Saturday, 4 May 2024
TopSchool

ชี้เป้า ! ฝันอยากเป็นตำรวจ เรียนที่ไหนได้บ้าง ?

ในปัจจุบันการรับข้าราชการถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจของเด็กวัยรุ่นยุคใหม่ นอกจากสวัสดิการที่ดีแล้ว ก็ยังมีความมั่นคงในชีวิตอีกด้วย ซึ่งหนึ่งในอาชีพข้าราชการที่น่าสนใจคือ ”อาชีพตำรวจ” วันนี้ THE STUDY TIMES จะมาแนะนำโรงเรียนที่เรียนเฉพาะทางด้านตำรวจ พอจบแล้วสามารถเข้ารับราชการตำรวจได้เลย ไปดูกัน !

1.โรงเรียนนายร้อยตำรวจ

โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (Royal Police Cadet Academy : RPCA) เป็นหน่วยงานระดับกองบัญชาการ สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา ตั้งอยู่ที่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม มีภารกิจหลักในการฝึกอบรม ให้การศึกษา อบรมหล่อหลอมนักเรียนนายร้อยตำรวจให้มีคุณลักษณะเหมาะสมที่จะเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร และฝึกอบรมผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรอื่น ผู้ที่ศึกษาตามหลักสูตรหลักของในโรงเรียนนายร้อยตำรวจเรียกว่า นักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) เมื่อเรียนจบ 4 ปีจะสามารถสอบได้ยศเป็น ร้อยตำรวจตรี 


โดยการสมัครสอบใช้วุฒิ : โรงเรียนเตรียมทหาร
เว็บไซต์ข้อมูลเพิ่มเติม : http://admission.rpca.ac.th/register/

2.โรงเรียนชุมพลทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ

ในสมัย พ.ศ. 2436 ประเทศไทยถูกกองเรือฝรั่งเศสรุกราน ทำให้ต้องเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสเป็นจำนวนมาก ทางราชการจึงเห็นความจำเป็นในกิจการทหารเรือมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกอบรมนายทหารชั้นประทวนให้มีความรู้ความสามารถ และเป็นจ่าที่ดีสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามเรือและกรมกองต่าง ๆ ได้ ดังนั้นในปี พ.ศ.2438 จึงตั้งโรงเรียนนายสิบทหารเรือขึ้น ต่อมากรมทหารเรือดำริที่จะให้จ่าและพลทหารได้รับการศึกษาที่สูง ขึ้นตามกาลสมัย จึงให้ยุบโรงเรียนนายสิบทหารเรือ แล้วตั้งโรงเรียนจ่าขึ้นแทน ประกอบด้วย โรงเรียนจ่าอาวุธ โรงเรียนจ่าตอร์ปิโด โรงเรียนจ่าช่างกล โรงเรียนพลทหารเรือกรุงเทพ โรงเรียนพลทหารช่าง และโรงเรียนพันจ่าทหารเรือ จนในปัจจุบันก็ได้มีการรวบรวมโรงเรียนต่าง ๆ เข้าด้วยกันเป็นโรงเรียนเดียว จนมาเป็น “กองโรงเรียนชุมพลทหารเรือ” โดยการเรียนเพื่อจะได้เป็นตำรวจ คือการเรียนเป็นตำรวจทางน้ำ ใช้เวลาศึกษา 2 ปี ได้ยศมาเป็น สิบตำรวจตรี

โดยการสมัครสอบใช้วุฒิ : มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 / กศน. / ปวช.
เว็บไซต์ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.navedu.navy.mi.th/indexnavedu.html

3.วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ

เดิมชื่อว่า โรงเรียนพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัย กองแพทย์กรม-ตำรวจ เริ่มเปิดดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ. 2512 โดยดำริของ ฯพณฯ พลตำรวจเอก ประเสริฐ รุจิรวงค์ ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจในสมัยนั้น โดยที่ท่านเคยปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาก่อน จึงมีความรู้และความเข้าใจ ปัญหาการขาดแคลนพยาบาล ซึ่งโรงพยาบาลตำรวจกำลังประสบปัญหาขาดแคลนพยาบาล อย่างมาก 

