Saturday, 11 May 2024
งบประมาณ

นายกฯ พอใจ ผลการจัดซื้อจัดจ้างปี 64 หลังประหยัดงบฯ ได้กว่า 7.8 หมื่นล้านบาท 

โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พอใจ ผลการจัดซื้อจัดจ้างปี’64 ประหยัดงบฯ กว่า 7.8 หมื่นล้านบาท ย้ำเน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดการแข่งขัน อย่างเป็นธรรม

เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจผลการดำเนินงานจัดซื้อจัดจ้างในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ตุลาคม 2563 - กันยายน 2564) ซึ่งกรมบัญชีกลางได้รายงานความคืบหน้า หน่วยงานของรัฐที่ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างและก่อหนี้แล้วจำนวนทั้งสิ้น 5,247,846 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 98.34 ของจำนวนโครงการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด โดยมีมูลค่าที่จัดหาได้คิดเป็น 1,333,622.22 ล้านบาท ทำให้รัฐสามารถประหยัดงบประมาณได้ 78,667.29 ล้านบาท หรือประหยัดได้ร้อยละ 5.57 ของวงเงินงบประมาณในการจัดหา 

ซึ่งเป็นผลจากวิธีการจัดซื้อจัดจ้างที่นำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ส่งผลให้ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียม และสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ส่งผลให้ขั้นตอนการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดความคุ้มค่าการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งเป็นต้นแบบการบูรณาการระบบฐานข้อมูลภาครัฐ

ครม. เห็นชอบ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566  จำนวน 3,185,000 ล้านบาท มอบหมาย หน่วยงานดำเนินการตามข้อสั่งการนายกฯ สร้างกลไกความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เร่งติดตามการขับเคลื่อนมาตรการของรัฐบาล

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 3,185,000 ล้านบาท และ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
โดยมีสาระสำคัญดังนี้

1)เห็นชอบกรอบวงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบประมาณรายจ่าย จำนวน 3,185,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 85,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.74 ประกอบด้วยประมาณการรายจ่าย ดังต่อไปนี้ (1)รายจ่ายประจำ จำนวน 2,390,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 16,990.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.72 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 75.04 ของวงเงินงบประมาณ (2)รายจ่ายลงทุน จำนวน 695,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 83,066.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.57 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.82 ของวงเงินงบประมาณ (3)รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้จำนวน 100,000 ล้านบาท เท่ากับปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.14ของวงเงินงบประมาณ

2) รายได้สุทธิจำนวน 2,490,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 90,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.75 

3) งบประมาณขาดดุล จำนวน 695,000 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 5,000 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.71 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.89 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ทั้งนี้วงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน 3,185,000 ล้านบาท ดังกล่าว เท่ากับกรอบวงเงิน ตามแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2566 – 2569) ที่ครม. ได้มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2564 สำหรับงบประมาณรายจ่ายลงทุนและงบประมาณรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้มีสัดส่วนอยู่ภายในกรอบที่กำหนด ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561

‘รัฐบาล’ ชี้!! งบกลางใช้ฉุกเฉินมีเพียงพอ ยัน!! สำรองไว้แล้ว ไม่กระทบหน่วยงานรัฐฯ

(21 ก.ค. 66) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจง กรณีข้อห่วงใยต่อวงเงินการใช้จ่ายงบประมาณกลางคงเหลือ ที่หลายฝ่ายมีความกังวลว่าจะไม่เพียงพอให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการว่า ระบบการเงินการคลังของประเทศไทยมีเสถียรภาพที่เข้มแข็งเพียงพอต่อการดำเนินการใช้จ่ายกรณีเร่งด่วนที่มีความจำเป็นของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้บริหารจัดการงบประมาณอย่างเหมาะสมในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนทุกช่วงวัย ทุกกลุ่ม อย่างครอบคลุม และเท่าเทียม

นางสาวรัชดา กล่าวว่า สำหรับกรณีฉุกเฉินเร่งด่วน รัฐบาลมีงบกลาง หมวดเฉพาะ สำหรับการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นงบประมาณที่ตั้งไว้เพื่อการป้องกันหรือแก้ไขสถานการณ์อันกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ความมั่นคงของรัฐ การเยียวยาหรือบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะร้ายแรง และภารกิจที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐฯ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ตั้งไว้ 92,400 ล้านบาท และปัจจุบัน ยังมีงบประมาณมากเพียงพอที่สามารถนำมาใช้จ่ายได้ในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ประมาณ 2 เดือนเศษ (ถึงเดือนกันยายน 2566) เช่น การเยียวยาหรือบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะร้ายแรง หรือภารกิจที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอื่น ๆ

