไม่” น้องออมสิน กล่าว

นอกจากนี้ น้องออมสินยังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่คนกลุ่มหนึ่งบอกว่า ‘บุญคุณพ่อแม่ ไม่ต้องทดแทน’ ว่า ตนนั้นไม่เห็นด้วย เพราะพ่อแม่ท่านเลี้ยงลูกมา ทำเพื่อลูกได้ทุกอย่าง ให้ความรัก หรืออะไรก็ตาม ท่านเลี้ยงลูกจนเติบโตมาได้ถึงขนาดนี้ แล้วเหตุใดลูกถึงจะไม่กตัญญูต่อท่าน? ตนไม่เข้าใจคนที่คิดแบบนี้ หากสมมติว่าพ่อแม่ไม่อยากมีลูก ทำไมท่านไม่เอาเราออกตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าจะมีลูก ทำไมถึงเลือกที่จะเก็บเอาไว้ จนเป็นภาระตัวเอง

“พ่อแม่เขาสร้างเรามาเพื่อให้เราเป็นคนดีของสังคม ถ้าเราไม่กตัญญูต่อท่าน แล้วอ้างว่าเพราะเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูกๆ อยู่แล้ว หนูคิดว่ามันไม่ถูกต้อง และการตอบแทนบุญคุณนั้นไม่ได้มีเพียงแค่พ่อแม่เท่านั้น เราสามารถตอบแทนบุญคุณกับคุณครู ญาติ พี่น้อง หรือคนที่คอยให้ความช่วยเหลือในยามที่เราลำบากได้อีกด้วย ใครจะมองว่าหนูหัวโบราณ ก็ช่างเขาไป”

ทั้งนี้ น้องออมสิน ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ที่หนูกตัญญูต่อสถาบันฯ เพราะว่า ในหลวงท่านทรงทำงานหนัก ทรงเหนื่อย ท่านทำเพื่อประชาชนมามากมาย หนูคิดว่าคนที่ยังจงรักภักดีต่อสถาบันฯ ก็ยังมีอยู่ในคนรุ่นใหม่ ขอให้กล้าที่จะแสดงจุดยืนของตัวเอง ไม่ต้องไปกลัวว่าทัวร์จะลง หรือว่าจะโดนอะไร ไม่ต้องไปสนใจคนที่เขามาว่า ส่วนคนที่มาว่า เราก็คิดเสียว่าเป็นเสียงลม เสียงนก เสียงไม้ ไม่ต้องไปสนใจ มันเป็นความคิดเห็นของเรา เราทำดี คิดดีตลอด เราจะไปกลัวทำไม”

กาฬสินธุ์รวมพลังถวายกำลังใจแด่กรมสมเด็จพระเทพประกาศปกป้องสถาบัน

ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ นำข้าราชการ ศาล อัยการ ทหาร ตำรวจ และพสกนิกรชาวกาฬสินธุ์ทุกหมู่เหล่าพร้อมใจกันสวมเสื้อสีม่วงร่วมแสดงพลังถวายกำลังใจแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมประกาศขอปกป้อง และจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ที่หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา หน้าศาลากลาง จ.กาฬสินธุ์ (หลังเก่า) นายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยนางวันทนา อินทปัตย์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.กาฬสินธุ์ นางสิริวิมล พงษ์อักษร นายกเหล่ากาชาด จ.กาฬสินธุ์ นายธวัชชัย รอดงาม, นายธนภัทร ณ ระนอง, นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ พ.อ.นิสิต สมานมิตร รองผอ.รมน.กาฬสินธุ์ นางอุบลรักษ์ ศิริกุลแสบงบาล อัยการ จ.กาฬสินธุ์ นายผดุงศักดิ์ อิ่มเอิบ ปลัด จ.กาฬสินธุ์ พ.ต.อ.ชัยพร พงษ์ศักดิ์ รองผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยนายอำเภอทั้ง 18 อำเภอ ข้าราชการทุกหน่วยงาน ศาล อัยการ ทหาร ตำรวจ นักเรียน นักศึกษา และพสกนิกรชาว จ.กาฬสินธุ์ทุกหมู่เหล่ากว่า 1,000 คน ซึ่งพร้อมใจกันแต่งกายด้วยชุดโทนสีม่วง สีประจำพระองค์ร่วมแสดงพลังถวายกำลังใจแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมประกาศขอปกป้องและจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย 

โดยนายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ ได้วางพุ่มดอกไม้ และถวายธูปเทียนแพ เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นำกล่าวน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะ และพระราชปณิธานอันแน่วแน่ ในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจด้วยพระราชหฤทัยเปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณ เพื่อบำบัดทุกบำรุงสุข แก่อาณาประชาราษฎร์ ล้วนเป็นที่ประจักษ์อยู่ในดวงใจของพสกนิชาวไทยตลอดมา พร้อมร่วมกันขับร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังอย่างกึกก้อง 

จากนั้นนำทุกภาคส่วนลงนามถวายกำลังใจ และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอย่างเหน็ดเหนื่อยมาโดยตลอด อีกทั้งยังรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด พสกนิกรชาว จ.กาฬสินธุ์ทุกหมู่เหล่าจึงได้ร่วมกันแสดงพลังประกาศขอปกป้อง และแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งในครั้งนี้ 

‘รทสช.’ จัดงาน ‘อาสามาด้วยใจ’ ครั้งแรก เดินหน้าตามอุดมการณ์พรรค ด้าน ‘พีระพันธุ์’ ลั่น!! ขอมุ่งมั่นทำงานค้ำจุน 3 สถาบันหลักของชาติ

(17 ก.พ. 67) ที่อาคารศรีจุลทรัพย์ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จัดกิจกรรม ‘อาสามาด้วยใจ’ ครั้งที่ 1 เพื่อให้อาสาสมัครในโครงการได้ทำกิจกรรมร่วมกับแกนนำของพรรค นำโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค และ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรค โดยกิจกรรมดังกล่าวนี้ จะมีการจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกหลายครั้ง

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า การมาตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อลงเลือกตั้ง และถูกวิจารณ์มากว่าไม่เคยอยู่ในสายตา สื่อบางสำนักบอกว่าเลือกตั้งจะได้สส.ไม่เกิน 7 คน แต่ผลการเลือกตั้งออกมาได้ สส.ได้ถึง 36 คน ถือว่าเกินความคาดหมาย ด้วยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะนั้น โดยทำพรรคตามแนวทางที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ใช้พละกำลังทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ นี่คือ DNA ของพรรค ตามสโลแกนของพรรคที่ว่าเราจะแก้ไขให้ทุกปัญหา เราจะเป็นที่พึ่งพาได้ทุกเรื่อง ประชาชนที่เดือดร้อนถ้าเราแก้ปัญหาให้เขาได้ ประชาชนก็มีความสุข

“การทำโครงการอาสาสมัครด้วยใจ เพื่อต้องการแขนขาของพรรคมาช่วยเหลือประชาชน เป็นหูเป็นตา อะไรที่ช่วยเหลือกันได้ก็มาช่วยกัน วันนี้เรามีอาสาสมัครที่มาทำงานด้วยใจกว่า 400 คนแล้วจากทั่วประเทศ จากเดิมที่คิดว่า 100 คนก็ดีใจแล้ว โดยการทำงานจะแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ขอขอบคุณที่มาช่วยกัน หวังว่าจะมาช่วยกันสร้างชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า อุดมการณ์ที่สำคัญที่สุดคือ ทำงานเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ค้ำจุนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้คงอยู่ต่อไป” หัวหน้าพรรคไทยรวมไทยสร้างชาติกล่าว

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า การทำงานการเมืองไม่มีอะไรตอบแทน มีแต่ความเสียสละทำงานด้วยใจ พร้อมช่วยชาวบ้าน ความสุขอยู่ตรงนั้น นั่นคือคำตอบของอาสาสมัคร มีความเสียสละ ถ้ามีปัญหาเดือดร้อนขอให้แจ้งมาที่พรรค พรรคพยายามช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้มากที่สุด โดยสามารถแจ้งได้ที่สถานียุติธรรมของพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งทำมาตั้งแต่ตนเป็น รมว.ยุติธรรม และได้เอามาสานต่อที่พรรครวมไทยสร้างชาติ

ด้านนายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนมีความภาคภูมิใจมาก ที่ได้มาอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ แม้เส้นทางไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ เป็นเส้นทางที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรค แต่ตนศรัทธาในจุดยืนของพรรค และจุดยืนของนายพีระพันธุ์ว่า จะเป็นผู้นำพรรคให้สามารถทำงานร่วมกันแก้ไขปัญหาให้ประชาชนและประเทศชาติได้ ในที่สุดเราผ่านการเลือกตั้งมา และโชคดีที่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา มีผู้ใหญ่ที่เป็นที่รักเคารพของคนไทยทั้งประเทศมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มาเป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรค รวมไทยสร้างชาติ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ถือธงนำทัพพรรครวมไทยสร้างชาติครั้งแรก ถือเป็นประวัติศาสตร์ของพรรคหลังเลือกตั้งได้ สส.36 คน ได้คะแนนกว่า 4,800,000 คะแนน ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา ครั้งนี้จึงเป็นงานสำคัญที่ นายพีระพันธุ์ และตนต้องระดมพลทั่วประเทศ จึงเป็นที่มาที่เราได้มาเจอกันในวันนี้ เพราะปรากฏการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราไม่อยากปล่อยให้หายไป เราอยากรักษาพลังส่งต่อภารกิจไปยังรุ่นต่อๆ ไป