กรมตำรวจจึงมีมติให้ กองแพทย์ เปิดรับสมัครนักเรียนพยาบาลรุ่นแรกเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2513 โดยที่วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา ที่ผลิตบุคลากรทางการพยาบาลแก่หน่วยงาน สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและ เอกชนเพื่อสนับสนุนการบริการด้านการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และฟื้นฟูสุขภาพแก่ข้าราชการตำรวจ และครอบครัว รวมทั้งให้บริการแก่ประชาชนทั่วไป เมื่อเรียนจบแล้ว สามารถเข้ารับราชการตำรวจในยศ ว่าที่ร้อยตำรวจตรี บรรจุเป็นข้าราชการโรงพยาบาลตำรวจ

โดยการสมัครสอบใช้วุฒิ : มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 (สายการเรียน วิทย์ - คณิต)
เว็บไซต์ข้อมูลเพิ่มเติม : http://nursepolice.go.th/

4.กองกำกับการ 3 กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน หรือ หน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 

โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2526 เป็นหน่วยตำรวจที่มีขีดความสามารถในการยุทธ์เคลื่อนที่ทางอากาศ การยุทธส่งทางอากาศ การรบพิเศษ และการปฏิบัติการพิเศษ เพื่อตอบโต้ต่อภัยคุกคามที่เป็นทหารและไม่ใช่ทหาร ในการสงครามพิเศษ และการแก้ไขปัญหา การก่อความไม่สงบ, การก่อการร้าย ทุกรูปแบบ ด้วยการปฏิบัติการปกปิด รับผิดชอบการปฏิบัติการทั่วประเทศ ปัจจุบันเป็นหน่วยระดับกองกำกับการ มีผู้กำกับการเป็นหัวหน้าหน่วยราชการ ขึ้นตรงกับกองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน โดยใช้ระยะเวลาการเรียน 1 ปี สามารถสอบเข้าราชการได้ในยศสิบตำรวจตรี

โดยการสมัครสอบใช้วุฒิ : มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 / กศน. / ปวช.
เว็บไซต์ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.bppparu.go.th/index.php 

และนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนที่เรียนจบมาแล้วสามารถรับข้าราชการเป็นตำรวจได้เลย หวังว่าบทความนี้จะเป็นแนวทางให้กับนักเรียนที่มีความใฝ่ฝันอยากที่จะเป็นตำรวจ ขอให้ตั้งใจและทำความฝันของตัวเองให้ได้ THE STUDY TIMES เป็นกำลังใจให้นะคะ 


แหล่งข้อมูล 
เพจ : เรียนต่อไหนดี
https://th.wikipedia.org/wiki/โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
http://www.navedu.navy.mi.th/
http://nursepolice.go.th/
http://www.bppparu.go.th/index.php

“โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา” นักเรียนเก่ง กิจกรรมเลิศ โรงเรียนการสอบแข่งขันเข้าเรียนสูงสุดอันดับ 1

โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา หลาย ๆ คนพอได้ยินชื่อโรงเรียนแห่งนี้แล้วจะนึกถึงเด็กที่เป็นสุดยอดความเป็นเลิศทั้งด้านการเรียนและกิจกรรม ประวัติและชื่อเสียงมีมาอย่างยาวนาน และที่สำคัญมีการสอบเข้าแข่งขันเข้าเรียนสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย วันนี้ THE STUDY TIMES จะมาเล่าประวัติ ความเป็นมาของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งนี้กัน

เดิมโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษามีชื่อว่า “โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” โดยโรงเรียนนี้แต่ก่อนสังกัดอยู่กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก่อตั้งเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2480 โดยพันเอก หลวงพิบูลสงคราม อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขณะนั้น โดยแต่ก่อนใช้โรงเรียนมัธยมหอวัง ถนนพญาไทเป็นสถานศึกษา ในปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ตั้งอยู่เลขที่ 227 ถนนพญาไท แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โดยมี ม.ล. ปิ่น มาลากุล เป็นผู้อำนวยการท่านแรกของโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเป็นโรงเรียนสหศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย (คือโรงเรียนที่สามารถเรียนได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง)

