Thursday, 2 May 2024
จำนำข้าว

'หมอวรงค์' ท้า 'พท.' ฟื้นจำนำข้าว! เตือน!! ระวังเจอคุก-เผ่นนอกซ้ำแน่

‘หมอวรงค์’ ย้อนคดีจำนำข้าว แดงโร่โกงทั้งแผ่นดิน ท้า พท. กล้าฟื้นโครงการจริงมั้ย เตือนระวังติดคุก หรือได้เผ่นนอกประเทศซ้ำอีกแน่

8 พ.ย. 64 - นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ “จำนำข้าวยิ่งลักษณ์” โดยระบุว่า

ช่วงนี้พรรคเพื่อไทย ออกมาพูดเรื่องข้าวกันมาก เลยเถิดไปถึงโครงการรับจำนำข้าว สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ออกมาเบี่ยงประเด็นเรื่องการขาดทุน

สิ่งที่ต้องย้ำให้พรรคเพื่อไทยให้ตาสว่าง ต้องแยกระหว่าง “ขาดทุน” กับ “โกง” การช่วยประชาชน ลำพังขาดทุนนั้นพอรับได้ แต่ไม่ควรให้ถึงชาติล่มจม

แต่ปัญหาใหญ่ของโครงการรับจำนำข้าวคือ “โกง” โกงกันทุกขั้นตอน ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ จนทำให้เงินที่ควรจะถึงชาวนา เกวียนละ 15,000 บาท ถ้าหักความชื้นถูกต้อง น่าจะเหลือ 14,000 บาท แต่เอาเข้าจริง ๆ เหลือ 10,000 - 12,000 บาทต่อเกวียนเท่านั้น

‘วรวัจน์’ ลั่นหาก ‘เพื่อไทย’ ได้เป็นรัฐบาล จะฟื้น "จำนำข้าว" พร้อมผลักดันนโยบายช่วยเกษตรกร - ชาวนาไทย

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า "เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสู จำเป็นอาจิณ เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน บทกวี “เปิบข้าว” ของจิตร ภูมิศักดิ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 นับถึงปัจจุบันปี 2564 ก็กว่า 60 ปีมาแล้ว ยาวนานหลายต่อหลายชั่วอายุคน เป็นบทกวีที่สอนให้คนไทยสำนึก และให้ตระหนักถึงบุญคุณของชาวนา

ทำให้เห็นว่าอาชีพชาวนานั้น เป็นอาชีพ ที่ยากลำบากยิ่ง กว่าจะได้ข้าวแต่ละเมล็ดมาให้เราทาน กี่ปีมาแล้วล่ะ ที่ชาวนาเหน็ดเหนื่อย กับการทำงานหนัก แต่ก็ในชั่วชีวิตของพี่น้องชาวนา ก็ยังคงมีแต่คำว่า หนี้สิน และหนี้สิน น่าเสียดายที่เพียงวาทกรรม คำว่า “ขาดทุน” ที่ถูกนำมาใช้ ในโครงการปกติของรัฐบาล นายกฯ ยิ่งลักษณ์ (อันที่จริงคำว่า “ขาดทุน” ไม่สามารถนำมาใช้กับโครงการช่วยเหลือเกษตรกรของภาครัฐได้) ซึ่งความจริง เป็นโครงการที่ก่อให้เกิดรายได้แก่ประชาชน เป็นการกระตุ้นให้เกิดการ จับจ่ายใช้สอยและหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของการบริหารการเงินภาครัฐ เพื่อที่รัฐบาลจะได้มีโอกาสเก็บภาษีจากทุกรายจ่ายที่เกิดขึ้นในทุกขั้นตอนของการใช้จ่ายเงิน (ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการที่ไม่มีโครงการจำนำข้าวเหมือนในอดีต ก็จะเห็นได้ว่าระบบเศรษฐกิจ ในปัจจุบันซบเซา เงินหมุนเวียนในระบบหายไป และรัฐบาลก็จัดเก็บภาษีไม่ได้)

