Friday, 17 May 2024
กระทรวงดิจิทัล

'ชัยวุฒิ' เดือด!! กลต.ไม่ตรวจสอบ 'Forex 3D' เชิงลึก ปล่อยลวงปชช. ยืดเยื้อรวบหลักฐานส่ง ก.ดิจิทัลฯ สานต่อ

'ชัยวุฒิ' ฟาด กลต.ไม่ตรวจสอบ 'Forex 3D' เชิงลึก บริษัทลงทุนมีใคร ปล่อยหลอกลวงประชาชนเสียหายหมื่นล้านบาท ชี้ กลต.ต้องเร่งรวบรวมหลักฐานส่ง กระทรวงดิจิทัลฯ ปิดเว็บโดยด่วน หากพบส่อลอกลวงประชาชน 

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงการหลอกหลวงประชาชน ในคดี 'Forex 3D' เสียหายเป็นหมื่นล้านว่า ในส่วนของกระทรวงดิจิทัลฯ มีความเป็นห่วงในเรื่องของการเชิญชวนคนมาลงทุนทางช่องทางโซเชียลมีเดียผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ ช่องทาง Facebook หรือช่องทางในระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีการเชิญชวนคนมาลงทุนในหลายรูปแบบ และก็ได้มีการติดตามอย่างต่อเนื่อง 

เพียงแต่ว่าโดยอำนาจหน้าที่ของกระทรวงดิจิทัลฯ ไม่สามารถไปปิดเว็บไซด์ หรือ ปิดกั้นโซเชียลมีเดียในช่องทางนั้นได้ทันที เนื่องจากต้องรอให้หน่วยงานที่มีอำนาจรวบรวมพยานหลักฐาน เมื่อมีความผิดตามกฎหมาย ถึงจะส่งเรื่องมายังกระทรวงดิจิทัลฯ เพื่อปิดเว็บไซต์ดังกล่าว จากนั้นก็จะมีการแจ้งเตือนประชาชน 

'ชัยวุฒิ' เผย นายกฯ ไม่กังวล ปมพรรคร่วมขัดเเย้ง พรบ.กัญชา ชี้!! แม้แต่ประชาชน ก็ยังมีความเห็นไม่ตรงกันได้

(5 พ.ย.65) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมคณะได้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดตาก เพื่อไปตรวจเยี่ยม การทำงานของบริษัทไปรษณีย์ไทย และ บริษัท โทรคมนาคมเเห่งชาติ หรือ NT โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เยี่ยมชมตลาดใหม่มูเซอ ตรวจเยี่ยมการขนส่งพัสดุของไปรษณีย์ไทยที่เป็นผลไม้จากตลาดมูเซอ สู่ตลาดภายนอก และติดตามการดำเนินโครงการดิจิทัลชุมชน ในพื้นที่ชายขอบของโรงเรียน ตชด.ในพื้นที่ จ.ตาก พร้อมเยี่ยมเยียนประชาชนในพื้นที่ โรงเรียนบ้านห้วยปลาหลด อ.เเม่สอด จ.ตาก ด้วย 

ทั้งนี้ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ได้เปิดเผย เกี่ยวกับกรณีความเห็นต่างของร่างพรบ.กัญชา ระหว่างพรรคภูมิใจไทย เเละ พรรคประชาธิปัตย์ ว่า ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องของการทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นปกติของคนทำงานเเละประชาธิปไตย ที่จะมีความเห็นไม่ตรงกัน แต่เชื่อว่าทุกพรรคทุกฝ่ายก็มีจุดยืนตรงกันคือทำเพื่อประชาชน เพียงแต่มองกันคนละมุมมอง ส่วนตัวมั่นใจว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะไม่กระทบความสัมพันธ์ ภายในพรรคร่วมรัฐบาล เรื่องกัญชา ไม่ต้องเป็นนักการเมือง แม้แต่ประชาชน ก็ยังมีความเห็นไม่ตรงกันได้ เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรให้กฏหมายออกมาให้ดีที่สุดเเละส่วนตัวมองว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นทางการเมือง ในการแย่งชิงคะแนนเสียงในพื้นที่เเต่อย่างใด ขณะที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้กังวลเรื่องนี้ เพราะเชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี บนพื้นฐานเพื่อประโยชน์ของประชาชน