โดยแต่ก่อนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นโรงเรียนที่เตรียมนักเรียนแผนกต่าง ๆ ไว้สำหรับเข้าศึกษาในคณะต่าง ๆ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยเฉพาะในสมัยก่อนจะเรียกสั้น ๆ ว่าโรงเรียนเตรียมจุฬา 

โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้นมีความเจริญอย่างมากต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2484 ทางโรงเรียนได้มีการจัดพิธีไหว้ครูและมีการแต่งคำประพันธ์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนแรกที่ทำให้เกิดการมีพิธีไหว้ครูเกิดขึ้น เป็นแบบแผนให้โรงเรียนอื่น นอกจากนี้โรงเรียนยังถูกมรสุมจากสงครามโลกครั้งที่ 2 หนักมาก โดนทหารญี่ปุ่นมาตั้งกองทัพในโรงเรียน ทำให้นักเรียนต้องย้าย อพยพไปอยู่ตามแถวชานเมือง และพอสงครามทหารญี่ปุ่นจบลงเหล่าทหารอังกฤษก็เข้ามาพัก กว่าทุกอย่างจะสงบลงใช้เวลานานหลายปี 

ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2490 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โอนไปสังกัดกรมวิสามัญศึกษา และมีระเบียบกำหนดให้นักเรียนที่เรียนจบการศึกษาจากโรงเรียนนี้ สอบคัดเลือกเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับนักเรียนชั้นเตรียมอุดมศึกษาของโรงเรียนทั่วไป ทั้งยังตัดคำว่า”แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย” ออก คงเหลือคำว่า “โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา” เท่านั้น ม.ล.ปิ่น  มาลากุล  ได้บันทึกถึงเหตุการณ์ช่วงนี้ตอนหนึ่งว่า “โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชื่อยาวนัก จึงได้เปลี่ยนเป็น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เฉยๆ แต่ พระเกี้ยวนั้นเป็นของสูง จะทิ้งกันได้อย่างไร โรงเรียนได้เก็บไว้เป็นเครื่องหมายรวมจิตใจของอาจารย์และนักเรียนจนกระทั่งทุกวันนี้”


คำขวัญของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษานั้นก็คือ “ความเป็นเลิศทางวิชาการและคุณธรรม” นิมิตฺตํ สาธุ รูปานํ กตญฺญู กตเวทิตา (ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี)

และนี้ก็เป็นประวัติส่วนหนึ่งของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาที่มีประวัติและชื่อเสียงกันมาอย่างยาวนาน สำหรับสายการเรียนของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษานั้นมี
- สายวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ 
- สายภาษา – คณิตศาสตร์
- สายภาษา - ภาษา ซึ่งภาษาที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษามีสายภาษาดังนี้ ภาษาฝรั่งเศส  ภาษาเยอรมัน  ภาษาญี่ปุ่น  ภาษาสเปน  ภาษาจีน ภาษาเกาหลี 


ในแต่ละปีโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาจะมีการสอบเข้าโรงเรียนโดยการสมัครสอบของโรงเรียนจะสมัครสอบผ่านออนไลน์ที่เว็บไซต์  https://admission.triamudom.ac.th โดยวิชาในแต่ละสายที่มีการจัดสอบจะมีดังต่อไปนี้ 
ผู้ที่ต้องการสอบสายวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ จะต้องสอบวิชา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ 
ผู้ที่ต้องการสอบสายภาษา - คณิตศาสตร์ จะต้องสอบวิชาคณิตศาสตร์ สังคม ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ 
ผู้ที่ต้องการสอบสายภาษา - ภาษา จะต้องสอบวิชา สังคม ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ

โดยการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาจะสอบที่ อิมแพคอารีนา เมืองทองธานี โดยในปีที่ผ่านมามีนักเรียนจากทั่วประเทศกว่า 12,765 คนมาสอบแข่งขันเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาโดยโรงเรียน เปิดรับนักเรียน 1,520 คน ใน 8 แผนการเรียน นักได้ว่าเป็นการแข่งขันที่สูงมากจริง ๆ สำหรับนักเรียนคนไหนที่อยากจะเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนแห่งนี้ก็ขอให้เตรียมตัว อ่านหนังสือ ตั้งใจเรียนและเชื่อมั่นในตัวเองว่าทำได้ ทุกอย่างที่เราตั้งใจก็จะประสบความสำเร็จแน่นอนค่ะ THE STUDY TIMES เป็นกำลังใจให้นะคะ 