ทั้งนี้ ณ วันที่ 16 กรกฎาคม 2566 กระทรวงการคลังรายงานว่า งบกลางฉุกเฉินที่ได้ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว เป็นวงเงินห้าหมื่นกว่าล้านบาท อาทิ โครงการเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2565 มาตรการให้ส่วนลดอัตราค่าไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย เป็นต้น

ในส่วนของวงเงินมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ที่มีการรายงานวงเงินคงเหลือ จำนวน 18,000 ล้านบาท นางสาวรัชดา กล่าวว่า เป็นวงเงินคนละส่วนกับงบกลางฉุกเฉิน ซึ่งการใช้งบประมาณภายใต้มาตรา 28 นี้ รัฐบาลมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐฯ ดำเนินโครงการโดยใช้เงินทุนของตัวเองไปก่อน และรัฐบาลจะรับภาระชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้กับหน่วยงานของรัฐในภายหลัง โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกรในช่วงที่ราคาสินค้าการเกษตรตกต่ำ รวมถึงการเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการรายย่อยและลดภาระค่าครองชีพให้กับผู้มีรายได้น้อยในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจต่าง ๆ ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐได้กำหนดกรอบอัตรายอดคงค้างรวมทั้งหมดที่รัฐฯ ต้องรับชดเชยจากการดำเนินโครงการตามมาตรา 28 ไว้ที่ไม่เกินร้อยละ 32 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งปัจจุบันมียอดคงค้างอยู่ภายใต้เกณฑ์ที่กำหนด

“จึงขอยืนยันว่า วงเงินสองส่วนดังกล่าว ไม่กระทบกับการดำเนินการตามภารกิจของหน่วยงานของรัฐฯ เนื่องจากหน่วยงานของรัฐสามารถใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 3.185 ล้านล้านบาท เพื่อพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน พัฒนา คุณภาพชีวิตของประชาชน ได้รับการดูแลและช่วยเหลือจากสวัสดิการของภาครัฐฯ รวมทั้งดำเนินการ ด้านต่าง ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในทุกภูมิภาคของประเทศ และหากมีกรณีฉุกเฉินจำเป็น เช่น ภัยพิบัติในช่วงนี้ รัฐบาลไม่ว่าจะชุดใดก็ตาม ยังสามารถเบิกจ่ายจากงบกลางได้” นางสาวรัชดา ย้ำ

‘โบว์ ณัฏฐา’ ตั้งข้อสังเกต!! ‘รองอ๋อง’ ใช้งบรับรองแขกเลี้ยงหมูกระทะ ติง ‘ไม่เหมาะสม-ไม่สมเหตุสมผล’ ด้วยเหตุผลหลายประการ

(19 ส.ค. 66) ‘คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา’ ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับกรณีการใช้งบรับรองแขกของรองประธานสภาฯ ไปจัดเลี้ยงหมูกระทะแม่บ้านสภาฯ นั้น ไม่เหมาะสมและไม่สมเหตุสมผลด้วยเหตุผลหลายประการ โดยส่วนตัวมีข้อสังเกตดังนี้…

1.) วัตถุประสงค์ของงบก้อนนี้ ให้ใช้เพื่อรับรองแขกบ้านแขกเมืองเป็นหลัก ในแต่ละปีจะมีคณะบุคคลหลากหลายมาขอเข้าพบประธานและรองตลอดปี เช่น คณะผู้แทนราษฎรหรือส่วนงานนิติบัญญัติจากต่างประเทศ ทูต ผู้แทนกระทรวง หรือคณะบุคคลจากรัฐบาล และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งมีวาระตามจุดประสงค์ของทั้งสองฝ่าย

งบก้อนนี้ไม่ใช่งบสวัสดิการพนักงาน มิฉะนั้น ประธานและรองก็สามารถเอางบนี้ พาพนักงานไปเที่ยวเล่นได้ทั้งปีโดยอ้างเหตุผลต่างๆ ได้

นี่คือการใช้งบผิดประเภท

2.) แม่บ้านจำนวนมากในสภาฯ นั้น มาจากบริษัท Outsource ที่ทางสภาฯ ทำการจัดจ้างมา และมีเงื่อนไขในการทำงานที่ตกลงกับบริษัทเอกชน หากพบว่ามีเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม สิ่งที่สภาฯ ควรทำ คือการทบทวนสัญญากับบริษัท ให้มีความครอบคลุมถึงส่วนที่เกี่ยวกับสวัสดิการ และความเหมาะสมของเงื่อนไขในการจ้างพนักงาน (หลายคนถูกจ้างแบบรายวันต่อเนื่องเป็นปีๆ โดยไร้สวัสดิการ ซึ่งผิดกฎหมายแรงงาน หากต้องการให้รัดกุม ต้องมีการปรับรายละเอียดส่วนนี้ ให้ครอบคลุมการตรวจสอบในสัญญา ซึ่งคือสิ่งที่ทำได้เลยเพราะเป็นสัญญาระยะสั้น และรองประธานควรตรวจสอบได้เอง เพราะเป็นส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างระหว่างภาครัฐกับเอกชน)