เปิดตัว Digital Post ID รหัสไปรษณีย์แบบดิจิทัล ส่งของไม่ต้องจ่าหน้า แปะ QR บอกพิกัดแทน

(1 ธ.ค. 65) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ปณท ร่วมกันเปิด โครงการ Digital Post ID (ดิจิทัลโพสต์ไอดี) ที่จะบอกข้อมูลที่อยู่ได้แบบพิกัด GPS โดยผู้ส่งไม่ต้องเขียนจ่าหน้า แต่ใช้เป็นฉลาก QR Code แปะ ผลักดันไปรษณีย์ไทยสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0พร้อมตั้งเป้าเปิดใช้งานจริงไตรมาส 2 ปี 2566 

Digital Post ID เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ระบบที่อยู่ดิจิทัล’ (Location based Digital ID) เป็นการปรับเปลี่ยนการระบุข้อมูลตำแหน่งที่อยู่เดิมให้เป็นที่อยู่ดิจิทัล หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ เชื่อมโยงข้อมูลผู้รับและผู้ส่งเข้ากับพิกัดที่อยู่ โดยต่อยอดมาจากการใช้รหัสไปรษณีย์ 5 หลัก ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานการส่งไปรษณีย์ที่ไทยใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 มาแปลงเป็นพิกัดที่ตั้งบนพื้นผิวโลกในประเทศไทย โดยมีหลักการทำงานเดียวกันกับระบบ GPS ซึ่งจะทำให้ระบุที่อยู่ได้แม่นยำกว่าเดิม 

“เดิมเลขไปรษณีย์ 5 หลักจะบอกได้ถึงเขตพื้นที่เท่านั้น แต่ Digital Post ID ระบุได้ถึงพิกัดตำแหน่งด้วยการปักหมุด บอกพิกัดแนวดิ่งได้ ทำให้ระบุที่อยู่สำหรับคนที่อยู่ในอาคารสูงได้แม่นยำ และที่น่าสนใจคือ เมื่อไม่ต้องจ่าหน้าเป็นตัวหนังสือ ก็จะทำให้ช่วยปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลได้ ป้องกันการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้การขนส่งมีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้นอีกด้วย”

สำหรับวิธีการใช้งาน คือ ผู้รับจะต้องสมัครและกรอกข้อมูลรายละเอียดการจัดส่ง คือ ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร พิกัด ของตัวเองลงในแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของไปรษณีย์ไทย (กำลังพัฒนาระบบ) จากนั้นก็ส่ง QR Code ให้ผู้ส่งนำไปพิมพ์ที่ที่ทำการไปรษณีย์ หลังจากนั้นไปรษณีย์จะพิมพ์ข้อมูลดิจิทัลโพสต์ไอดีออกมาเป็นฉลาก QR Code แล้วแปะบนกล่องพัสดุ หรือซองจดหมาย (โดยในอนาคตจะมีเครื่องพิมพ์ QR Code ในที่ทำการไปรษณีย์เพื่อรองรับระบบดิจิทัลโพสต์ไอดี) โดยผู้รับและผู้ส่งมั่นใจได้ว่าข้อมูลส่วนบุคคลจะไม่หลุด เนื่องจากบนจ่าหน้ากล่อง/ซอง จะไม่ปรากฏข้อมูลส่วนบุคคล และต้องใช้แอปพลิเคชันบนอุปกรณ์อ่าน QR Code เท่านั้น ถึงจะโชว์ข้อมูลผู้รับ-ผู้ส่ง

ไม่เพียงเท่านั้น QR Code จะเป็นแบบใช้งานได้ครั้งเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังมีการจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ตามหลักการของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

'ดีอีเอส' ประสาน 'Play Store-App Store' จัดการแอปอันตราย แนะ ปชช. ไม่โหลดแอปแปลกปลอม ป้องกันมิจฉาชีพดูดเงิน

ดีอีเอส เปิดรายชื่อแอปอันตรายมีมากกว่า 200 แอปเตือน ประชาชน อย่าหลงเชื่อ อย่าโหลด อาจสูญเงินและข้อมูลส่วนตัวได้

เมื่อไม่นานมานี้ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมกับ สกมช. แจงกรณีแอปดูดเงินอันตราย หลังพบประชาชนได้รับผลกระทบจากการติดตั้งแอปพลิเคชันอันตรายลงในโทรศัพท์มือถือ แล้วทำให้กลุ่มมิจฉาชีพเข้ามาดูดเงินออกไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง

นายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการแพร่ระบาดของมัลแวร์อันตราย ที่มาในรูปแบบของแอปพลิเคชัน ซึ่งดีอีเอส และสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ได้มีการตรวจสอบมาโดยตลอด โดยพบปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยเฉพาะผู้ใช้งานโทรศัพท์ที่ติดตั้งแอปพลิเคชันที่ถูกระบุว่าสามารถขโมยข้อมูล หรือควบคุมเครื่องโทรศัพท์ได้ โดยในปี 2022 มีการเผยแพร่รายชื่อแอปพลิเคชันอันตรายเหล่านี้ ซึ่งมีมากกว่า 200 รายการ ทั้งในระบบ iOS และ Android ตามที่ปรากฎใน Facebook ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ Facebook ของ สกมช. (NCSA THAILAND) จึงขอให้ผู้ใช้งานทำการตรวจสอบ หากพบแอปพลิเคชันดังกล่าวให้ถอนการติดตั้งโดยทันที และควรอัปเดตระบบของเครื่องโทรศัพท์ของตนเองให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ

‘กระทรวงดิจิทัลฯ - ดีป้า’ จัดงาน SCA on Tour มุ่งกระจายความเจริญ ลดความเหลื่อมล้ำด้วยเทคโนโลยี

(4 มี.ค. 66) ที่จังหวัดปทุมธานี กระทรวงดิจิทัลฯ และ ดีป้า พร้อมเครือข่ายพันธมิตรลงพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จัดกิจกรรม SCA on Tour ภาคกลาง ขยายความสำเร็จโครงการนักดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่ รุ่นที่ 2 มุ่งสร้างความตระหนักรู้ด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่เข้มแข็งในระดับพื้นที่ ระหว่างนักดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่ และผู้แทนจากหน่วยงานในโครงการนักดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่ มุ่งเป้ากระจายความเจริญและลดความเหลื่อมล้ำด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ และสอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน
เปิดกิจกรรม SCA on Tour ภาคกลาง ที่จัดโดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และ จังหวัดปทุมธานี โดยมี นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี, พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี, ร้อยตำรวจเอก ดร.ตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง นายกเทศมนตรีนครรังสิต, ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า, ผู้บริหารและผู้แทนจากเครือข่ายพันธมิตรทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ, ภาคเอกชน, ภาคประชาชน รวมถึงน้อง ๆ จากโครงการนักดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่ รุ่นที่ 2 (Smart City Ambassadors: SCA Gen 2) และผู้แทนจากหน่วยงานในโครงการฯ (กัปตันเมือง) ร่วมกิจกรรมโดยพร้อมเพรียง

นายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการขยายความสำเร็จโครงการนักดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่ รุ่นที่ 2 กระทรวงดิจิทัลฯ และ ดีป้า จึงจัดกิจกรรม SCA on Tour ภาคกลาง จังหวัดปทุมธานีขึ้น หลังประสบความสำเร็จอย่างมากจาก SCA on Tour ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 มกราคมที่ผ่านมา โดยกิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างความตระหนักรู้ด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และเครือข่ายความร่วมมือผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่เข้มแข็งในระดับพื้นที่ระหว่างนักดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่ รุ่นที่ 2 กัปตันเมือง และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมือง

“ที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลฯ โดย ดีป้า ดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
ในระดับท้องถิ่นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลตามแนวทางการขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี รวมถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 หมุดหมายที่ 8 ที่กำหนดให้ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัย เติบโตได้อย่างยั่งยืน ด้วยการผลักดันการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะให้เกิดระบบบริการที่เป็นรูปธรรม นำไปสู่การบริหารจัดการเมืองที่มีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้เกิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง เท่าเทียม พร้อมรองรับนักลงทุน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าว

‘ดศ.-สธ.’ ประชุม คกก.เฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัล เร่งวางแนวทางบริหารจัดการ Big Data เชื่อมข้อมูลแบบไร้รอยต่อ

วันที่ (22 มิ.ย. 66) ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประชุมคณะกรรมการเฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัล ครั้งที่ 1/2566 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุม เพื่อติดตามความคืบหน้าระบบบริหารจัดการ การแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศและระบบคลาวด์กลาง เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพด้วยมาตรฐานเดียวกัน ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพได้ทุกที่ ทุกเวลา แบบไร้รอยต่อ

