Monday, 29 April 2024
นักแสดง

มิตรภาพสองนักแสดง!! ‘Al Pacino - Robert De Niro’ เพื่อนซี้กว่า 50 ปี มิตรภาพลูกผู้ชายที่ยืนยงด้วยการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

Robert De Niro และ Al Pacino ต่างก็เป็นนักแสดงอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียนที่เติบโตในมหานครนิวยอร์ก 

โดย De Niro เกิดเมื่อ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ และเติบโตในย่าน Greenwich Village ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขต Manhattan ของมหานครนิวยอร์ก 

ส่วน Pacino เกิดเมื่อ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๓ และเติบโตในเขต Bronx ของมหานครนิวยอร์กเช่นกัน

Robert De Niro ในวัยเด็กกับ Robert De Niro Sr. ผู้เป็นพ่อ

นอกจากเติบโตในมหานครนิวยอร์กเหมือนกันแล้ว ความเหมือนอีกอย่างของทั้งสองคน ก็คือ พ่อ-แม่แยกทางกันตั้งแต่พวกเขาอายุเพียงสองขวบทั้งคู่ 

โดย Virginia Admiral และ Robert De Niro Sr. (แม่และพ่อของ De Niro) ซึ่งทำอาชีพเป็นศิลปินวาดภาพทั้งคู่แยกทางกัน เนื่องจาก Robert De Niro Sr. ได้เปิดเผยว่าตัวเองเป็นเกย์ และ Virginia Admiral ก็เป็นผู้เลี้ยงดูเขานับแต่นั้นมา โดยมี De Niro Sr. ผู้เป็นพ่อดูแลอยู่ห่าง ๆ 

ส่วน Pacino นั้นแม่ของเขา Rose Gerardi หย่ากับ Salvatore Pacino พ่อของเขา โดยแม่เป็นผู้ดูแลเขาตั้งแต่นั้นมา ส่วนผู้เป็นพ่ออพยพโยกย้ายไปอยู่เมือง Covina ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย

HB Studio (Herbert Berghof Studio) โรงเรียนการแสดงที่ทั้งคู่เคยเข้าเรียน

ต่อมาทั้งคู่ก็เข้าเรียนในโรงเรียนการแสดงเหมือนกัน ซ้ำยังเป็นโรงเรียนเดียวกัน  โดย Pacino เข้าเรียนใน HB Studio (Herbert Berghof Studio) ส่วน De Niro ก็เข้าเรียนใน HB Studio และ Lee Strasberg's Actors Studio แต่เข้าเรียนที่ HB Studio ต่างเวลากัน และทั้งคู่ต่างก็ชื่นชมนักแสดงที่มีความสามารถเหมือนกัน เช่น Marlon Brando และ James Dean 

นอกจาก ทั้งคู่ยังเริ่มอาชีพการแสดงด้วยบทบาทสำคัญในภาพยนตร์เกี่ยวกับ ‘อันธพาล/นักเลง’ โดยหนึ่งในบทบาทแรกๆ ของ Pacino คือบทบาทของ Michael Corleone ใน The Godfather (ค.ศ. 1972) 

ในขณะที่ De Niro แสดงในบทของ John ‘Johnny Boy’ Civello ใน Mean Streets (ค.ศ. 1973)

ทั้งสองพบกันในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ในมหานครนิวยอร์กบ้านเกิดของทั้งคู่ โดยต่างก็เป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพการแสดง แล้วพวกเขาก็เป็นเพื่อนกันตั้งแต่นั้นมา 

ความมหัศจรรย์ระหว่างนักแสดงสองคนบนหน้าจอนั้นเข้มข้นมาก และบทบาทของพวกเขาก็น่าทึ่งมากเช่นกัน จนดูเหมือนว่าเราจะได้เห็นพวกเขาแสดงร่วมกันในภาพยนตร์หลายเรื่อง แต่ในความเป็นจริงแล้ว The Irishman (ค.ศ. 2019) เป็นเพียงภาพยนตร์เรื่องที่ ๔ ที่นำแสดงโดย Pacino และ De Niro ส่วนอีก ๓ เรื่องคือ Heat (ค.ศ. 1995), Righteous Kill (ค.ศ. 2008) และ The Godfather Part II (ค.ศ. 1974) ซึ่งเรื่องนี้พวกเขาไม่ได้เข้าฉากที่แสดงร่วมกันด้วยซ้ำ

