Monday, 13 May 2024
กาตาร์

'กาตาร์' จ้างแฟนบอลดูฟุตบอลโลกฟรี แลกวิจารณ์เชิงบวก กระตุ้นทัวร์นาเมนต์

กาตาร์ เจ้าภาพฟุตบอลโลก2022 ยอมรับ!! มีการจ้างแฟนบอลจากเนเธอร์แลนด์ ให้เดินทางมาชมแบบฟรี ๆ แลกกับการเขียนคำชมในโซเชียลมีเดีย

NOS สถานีทีวีของเนเธอร์แลนด์ รายงานว่ามีแฟนบอลชาวดัตช์จำนวน 50 คน ในนามของ 'Fans Leader' ถูกเชิญจาก 'กาตาร์' เจ้าภาพฟุตบอลโลกหนล่าสุด ให้เดินทางไปชมเกมในรอบสุดท้าย โดยทางฝั่งเจ้าภาพได้ทำการออกค่าที่พัก และตั๋วเข้าชมแก่แฟนบอลกลุ่มนี้แบบฟรี ๆ เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ทัวร์นาเมนต์ และส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยตัวแทนของคณะกรรมการจัดแข่งขัน เวิลด์ คัพ (SC) ที่กาตาร์ ยืนยันว่าทั้งหมดเป็น 'เรื่องจริง'

หนุ่มอังกฤษดวงเฮง เดินหาเบียร์ซด แต่กลับได้ปาร์ตี้บ้านคนระดับ ‘ชีค’

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าการหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในศึกฟุตบอลโลกที่กาตาร์ ยากกว่าหาน้ำมันอีก เพราะผิดกฎหมายในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามที่เคร่งจัด 

ก่อนหน้านี้ชายคนหนึ่งเพิ่งสร้างเรื่องด้วยการเดินถึง 11 กิโลเมตรเพื่อหาเบียร์ดื่ม แต่ล่าสุดมีเรื่องพีคกว่านั้นคือชายอังกฤษชื่อ ‘ร็อบ ฟิลลิปป์ส’ เดินทางไปดูฟุตบอลโลกกับครอบครัวแต่เจอเรื่องไม่คาดฝัน

ขณะกำลังปาร์ตี้เเละจะไปหาที่ต่อเขาไปเจอชายคนหนึ่ง เจ้าตัวบอกว่าจะไปหาเบียร์ดื่ม แต่ชายคนนั้นบอกเดี๋ยวจัดการให้ พาขึ้นรถแลนด์ครุยเซอร์สุดหรู เพื่อเดินทางไปคฤหาสน์ใหญ่ ที่มีทั้งสิงโต, นกหายาก, มี DJ มาเปิดเพลง เสิร์ฟอาหารแบบไม่อั้น จนมารู้ทีหลังว่าผู้ชายคนนั้นคือลูกเจ้าของหมู่บ้านที่ฐานะเกินคำว่ารวยไปเยอะ 

‘กาตาร์’ ประเทศเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ของอ่าวเปอร์เซีย มีพื้นที่ทั้งหมดแค่เพียง 11,586 ตารางกิโลเมตรได้สร้างความน่าทึ่งกับทั่วโลกในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2022

โดยอดีตกาตาร์ที่ผ่านมาเคยเป็นประเทศที่มีแต่ความแห้งแล้ง มีผลทำให้บรรดาประชากรลำบากยากจน แถมยังล้าหลังกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ซาอุดิอาระเบีย

เมืองหลวงของประเทศกาตาร์ก็คือ ‘กรุงโดฮา’ ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2.3 ล้านคน ทั้งนี้กาตาร์ได้รับการประกาศปลดแอกเป็นเอกราชจากสหราชอาณาจักรเมื่อปีค.ศ. 1971

โดยห้าสิบปีก่อนหน้านี้ ประเทศกาตาร์ได้มีการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่มีผลทำให้กาตาร์กลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดอีกประเทศหนึ่งในโลก และการที่มีจำนวนประชากรแค่เพียงสามล้านกว่าคน ก็มีผลที่ทำให้รายได้ของประชากรกาตาร์แต่ละคนตกอยู่ที่คนละราว ๆ 62,000 ดอลลาร์ต่อปี !!!