แหล่งที่มา 
https://www.triamudom.ac.th/website/index.php/2016-07-13-03-51-27/2016-07-13-07-27-57
https://tuemaster.com/blog/ประวัติโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
https://www.thairath.co.th/content/234067
https://www.webythebrain.com/article/6-questions-for-triamudom

การเรียนสายอาชีพถือว่าเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่น้อง ๆ ที่จบมัธยมศึกษาตอนต้นมาได้ลงมือปฏิบัติ และ สามารถต่อยอด สร้างฝัน สร้างอาชีพได้ บางครั้งน้อง ๆ อาจจะมองไม่เห็นตัวเองว่าถ้าเรียนในสายสามัญเป็นอย่างไร สายอาชีพถือว่าตอบโจทย์น้อง ๆ สำหรับผู้ทีชื่นชอบลงมือทำ

วันนี้ THE STUDY TIMES จะขอมาแนะนำการเรียนอีกสายหนึ่งที่ถือได้ว่าหลาย ๆ คนที่ยังรู้สึกว่าตัวเองอาจจะต่อยอดพวกสายวิทย์ - คณิต หรือ สายศิลป์ ไม่ได้การเรียนสายอาชีพก็ถือว่าเป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่น่าสนใจเช่นกัน

การเรียนสายอาชีวศึกษาหรือสายอาชีพ คือ การเรียนต่อในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือ ปวช. เป็นการเรียนในหลักสูตรที่ไม่ได้เน้นการเรียนวิชาพื้นฐานเหมือนกับสายสามัญ รับนักเรียนที่จบมาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการเรียนสายอาชีพมีระยะเวลาในการเรียน 3 ปี โดยหากเรียนจบแล้วจะมีทางเลือกในการเรียนต่อ 2 ทางเลือกใหญ่ ๆ คือ

1.) การเรียนต่อในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง หรือ (ปวส.) ใช้เวลาเรียน 2 ปี หลังจากจบแล้วสามารถเรียนต่อปริญญาตรี อีก 2 ปี

2.การเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย (ระดับปริญญาตรี) ใช้เวลาเรียน 4 – 5 ปี แล้วแต่คณะวิชาที่เลือก

สิ่งที่ถือเป็นจุดเด่นสำหรับการเรียนสายอาชีพคือสำคัญ ได้มีโอกาสเรียนในสายวิชาที่เน้นการทำงานจริงเป็นหลัก ต่อให้เรียนจบระดับ ปวช. ก็สามารถทำงานได้ และทำให้นักเรียนได้เข้าใจถึงการเรียนตามหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อการประกอบอาชีพในอนาคต

สำหรับข้อดีของการเรียนในระดับสายอาชีพมีดังต่อไปนี้

ได้ความรู้ ได้ประสบการณ์ มีรายได้ระหว่างเรียน
หลักสูตรสายอาชีพเน้นการลงมือภาคปฏิบัติอย่างแท้จริง ทุกหลักสูตรมีการฝึกงานเพื่อสร้างเสริม

ประสบการณ์และทักษะ
วิชาชีพตั้งแต่ยังเรียนอยู่ไม่น้อยกว่า 300 ชั่วโมง ได้มีโอกาสลงมือปฏิบัติงานจริง ฝึกใช้อุปกรณ์ เรียนรู้ กระบวนการในสายอาชีพนั้น ๆ เป็นประสบการณ์ตรงจากหน้างาน

มีทักษะวิชาชีพติดตัว
เพราะการฝึกฝนปฏิบัติงานเป็นประจำย่อมทำให้เกิดทักษะและความเชี่ยวชาญติดตัวไปตลอด เมื่อศึกษาจบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพสามารถใช้เป็นใบเบิกทางสมัครงานได้เลย

เลือกเรียนได้หลากหลายสาขาและอาชีพ 
หลักสูตรสายอาชีพมีให้เลือกเรียนหลากหลายสาขาวิชา สามารถเลือกเรียนได้ตามความสนใจและความถนัดของตัวเอง