“สำหรับ จุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อบ้านเมืองประสบปัญหาเราแสดงจุดยืนชัดเจน จึงเห็นภาพเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (14 ก.พ. ) ผมได้ขออนุญาตหัวหน้าพรรค คุยกับ สส.ของพรรค และวิปรัฐบาลว่า จะเสนอญัตติ เรื่อง การถวายความปลอดภัย ขบวนเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ นี่คือจุดยืนสำคัญของพรรคในการรักษาสถาบันเสาหลักของประเทศ ถือเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวด้านความรักความสามัคคีของประเทศ ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า“ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติกล่าว

นายเอกนัฏ กล่าวว่า หลังจากวันนี้ไปจะมีการจัดเวทีลักษณะนี้อีกหลายครั้ง ขอขอบคุณด้วยใจจริงที่ทุกคนได้เอื้อมมือมาที่พรรค หวังว่าหลังจากนี้ไปพวกท่านจะไปเชิญชวนเพื่อนร่วมอุดมการณ์มาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของกิจกรรมได้มีการเปิดโอกาสให้อาสาสมัครได้ซักถามปัญหา โดยมี นายพีระพันธุ์ เป็นผู้ตอบปัญหา เพื่อไขความกระจ่างด้วยตนเอง พร้อมทั้งถ่ายรูปหมู่ร่วมกันบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก

‘ฟ้าคราม’ ชวนคนไทย #ยืนข้างสถาบัน #องคมนตรีลุงตู่ ทำเพื่อ ‘ชาติ-ปชช.’ ลั่น!! พรรคไหนด้อยค่าสถาบัน คนไทยควรยืนอยู่ตรงข้ามแบบชัดเจน

(26 ก.พ.67) ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อช่อง fhakram.chavit หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘คุณฟ้าคราม’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนคนไทย ออกมายืนหยัดเคียงข้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้ที่สร้างคุณงามความดี สร้างประโยชน์แก่แผ่นดินไทย โดยระบุว่า…

“อ้าว ยืนข้างนักการเมืองเหรอครับ ผมขอไม่ยืนข้างนักการเมืองนะครับ ผมขอยืนเคียงข้างสถาบันฯ ตลอดไปครับ ผมฟ้าครามนะครับ

อ๋อ องคมนตรีลุงตู่อีกคนครับ เพราะว่าท่านไม่ได้เป็นนักการเมืองแล้ว และหลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรที่ต้องด่างพร้อยแล้ว มีแต่ผลงานที่ฝากเอาไว้มากมาย งั้นผมก็ขอยืนเคียงข้างองคมนตรีลุงตู่อีกคนนะครับ”

คุณฟ้าคราม ยังกล่าวอีกว่า นักการเมืองมาแล้วก็ไป ได้รับผลประโยชน์เยอะแยะมากมาย ทุกพรรคต่างฝ่ายต่างโจมตีกันไปโจมตีกันมา แต่สถาบันฯ อันเป็นที่รักนั้น จะอยู่เป็นเสาหลัก ปักหลักให้กับประเทศชาติ และความมั่นคงของชาติต่อไป

“หากมีพรรคการเมืองไหน สามารถที่จะลากกลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่ง ให้ออกมาด้อยค่าสถาบันฯ มาหมิ่นสถาบันฯ ได้นั้น ผมขอเลือกอยู่ตรงข้ามพรรคการเมืองนั้นตลอดไปครับ ชีวิตต้องชัดเจน ชีวิตต้องเลือกให้ถูก ไม่ได้หรอก นักการเมืองเขาผลประโยชน์เยอะ โจมตีกันไปโจมตีกันมา เป็นเกมทางการเมือง แต่ถ้ายึดและยืนข้างสถาบันฯ อันเป็นที่รักของเรานั้น มีแต่ความมั่นคงและแน่นอนที่สุดครับ” คุณฟ้าคราม กล่าวทิ้งท้าย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top