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมากาตาร์มีความใฝ่ฝันต้องการที่จะเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันฟุตบอลโลก แต่กลับต้องพบกับความผิดหวังหลายครั้งหลายครา เพราะต้องเผชิญกับอุปสรรคหลักๆนั่นก็คือ กาตาร์เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กเกินไป แถมในอดีตที่ผ่านมากาตาร์ไม่เคยมีทีมฟุตบอลเป็นของชาติตนเอง และยังขาดโครงสร้างขั้นพื้นฐานอาทิเช่น ขาดสนามกีฬาที่ใช้รองรับการแข่งขันกีฬาระดับโลก โดยฟีฟ่าเล็งเห็นว่า หากกาตาร์ทำไม่สำเร็จก็จะนำความเสียหายมาให้มิใช่น้อย

ฉะนั้นการตัดสินใจที่จะเลือกกาตาร์เข้าไปเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกทางฟีฟ่าก็มีปัญหาโต้แย้งกันอย่างมากมาย สืบเนื่องจากกาตาร์มีข่าวด้านการปฏิบัติต่อแรงงานข้ามชาติไม่ค่อยสวยงามเท่าใดนัก เรื่อยไปจนถึงเรื่องของสภาพภูมิอากาศก็ไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ

ดังนั้นการมีเงินมหาศาลและมีความทะเยอทะยานก็มิได้เป็นทางออกที่ดีที่จะทำให้กาตาร์สมหวัง แต่อย่างไรก็ตามกาตาร์ก็ยังไม่ยอมแพ้ แถมยังพร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองว่า ‘กาตาร์สามารถรับต่อการท้าทาย และยังมีความพร้อมที่จะแบกรับค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลและยังจะต้องมีคนงานมากกว่า 26,000 คนได้อย่างสบายๆ’                                                         

กว่าที่กาตาร์จะสามารถพิสูจน์ให้กรรมการทีมผู้บริหารจำนวน 32 คนของสมาคมฟีฟ่าได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่า สามารถเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2022 ได้นั้น จะต้องใช้เวลานานกว่าสิบสามปีนับตั้งแต่ปีค.ศ.2009

อนึ่งปีค.ศ. 2022 ถือเป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 22 ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลโดยทีมชาติของผู้ชาย ซึ่งเป็นสมาชิกในสมาคมของฟีฟ่าทั้งหมด!!!

ท้ายที่สุดก็ประสบผลสำเร็จสมดั่งใจหมาย โดยกาตาร์ถือเป็นประเทศอาหรับชาติแรกที่ได้รับเกียรติให้รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ทุ่มเงินกว่า 250 พันล้านเหรียญดอลลาร์ ในการเตรียมความพร้อม และได้สร้างสนามกีฬากลางแจ้ง 7 แห่งพร้อมด้วยระบบระบายความร้อน ที่คัดเลือกคนงานมาจากประเทศต่างๆหลายแสนคน

และถือว่ากาตาร์เป็นประเทศที่มีความโชคดีสองต่อ เพราะต่อที่หนึ่งกาตาร์เป็นประเทศที่มีความร่ำรวยมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แถมต่อที่สองกาตาร์ก็ยังมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลที่เล็งเห็นถึงคุณค่าเรื่องการศึกษาต้องการที่จะให้ประชากรชาวกาตาร์กว่าสามล้านคนได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด จึงได้เห็นชอบให้มีการจัดตั้ง ‘มูลนิธิกาตาร์’ และได้สร้าง ‘นครแห่งการศึกษา’ หรือที่เรียกว่า ‘Education City’ ขึ้นมาในพื้นที่ 12 ตร.กม.