ทำให้ทุกวันนี้เกษตรกรชาวนาและประชาชน เริ่มคิดถึงโครงการจำนำข้าวมากขึ้นทุกวัน เมื่อเปรียบเทียบกับโครงการประกันรายได้ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นก็จะเห็นว่าเกษตรกรชาวนามีความนิยมชมชอบโครงการจำนำข้าวมากกว่า เพราะทำให้ ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น เพียงพอที่จะชำระหนี้สินที่มีมาในอดีตและสามารถลืมตาอ้าปากได้ ประชาชนก็มีเงินหมุนเวียนในระบบ ให้จับจ่ายใช้สอย ไม่ฝืดเคืองเหมือนปัจจุบัน ถึงแม้ในที่สุด ศาลจะตัดสินว่าโครงการรับจำนำข้าว ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์นั้น สามารถกระทำได้ไม่ผิดกฎหมาย แต่โครงการรับจำนำข้าวก็ถูกทำลาย จนไม่สามารถช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาได้อีกต่อไป และโดยเฉพาะนายกฯ ยิ่งลักษณ์เองนั้น ก็ถูกกล่าวหาอ้างว่าปล่อยปละละเลยไปโน่น

ย้อนคำเตือนจาก 'ดร.โกร่ง-ผู้ล่วงลับ' พท. คิดให้ดี ก่อนจะ 'ปลุกผีจำนำข้าว'

คำเตือนจาก 'ดร.โกร่ง-อดีตนักเศรษฐศาสตร์-อดีตรัฐมนตรีผู้ล่วงลับ' โครงการรับจำนำข้าวเปิดช่องคอร์รัปชัน ทำลายโครงสร้างตลาด ระบุรัฐบาลเสียเงินมากมาย แต่ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ไม่ได้อะไรเลย ชูประกันรายได้-จ่ายส่วนต่างส่งตรงไปยังเกษตรกร ถ้าชาวนา ผู้ใหญ่บ้าน กำนันจะโกง ก็ยังดีกว่าโรงสี ผู้ส่งออก รัฐมนตรีโกง

9 พ.ย. 64 - จากกรณีราคาข้าวตกต่ำ ส่งผลกระทบอย่างสูงต่อเกษตรกรชาวนาผู้ปลูกข้าว ทำให้ฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย เตรียมที่จะฟื้นโครงการรับจำนำข้าวที่เคยทำไว้ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น

ล่าสุดสังคมเริ่มมีความกังวลว่าหากมีการฟื้นโครงการรับจำนำข้าวจะเกิดการคอร์รัปชันครั้งใหญ่อีกรอบ ขณะที่โซเชียลมีการแชร์ต่อบทความเรื่อง "จำนำข้าวเปิดช่องทางทุจริต ทำลายโครงสร้างตลาด" เตือนไปยังพรรคเพื่อไทย

บทความนี้เขียนโดย นายวีรพงษ์ รามางกูร หรือ "ดร.โกร่ง" นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอดีตประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปัจจุบัน ดร.โกร่ง ได้เสียชีวิตลงแล้วเมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่ผ่านมา

สำหรับบทความดังกล่าวตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555 โดยมีเนื้อหาดังนี้

นโยบายและมาตรการอันหนึ่งที่น่าห่วงเพราะใช้เงินเป็นจำนวนมากมีปัญหาทั้งทางทฤษฎีและการปฏิบัติ โครงการที่ว่านี้คือโครงการรับจำนำสินค้าเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าวโพด กุ้ง ฯลฯ

ฟังดูว่าจะใช้เงิน 4 แสนล้านบาท มาหมุนเวียนซื้อสินค้าเกษตรเหล่านี้ นโยบายรับจำนำสินค้าเกษตรนี้เป็นนโยบายที่ล้มเหลวที่สุดตั้งแต่ทำกันมา ตั้งแต่ปี 2529 สูญเสียเงินละลายน้ำไปมากมาย โดยผลประโยชน์ไม่ได้ตกถึงมือเกษตรกรอย่างที่คิด ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับโรงสีผู้ส่งออก ลานตากมัน รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องพรรคพวกของนักการเมือง จึงไม่มีใครยอมเลิกโครงการนี้