Godfather Part II เป็นภาพยนตร์ที่แสดงในเรื่องเดียวกันเป็นเรื่องแรก แต่ไม่เคยได้ร่วมฉากกันเลย

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ทั้งสองได้แสดงในภาพยนตร์เรื่องเดียวกันเป็นเรื่องแรก แต่ไม่เคยได้ร่วมฉากกันเลยใน The Godfather Part II หรือแม้กระทั่งเกือบตลอดทั้งเรื่องของ HEAT พ.ศ. ๒๕๓๘ แต่ในที่สุดพวกเขาก็ปรากฏตัวในเฟรมเดียวกันของภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยแสดงฉากนั่งร่วมกันบนโต๊ะอาหาร 

ในที่สุดพวกเขาก็ปรากฏตัวในเฟรมเดียวกันของภาพยนตร์เรื่อง HEAT โดยแสดงฉากนั่งร่วมกันบนโต๊ะอาหาร

Pacino อายุมากว่า De Niro สามปี และมักแสดงท่าทีในการปกป้อง De Niro อย่างเห็นได้ชัด เพราะปกติแล้ว De Niro เป็นคนที่พูดน้อยเพียงไม่กี่คำ และเป็นคนที่พูดต่อหน้านักข่าวน้อยมาก ๆ อีกด้วย

ครั้งหนึ่งในช่วงการให้สัมภาษณ์ร่วมกันของ Robert De Niro และ Al Pacino ตัว De Niro นั่งเงียบ ๆ บนเก้าอี้โซฟา และแทบไม่จะพูดอะไรเลย เว้นแต่จะหัวเราะ ขณะที่ Pacino ยืนคำรามหรือออกท่าทางแสดงเป็นตัวละคร และอธิบายฉากต่าง ๆ ที่มาจากชีวิตจริงของพวกเขา 

ทั้งรูปลักษณ์อันหล่อเหลาของ Pacino ก็ร่วงโรย ส่วน De Niro ก็รับบทบาทเป็นพ่อและปู่มากขึ้น เนื่องจากกาลเวลาและสังขารได้เปลี่ยนไป (ด้วยอายุที่มากขึ้น จึงต้องรับบทบาทการแสดงที่เหมาะกับอายุ)

ท่ามกลางสื่อมวลชน พวกเขามักจะแสดงออกต่อกันอย่างอ่อนโยน และบ่อยครั้ง Pacino จะคอยสกัดบางคำถามที่ถาม De Niro แล้วเปลี่ยนมาตอบคำถามด้วยตนเองแทน ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์นี้ ชายทั้งสองยืนขึ้นและโอบกอดกันอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลานาน และ Pacino ก็ได้พูดกับ De Niro ว่า “ฉันรักนาย”

‘เชอรี่ เข็มอัปสร’ ปลุกไฟการแสดงในรอบ 8 ปี รับบทหมอผ่าตัดหัวใจ ในละคร ‘ลมเล่นไฟ’

(24 ก.ค. 66) ที่ช่อง3 ‘เชอรี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ’ นางเอกชื่อดัง ให้สัมภาษณ์หลังมาร่วมงานบวงสรวงละคร ลมเล่นไฟ ถึงเรื่องที่ตัดสินใจกลับมาเล่นละครในรอบ 8 ปี ปลุกไฟตัวเองเหมือนเป็นนักแสดงหน้าใหม่ พร้อมเผยเคล็ดลับหน้าไม่เปลี่ยน

>>เหตุผลที่กลับมารับละครในรอบ 8 ปี? 
เชอรี่ เข็มอัปสร: “ทุกอย่างมันลงตัวค่ะ เราไม่เคยแพลนเลยว่าจะกลับมาเล่นละคร ที่ผ่านมาก็มีคนส่งบทมาให้อ่าน แล้วก็รู้สึกมั่นใจเลยว่ากระทิง (เลือดมังกร) น่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายแน่ๆ คิดอย่างนั้นมาตลอด จนพอพี่นก (จริยา) ส่งบทเรื่องลมเล่นไฟมา ซึ่งพี่นกโทรมาด้วยความเกรงใจว่ายังไงเราก็ไม่น่าจะรับหรอก แต่ว่าอยากให้ลองอ่านก่อน แล้วพออ่านแล้วชอบตัวบท อยากเล่นเป็นหมอเพราะไม่เคยเล่นเป็นหมอผ่าตัดหัวใจด้วย แล้วเรื่องครอบครัวแบบนี้ก็ไม่เคยเล่น เลยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง”