นายอนุทินกล่าวว่า ระบบสุขภาพดิจิทัล เป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ลงนามคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัล มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นรองประธาน ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงประจำกระทรวงสาธารณสุข เป็นกรรมการและเลขานุการ มีองค์ประกอบทั้งสิ้น 22 คน เพื่อจัดทำนโยบายแผนงาน แนวทาง และมาตรการในการส่งเสริมและพัฒนาด้านสุขภาพดิจิทัล กำหนดหลักเกณฑ์ มาตรฐาน ในการบูรณาการและการประมวลผลข้อมูลสุขภาพของประเทศ

ทั้งนี้ การบริหารจัดการ Big Data ด้านสุขภาพของประเทศ และมีการเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพด้วยมาตรฐานเดียวกัน จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพได้ทุกที่ ทุกเวลา แบบไร้รอยต่อ ขณะเดียวกันต้องดำเนินการภายใต้การมีธรรมาภิบาลการบริหารระบบสุขภาพดิจิทัลที่ดี

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า วันนี้เป็นการประชุมคณะกรรมการเฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัลครั้งแรก ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย ซึ่งมี 2 กิจกรรมหลัก คือ

1.) การพัฒนาระบบบริหารจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ ขณะนี้จัดทำร่างขอบเขตของงาน (TOR) และกำหนดราคากลางฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างขึ้นประกาศเพื่อประชาพิจารณ์ คาดว่ากระบวนการจัดซื้อจัดซื้อจัดจ้างฯ จะแล้วเสร็จ ภายในเดือนสิงหาคม 2566 นี้

2.) การจัดหาบริการระบบคลาวด์กลาง ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับกิจกรรมที่ 1 ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมจัดทำ (ร่าง) ขอบเขตของงานและราคากลางฯ พร้อมทั้งวางแนวทางให้ รพ.สต.ที่อยู่ในกำกับของกระทรวงมหาดไทย ใช้แพลตฟอร์มสารสนเทศกลางให้บริการผู้ป่วยนอก เพื่อลดการจัดหาระบบ การบำรุงรักษาและสร้างความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล รวมทั้งให้ส่งต่อข้อมูลสุขภาพเข้าสู่ระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพสำหรับเขตสุขภาพ (MOPH Data Exchange Gateway) และระบบการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลกลาง (Central Data Exchange Service) เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการและเพิ่มประสิทธิภาพการส่งต่อ ตามเกณฑ์มาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขด้วย

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบ การแต่งตั้งที่ปรึกษาของคณะกรรมการเฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัล จำนวน 4 ท่าน ได้แก่ 1.) ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.อุดม คชินทร 2.) นพ.โสภณ เมฆธน 3.) นายไชยเจริญ อติแพทย์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4.) ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิด้าน Digital Transformation สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) และเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ภายใต้คณะกรรมการเฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัล จำนวน 2 คณะ ประกอบด้วย

1.) คณะอนุกรรมการธรรมาภิบาลและแพลตฟอร์มระบบสุขภาพดิจิทัลระดับชาติ มีปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน เพื่อพิจารณากลั่นกรอง ให้ข้อเสนอแนะ ต่อร่างนโยบายแผนปฏิบัติงานด้านสุขภาพดิจิทัล แพลตฟอร์มระบบสุขภาพดิจิทัลระดับชาติ และกฎหมายสุขภาพดิจิทัล

2.) คณะอนุกรรมการวิชาการและระบบข้อมูลสุขภาพระดับชาติ มีผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน เพื่อพิจารณากลั่นกรอง ให้ข้อเสนอแนะต่อสถาปัตยกรรมแพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัล หลักเกณฑ์แนวทางการบูรณาการการประมวลผลข้อมูลสุขภาพ และมาตรฐานข้อมูลสุขภาพกลางของประเทศ
 

‘ประเสริฐ’ เผย ‘ดีอีเอส’ เดินหน้าทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมกำราบพวกหมิ่นสถาบันฯ ลั่น!! ปราบเข้มทุกเรื่อง

