Sunday, 5 May 2024
ข่าวรุนแรง

คนไทยเสพข่าวรุนแรง พบเครียดขึ้น 2.1 เท่า อาจเสี่ยงภาวะ Headline Stress Disorder

คุณกำลังมีอาการแบบนี้อยู่ไหมครับ? รู้สึกเครียดกังวล หดหู่ ร้องไห้ ไม่มีสามาธิทำงานหลังจากดูข่าวเสร็จ ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้หลังจากดูข่าวอาจเสี่ยงเป็นภาวะ Headline Stress Disorder ได้

ก่อนจะไปทำความรู้จักกับภาวะนี้ ผมอยากให้ทุกท่านมาดูความเครียดของคนไทยปีนี้ก่อนครับ โดยกรมสุขภาพจิตได้ออกมาเผยผลวิเคราะห์ระดับความเครียดของประชาชน ช่วงต้นเดือนมีนาคมเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้

พบว่าแค่เดือนเดียวคนไทยเครียดเพิ่มขึ้น 2.1 เท่า เสี่ยงเป็นซึมเศร้าอีก 4.8 เท่า สาเหตุเกิดจากการเสพข่าวรุนแรงบ่อยเกินไป โดยช่วงนั้นมีข่าวรุนแรงเกิดขึ้น 3 ข่าวคือข่าวแตงโม นิดา ข่าวยูเครน และข่าวโควิด-19 

จะเห็นว่าการเสพข่าวความรุนแรงมากเกินไป ไม่เป็นผลต่อดีต่อสภาพจิตใจ โดยจะเกิดขึ้นกับบุคคลไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ วันนี้ทีมข่าว THE STATES TIMES จะพาไปทำความรู้จักกับภาวะ Headline Stress Disorder และแนะแนวทางหาวิธีป้องกันครับ

ซึ่งภาวะ Headline Stress Disorder เกิดจากการเสพเนื้อหารุนแรง หรือดูเนื้อหาที่กระทบจิตใจซ้ำๆ ทำให้เหมือนกับการถูกโยนระเบิดใส่ตัวเองทีละลูก ทำให้คนที่เสพรู้สึกเครียด ซึมเศร้า หดหู่ ภาวะนี้ยังเกิดจากเสพเนื้อหาแง่ดีได้ด้วย เช่นการดูข่าวความสำเร็จคนอื่น แล้วมาเปรียบเทียบกับตนเอง จนนำไปสู่สภาพจิตใจที่ไม่มั่นคง

โดยผลเสียของการเป็นภาาวะนี้คือ อาจเกิดการทะเลาะกับคนใกล้ตัวบ่อย เพราะเมื่อสภาพจิตใจไม่มั่นคงจะทำให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่เป็นมิตร จุกจิกมากขึ้น มีสมาธิในการทำงานน้อยลง จนขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนสนิท

รวมถึงอาจเกิดระยะห่างของเพื่อนและตัวเราได้ เพราะคนที่อยู่ในภาวะนี้จะมีพฤติกรรมเก็บเนื้อเก็บตัว ไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนน้อยลง ทำให้คนรอบตัวสงสัยหรือไม่เข้าใจถึงพฤติกรรมเหล่านี้ เพราะเขาจะคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดหรือเปล่า เพื่อนถึงไม่พูดคุย ไม่มาสังสรรค์เหมือนเมื่อก่อน

ในตอนนี้หากคนที่คิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในภาวะนี้อยู่ ให้งดอ่าน งดดูข่าว หรือข้อมูลที่มีหัวข้อสร้างความอ่อนไหวทางจิตใจ เช่น ข่าวการสูญเสีย การฆ่าตัวตาย หรือให้เลือกช่องทางการดูมากขึ้น เช่นข่าวช่องไหนกำลังเสนอเรื่องความรุนแรง ให้กดข้ามไปดูช่องอื่นที่นำเสนอข่าวไม่กระทบจิตใจ จำกัดเนื้อหาในโซเซียล เลือกเสพเนื้อหาที่มันบรรเทิงต่อจิตใจ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top