>>ย้อนไปตอนที่รู้สึกว่าไม่อยากเล่นละคร เป็นเพราะอะไร? 
เชอรี่ เข็มอัปสร: “ไม่รู้เลยค่ะ มันแค่อ่านบทแล้วไม่รู้สึกอยากเล่น ตั้งแต่ท้ายๆ ที่รับงานมาจะมาจากการที่อ่านบทแล้วเห็นตัวเองและอยากเล่น แต่มันไม่เห็นเลย ซึ่ง 8 ปีที่ผ่านมาก็ปฏิเสธไปหลายเรื่อง บวกกับมีงานที่เราไปเริ่มด้านสิ่งแวดล้อมด้วยแล้วเราก็อินมาก กลายเป็นไฟในใจในด้านนั้นไปซะเยอะ พอมันไม่มีไฟด้านการแสดงที่มาคอยเติมเลยแบบมองว่าทางโน้นมันสนุกอยู่”

>>ปลุกไฟตัวเองยังไงให้กลับมาอีกครั้ง? 
เชอรี่ เข็มอัปสร: “อ่านบทค่ะ ต้องขอบคุณเรื่องลมเล่นไฟจริงๆ ไม่ใช่แค่ตัวบทที่เราเล่น แต่ชอบตัวละครรายล้อมทุกตัวเลย มันไม่ค่อยเหมือนเรื่องครอบครัว ความแตกแยก เมียหลวงเมียน้อยอันอื่นๆ ที่เป็นเพราะผู้ชายเจ้าชู้ แต่เรื่องนี้เราเป็นครอบครับที่แข็งแรง แต่อะไรที่มันทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้”

>>ลงสนามจริงต้องเคาะสนิมเยอะไหม? 
เชอรี่ เข็มอัปสร: “ตอนแรกกลัวมากในการกลับมาเล่น (หัวเราะ) เลยขอเวิร์กช็อปและทำการบ้านของตัวเอง ทั้งในแง่ของการเป็นหมอผ่าตัดและในการเล่นละคร แล้วพอเราทำการบ้านเยอะจนถึงวันเปิดกล้อง ปรากฏว่าซีนแรกๆ ที่เขาให้เราเล่นคือดรามาขีดสุดเลย เราก็แบบทำไมรีบปิดโลเคชันเหรอ (หัวเราะ) วันสองวันแรกที่มาถ่ายคือไปถึงตอน 8 แล้ว รีบเหรอคะ ไม่ให้เวลาในการอุ่นเครื่องเหรอคะ แต่ข้อดีคือพอมันยากไปขีดสุดแล้ว มันคลายความกังวลและกำแพงทั้งหลายของเราไปหมดเลย ทำให้ไม่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวเยอะ”

>>บรรยากาศในกองถ่ายเปลี่ยนไปไหมจาก 8 ปีที่แล้ว?
เชอรี่ เข็มอัปสร: “เปลี่ยนค่ะ ความเฟรชของตัวเราในการที่เราเล่นตอนนั้น พอเราหยุดไปแล้วกลับมาเล่นเรารู้สึกว่าเราคือนักแสดงหน้าใหม่ท่านหนึ่ง (หัวเราะ) ตั้งใจในทุกรายละเอียดไปหมดเลย แต่ตัวเองก็ยังคิดว่านี่ก็อาจจะเป็นเรื่องสุดท้ายก็ได้ มันก็เลยเป็นความพยายามที่เราจะทำงานเต็มที่ที่สุดและมีความสุขในทุกๆ วัน (แล้วจะรับละครเรื่องใหม่ต่อเลยไหม?) ไม่รู้เลย ถ้าอ่านบทแล้วเจออีกเมื่อไหร่ก็คือเมื่อนั้นค่ะ”