เริ่มต้นชื่อก็ผิดแล้ว การรับจำนำนี้ปกติผู้รับจำนำต้องรับจำนำในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดโดยคาดว่าผู้จำนำจะมาไถ่คืน แต่การรับจำนำสูงกว่าราคาตลาดก็ไม่น่าจะเรียกว่าการรับจำนำเพราะไม่มีใครมาไถ่คืนในราคาจำนำที่สูงแล้วเอาไปขายในราคาที่ต่ำในตลาด การตั้งซื้อว่าโครงการรับจำนำจึงเป็นการตั้งชื่อหลอกลวงประชาชนเท่านั้นเอง

ในทางทฤษฎี สินค้าเกษตรที่ส่งออกไปขายในตลาดต่างประเทศทุกตัว เราเป็นส่วนหนึ่งของตลาดโลกของสินค้านั้น ๆ ตลาดภายในของเรากับตลาดโลกเป็นตลาดเดียวกัน เชื่อมโยงถึงกันอย่างใกล้ชิด เพราะเราไม่มีโควตาการส่งออก ไม่มีภาษีขาออก

สินค้าเกษตรทุกตัว ยกเว้น ยางพารากับมันสำปะหลัง เช่น ข้าว จีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลก รองลงมา คือ อินเดีย และอินโดนีเซีย ตามลำดับ ในกรณีข้าวโพด อเมริกาเป็นผู้ผลิตมากที่สุด

ข้าวที่ขายหมุนเวียนในตลาดโลกจึงมีสัดส่วนไม่มาก มันสำปะหลังก็เหมือนกัน ผู้ผลิตรายใหญ่ คือ อินโดนีเชีย ในกรณียางพารา แม้ว่าประเทศเราจะยังเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด แต่ก็ยังมีอินโดนีเซีย มาเลเชีย ศรีลังกา จีน และประเทศอื่น ๆ อีกมากมายผลิตด้วย

นอกจากนั้น สินค้าเกษตรทุกตัวยังมีของทดแทนกันได้เป็นคู่แข่ง เช่น ข้าว ก็มีข้าวสาลี ข้าวโพด และธัญพืชอื่น ๆ เป็นคู่แข่ง เพราะถ้าข้าวราคาแพงผู้บริโภคในจีน อินเดีย และที่อื่นก็หันไปบริโภคหม่านโถว จาปาตี บะหมี่ แทนข้าวได้ ยางพาราที่ใช้ผลิตยางรถยนต์ก็มียางเทียมที่ผลิตจากน้ำมันปิโตรเลียมเป็นคู่แข่ง มันสำปะหลังก็มีพืชจำพวกแป้งอื่น ๆ เป็นคู่แข่ง

ด้วยเหตุนี้สินค้าเกษตรทุกตัว ราคาจึงถูกกำหนดโดยตลาดโลก รวมทั้งมันสำปะหลังซึ่งเราเป็นผู้ส่งออกสำคัญเพียงรายเดียวของโลก เราจึงเป็น "ผู้รับราคา" หรือ "price taker" ไม่ใช่ผู้กำหนดราคา หรือ "price maker"

นอกจากนั้นสินค้าเกษตรทุกตัวมีปริมาณออกสู่ตลาดโลกตลอดเวลา การกักตุนเพื่อเก็งกำไรไม่สามารถทำได้ หรือการกักตุนของเราก็ไม่ทำให้ราคาตลาดโลกเปลี่ยนแปลงเพราะจะมีผู้ผลิตรายอื่นเสนอขายในตลาดโลกแทนเราและถ้าเราเก็บไว้นาน 3-4 เดือน ก็จะมีผลผลิตใหม่ออกมาแทนที่ พอเราจะขายราคาก็จะตกทันที การกักตุน จึงมีแต่ขาดทุน นอกจากมีไว้เพื่อค้าขายปกติ

ด้วยเหตุนี้ โครงการมูลภัณฑ์กันชน ระหว่างประเทศ หรือ "International Buffer Stocks" ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมูลภัณฑ์กันชนดีบุก หรือแนวคิดเรื่องมูลภัณฑ์กันชนสินค้าประเภทอาหาร โดยข้อเสนอขององค์การการค้าและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือ UNCTAD ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงประสบความล้มเหลว ใครเก็บกักข้าวไว้ก็เท่ากับช่วยให้คู่แข่งขายได้ก่อน ราคาอาจจะดีกว่าตอนที่เราขายทีหลัง เพราะถ้ามีใครกักเก็บ ผู้ซื้อผู้ขายก็รู้ว่ายังมีข้าวรอขายอยู่ก็จะไม่ยอมซื้อในราคาแพง