(13 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นปัญหา ว่า ในวันที่ 15 ก.ย. นี้ เรามีการประชุมแนวทางการทำงาน ไม่ใช่เป็นการรื้อระบบใหม่ เพราะของเก่าก็ทำดีอยู่แล้ว แต่ดูว่าเราจะทำอะไรเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์ เพราะมีขั้นตอนในการดำเนินการอยู่แล้ว

เมื่อถามว่าจะมีการประสานความร่วมมือกับทางประเทศเพื่อนบ้าน หรือตำรวจไซเบอร์หรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า เดิมก็มีการประสานอยู่แล้ว แต่จะดูว่ามีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ หรือไม่ ที่สามารถเข้าไปตัดวงจร ปิดเว็บไซต์อะไรต่างๆ ที่สามารถทำได้ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ บัญชีม้า เส้นทางการเงิน เฟคนิวส์ ถือเป็นภารกิจแรกที่เราจะเริ่มดำเนินการ

นายประเสริฐ กล่าวว่า ครั้งนี้นายกรัฐมนตรีไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ ส่วนประเด็นการหมิ่นสถาบันฯ เป็นเรื่องที่เราต้องทำอยู่แล้ว ทำเข้มทุกเรื่องปราบให้หมด ส่วนการแต่งตั้งบุคลากรในกระทรวงฯ นั้นได้มีการแต่งตั้งที่ปรึกษา รมว.ดีอีเอส และเลขานุการ รมว.ดีอีเอส ถึงบุคลากรในกระทรวงสาธารณสุขแล้วเช่นเดียวกัน แต่ในส่วนของกระทรวงอื่นนั้นยังไม่ครบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บุคลากรที่จะดำรงตำแหน่งในส่วนของกระทรวงดีอีเอส ได้แก่ นายวัลลภ รุจิรากร เป็นเลขานุการ รมว.ดีอีเอส นายสุทธิเกียรติ วีระกิจพานิช ที่ปรึกษา รมว.ดีอีเอส

‘รมว.ดีอีเอส’ เล็งดัน ‘Digital Nomad Visa’ ขับเคลื่อนศก. หวังดึงดูดกลุ่มแรงงาน ขยายการรองรับอุตสาหกรรมดิจิทัล

(17 ก.ย. 66) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผย หลังการลงพื้นที่พบปะพูดคุยกับประชาชน ร่วมกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยได้รับข้อมูลจากคนในท้องถิ่นว่า ปัจจุบันมีกลุ่มบุคคลที่หาเลี้ยงชีพด้วยธุรกิจออนไลน์ (Digital Nomad) ที่ทำงานในจังหวัดเชียงใหม่มากกว่า 5-6 พันคน ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่จำนวนมาก จึงขอให้นายกรัฐมนตรี สนับสนุนให้มีการขยายตัวกลุ่ม Digital Nomad เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและสร้างแรงจูงใจในการเข้ามาทำงาน ซึ่งทางนายกรัฐมนตรีได้รับปากว่าจะรีบพิจารณาข้อเสนอดังกล่าว

นายประเสริฐ กล่าวว่า Digital Nomad Visa จะเป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจ และสามารถขยายผล ในวงกว้างให้กับจังหวัดอื่น ๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยทางดีอีเอสจะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบาย Digital Nomad หรือ ‘Remote Worker’ โดยเฉพาะด้านดิจิทัลเทคโนโลยี ในการดึงดูดแรงงานขั้นสูง และกำลังคนดิจิทัลสาขาขาดแคลน

“ทั้งนี้ จะทำการดึงนักศึกษาจากมหาวิทยาลัย Top 600 ระดับโลกก่อน และเชื่อว่ามาตรการนี้ จะส่งผลประโยชน์กับทางจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทยโดยรวมอย่างแน่นอน” รมว.ดีอีเอส กล่าว

‘ดีอีเอส’ เตือน หยุดปล่อยข่าวปลอม ‘นายกฯ’ ไฟเขียวตั้ง ‘กาสิโน-เปิดเว็บพนัน’ หวังดึงภาษีเข้ารัฐบาล 30% เพื่อสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้เข้าประเทศ