>>8 ปีที่หายจากละครไป สิ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยคือหน้าเหมือนสตัฟฟ์ไว้?
เชอรี่ เข็มอัปสร: “ขอบคุณค่ะ (ยิ้ม) ยอมรับว่าเขินพอคนชมแบบนี้ แต่เราก็ดูแลตัวเอง ดูแลนี่หมายถึงทุกอย่างรวมกัน ทั้งภายใน ทั้งอาหารการกิน การพักผ่อน หรือการทรีตเมนต์เสริมความงาม แล้วเราก็เน้นเรื่องของความเป็นธรรมชาติ ทำยังไงให้เราประคองให้ได้แบบสมวัย ไม่อยากจะศัลยกรรม”

>>เคยไปจิ้มๆ บ้างไหม?
เชอรี่ เข็มอัปสร: “ถ้าเป็นทรีตเมนต์ เลเซอร์อะไรอย่างนี้ปกติค่ะ (มีแพลนอยากทำศัลยกรรมบ้างไหม?) ถ้าเป็นสมัยเด็กเลยจะแอนตี้เรื่องศัลยกรรม แต่พอมา ณ วันนี้อาจจะต้องหาข้อมูลอะไรบ้างเผื่อไว้ (หัวเราะ) แต่ก็อยากให้เป็นอนาคตอันไกลที่สุด (โบทอกซ์ล่ะ?) อันนี้ทำได้ จริงๆ จิ้มหางตานิดๆ หน่อยๆ ก็ทำเพราะว่าเป็นคนตาโต ซึ่งถ้าฉีดมันจะเห็นชัดมาก เพราะฉะนั้นเราไม่ชอบอะไรที่มันดูไม่ธรรมชาติอ่ะค่ะ”

นักแสดงหนุ่มรุ่นใหญ่!! 'บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์' ชวนดารานักแสดงช่อง 7 และพุทธศาสนิกชน เข้าวัดทำบุญขอพร 'พระครูแจ้' ในวันอาสาฬหบูชา

ที่วัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ นายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ดารานักแสดงชื่อดังและนักสังคมสงเคราะห์ พร้อมด้วย นายชนะพล สัตยา ดารานักแสดง ช่อง 7 สี และเหล่าเพื่อนดารานักแสดงร่วมในพิธีทำบุญตักบาตร ถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในวันอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา ประจำปี 2566 ณ วัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

โดยได้รับความเมตตา จากท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ประธานสงฆ์ พร้อมนำคณะสงฆ์วัดบางพลีใหญ่กลาง รับบิณฑบาตข้าวสาร อาหารแห้ง จากพุทธศาสนิกชน จากนั้น ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ได้แสดงพระธรรมเทศนาเนื่องในวันอาสาฬหบูชา ต่อมานำคณะสงฆ์วัดบางพลีใหญ่กลาง ประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถา 

โดยมี นายฉะโอด รุ่งเรือง อดีตนายก อบต.บางพลีใหญ่ และไวยาวัจกร นายโสภณ มหาบุญ รองนายก อบต.บางพลีใหญ่ นายภูมินันท์ ขวัญเมือง อดีตรอง ผอ.สพป.เขต 2 สมุทรปราการ พ.ต.อ.กรวัฒน์ หันประดิษฐ์ อดีตรอง ผบก.ชลบุรี ดร.วีร์สุดา รุ่งเรือง นายก อบต.บางพลีใหญ่ ข้าราชการตำรวจ สภ.บางพลี และข้าราชการพลเรือน ตลอดจนพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดสมุทรปราการ ร่วมในพิธี

และสำหรับในช่วงบ่าย เวลาประมาณ 14.00 น. คณะสงฆ์วัดบางพลีใหญ่กลาง ร่วมประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถาสวดปาติโมกข์ เนื่องในวันอาสาฬหบูชา จากนั้น ในช่วงเวลา 17.00 น. คณะสงฆ์วัดบางพลีใหญ่กลาง พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนและเหล่าดารานักแสดง ร่วมประกอบพิธีเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ เนื่องในวันอาสาฬหบูชา อีกทั้ง เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวอีกด้วย

‘ไมเคิล แกมบอน’ เจ้าของบท ‘ศ.อัลบัส ดัมเบิลดอร์’ เสียชีวิตแล้วในวัย 82 ปี หลังจากป่วยโรคปอดบวม

(29 ก.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เซอร์ไมเคิล แกมบอน นักแสดงชาวอังกฤษเชื้อสายไอร์แลนด์ ผู้รับบทศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนฮอว์กวอตส์ ในภาพยนตร์แฟรนไชส์ดังอย่าง ‘แฮร์รี พอตเตอร์’ ได้เสียชีวิตลงแล้วอย่างสงบในวัย 82 ปี ที่โรงพยาบาล