3.) สภาพแวดล้อมพื้นฐานในการทำงานของแม่บ้านสภาฯ ควรได้รับการปรับปรุงก่อน และเป็นสิ่งที่รองประธานย่อมมองเห็นได้เองอยู่แล้ว เพราะเป็นมาตรฐานที่ลูกจ้างทุกคนควรมี เช่นห้องพัก ที่เก็บของส่วนตัว และโซนรับประทานอาหารของพนักงาน เมื่อทำสิ่งเหล่านี้ หลังจากนั้น มีรายละเอียดเพิ่มเติมอะไร ก็ดำเนินการทบทวนรายละเอียด โดยส่วนงานที่เกี่ยวข้องไปได้ตามปกติ

เมื่อข้อเท็จจริงมีดังที่กล่าวมานี้ อีเวนต์เลี้ยงหมูกระทะที่เกิดขึ้นจึงไม่เหมาะสม ทั้งในเรื่องการใช้งบประมาณผิดประเภท การจัดเลี้ยงลูกจ้างของบริษัทเอกชนโดยไม่ติดต่อสื่อสารกับบริษัท การสร้างประเด็นข่าวจากสิ่งที่ควรเป็นงานปรับปรุงแก้ไขตามปกติในสภาฯ

และสุ่มเสี่ยงที่จะถูกมองว่าเป็นการ ‘หาเสียง’ ด้วยการสร้างภาพกับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายของพรรคก้าวไกล โดยนำกลุ่มแม่บ้านสภาฯ ขึ้นมาเป็นตัวแทนประกอบฉาก ด้วยงบประมาณของรัฐฯ

‘ศรีสุวรรณ’ จ่อ ร้อง ‘ป.ป.ช.’ สอบ ‘รองอ๋อง’ ปมเลี้ยงหมูกระทะ ชี้!! ใช้งบหลวงผิดประเภท ส่อเข้าข่ายฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง

(19 ส.ค. 66) นายศรีสุวรรณ จรรยา กลุ่มองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า “ใช้งบรับรองแขก เลี้ยงหมูกระทะแม่บ้านสภา จากเงินภาษีของ ปชช.เพื่อหน้าตาของตนเอง ถือเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือไม่?”

ขณะเดียวกัน นายศรีสุวรรณ แจ้งสื่อมวลชนว่า ในวันจันทร์ที่ 21 ส.ค. 66 เวลา 10.00 น. จะไปยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. ขอให้ไต่สวน ตรวจสอบ รองฯอ๋อง (นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พรรคก้าวไกล รองประธานสภาฯ ) เพื่อวินิจฉัยว่าเข้าข่ายฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติห้ามไว้ หรือไม่ เพราะกระทำการที่อาจขัด รธน.เกี่ยวกับผลประโยชน์ขัดกัน ประกอบมาตรฐานจริยธรรมฯ

‘วิษณุ’ ชี้ช่อง แก้รัฐธรรมนูญ ลดขั้นตอนทำประชามติเหลือ 2 ครั้ง แนะ เลือกแก้มาตราเฉพาะหน้า-เว้นเรื่องยุ่งยาก ช่วยลดงบประมาณ

(24  ก.ย. 66) นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า เรื่องนี้ตอบไม่ถูก ให้เขาคิดกันเองเอง เพราะว่ายุ่งยากซับซ้อน ข้อสำคัญจะใช้วิธีไหนก็ตามควรจะหลบหลีกการทำประชามติหลายครั้ง และเห็นด้วยกับแก้ไขเป็นรายมาตรา ทีละหลายๆมาตรา เพราะรัฐธรรมนูญห้ามไว้แต่เพียงว่า ในกรณีที่เป็นการแก้ไขหมวด 1 ทั่วไป  หมวด 2 พระมหากษัตริย์ หมวด 15 เรื่องการแก้ไขอำนาจและหน้าที่ขององค์กรอิสระ และการแก้ไขคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามขององค์กรอิสระ โดยเรื่องเหล่านี้ เมื่อแก้ไขวาระ1 วาระ2 และ วาระ3 แล้วเสร็จ ก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต้องทำประชามติ