สำหรับวิสัยทัศน์ของ ‘มูลนิธิกาตาร์’ หรือ ‘Qatar Foundation’ ก็เพื่อต้องการกระตุ้นให้เด็กตั้งแต่วัยแรกเริ่มการเรียนรู้เรื่อยไปจนถึงคนรุ่นหนุ่มสาวระดับบัณฑิตในรั้วมหาวิทยาลัย ได้กลายเป็นนักคิดค้นด้านนวัตกรรม โดยมุ่งเน้นให้เยาวชนของกาตาร์ทุกๆคนมีความกระตือรือร้น มุ่งมั่น และ มีความคิดสร้างสรรค์

ก่อนหน้าที่จะมีการก่อตั้งศูนย์การศึกษาในปีค.ศ.1995 ได้มีการก่อตั้งสถานการศึกษาเล็กๆแห่งหนึ่งขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า ‘Qatar Academy’ ที่มีความเข้มงวดและเน้นทักษะด้านภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และคอมพิวเตอร์

ต่อมาในปีค.ศ. 2003 ได้มีการก่อตั้งศูนย์การศึกษากาตาร์ ขึ้น ณ เมืองอัล เรย์ยาน และยังมีศูนย์ประชุมแห่งชาติที่ใหญ่อีกแห่งหนึ่งถัดจากเมืองหลวงโดฮาอีกด้วย!!!

ส่วนการสร้างพันธมิตรทางด้านวิชาการของศูนย์การศึกษากาตาร์ต่อมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐอเมริกานั้น นับเป็นหัวใจหลักด้านการส่งเสริมเพิ่มเติมองค์ความรู้ให้แก่กาตาร์มิใช่น้อยเลยทีเดียว

‘ONE Championship’ เตรียมจัดการแข่งขันครั้งแรกในกาตาร์ เล็งเจาะกลุ่มแฟนกีฬาศิลปะการต่อสู้ในตลาดตะวันออกกลาง


เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 66 ‘ONE Championship’ บรรลุข้อตกลงกับ ‘Media City Qatar’ เจ้าของเครือข่ายสื่อยักษ์ใหญ่ของประเทศกาตาร์ เตรียมเปิดตัวการแข่งขัน ONE เป็นครั้งแรก ตั้งเป้าเจาะกลุ่มแฟนกีฬาศิลปะการต่อสู้ในภูมิภาคตะวันออกกลาง

มีการคาดการณ์ว่า ONE จะยกพลบินลัดฟ้าเยือนถิ่นกาตาร์ เพื่อเปิดตัวอีเวนต์แรกในกรุงโดฮาภายในปีนี้ โดยมีแผนที่จะดึงตัวนักกีฬาชั้นแนวหน้าระดับโลกและระดับภูมิภาคเข้าร่วมการแข่งขัน แต่ยังไม่มีกำหนดการที่แน่นอน

ก่อนหน้านี้ ONE และ ‘Media City’ ได้ประกาศจับมือเป็นพันธมิตรกัน เพื่อผลิตคอนเทนต์อันหลากหลายสู่สายตาผู้ชมทั่วตะวันออกกลาง และประเทศกาตาร์ยังถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำรายการเรียลลิตีระดับโลก ‘The Apprentice : ONE Championship Edition’ ซีซันสองอีกด้วย โดยปรากฏว่ามีกระแสตอบรับเป็นอย่างดี นำมาซึ่งการขยายความร่วมมือเพื่อการจัดแข่งขัน ONE เป็นครั้งแรกในภูมิภาคนี้

ภูมิภาคตะวันออกกลางถืออีกหนึ่งตลาดสำคัญที่มีกลุ่มเป้าหมายศักยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรรุ่นใหม่ที่มีความเข้าใจเรื่องดิจิทัล นอกจากนี้ ONE ยังมีเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแรงซึ่งเอื้อต่อการขยายการลงทุนต่อไปในอนาคตด้วย

โดยนอกจากเป้าหมายในการขยายฐานแฟนกีฬา และเครือข่ายพันธมิตรแล้ว ONE ยังตั้งใจจุดกระแสความนิยมในศิลปะการต่อสู้ และเปิดพื้นที่ให้นักกีฬาการต่อสู้ระดับอาชีพในภูมิภาคนี้ ได้มีโอกาสแสดงฝีมือในเวทียิ่งใหญ่ระดับโลกอีกด้วย