(20 ก.ย. 66) นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะโฆษกกระทรวงดีอี กล่าวถึงการส่งต่อข้อมูลในประเด็น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมแผนอนุมัติบ่อนคาสิโนเว็บพนันถูกกฎหมาย เสียภาษีให้รัฐบาล 30% เพื่อสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้เข้าประเทศนั้น ว่าดีอีโดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ไปยังกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี พบว่าประเด็นดังกล่าวไม่เป็นความจริง เป็นข้อมูลเท็จ ปัจจุบันรัฐบาลยังไม่ได้มีการเตรียมแผนอนุมัติ หรือการดำเนินนโยบายเปิดบ่อนกาสิโน หรือเว็บพนันถูกกฎหมาย เสียภาษี 30% ตามที่ถูกกล่าวอ้างแต่อย่างใด

นายเวทางค์กล่าวต่อว่า หากพี่น้องประชาชนพบเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งผ่าน 4 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com, เฟซบุ๊ก ANTI-FAKE NEWS CENTER, ทวิตเตอร์ @AFNCThailand, ไลน์ @antifakenewscenter และช่องทางโทรศัพท์ โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 ได้ ตลอด 24 ชั่วโมง

‘Huawei’ ตอบรับลงทุน ด้าน AI & Cloud ในไทย ด้าน ‘ดีอีเอส’ เชื่อ สร้างรายได้กว่า 6 หมื่นล้าน ใน 5 ปี

(21 ก.ย. 66) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (รมว.DE) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะ บินไปเซี่ยงไฮ้ ร่วมงาน Huawei Connect 2023 เข้าร่วมประชุม ‘APAC National ICT Roundtable 2023’ ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันที่ 20 กันยายน 2566 และได้หารือกับบริษัทสาย techของ จีน กว่า 20 บริษัท ชวนตั้ง Headquarters ในประเทศไทย

รัฐมนตรีประเสริฐ เผยว่า ในการไปเซี่ยงไฮ้ครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก Huawei บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของจีน ตอบรับ การทำศูนย์พัฒนาบุคลากรไทยด้าน AI & Cloud ผลิตคนด้าน AI และ Cloud ปีละ 10,000 คน หรือ 50,000 คน ใน ระยะเวลา 5 ปี ประเมินว่า โครงการนี้ สร้างรายได้ ให้ผู้ที่มีทักษะ AI & Cloud กลุ่มนี้ ถึง 60,000 ล้านบาท แก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรด้าน AI และ Cloud และจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคด้าน AI & Cloud

นอกจากเรื่องบุคลากร AI & Cloud ดังกล่าว ยังได้เจรจา ชักชวน กลุ่มบริษัทเทคจีน ตั้ง headquarters ในไทย เพื่อสนับสนุนนโยบาย AI & Cloud HUB ของกระทรวง และสร้างการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Technologies) รวมทั้งสร้างรายได้เข้าประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาล นายกเศรษฐาฯ

สำหรับเรื่องการตั้ง Headquarters ในไทย รัฐบาลนี้ ให้สิทธิประโยชน์หลายอย่าง ทั้ง ทางภาษี วีซ่า การอำนวยความสะดวก เป็นต้น นอกจากนี้ ทางกระทรวง DE ก็มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนของบริษัทที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมอำนวยความสะดวก และร่วมมืออย่างใกล้ชิด และเชื่อว่า การเจรจากับ กลุ่มบริษัทเทคจีน ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงกลุ่มนี้ จะเกิดการลงทุนเพิ่มได้ในระยะเวลาอีกไม่นาน และเชื่อมั่นว่าจะช่วยเร่งสร้างการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูง สร้างงาน สร้างรายได้ให้คนไทยที่เกี่ยวข้อง กับเทคโนโลยีขั้นสูง

“ผมมั่นใจว่า การตอบรับของ Huawei สร้างศูนย์พัฒนาบุคลากรไทยด้าน AI & Cloud ครั้งนี้ จะส่งผลให้ไทยเข้าใกล้การเป็น AI & Cloud HUB ที่บริษัทเทคใหญ่ๆ ต้องการเข้ามาร่วมงาน ทำให้มีการลงทุนด้าน AI & Cloud ในไทยสูงเป็นลำดับหนึ่งหรือสอง ของ ภูมิภาค ในขณะเดียวกัน ผมจะผลักดันให้ กระทรวง DE เป็นกลไกสำคัญของประเทศ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ เป็นกระทรวงทันสมัยในระดับโลกด้วย” รัฐมนตรี DE กล่าวในตอนท้าย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top