เป็นที่ต้องการของบริษัทและแรงงาน
ในปัจจุบันกำลังขาดแคลนช่างฝีมือและบุคลากรวิชาชีพทักษะเฉพาะ เพราะต่างต้องการแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญหรือมีฝีมือเฉพาะทางในด้านนั้น ๆ ทำให้เมื่อเรียนสายอาชีพจบมาแล้วจะตอบโจทย์กับบริษัทมากกว่า 



และนอกจากนี้สถานที่เรียนปวช.นั้นมีมากมายอยู่ทั่วทุกจังหวัด และการเรียนในสายอาชีพก็มีให้เลือกเรียนอีกมาก โดยจะขอยกตัวอย่างสาขาอาชีพที่เรียนในระดับชั้นปวช. มีดังต่อไปนี้

อุตสาหกรรม สาขาวิชา : ช่างยนต์ ช่างกลโรงงาน ช่างเชื่อมโลหะ ช่างไฟฟ้ากำลัง ช่างอิเล็กทรอนิกส์ ช่างก่อสร้าง เครื่องเรือนและตกแต่งภายใน สถาปัตยกรรม สำรวจ ช่างเขียนแบบเครื่องกล ช่างซ่อมบำรุง ช่างพิมพ์ เทคนิคแว่นตาและเลนส์ ช่างโทรคมนาคม ช่างเครื่องมือวัดและควบคุม อุตสาหกรรมยาง เมคคาทรอนิกส์ ช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีฟอกหนัง ช่างเครื่องทำความเย็นและปรับอากาศ เครื่องกลเกษตร
พาณิชยกรรม สาขาวิชา : การบัญชี การตลาด การเลขานุการ คอมพิวเตอร์ธุรกิจ ธุรกิจสถานพยาบาล การประชาสัมพันธ์ ธุรกิจค้าปลีก ภาษาต่างประเทศ โลจิสติกส์ การจัดการสำนักงาน การจัดการด้านความปลอดภัย ธุรกิจการกีฬา
ศิลปกรรม สาขาวิชา : วิจิตรศิลป์ การออกแบบ ศิลปหัตถกรรม ศิลปกรรมเซรามิก ศิลปหัตถกรรมรูปพรรณเครื่องถมและเครื่องประดับ ถ่ายภาพและมัลติมีเดีย เทคโนโลยีศิลปกรรม คอมพิวเตอร์กราฟิกอุตสาหกรรมเครื่องหนัง เครื่องประดับอัญมณี ช่างทองหลวง การพิมพ์สกรีน ออกแบบนิเทศศิลป์
คหกรรม สาขาวิชา : แฟชั่นและสิ่งทอ อาหารและโภชนาการ คหกรรมศาสตร์ ธุรกิจเสริมสวย ธุรกิจคหกรรม
เกษตรกรรม สาขาวิชา : เกษตรศาสตร์
ประมง สาขาวิชา : เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
อุตสาหกรรมท่องเที่ยว สาขาวิชา : การโรงแรม การท่องเที่ยว
อุตสาหกรรมสิ่งทอ สาขาวิชา : เทคโนโลยีสิ่งทอ เคมีสิ่งทอ เทคโนโลยีเครื่องนุ่งห่ม
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สาขาวิชา : เทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์โปรแกรมเมอร์
อุตสาหกรรมบันเทิงและดนตรี สาขาวิชา : อุตสาหกรรมบันเทิง การดนตรี การสร้างเครื่องดนตรีไทย
พาณิชย์นาวี สาขาวิชา : เดินเรือ ช่างกลเรือ

ดังนั้นการเรียนสายอาชีพถือว่าเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์สำหรับนักเรียน หรือ นักศึกษาที่ต้องการลงมือปฏิบัติจริง ๆ อยากที่จะพัฒนาตัวเองและมีศักยภาพทางด้านอาชีพนั้น ๆ อย่างผู้เชี่ยวชาญ สามารถต่อยอดอาชีพในอนาคตได้ ทาง THE STUDY TIMES หวังว่าน้อง ๆ ทุกคนจะได้รู้แนวทางตัวเองและต่อยอดความฝันของน้อง ๆ ให้ประสบความสำเร็จได้นะคะ 


ที่มา 
https://www.yuvabadhanafoundation.org/th/highschool/studyplan/item4-2/
https://teen.mthai.com/education/176732.html


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top