โดยแฟน ๆ สามารถติดตามข่าวสารและความคืบหน้าของ ONE ได้ที่เฟซบุ๊ก ‘ONE Championship Thailand’ เว็บไซต์ www.onefc.com และอินสตาแกรม ‘ONEChampTh’
 

‘ฮามาส’ ปล่อยตัวประกัน 2 แม่ลูกชาวอเมริกันแล้ว ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม หลัง ‘กาตาร์’ ช่วยเจรจา

(21 ต.ค.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ชาวอเมริกัน 2 แม่ลูกที่ถูกกลุ่มฮามาสจับเป็นตัวประกันตั้งแต่การเปิดฉากโจมตีอิสราเอลแบบสายฟ้าแลบเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ถูกปล่อยตัวออกมาแล้วเมื่อวันศุกร์ (20 ต.ค.) โดยทั้งสองถูกนำตัวส่งให้หน่วยกาชาดสากลที่เข้าไปปฏิบัติงานบรรเทาทุกข์ในพื้นที่ฉนวนการกาซา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่กาชาดได้พาไปมอบให้ทหารอิสราเอลบริเวณชายแดนฉนวนกาซา และคาดว่าจะเดินทางกลับสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า

ตัวประกันทั้งสองทราบภายหลังว่าเป็นชาวชิคาโก มีเชื้อสายอิสราเอล ผู้เป็นแม่ชื่อ จูดิท ไท รานัน ลูกสาวชื่อ นาตาลี รานัน อายุ 17 ปี ทั้งสองถูกจับเป็นตัวประกันตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม ขณะไปเยี่ยมญาติที่คิบบุตซ์ นาฮาล ออตซ์ ทางภาคใต้ของอิสราเอล

การปล่อยตัวครั้งนี้อยู่บนพื้นฐานทางมนุษยธรรมเนื่องจากผู้เป็นแม่นั้นสุขภาพย่ำแย่ และเป็นผลมาจากการเจรจาระหว่างกาตาร์กับกลุ่มฮามาสที่เริ่มมาตั้งแต่หลังเกิดเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม

นายอาบู อาบาอิดา โฆษกกลุ่มฮามาสแถลงว่า “เพื่อตอบสนองต่อความพยายามของกาตาร์ กองพันอัล-กัสซามได้ปล่อยตัว 2 แม่ลูกชาวอเมริกัน ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม เป็นการพิสูจน์ให้ชาวอเมริกันและทั่วโลกได้เห็นว่า ข้ออ้างของไบเดนและคณะบริหารฟาสซิสม์ของเขานั้นไม่เป็นความจริงและเลื่อนลอย”

ทางด้านนายมาเจด อัล-อันซารี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกาตาร์แถลงว่า ทางกาตาร์จะยังดำเนินการเจรจาอย่างต่อเนื่อง ทั้งกับฮามาสและอิสราเอลเพื่อให้มีการปล่อยตัวประกันพลเรือนทุกคนทุกเชื้อชาติ เพื่อลดความตึงเครียดของสถานการณ์และนำสันติภาพกลับคืนมา

ต่อมาทางกลุ่มฮามาสได้ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า พวกเขากำลังทำงานร่วมกับตัวแทนจากอียิปต์ กาตาร์ และประเทศผู้เป็นมิตรอีกหลายประเทศ เพื่อพิจารณาปล่อยตัวประกันต่างชาติคนอื่นๆ เมื่อพวกเขาเห็นมีความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย

ส่วนทางด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสำนักนายกรัฐมนตรีอิสราเอล อ้างว่าการปล่อยตัวประกันครั้งนี้เป็นผลมาจากการกดดันทางทหารของอิสราเอล

เห็นพ้อง!! ‘กาตาร์’ รับบท ‘คนกลาง’ ยุติขัดแย้ง ‘อิสราเอล-ปาเลสไตน์’ เหตุมีสัมพันธ์ที่ดีกับหลายขั้วอำนาจ-ช่วยหยุดรอยร้าวมาแล้วหลายครั้ง