จากการแถลงการณ์ของเลดี้แกมบอน (ภรรยา) และเฟอร์กัส (ลูกชาย) ระบุว่า "เราเสียใจอย่างยิ่งที่ต้องประกาศการสูญเสียเซอร์ไมเคิล แกมบอนที่เป็นทั้งสามีและพ่ออันเป็นที่รัก เขาเสียชีวิตอย่างสงบในโรงพยาบาล โดยมีแอนน์ ภรรยาของเขาและเฟอร์กัส ลูกชายอยู่ข้างเตียง หลังจากป่วยด้วยโรคปอดบวม"

เซอร์ไมเคิล แกมบอน เกิดที่เมืองดับลิน ประเทศไอร์แลนด์เมื่อปี 1940 แต่ย้ายไปอยู่ลอนดอนตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาเติบโตขึ้นมาในชุมชนผู้อพยพชาวไอริชในแคมเดน และงานแรกของเขาคือช่างทำเครื่องมือฝึกหัด เขาเริ่มมีความหลงใหลในปืนโบราณ นาฬิกา และรถคลาสสิก

เริ่มต้นเส้นทางการแสดงจากการเป็นหนึ่งในสมาชิกของโรงละครรอยัล เนชันแนล เธียเตอร์ ในกรุงลอนดอน และได้แสดงในบทประพันธ์ของเชกสเปียร์หลายเรื่อง ทั้งยังได้รับพระราชทานเครื่องราชชั้นอัศวินจากการทำงานในแวดวงอุตสาหกรรมบันเทิงในปี 1998 แต่ที่เป็นที่โด่งดังที่สุดกับการรับบทศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนฮอว์กวอตส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวละครดังในภาพยนตร์เรื่องดัง ‘แฮร์รี พอตเตอร์’ ผลงานเขียนของ เจ.เค. โรว์ลิง นักเขียนนวนิยายคนดัง
 

นักแสดงหนุ่ม ‘โอ๊ตมีล’ ร่ำไห้ ถูกช่างตัดผมตัดใบหู เย็บ 7 เข็ม ทางร้านนิ่งเงียบไม่รับผิดชอบใดๆ ลั่น!! ตอนนี้เสียสุขภาพจิตสุดๆ

(6 พ.ย. 66) ผู้ใช้งานติ๊กต็อก (TikTok) ‘Oatmeal’ ซึ่งเป็นของนักแสดงชาย สังกัด เอ็มโฟลว์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด ได้ออกมาอัดคลิปพร้อมขอความช่วยเหลือจากพี่ ๆ สื่อมวลชน ระบุข้อความว่า…

"ในวันที่ 28 ก.ย. 2566 ที่ผ่านมา ผมไปรับบริการตัดผมที่ร้านตัดผม ย่านทองหล่อ แล้วเกิดอุบัติเหตุ ช่างตัดผมตัดหู และเย็บไป 7 เข็มครับ หลังจากนั้นทางช่างจ่ายค่ารักษาพยาบาลไป 15,375 บาท และไม่มีการรับผิดชอบอะไรเพิ่มเติมนอกจากนี้ครับ มีการเจรจาไปแล้ว 1 ครั้ง ช่างตัดผมไม่ให้ค่าสินไหมใดๆ ทดแทน

แต่จะให้เงิน 1,500 บาทไปทำประกันที่พ่วงกับบัตรเครดิตครับ ซึ่งผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะให้ไปคุ้มครองตอนไหน ในเมื่อผมเจ็บตัวไปแล้ว และบอกว่าจะดูแลเรื่องแผลเป็น แต่พอสังกัดผมทักถามไป ก็ไม่มีการรับผิดชอบใด ๆ กลับเงียบเฉย ตอนนี้ผมเป็นแผลเป็นที่ติ่งหูด้านขวาครับ และเสียสุขภาพจิตมาก ๆ ผมในฐานะนักแสดงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ผมไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้เลยครับ ทั้ง ๆ ที่ผมโดนตัดหูแท้ ๆ วันนี้ผมจึงรวบรวมความกล้าที่อยากจะติดต่อพี่ ๆ สื่อมวลชนในการขอความช่วยเหลือเพื่อความเป็นธรรมครับ"


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top