ฟังว่าจะใช้เงิน 4-5 แสนล้านบาท หมุนเวียนซื้อสินค้าเกษตรมากักตุน ก็เท่ากับคิดจะปั่นราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก หรือที่ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่าจะ "corner the market" ตลาดโลกข้าวมันสำปะหลัง ยางพารา ข้าวโพด จึงเป็นไปไม่ได้ คนเคยทำแล้วล้มละลายก็มีมาก ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ ที่ล้มก็สืบเนื่องมาจากการพยายามปั่นตลาด หรือจะ corner ตลาดใบยาสูบ ดังนั้น เมื่อผลิตได้เท่าไร รีบส่งออกได้มากเท่าไรยิ่งดี แล้วก็ปลูกใหม่

'เพื่อไทย' งัด 4 ข้อเท็จจริง 'จำนำข้าว' อัดรัฐบิดเบือนสร้างตัวเลขหนี้ป้ายสี

เพื่อไทย เปิด 4 ข้อเท็จจริงจำนำข้าว เบรกรัฐ บิดเบือนโยนบาปกลบเกลื่อนหนี้โครงการประกันรายได้ ชดเชยเพียง 1 ปีผลาญงบกว่า 1.5 แสนล้าน ย้ำ คสช. ลดเกรดข้าวในสต็อกขายทิ้งสร้างตัวเลขหนี้ป้ายสีฝ่ายตรงข้าม

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 64 นายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรค และทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่รองโฆษกรัฐบาล ออกมาแถลงข่าวโจมตีโครงการรับจำนำข้าว สมัยรัฐบาลที่ผ่านมา ว่า การหยิบประเด็นนี้มาโจมตีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในเวลานี้ ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลชุดนั้น หมดหน้าที่และยุติโครงการไปนานกว่า 7 ปีแล้ว พอจะเดาได้ว่าเพราะโครงการประกันรายได้ของชาวนา ที่รัฐบาลนำมาใช้ ตามการผลักดันของพรรคร่วมรัฐบาลที่หาเสียงไว้ กำลังทำลายความมั่นคงทางการคลัง จนสร้างความเดือดร้อนไปทั้งรัฐบาล เพราะไม่สามารถช่วยชาวนาให้มีรายได้มากขึ้น และกระตุ้นเศรษฐกิจขยายตัวได้ 

แตกต่างจากโครงการจำนำข้าวเปลือกที่มีรายงานของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รายงานถึงความคุ้มค่าของโครงการ เป็นผลให้เศรษฐกิจขยายตัว เลยต้องปฏิบัติการ "เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น" หรือว่าเป็นเพราะชาวนาและประชาชนคนทั่วไปได้เข้าใจถึงประโยชน์ของโครงการรับจำนำข้าวดีขึ้นแล้ว จนทำให้ความเชื่อมั่นในพรรคเพื่อไทยอยู่ในระดับที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงอยากให้สังคมรับรู้ใน 4 ข้อเท็จจริงได้แก่

1.) เรื่องตัวเลขขาดทุนทางบัญชีที่กล่าวอ้างนั้นเป็นการอ้างถึงยอดรวม 5 ฤดูกาลผลิต ตลอดอายุของรัฐบาลไม่ใช่ ปีงบประมาณเดียว แบบโครงการประกันรายได้ ปี 2564/65 งวดที่ 1 ที่มียอดเงินชดเชยราคา และโครงการประกอบที่มียอดรวมสูงกว่า 1.5 แสนล้านบาท หากเปรียบเทียบกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกโดยใช้จำนวนฤดูกาลเพาะปลูกที่เท่ากัน จะเห็นชัดเจนว่าโครงการประกันราคาใช้เงินมากกว่า โดยไม่ได้อะไรเลย

"อดีตส.ส.ปชป." เรียกร้อง "เพื่อไทย" หยุดสร้างตราบาปให้ชาติรื้อฟื้นโครงการจำนำข้าว แนะสานต่อโครงการประกันรายได้ดีกว่า