สงครามระหว่าง ‘อิสราเอล’ และ ‘กลุ่มติดอาวุธฮามาส’ ในปาเลสไตน์ยังคงเดือดต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าฝ่ายใดจะลดราวาศอกลง โดยเฉพาะฝ่ายอิสราเอลที่ยังประกาศเดินหน้าแผนการโจมตีภาคพื้นดิน โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากมติขององค์การสหประชาชาติที่เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหยุดยิง 

ท่ามกลางวิกฤติที่ดูไร้หนทางออก ในขณะเดียวกันนี้ หลายฝ่ายเริ่มฝากความหวังไว้กับประเทศกาตาร์ ในบทบาทการเป็น ‘คนกลาง’ ในการเจรจาเพื่อหาทางยุติสงครามในปาเลสไตน์ ก่อนสูญเสียชีวิตพลเมืองมากกว่านี้

เหตุใด ‘กาตาร์’ จึงกลายเป็นประเทศที่เหมาะสมที่สุดในการเป็นคนกลางในสถานการณ์ตอนนี้? 

ในขณะที่ ‘หลายชาติในโลกตะวันตก’ และ ‘โลกมุสลิม’ มีการแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน ในกรณีความขัดแย้งในปาเลสไตน์ กาตาร์กลับเป็นประเทศหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลากหลายขั้วอำนาจ อาทิ ฝ่ายชาติตะวันตกและสหรัฐอเมริกา, กลุ่มติดอาวุธฮามาส รวมถึงคู่ขัดแย้งในโลกอื่น ๆ อย่างอิหร่าน และ รัสเซีย อีกด้วย 

ซึ่งการวางตัวเป็นมิตรกับกลุ่มต่าง ๆ และ พยายามรักษาสมดุลด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทำให้กาตาร์ได้รับบทบาทในการเป็นคนกลางในการเปิดโต๊ะเจรจาระหว่างคู่ขัดแย้งต่างขั้วหลายครั้ง

อาทิ การเป็นเจ้าภาพงานประชุมทวิภาคีระหว่างสหรัฐอเมริกากับอัฟกานิสถาน ภายใต้การนำของรัฐบาลตอลีบานเป็นครั้งแรกตั้งแต่กองกำลังตอลีบานบุกยึดกรุงคาบูล ในปี 2021 และยังเป็นคนกลางในการเจรจาระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่าน ในการแลกเปลี่ยนนักโทษการเมืองได้สำเร็จเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะผิดสัญญาเรื่องการส่งมอบเงินสำรองต่างประเทศจำนวน 6 พันล้านเหรียญคืนให้อิหร่าน แต่ก็ได้โอนเงินจำนวนนั้นให้แก่รัฐบาลกาตาร์เพื่อเก็บรักษาไว้จนกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลง 

อีกทั้ง กาตาร์ยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอิทธิพลในย่านตะวันออกกลาง เช่นเดียวกับ ซาอุดีอาระเบีย และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทั้งในด้านความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เป็นผู้ผลิตน้ำมันชั้นนำประเทศหนึ่งของโลก และยังเป็นเจ้าของสื่อยักษ์ใหญ่ Al Jazeera สื่อที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในย่านตะวันออกกลาง 

จึงทำให้กาตาร์มีศักยภาพเพียงพอที่จะได้รับความไว้วางใจจากหลายฝ่าย แม้แต่ เอมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศสยังให้เครดิตกาตาร์ ที่ทำให้การเจรจาปล่อยตัวประกันชาวอเมริกัน 2 คนแรก ที่ถูกกลุ่มฮามาสจับตัวไว้ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมาประสบความสำเร็จ 

แต่ทั้งนี้ ด้วยความสัมพันธ์ที่ดีต่อกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มในย่านตะวันออกกลาง ทั้ง ฮามาส, ตอลิบาน หรือ อิหร่าน ก็ทำให้กาตาร์ถูกมองว่าเป็นชาติที่สนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย  