นายวิษณุ กล่าวว่า การแก้ไข ที่ควรทำคือ ถ้าต้องการแก้เกี่ยวกับองค์กรอิสระ และไปกระทบกับเรื่องอำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระ ตรงนี้ต้องทำประชามติ เพราะฉะนั้นเก็บไว้ทำคราวหลังได้หรือไม่ ตอนนี้ถ้าอยากแก้ไปก่อนคือหมวด 3 เรื่องสิทธิเสรีภาพ ซึ่งประชาชนต้องการและ หมวด 4 หน้าที่ของรัฐ หมวด 5 หน้าที่ของปวงชนชาวไทย หมวด 6แนวนโยบายแห่งรัฐ หมวด 7 รัฐสภา ซึ่งแก้ได้ตามใจชอบไม่ต้องทำประชามติ หมวด 8 ครม. หมวด 9 ผลประโยชน์ขัดแย้งกัน หมวด10 เรื่องศาล หมวด 11 องค์กรอิสระ ซึ่งเรื่องเหล่านี้แก้ได้หมด แต่พอไปถึงองค์กรอิสระอำนาจหน้าที่ และคุณสมบัติต้องห้ามจะไปเจอเรื่องทำประชามติ อย่าเพิ่งไปทำ

เมื่อถามว่าการทำประชามติควรทำครั้งเดียวตอนแก้ไขเสร็จแล้ว ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ที่ต้องทำประชามติเพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 256 กำหนดไว้ ถ้าแก้มาตรา256 ว่าการแก้รัฐธรรมนูญไม่ต้องทำประชามติ ก็ไม่ต้องทำประชามติ แต่การจะแก้หนแรกในเรื่องมาตรา 256 ต้องทำประชามติหนึ่งครั้งก่อน จะลบล้างเรื่องประชามติไปได้

เมื่อถามย้ำว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ต้องทำประชามติ 3-4 ครั้ง หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวย้ำว่า ต้องแก้ไขมาตรา 256 เสียก่อน พอเสร็จวาระ 1-3 ก็นำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไปจะไม่ได้เจอเรื่องทำประชามติ แต่ถ้าแก้ตามแนวทางของรัฐบาลก็ต้องทำประชามติ  1.ต้องทำประชามติแก้ทั้งฉบับว่าเห็นด้วยหรือไม่ 2.ต้องตั้งส.ส.ร. และ 3. ถ้าตั้งส.ส.ร. ต้องไปทำประชามติทั้งประเทศอีก  ซึ่งการทำประชามติครั้งหนึ่งใช่งบประมาณ 3 พันล้านบาท ฉะนั้นก็แก้ที่มาตรา256  แต่การแก้มาตรา256 หากพูดกันไม่ดีเพราะอาจไม่ผ่าน เพราะต้องผ่านความเห็นของส.ว.หรือไม่ และเขาก็กลัวว่าจะไปแก้อะไรต่อมิอะไรกัน อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยการทำประชามติควรทำ2 ครั้งก็ยังดี คือต้องเริ่มแก้ไข และตอนจบที่จะไปประกาศใช้

รัฐบาลสหรัฐฯ รอดชัตดาวน์ รัฐสภาอนุมัติงบฯ ใช้จ่าย 45 วัน หลังร่างที่อนุมัตินี้ไร้เงินหนุนยูเครนทำสงครามกับรัสเซีย

เมื่อวานนี้ (1 ต.ค. 66) ตามเวลาไทย ซึ่งตรงกับวันที่ 30 กันยายนตามเวลาสหรัฐ มติชนรายงานว่า รัฐบาลสหรัฐสามารถหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์ระบบของรัฐได้ในนาทีสุดท้าย หลังสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเห็นพ้องกับข้อตกลงงบประมาณระยะสั้น ที่จะทำให้รัฐบาลมีเงินสำหรับใช้จ่ายไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งไม่มีการเพิ่มงบช่วยเหลือให้กับยูเครนแต่อย่างใด

ร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวดังกล่าวซึ่งจะใช้สำหรับเวลา 45 วัน ได้รับการอนุมัติในวุฒิสภาด้วยคะแนน 88 ต่อ 9 เสียง เสนอโดยนายเควิน แมคคาร์ธี (Kevin McCarthy) ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน หลังจากที่ความพยายามครั้งแรกถูกสมาชิกรีพับลิกันขวาจัดในสภาล่างคว่ำไปก่อนหน้านี้

ในบ่ายวันที่ 30 กันยายน ตามเวลาในสหรัฐ สภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีงบประมาณในการดำเนินงานต่อไปอีก 45 วัน แต่ไม่มีการกำหนดกรอบวงเงินค่าใช้จ่ายในประเด็นหลักใด ๆ 

ร่างงบประมาณดังกล่าวได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาล่างมากกว่าสมาชิกพรรครีพับลิกัน ซึ่งลงมติคัดค้านมากถึง 90 เสียง และยังส่งผลกระทบต่อกลุ่มขวาจัดของพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎรที่ดึงดันจะให้มีการดำเนินการในการปรับลดค่าใช้จ่ายโดยไม่สนใจที่จะประนีประนอมใด ๆ