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์  โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ผมได้เห็นกระแสข่าวการรีเทิร์นของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับโครงการจำนำข้าวเวอร์ชั่นใหม่ และการแถลงข่าวของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่มีแนวความคิดจะรื้อฟื้นโครงการรับจำนำข้าวขึ้นมาใหม่ โดยเปลี่ยนชื่อโครงการเป็นชื่อใหม่ เพื่อไม่ให้แสลงใจต่อพี่น้องคนไทย ที่ติดภาพลักษณ์การทุจริตของโครงการรับจำนำข้าว ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยสร้างไว้ จนรัฐบาลชุดนี้ต้องชดใช้ค่าเสียหาย ด้วยงบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชนทั้งประเทศ สูงถึง 7 แสนล้านบาท นับเป็นความเสียหายของประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง

การต้องการรื้อฟื้นโครงการรับจำนำข้าว กลับคืนมาอีก จะเป็นภาพหลอนของพี่น้องประชาชนคนไทยอีกครั้งหนึ่ง เพราะวันนี้ได้มีการพิสูจน์ด้วยข้อมูลข้อเท็จจริงที่ชัดเจนแล้วว่า โครงการประกันรายได้เกษตรกรของพรรคประชาธิปัตย์ ดีกว่าโครงการรับจำนำของพรรคเพื่อไทย ที่มีแต่ความสูญเสีย ความเสียหาย เปิดช่องให้มีทุจริตคอร์รัปชันกันอย่างมโหฬาร

แต่โครงการรับประกันรายได้เกษตรกร สามารถป้องกันการทุจริตได้ทุกขั้นตอน เพราะเป็นการโอนเงินส่วนต่างของราคาประกัน เข้าบัญชีธนาคารของเกษตรกรโดยตรง ไม่มีการใช้เงินสดผ่านมือบุคคลใด จึงไม่มีการรั่วไหลของเงินจากโครงการประกันรายได้  ส่วนโครงการรับจำนำ กลับมีช่องว่างให้เกิดการทุจริตในทุกขั้นตอน ตั้งแต่เจ้าของโรงสี เจ้าของโกดัง พ่อค้าคนกลาง นักการเมือง เกษตรกร รัฐบาลต้องเสียเงินค่าเช่าโกดัง ข้าวเน่า ข้าวเสีย ข้าวถูกขโมย มีสต๊อกลม หรือไฟไหม้โกดังเก็บข้าว ล้วนแล้วแต่เป็นความสูญเสียทั้งสิ้น

‘ยิ่งลักษณ์’ ฉะ ‘บิ๊กตู่’ อ้างหนี้สาธารณะเพิ่ม เพราะรับจำนำข้าวหรือบริหารงานไม่เป็น

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 วงเงิน 3.18 ล้านล้านบาท ระบุว่า...

จากที่คุณประยุทธ์ชี้แจงในการอภิปรายงบประมาณปี 2566 และได้มีการพาดพิงรัฐบาลดิฉันว่าต้องใช้หนี้โครงการรับจำนำข้าวไปแล้วกว่า 7 แสนล้านบาท รู้สึกได้ทันทีว่าเป็นคำกล่าวหาเดียวกันที่เคยใช้มาเมื่อหลายครั้ง ซึ่งดิฉันก็ได้ชี้แจงไปแล้วเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2564 ตามลิงค์นี้ค่ะ https://www.facebook.com/.../a.20100121.../4413336935377394/

ดิฉันจึงอยากขอฝากอะไรไว้ให้เป็นแง่คิดระหว่างพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีว่า แม้รัฐบาลดิฉันถูกโจมตีอย่างหนักว่า “สร้างหนี้” ทั้งๆ ที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่เพียง 45.91% แต่หลังรัฐประหารผ่านไป 8 ปี หนี้ได้พุ่งขึ้นไปที่ 60.58% โดยรัฐบาลคุณประยุทธ์จัดทำงบประมาณขาดดุลมากขึ้นๆ ทุกปี

หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นในช่วง 8 ปีที่ผ่านมามีจำนวนสูงถึง 4.4 ล้านล้านบาท ขณะที่รัฐบาลยังมีแผนการก่อหนี้ไปเรื่อยๆ อย่างไร้ยุทธศาสตร์ของการเพิ่มรายได้ ผิดหลักการที่ต้องใช้เงินกู้เพื่อทำให้เศรษฐกิจขยายตัว และเมื่อขณะนี้ประชาชนไม่มีรายได้เพิ่ม หนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น รัฐบาลจึงไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้เพียงพอ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ ไม่สามารถลดการขาดดุลงบประมาณลง 

