Tuesday, 14 May 2024
ค่าครองชีพสูง

รมว.คลัง เล็งออกมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม เน้นคนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด - ค่าน้ำมันแพง

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการดำเนินมาตรการด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน ว่า รัฐบาลจะไม่เน้นการดำเนินงานในลักษณะของการเหวี่ยงแหเหมือนเช่นที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินโครงการคนละครึ่ง, เราไม่ทิ้งกัน และโครงการอื่น ๆ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันเริ่มมีการฟื้นตัวขึ้นแล้ว แต่จะเน้นการดำเนินมาตรการในลักษณะการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และปัญหาค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปขายปลีกที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

“เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (10 มิ.ย.) กระทรวงการคลังได้รับโจทย์จากรัฐบาล ผ่านมาทางรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ถึงการหาแนวทางในการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิดฯและราคาน้ำมันแพง โดยเฉพาะกลุ่มคนหาเช้ากินค่ำ คนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง และอาชีพอื่น ๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ส่วนจะเป็นมาตรการใดนั้น กระทรวงการคลังจะไปหารือถึงแนวทางที่เหมาะสมต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุ

ขณะเดียวกัน รัฐบาลเองก็มีข้อจำกัดในเรื่องเงินงบประมาณที่จำเป็นจะต้องจัดทำในลักษณะของงบประมาณขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป ท่ามกลางกระแสความไม่เห็นด้วยของหลายฝ่าย 

ทั้งนี้ แม้รัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องจัดทำงบประมาณขาดดุลเนื่องจากมีภาระรายจ่ายประจำในรูปของเงินเดือนและเงินสวัสดิการแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่รัฐบาลก็ได้ปรับเพิ่มงบประมาณเงินทุนในปีหน้าที่ค่อนข้างสูงถึงร้อยละ 20 เนื่องจากมองเห็นโอกาสทางด้านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

นายอาคมยอมรับว่า เงินกู้ส่วนที่เหลือจากโครงการเงินกู้ครั้งก่อน มีไม่เพียงพอต่อการจะนำไปใช้ในการดำเนินมาตรการด้านเศรษฐกิจในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม การจะกู้เงินก้อนใหม่นั้น รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังสามารถดำเนินการได้ทันที เนื่องจากกรอบวงเงินกู้ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังได้ขยายเพดานสัดส่วนเงินกู้เอาไว้เป็นร้อยละ 70 ของจีดีพี แต่บนข้อเท็จจริงนั้น รัฐบาลจำเป็นจะต้องพิจารณาเงื่อนไขอื่น ๆ ประกอบกันไป โดยเฉพาะปัญหาหนี้สาธารณะที่มีอยู่สูงมากและเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ 

ทั้งนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการขยายฐานภาษีไปยังกลุ่มคนและกลุ่มธุรกิจที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบภาษีอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพากรได้ดำเนินการจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายสินค้าออนไลน์ (e-Business) และสร้างรายได้ในระดับที่น่าพอใจ คาดว่าจะเป็นอีกช่องทางรายได้ของรัฐที่จะเข้ามาชดเชยรายจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น

ส่วนความคืบหน้าในการจัดเก็บภาษีเงินได้จากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น นายอาคม ยอมรับว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังโดยกรมสรรรพากรได้ดำเนินการจนใกล้จะแล้วเสร็จและเตรียมจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเร็ววันนี้ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีคงต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันด้วย

อนึ่ง แนวทางที่กรมสรรพากรได้จัดทำเอาไว้สำหรับการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะที่เกิดขึ้นจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯที่มีมูลค่าตั้งแต่  1 ล้านบาทขึ้นไป โดยจะจัดเก็บภาษีในที่อัตราร้อยละ 0.1

สื่อสหรัฐฯ เผย ชาวมะกัน 62% อยากย้ายประเทศ!! พบอเมริกันชนย้ายไป 'เม็กซิโก' แล้ว 8 แสนคน

สำนักข่าว CNBC ของสหรัฐฯ ได้รายงานเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า ชาวแคลิฟอร์เนียหลายแสนคน ย้ายฐิ่นฐานออกจากประเทศสหรัฐฯ ไปยังประเทศเม็กซิโก เนื่องจากค่าครองชีพที่สูงเกินกว่าจะรับไหว ในขณะที่เม็กซิโกมีค่าครองชีพที่ถูกกว่า และมีลักษณะการใช้ชีวิตที่สุขสบายไม่เคร่งเครียด

แคลิฟอร์เนีย ถือเป็นรัฐที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของสหรัฐฯ รองจากรัฐฮาวาย ซึ่งราคาบ้าน 1 หลังในแคลิฟอร์เนีย มีราคาเฉลี่ยหลังละ 797,470 ดอลลาร์ หรือประมาณ 28 ล้านบาท โดยสำนักข่าว CNBC ระบุว่า มีชาวแคลิฟอร์เนียเพียง 25% เท่านั้น ที่มีเงินมากพอที่จะซื้อบ้านในแคลิฟอร์เนีย โดยพบว่าไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 มีประชากรเดินทางออกจากรัฐแคลิฟอร์เนียไม่ต่ำกว่า 3.6 แสนคน ย้ายไปอาศัยอยู่ในรัฐวอชิงตัน รัฐอาริโซนา รัฐเท็กซัส และประเทศเม็กซิโก โดยในปี 2563 พบว่ามีประชากรชาวอเมริกัน 8 แสนคน อาศัยอยู่ในประเทศเม็กซิโก

จากกระแสการย้ายถิ่นฐานออกจากสหรัฐฯ ไปเม็กซิโก ที่เริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ สำนักข่าว CNBC ยังได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นส่วนใหญ่ของชาวอเมริกัน พบว่า 62% อยากย้ายไปประเทศอื่น โดยผู้ตอบแบบสอบถามผลสำรวจ ไม่ค่อยมีความกังวลเรื่องการสูญเสียโอกาสการงานหน้าที่ในสหรัฐฯ เพราะสามารถทำงานอยู่ที่บ้านหรือ Work From Home จากต่างประเทศ

นายทราวิส กรอสซี (Travis Grossi) และนายเดวิด ซิมมอนส์ จูเนียร์ (David Simmons Jr.) ชาวแคลิฟอร์เนีย 2 คนที่เคยอาศัยอยู่ในฮอลลีวูด ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC โดยทั้ง 2 เปิดเผยว่า พวกเขาย้ายมาประเทศเม็กซิโก เพราะค่าครองชีพทุกอย่างในเม็กซิโก ถูกกว่ามากถึงครึ่งหนึ่งของค่าครองชีพในแคลิฟอร์เนีย 

แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและค่าจ้างแรงงานในแคลิฟอร์เนียจะมีตัวเลขที่สูงกว่ามาก แต่ระบบสาธารณสุขก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน แต่ช่วงที่นายเดวิด ซิมมอนส์ จูเนียร์ ยังอาศัยอยู่ในแคลิฟอร์เนีย นายเดวิด ไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าฉีดยารักษาโรคภูมิแพ้ แต่เมื่อย้ายมาอยู่เม็กซิโก การรักษาพยายาบาลในเม็กซิโก นอกจากจะถูกกว่าและเข้าถึงได้ง่ายกว่าแล้ว นายเดวิดยังได้รับการดูแลเรื่องโรคผิวหนังควบคู่ไปกับการรักษาโรคภูมิแพ้ ซึ่งถือว่าถูกกว่าและคุ้มค่ากว่ามาก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top