ทั้งนี้ เนื่องจากสมาชิกสภาคองเกรสส่วนใหญ่ต้องการหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์ ร่างงบประมาณที่ผ่านการรับรองโดยวุฒิสภาจึงมีข้อเรียกร้องหลักในประเด็นเดียวกับที่ฝ่ายต่าง ๆ เห็นพ้อง นั่นคือการไม่ตั้งงบประมาณอุดหนุนการทำสงครามต่อต้านรัสเซียของยูเครนอยู่ในนั้น

เดิมทีนายแมคคาร์ธีลังเลอย่างมากที่จะอาศัยคะแนนเสียงจากพรรคเดโมแครตในการผ่านร่างกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรจนถึงนาทีสุดท้าย เพราะรู้ดีว่าจะทำให้สมาชิกพรรครีพับลิกันฝ่ายอนุรักษนิยมโกรธเคือง

อย่างไรก็ตาม ในร่างงบประมาณชั่วคราวนี้ พรรคเดโมแครตก็ไม่ได้รับทุกสิ่งที่ต้องการเช่นเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการชัตดาวน์เกิดขึ้น สุดท้ายเดโมเครตก็ยอมละทิ้งความหวังที่จะจัดเงินเพื่อให้ความช่วยเหลือทางทหารเพิ่มเติมแก่ยูเครน

เจ้าหน้าที่ในรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน (Joe Biden) เตือนว่า ในระยะสั้นความพยายามในการทำสงครามของยูเครนอาจหยุดชะงัก และแสดงความคาดหวังว่าแมคคาร์ธีซึ่งสนับสนุนการให้เงินอุดหนุนยูเครนในการต่อสู้กับรัสเซียจะนำร่างกฎหมายแยกต่างหากในเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาในเร็ว ๆ นี้

‘วรรณรัตน์’ วอน รบ.พิจารณางบฯ พัฒนา ‘เมือง 3 มรดกโลก’ ที่โคราช ชี้ เพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว - กระตุ้น ศก.ประเทศให้โตแกร่ง

(5 ม.ค.67) นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 โดยระบุว่า จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการส่งออก ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงมาจาก การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกนั้น ตนเห็นด้วยกับรัฐบาลเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลมุ่งเน้น ในด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยตั้งงบประมาณไว้ 592,249 ล้านบาทเศษ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศ เจริญเติบโตและเข้มแข็ง และเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว การค้า และการลงทุน

นายแพทย์วรรณรัตน์ กล่าวว่า ที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมาย เพิ่มยอดรายได้จากการท่องเที่ยวไว้ เป็นจำนวน 3 ล้านล้านบาทต่อปี ด้วยวิธีการส่งเสริมการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการสร้างความหลากหลายด้านการท่องเที่ยวให้สามารถสนองตอบความต้องการของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้มากขึ้น นั้นถือว่าเป็นการกำหนดยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องแล้ว ทั้งนี้ ประเทศไทยของเราโชคดีมาก โดยเฉพาะ จังหวัดนครราชสีมาหรือโคราช ได้กลายมาเป็นพื้นที่ ที่องค์การ UNESCO ได้ให้การรับรองเป็นมรดกโลกถึง 3 พื้นที่ด้วยกัน ได้แก่ 1. มรดกโลกกลุ่มป่าดงพญาเย็น - เขาใหญ่ อ.ปากช่อง 2. พื้นที่เขตสงวนชีวมณฑลสะแกราช ป่าสะแกราช อ.ปักธงชัย และ 3. อุทยานธรณีโลกโคราช หรือ ‘โคราชจีโอพาร์คโลก’ ที่ครอบคลุมพื้นที่  5 อำเภอของโคราช ได้แก่ ปากช่อง สีคิ้ว สูงเนิน ขามทะเลสอ เมือง และเฉลิมพระเกียรติ โคราชจึงมีสถานะใหม่เป็นเมือง 3 มรดกโลกยูเนสโก หรือ UNESCO Triple Heritage City ซึ่งเมืองที่มี 3 มรดกโลก มีอยู่เพียง 3 ประเทศเท่านั้นในโลก คือ เกาหลีใต้ จีน และประเทศไทยของเรา ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และทางธรณีวิทยาที่สำคัญที่นักท่องเที่ยวทั่วโลก เขาสนใจที่จะมาเที่ยวชมกัน  

“แต่มรดกโลกทั้ง 3 แห่งนี้ ยังไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายของชาวโลก และยังขาดสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่จำเป็น สำหรับนักท่องเที่ยว ที่จะเข้ามาเที่ยวกันคราวละมาก ๆ ได้ เช่น ห้องน้ำ สถานที่จอดรถ ร้านขายของที่ระลึก หรือร้านขายสินค้าของฝาก ฯลฯ ซึ่งในวันที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ผมได้อภิปรายขอให้รัฐบาลพิจารณาจัดสรรงบประมาณมาเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้ด้วย แต่เมื่อตรวจดูเอกสารงบประมาณ ด้านการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ที่รัฐบาลตั้งงบไว้ 7,384.05 ล้านบาทแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีการจัดสรรงบประมาณ มาเพื่อการนี้แต่อย่างใด ดังนั้นผมจึงอยากจะขอฝากรัฐบาล ได้โปรดพิจารณาเร่งรัดดำเนินการ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวนี้ ให้เป็นที่รับรู้โดยทั่วไปอย่างกว้างขวาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณ มาดำเนินการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ด้วย” นายแพทย์วรรณรัตน์ กล่าว 