รัฐบาลแผ่นเสียงตกร่อง คิดอะไรไม่ออกก็โทษจำนำข้าว ‘เพื่อไทย’ ยัน หนี้ อคส. เกิดขึ้นสมัยรัฐบาลประยุทธ์ทั้งสิ้น

นายจักรพงษ์ แสงมณี กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย และอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องการทุจริตใน อคส. (องค์การคลังสินค้า) กระทรวงพาณิชย์ กรณีถุงมือยาง โดยนายจุรินทร์ได้ลุกขึ้นชี้แจงกรณีดังกล่าว และพาดพิง ‘โยนบาป’ เหมารวมว่าโครงการในอดีตของรัฐบาลเพื่อไทยก็มีกรณีอยู่ใน อคส. เช่นเดียวกันนั้นว่า ไม่ใช่ความจริงแบบที่นายจุรินทร์พยายามจะเข้าใจ  ตรงกันข้าม การทุจริตใน อคส. เป็นการปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ที่มีประเด็นชัดเจนมากคือ กรณีใน อคส. ทั้งหมด เกิดจากการดำเนินการของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งสิ้น 

ในฐานะอดีตคณะทำงานด้านเศรษฐกิจสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขอชี้แจงว่า รัฐบาลเพื่อไทยขณะนั้น มีมาตรการการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวอย่างรัดกุมถึง 13 ขั้นตอน มีคณะกรรมการตรวจสอบทุกลำดับ และมีสัญญากับเอกชนซึ่งระบุความรับผิดชอบอย่างชัดเจน จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สามารถรักษาคุณภาพข้าว “‘เป็นอย่างดีและครบถ้วน’ ดังนั้น จึงไม่มีข้าวหาย ข้าวเน่า และข้าวเสื่อมคุณภาพ แบบที่มีการใส่ร้ายบิดเบือนกัน 

ตรงกันข้าม หลังการยึดอำนาจรัฐประหารรัฐบาลเพื่อไทยของพลเอกประยุทธ์  หากยึดตามหลักฐานที่ยืนยันได้โดยผู้บริหารคลังสินค้าและเซอร์เวย์เยอร์ กลับพบว่า มีการนำข้าวคุณภาพดีไปขายในราคาต่ำ โดยมีการจัดเกรดคุณภาพข้าวใหม่ที่ต่ำกว่ากว่ามาตรฐานปกติ ซ้ำยังมีการสุ่มตรวจข้าวแบบ ‘ขอไปที’ แล้วอ้างว่าเป็น ‘ข้าวเสีย’ ทั้งหมด เรื่องนี้จึงเป็นที่มาของการเกิดเป็นคดีความให้เอกชนคู่สัญญาเหล่านั้นซึ่งได้ทำสัญญารับผิดชอบดูแลรักษาข้าว ทั้งจำนวนและคุณภาพ ต้องลุกขึ้นใช้สิทธิต่อสู้ตามกฎหมาย เป็นคดีความฟ้องร้องมากมายต่อสู้กันในชั้นศาล 
 

จับตา!! อาการปากกล้าขาสั่น 'รัฐบาลเศรษฐา' อาจยอมลดทิฐิ ก่อนปม 5.6 แสนล้านมาจากไหน? ทำไมต้อง 'ดิจิทัล โทเคน'? ลาม

สามสี่วันก่อน 'เล็ก เลียบด่วน' เขียนถึงระเบิด 3 ลูกของรัฐบาล คือ เงินดิจิทัล วอลเลต, การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการนิรโทษกรรมคดีการเมือง…วันนี้ก็เลยต้องขอตามไปดูอีกนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายเติมเงินดิจิทัล วอลเล็ต ให้ผู้ที่อายุ 16 ปีขึ้นไปคนละหมื่นบาท…วงเงินงบประมาณ 5.6 แสนล้านบาท

ก็ต้องวิเคราะห์และสรุปอย่างตรงไปตรงมาว่า…แม้รัฐบาลจะยืนกระต่ายขาเดียว ยืนยันว่าจะเดินหน้า แต่ก็เริ่มออกอาการปากกล้าขาสั่นกันบ้างแล้ว…หลังจากที่กระแสต่อต้านด้วยหวั่นเกรงว่าจะนำพาประเทศชาติเสียหาย สะท้านสะเทือนนโยบายทางการคลัง ซ้ำรอยเดียวกับโครงการรับจำนำข้าว...