มิหนำซ้ำ กับอิสราเอล ที่ประกาศไม่ยอมเจรจากับกลุ่มฮามาสที่ถูกรัฐบาลอิสราเอลขึ้นทะเบียนเป็น ‘กลุ่มก่อการร้าย’ ทุกกรณี ก็ไม่ไว้วางใจกาตาร์ และยังมองว่า กาตาร์ใช้สื่อ Al Jazeera ของตนเป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่มฮามาส และชาวมุสลิมโจมตีอิสราเอล และได้มีคำสั่งให้ปิดสำนักงานข่าว Al Jazeera ในอิสราเอลด้วย 

แต่สำหรับสหรัฐอเมริกา มองว่าในนาทีนี้ คงไม่มีชาติใดเหมาะสมในการเป็นคนกลางได้ดีเท่ากาตาร์อีกแล้ว และที่ผ่านมารัฐบาลกาตาร์ก็แสดงความสามารถในการเจรจาได้อย่างลุล่วงมาหลายครั้ง ซึ่งล่าสุด แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ได้เดินทางเยือนกาตาร์ เพื่อหารือเกี่ยวกับภารกิจทางการทูตในการแก้ไขวิกฤติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้

และเมื่อได้แรงหนุนจากสหรัฐอเมริกา ยิ่งทำให้สถานะ และ บทบาทของกาตาร์ ในตะวันออกกลางมีความโดดเด่นมากขึ้น และถูกคาดหวังว่าจะสามารถไกล่เกลี่ยให้วิกฤติในปาเลสไตน์สามารถสงบลงได้ แม้เพียงแค่ชั่วคราวก็ยังดี 

‘ฮามาส’ ตกลง!! ยอมหยุดยิง 3 วัน หลัง ‘กาตาร์’ เจรจา พร้อมปล่อย 50 ตัวประกัน ด้าน ‘อิสราเอล’ ยังเงียบกริบ

(16 พ.ย.66) รอยเตอร์สรายงานอ้างแหล่งข่าวกาตาร์รายหนึ่งว่า รัฐบาลกาตาร์กำลังเจรจาเรื่องการช่วยเหลือตัวประกันกับอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธฮามาส โดยมีข้อเสนอสำคัญคือ กลุ่มฮามาสจะปล่อยตัวประกัน 50 คนออกมาจากฉนวนกาซา แลกกับข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวเป็นเวลา 3 วัน

ข้อเสนอดังกล่าวซึ่งอยู่ภายใต้การเจรจาและร่วมมือกับทางสหรัฐด้วย และยังระบุอีกว่า อิสราเอลจะยอมปล่อยตัวผู้หญิงและเด็กชาวปาเลสไตน์จำนวนหนึ่งที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำออกมาด้วย และยอมเปิดทางให้มีการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปยังพื้นที่กาซามากขึ้น 

แหล่งข่าวระบุว่าเบื้องต้นนั้น ฮามาสตกลงในภาพรวมของข้อเสนอดังกล่าวแล้ว แต่อิสราเอลยังไม่ตอบรับ และกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาในรายละเอียด   

หากข้อเสนอครั้งนี้ประสบความสำเร็จ จะถือเป็นการช่วยตัวประกันครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่เริ่มต้นสงครามที่กลุ่มติดอาวุธฮามาสบุกโจมตีอิสราเอลในวันที่ 7 ต.ค. จนนำไปสู่การทำสงครามตอบโต้จากอิสราเอล ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตในฝั่งอิสราเอลประมาณ 1,200 คน ถูกจับเป็นตัวประกันอีกกว่า 200 คนทั้งชาวอิสราเอลและชาวต่างชาติ เช่น แรงงานไทย ในขณะที่ฝั่งปาเลสไตน์มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 11,000 คน   

ทั้งนี้ กองทัพอิสราเอลเพิ่งเดินหน้าออกปฏิบัติการบุกโรงพยาบาลอัลชิฟา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในฉนวนกาซาเมื่อวานนี้ (15 ต.ค.) โดยอ้างว่ามีข้อมูลชัดเจนว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ถูกกลุ่มฮามาสใช้เป็นฐานที่มั่น แม้ว่าจะการปฏิเสธจากฝั่งปาเลสไตน์และบรรดาบุคลากรทางการแพทย์ก็ตาม 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top