สส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวด้วยว่า พื้นที่ของโคราชจีโอพาร์คโลก ยังเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายของซากดึกดำบรรพ์ยุค 115 ล้าน ปีก่อน ทั้งไม้กลายเป็นหิน ช้างดึกดำบรรพ์ ไดโนเสาร์ และซากดึกดำบรรพ์ร่วมยุคอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งถือว่าสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ดังนั้น จึงได้กำหนดแผนงานโครงการ เพื่อการพัฒนาต่อยอด ให้ก้าวสู่ความเป็น มหานครแห่งบรรพชีวินโลก หรือ ‘มหานครแห่งฟอสซิลโลก’ หรือ World Paleontopolis ด้วยการพัฒนาเพิ่มเติม เป็น Dino Park ซึ่ง Dino Park หรือ อุทยานไดโนเสาร์ ที่จะสร้างขึ้นนี้ จะสร้างขึ้นมาในลักษณะ เป็นการผสมผสานกันระหว่าง ‘สวนสนุกกับพิพิธภัณฑ์’ หรือในลักษณะที่เป็น ‘Theme Park’ ซึ่งคล้ายกับการผสมผสานกันระหว่าง พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติสมิธโซเนี่ยน และดิสนีย์แลนด์ของสหรัฐอเมริกา บวกกับไดโนซอร์พาร์คของจีน ทีเมืองฉางโจว ซึ่ง Dino Park นี้ จะเป็นทั้งแหล่งเรียนรู้และศึกษาวิจัยทางด้านธรณีวิทยาและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและนันทนาการของคนทุกเพศทุกวัย

ทั้งนี้ หากโครงการนี้ประสบผลสำเร็จแล้ว ตนเชื่อว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว ให้เข้ามาเที่ยวในประเทศได้เป็นจำนวนมาก ไม่แพ้ดิสนีย์แลนด์ หรือดิสนีย์เวิลด์ อย่างแน่นอน และสามารถที่จะช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้แก่ประเทศได้มากขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยโครงการนี้จะใช้พื้นที่ขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ประมาณ 600 ไร่ ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว อยู่ในเขตพื้นที่ ตำบลโคกกรวด อำเภอเมือง จังหวัดครราชสีมา ห่างจากตัวเมืองประมาณ 18 กิโลเมตร โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ 1.300 ล้านบาทเศษ และที่สำคัญ โครงการนี้ได้รับการอนุมัติในหลักการจาก ครม.แล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ดังนั้น จึงฝากให้รัฐบาลได้โปรดพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อมาดำเนินการ โครงการ Dino Park หรือ อุทยานไดโนเสาร์ นี้ ให้เป็นผลสำเร็จ เพื่อประโยชน์ของประเทศด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว ในอันที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตขึ้นอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนต่อไปด้วย นายแพทย์วรรณรัตน์ กล่าวย้ำ

'ลิซ่า-ก้าวไกล' เหน็บงบประมาณ 67 เหมือนยุคลุงตู่ คิดอะไรไม่ออกก็เอาไปสร้างถนน อย่างกับส่งต่ออำนาจกันมา

(5 ม.ค. 67) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท วาระแรก ต่อเนื่องเป็นวันสุดท้าย ที่มี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่ 2 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม นางสาวภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล อภิปรายงบประมาณจังหวัด ในสัดส่วนของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นประเด็นเกี่ยวกับสังคม ว่า จากที่ได้อ่านเอกสารงบประมาณ ทำให้รู้ว่าไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์อะไรขึ้น หน้าตางบประมาณไทย ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง งบประมาณปี 2567 ปีนี้ ถ้าปิดชื่อนายกรัฐมนตรีที่มาแถลงงบประมาณ ตนนึกว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะงบประมาณปี 2567 ที่ท่านใช้เวลารื้อใหม่มากกว่า 3 เดือน สุดท้ายออกมาอย่างกับ Copy มาวาง เรียกได้ว่า ส่งต่ออำนาจกันอย่างไร้รอยต่อจริงๆ

วิกฤตอยู่ตรงที่ผู้บริหารประเทศ จัดทำงบประมาณแบบนี้ ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาเชิงพื้นที่ อย่าง กรุงเทพฯ รวยกว่าชนบท หัวเมืองใหญ่ได้รับการพัฒนามากกว่าหัวเมืองรอง จนทำให้ประชาชนเข้ามาหาอาชีพ หาโอกาสในเมืองใหญ่ ตนขอตั้งคำถามจัดงบแบบนี้ ว่ามันจะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำนี้ได้อย่างไร