อาจารย์เมธี ครองแก้ว นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ อดีตกรรมการ ปปช. ถึงกับออกบทความยาว 4 หน้า สะกิดเตือนแรงๆ พร้อมเสนอแนะให้ ปปช.ทักท้วงไปยังรัฐบาล แบบเดียวกับที่ทักท้วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์กรณีโครงการรับจำนำข้าว...แต่ครั้งนั้นยิ่งลักษณ์ไม่นำพา จนถูกดำเนินคดีผิดกฎหมายอาญามาตรา 157 ต้องหลบลี้อยู่ต่างแดนจนวันนี้...

เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา ปปช.ไปชี้แจงรายงานผลงานในรอบปี และ สว.สมชาย แสวงการ ก็หยิบยกเรื่องดิจิทัล วอลเล็ต ฝากให้ ปปช.ตลอดจน กกต. และกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ร่วมกันตรวจสอบโครงการนี้เสียแต่เนิ่นๆ โดยได้เอ่ยอ้างถึงรัฐธรรมนูญ มาตรา 245...

เพื่อความงดงามตามท้องเรื่อง 'เล็ก เลียบด่วน' ขออนุญาตยกมาตรา 245 มาให้ดูเต็มๆ ครับ

“มาตรา 245 เพื่อประโยชน์ในการจะระงับหรือยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐ ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเสนอผลการตรวจสอบการกระทำที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐและอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างร้ายแรง ต่อคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน...

...ในกรณีที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเห็นพ้องด้วยกับผลการตรวจสอบดังกล่าว ให้ปรึกษาหารือร่วมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หากที่ประชุมร่วมเห็นพ้องกับผลการตรวจสอบนั้น ให้ร่วมกันมีหนังสือแจ้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบโดยไม่ชักช้า และให้เปิดเผยผลการตรวจสอบดังกล่าวต่อประชาชนเพื่อทราบด้วย”    

ครับ!! แม้ดูเหมือนข้อเสนอนี้ อาจจะเร็วไปบ้างเล็กน้อย เพราะรัฐบาลยังไม่แถลงให้เป็นเรื่องเป็นราวว่าจะเอางบประมาณโครงการ 5.6 แสนล้านบาทมาจากไหน...ทำไมไม่ใช่แอปฯ เป๋าตัง...แต่ใช่หรือไม่ว่าคำถามและข้อเสนอที่ดูเหมือนจะเร็วไปบ้างนี่เองที่จะทำให้รัฐบาลได้คิดหรือลดทิฐิลง...

ดังเช่นตอนนี้รัฐบาลเริ่มขาสั่นยอมทบทวนในบางประเด็นแล้ว เช่น ประเด็นขยายพื้นที่การใช้จ่าย และที่สำคัญระบุว่าคนที่จะใช้จ่ายต้องแสดงตัวตน...ซึ่งประเด็นนี้จะเท่ากับลดจำนวนเงินงบประมาณไปได้บ้าง เพราะคนที่ไม่ไปแสดงตนก็คงมีจำนวนหนึ่ง...

อย่างไรก็ตาม...ประสา 'เล็ก เลียบด่วน' ก็ฟันธงว่า  ประเด็นสำคัญที่จะนำไปสู่ความร้อนฉ่าและฉาวโฉ่ในอนาคตของโครงการนี้น่าจะอยู่ที่ผลประโยชน์อันเป็นวาระซ่อนเร้นเกี่ยวกับวิธีการใช้จ่ายผ่าน...ดิจิทัล โทเคน ที่มีจะมีค่าบริการและค่าออกโทเคน  ซึ่งคนที่มีความรู้เรื่องนี้ดีคนหนึ่งก็คือคนชื่อ 'เศรษฐา' นั่นเอง...