นอกจากเรื่องเศรษฐกิจ การศึกษาก็สำคัญ เพราะอย่างที่เรารู้กัน ว่า ถ้าการศึกษาดีก็จะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยดีๆ ได้เรียนคณะดีๆ และจบมามีงานทำดีๆ แต่ถ้าถามว่า การศึกษาที่ดีๆ ของประเทศนี้ไปอยู่ที่ไหน ก็ต้องไปเรียนที่กรุงเทพฯ หรือถ้าใครไม่มีปัญญาไปเรียนที่กรุงเทพฯ ก็ต้องเข้าไปที่หัวเมืองใหญ่ ข้อมูลคะแนน o-net 4 วิชาที่ออกมาล่าสุดในปี 2565 เห็นได้ชัดว่าระหว่างจังหวัดที่ดีที่สุด คือ กรุงเทพฯ กับจังหวัดที่แย่ที่สุดตามพื้นที่ชายแดนอย่าง เช่น จังหวัดนราธิวาส หรือ แม่สอด คะแนน o-net เฉลี่ยของเด็ก ห่างกันถึง 20 คะแนน ซึ่ง 20 คะแนนนี้ มันคือโอกาสของคนคนหนึ่งที่เขาจะได้เข้าศึกษาในระดับที่สูงขึ้น งบประมาณปี 2567 ไม่มีการช่วยแก้ปัญหาช่องว่างทางการศึกษาแม้แต่น้อย

นางสาวภคมน กล่าวต่อว่า อีกหนึ่งวิกฤตที่คนพูดถึงกันมาก คือ ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ ในกรุงเทพฯ หมอ 1 คน ดูแลคน 500 คน แต่ที่หนองบัวลำภู หมอ 1 คน ต้องดูคน 4,700 คน ตนฝากถามไปถึงนายกรัฐมนตรีว่าเคยไปโรงพยาบาลที่ต่างจังหวัดหรือไม่ พี่น้องประชาชนหาหมอ ต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตี 4 เพื่อรอพบหมอ 10 นาที

“นี่คือวิกฤตที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ชนบทที่พวกเขาต้องเผชิญ ถามว่า สถานการณ์แบบนี้วิกฤต วิกฤตหรือยังคะ วิกฤตที่รัฐบาลอยากให้เป็นกับวิกฤตที่ดิฉันและประชาชนทั้งประเทศรู้สึกอาจจะคนละวิกฤต เพราะวิกฤตแบบที่ดิฉันและประชาชนทั้งประเทศมอง ต้องใช้ความใส่ใจจากผู้บริหาร ไม่ใช่วิกฤต ที่แก้ด้วยการกู้เงินมาแจกแบบที่รัฐบาลอยากให้เป็น” นางสาวภคมน กล่าว

นางสาวภคมน กล่าวต่อว่า ความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาพื้นที่คือวิกฤตใหญ่ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญและเผชิญมาโดยตลอด แต่งบประมาณที่รัฐบาลจัดมาเพื่อพัฒนาในพื้นที่ ไม่มีการจัดสรรงบประมาณ เพื่อกระจายอำนาจเลย แต่เป็นการจัดสรรงบประมาณเพื่อกระชับอำนาจ มองว่างบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเต็มไปด้วยความซ้ำซ้อน ส่วนเกิน และไม่จำเป็น มีการจัดสรรงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด 23,000 ล้านบาท ที่กำหนดโดยกลไกราชการรวมศูนย์อำนาจแบบที่เป็นอยู่ จะสร้างการพัฒนาที่ก้าวหน้ากว่าสิ่งที่เคยๆ ทำมาได้อย่างไร การแบ่งเค้กงบประมาณ 23,000 ล้านบาทนี้ มีการกำหนดสูตรในการจัดสรรงบประมาณ แต่สูตรที่ท่านจัดสรรนั้นเพื่อให้จังหวัดที่ใหญ่และรวยได้งบประมาณก่อน ยิ่งจังหวัดไหนมีประชากรเยอะ จังหวัดนั้นยิ่งได้รับงบประมาณมาก จังหวัดไหนที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจมาก งบประมาณก็จะเทไปตรงนั้นมาก ส่วนจังหวัดไหนที่ไม่เจริญอยู่แล้ว งบประมาณที่ได้ก็จะจำกัดจำเขี่ย

ตนตั้งคำถามว่า ถ้าจัดงบประมาณแบบนี้ไปอีก 10 ปี 100 ปี เมืองใหญ่ จังหวัดที่เจริญ มันจะไม่ยิ่งเจริญขึ้นเจริญขึ้น ในขณะที่จังหวัดเล็ก จังหวัดห่างไกล จังหวัดที่ขาดแคลน ก็จะไม่ยิ่งขาดแคลนขึ้น ขาดแคลนขึ้น ยังงี้จะไปสุดตรงไหน