ว่ากันว่า...ถ้ารัฐบาลยังขาไม่สั่นในประเด็น 'ดิจิทัล  โทเคน' และจะเดินหน้าต่อไป...มหกรรมการแฉข้อมูลชุดใหญ่ไฟกะพริบที่จะโยงไปถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในทำเนียบรัฐบาลจะออกมาเต็มคาราเบล...

พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ไม่คิดจะช่วยนายกฯ เศรษฐากันบ้างหรือครับ..!!??

ความบอบช้ำ 'ซ้ำซ้อน' ของประเทศชาติ 'ที่ดินรัชดา-จำนำข้าว' สู่ 'ดิจิทัลวอลเล็ต'

ตามประวัติศาสตร์โลก นักการเมืองชาติใดก็ตามที่มีพฤติกรรมทุจริต คอร์รัปชัน ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่ชอบ เพื่อแสวงหาประโยชน์ให้กับตนเอง ญาติพี่น้อง และพวกพ้อง ทำให้ประชาชนตาดำ ๆ ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ 

นักการเมืองคนนั้น ๆ ก็จะถูกกำจัดให้ออกจากประเทศโดยน้ำมือของประชาชนที่เคยเลือกเข้ามาเอง เพราะหากปล่อยคนเลว ๆ ไว้แล้ว ประเทศชาติจะเสียหายหนักกว่าการเสียฟอร์มชนิดเทียบกันไม่ติด 

ยิ่งไปกว่านั้น ในสังคมประเทศอื่น ที่นักการเมืองเป็นใหญ่ขึ้นมาได้เพราะประชาชน หากแค่ทำเลวกับประชาชนหนัก ๆ เพียงครั้งเดียว ก็ไม่สามารถจะฟื้นตื่นกลับมาได้รับโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง 

ทว่า...ผิดกับคนไทย ที่เจ็บกี่ครั้งก็ไม่คิดจะจดจำ 

โจรปล้นชาติในคราบนักการเมือง ทำผิดร้ายแรงในคดีทุจริตจนถึงขนาดต้อง 'หนีคดี' ออกนอกประเทศ นอกจากไม่กล้ายอมรับในความผิด ยังสร้างความเสื่อมเสียให้กับประเทศไทยเรื่อยมา ด้วยการเดินสายป่าวประกาศในสังคมโลกว่าถูกกระบวนการยุติธรรมไทยกลั่นแกล้ง 

หนีเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีไม่กล้ากลับเข้ามายังผืนแผ่นดินไทยเพื่อมารับโทษ จนกระทั่งเหล่า 'คนเบาปัญญา' หน้าเดิม ๆ กาเลือกพรรคการเมืองภายใต้ 'อุ้งตีน' ของ 'นักการเมืองเร่ร่อน' จนสามารถกลับมามีอำนาจในการต่อรองที่สูง 

ที่สุดก็ได้เป็นรัฐบาล!!

แล้วจึงถึงเวลาที่ 'นักโทษหนีคดี' บินกลับมาเพื่อ 'พูดยอมรับความผิด' แต่ไม่ต้องอยู่ในกรงขังตามแผนเลว ๆ ที่ 'เหล่าสมุนชั่ว' ช่วยกันจนสำเร็จ 

ก่อนหนีคดีไปต่างประเทศ เคยเอาเปรียบคนไทยร่วมชาติไว้อย่างไร กลับมาก็ยังเป็นคนชั่วคนเดิมที่เอาเปรียบคนไทยร่วมชาติไม่เปลี่ยนแปลง

นักการเมืองคนโต ณ ประเทศไทยที่อดีตเป็น 'นักโทษหนีคดี' กลับถึงไทยก็แปลงร่างเป็น 'นักโทษเทวดา' ห้อมล้อมดูแลไปด้วย 'คนหัวใจสวะ' รุมช่วยไม่ให้ต้องนอนคุกเลยสักวันเดียว 

พฤติกรรมอหังการเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ผู้มีอำนาจในสังคมไทยมักจะยอมศิโรราบต่อ 'เงินของมหาโจร' โดยเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ที่ 'ประเทศไทย' เพียงประเทศเดียวเท่านั้น ตราบที่เรายังมีเหล่าประชาชนผู้ 'เบาปัญญา' หลับหูหลับตาสนับสนุนดังเดิม


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top