“เรียกได้ว่า รัฐบาลเศรษฐาไม่ได้นำเอาความเหลื่อมล้ำเข้ามาเป็นปัจจัยในการจัดสรรงบประมาณ จัดงบแบบนี้ ถ้าท่านเป็นประชาชนท่านอยากไปอยู่จังหวัดไหนคะ ก็ต้องอยากไปอยู่ในหัวเมืองใหญ่ที่ได้รับงบประมาณเยอะ จะอยู่ทำไมเมืองรอง จะอยู่ทำไมที่บ้านเกิดที่รอคอยการพัฒนา ในเมื่อรัฐบาลไม่เคยคิดจะจัดงบมาพัฒนา สรุปได้ว่างบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด มันก็เหมือนเค้กก้อนหนึ่ง ที่เรามีโควต้าจะจัดงบประมาณไปให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด เสมือนเจ้าเมือง ในวิธีคิดของการบริหารราชการแผ่นดินแบบโบราณ” นางสาวภคมน กล่าว

นางสาวภคมน ย้ำว่า งบของจังหวัด คนที่ตัดสินใจใช้ก็คือผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เคยมีความผูกพันกับจังหวัด อยู่เพียงแค่ปี 2 ปีก็ย้ายไปจังหวัดอื่น และอาจจะไม่มีวัน ได้ย้ายกลับมาที่จังหวัดนั้นอีก เขาจะมีความมุ่งมั่น ความฝันอะไร กับจังหวัดที่เขาเป็นผู้ว่า เขาจะมีความรับผิดชอบอะไรกับการใช้งบประมาณเมื่อเขาเซ็นลายเซ็นแล้วเขาก็จะจากไป

งบประมาณ 23,000 ล้านบาทนี้ มากกว่า 12,000 ล้านบาท หรือ 52% ท่านเอาไปสร้างถนน เงินส่วนใหญ่ของแผนบูรณาการจังหวัดและกลุ่มจังหวัดถูกใช้ไปในการสร้างถนน สะพาน สัญญาณไฟจราจร อีกประมาณ 20% บอกว่าสร้างแหล่งน้ำ แต่ตนเข้าไปดูมีแต่โครงการสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง ตัวที่เป็นแหล่งน้ำให้เกษตรกรจริงๆคิดว่ามีไม่ถึง 10% ของ 4 พันล้านบาทนี้ รัฐบาลคิดวิธีการพัฒนาจังหวัด แบบอื่นไม่ออกแล้วหรือ นอกจากการสร้างถนน การสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง

นางสาวภคมน กล่าวด้วยว่า ไม่ได้บอกว่า ถนนไม่สำคัญ แต่ต้องเอาไปทำอย่างอื่นด้วย จะให้มหาดไทยสร้าง จะให้คมนาคมสร้าง หรือจะให้ท้องถิ่นสร้าง หรือจะให้กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบทสร้าง เอามันสักหน่วยงาน ไม่ใช่ซ้ำซ้อนกันแบบนี้

นางสาวภคมน ระบุว่า งบจังหวัดและกลุ่มจังหวัด คือ หน่วยงานที่อัตราการเบิกจ่ายแย่ที่สุด มีเงินเหลือเบิกจ่ายมากถึง 25% แสดงให้เห็นว่างบประมาณในส่วนนี้ถูกใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ จะเห็นว่าปีหน้า จะมีการชงของบก้อนนี้ เต็มวงเงิน 28,000 ล้านบาท แต่ประสิทธิภาพการเบิกจ่ายทำได้แค่นี้

นางสาวภคมน กล่าวทิ้งท้ายว่า มีแคนดิเดตนายกจากพรรคที่กำลังเป็นรัฐบาลอยู่ตอนนี้ หาเสียงเอาว่า ในปี 2570 เราจะมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ จะมีการกระจายอำนาจ บริหารราชการแผ่นดินออกไปสู่ท้องถิ่นมากขึ้น การใช้จ่ายงบประมาณจากภาษีประชาชนจะถูกควบคุมด้วยระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขั้นสูง ให้เงินภาษีประชาชนย้อนกลับไปสร้างความเจริญและความสุขให้กับประชาชนทุกบาททุกสตางค์ รวมทั้งจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดที่มีความพร้อม ตนก็ไม่รู้ว่าคำกล่าวทั้งหมดนี้เชื่อถือได้หรือไม่ หรือเป็นเพียงเทคนิคการหาเสียง เพราะสิ่งที่เราได้รับจากรัฐบาลเศรษฐาตลอด 3 เดือน ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับทิศทางนั้นเลย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top