Monday, 7 July 2025
TheStatesTimes

สมุทรปราการ-เริ่มแล้ว!! เทศบาลตำบลแพรกษา รับ 9 จังหวัด เจ้าภาพมหกรรมการแข่งขันทักษะวิชาการระดับภาคตะวันออก ครั้งที่ 30 

(6 ก.ค. 68) เเพรกษาวิชาการ ระดับภาคตะวันออก ภายใต้แนวคิด EDUCATION COME FIRST ท้องถิ่นสร้างคน เยาวชนเก่งดี เวทีพหุปัญญา โดยเทศบาลตำบลแพรกษา ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ภายใต้การกำกับดูแลของ นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา และ ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ สมัยที่ 25 และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีฯ 

โดยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพในการจัดงานการเเข่งขันทักษะวิชาการ ครั้งที่ 30 เเพรกษาวิชาการ ระดับภาคตะวันออก

ณ สนามกีฬาโรงเรียนมัธยมแพรกษาวิเทศศึกษา (สังกัดเทศบาลตำบลแพรกษา) เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา โดยได้รับเกียรติจาก นายประทีป นทีทวีวัฒน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ประธานในพิธี โดยมี ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 2 จังหวัดสมุทรปราการ (สมัยที่ 25) และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร คณะสมาชิกสภาเทศบาล หัวหน้าส่วนราชการ 

นอกจากนี้ ภายในงานยังได้รับเกียรติจาก นายโกมุท ทีฆธนานนท์ นายกเทศมนตรีนครสกลนคร รวมทั้งคณะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาทิ นาวาเอกอนุศักดิ์ นาคทิม นายกเทศมนตรีตำบลบางเมือง โรงเรียนในสังกัด (อปท.) หน่วยงานต่างๆ ระดับภาคตะวันออก  คณะผู้บริหารครูโรงเรียน ข้าราชการตำรวจ ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดครั้งนี้

ภายในงานได้รับชมวิดิทัศน์ “แพรกษาวิชาการ” และชมการแสดงของนักเรียนจากทางโรงเรียนต่างๆ ทั้งนี้ นายประทีป นทีทวีวัฒน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ให้เกียรติมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้กับทางเจ้าภาพจัดงาน และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานที่ร่วมสนับสนุนการจัดการแข่งขันทักษะทางวิชาการในครั้งนี้

โดยการแข่งขันทักษะวิชาการยังได้รับเกียรติจากทางคณะกรรมการตัดสินการประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง อาทิ นางณัฐปภัสร์ พรธนพงศ์เกษม (ผู้ทรงคุณวุฒิกรรมการตัดสิน) นางสาวภัสสร หมั่นตะคุ (โรงเรียนเทพศิรินทร์ร่มเกล้า) นายปวิชญา เนียมคำ (โรงเรียนโยธินบูรณะ) 

ด้าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร กล่าวว่า วันนี้เทศบาลตำบลแพรกษา ได้เป็นตัวแทนของกระทรวงมหาดไทย เป็นตัวแทนของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ในการจัดการแข่งขันทางวิชาการ โดยใช้ชื่อว่า แพรกษาวิชาการ ในภาคตะวันออก 9 จังหวัด โดยมีนักเรียนในสังกัดของทางเทศบาล มารวมกันเพื่อแข่งขันวิชาการเพื่อคัดเลือกไปแข่งขันระดับประเทศที่จังหวัดสกลนคร ในวันที่ 24-25 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ วันนี้เราได้จัดการแข่งขั้นตั้งแต่วันที่ 5-6-7 กรกฏาคม ซึ่งวันนี้เป็นวันเปิดการแข่งขัน นักเรียนแต่ละจังหวัดในภาคตะวันออกก็มา 79 โรงเรียน รวมแล้วก็ประมาณ 1 หมื่นคน มาร่วมแข่งขันกันในเรื่องของวิชาการ 

และรู้สึกยินดีที่คนในภาคตะวันออก 9 จังหวัด ได้มารวมกันอยู่ที่นี่ และได้มาเที่ยวในจังหวัดสมุทรปราการเมืองเราพร้อมที่จะเปิดนำ และเป็นเจ้าภาพที่ดีในการที่เขามาเยือนที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยวันนี้เราได้ใช้สถานที่ของทางโรงเรียนมัธยมแพรกษาวิเทศศึกษา ของเทศบาลตำบลแพรกษาเป็นผู้จัดการแข่งขันทั้งหมด

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

ปูด!! ลาวส่งทหารช่วยรัสเซียร่วมรบในแคว้นเคิร์สก์ ยูเครนโวย..อ้างใช้ความร่วมมือด้านมนุษยธรรมบังหน้า

(7 ก.ค. 68) หน่วยข่าวกรองทางทหารยูเครน (HUR) เผยเมื่อ 5 ก.ค. ว่า รัสเซียพยายามดึงลาวเข้าร่วมในสงครามกับยูเครน โดยอ้างว่าเป็นความร่วมมือด้านมนุษยธรรม พร้อมจัดส่งวิศวกรทหารจากลาวไปยังแคว้นเคิร์สก์ของรัสเซีย เพื่อช่วยปฏิบัติภารกิจเก็บกู้กับระเบิด

ข้อมูลระบุว่า ลาวตกลงจะส่งวิศวกรทหารประมาณ 50 นาย นอกจากนี้ ลาวยังเสนอให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพแก่ทหารรัสเซียที่บาดเจ็บโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ขณะที่รัฐบาลลาวยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อข้อกล่าวหาดังกล่าว

ยูเครนกล่าวว่า รัสเซียใช้ข้ออ้างด้านมนุษยธรรมเพื่อให้กองกำลังต่างชาติเข้าประจำการในประเทศ และนำกำลังเหล่านี้เข้าสู่แนวรบ โดยก่อนหน้านี้รัสเซียได้รับการสนับสนุนจากทหารเกาหลีเหนือ และยังคงเปิดรับนักรบจากเอเชียและแอฟริกาอย่างต่อเนื่อง

รายงานในเดือนเมษายนระบุว่า มีทหารต่างชาติอย่างน้อย 1,500 คน จาก 48 ประเทศร่วมรบในฝ่ายรัสเซีย ขณะที่ยูเครนสามารถจับกุมนักรบบางส่วนได้แล้ว ส่วนลาวซึ่งมีพรมแดนติดจีน เวียดนาม และไทย ยังคงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทั้งรัสเซียและจีนอย่างต่อเนื่อง

‘พิชัย’ เสนอลดเกินดุลการค้าสหรัฐฯ 70% ใน 5 ปี หวังเลี่ยงภาษีนำเข้าสูง 36% ก่อนถึงเส้นตาย 9 ก.ค.

(7 ก.ค. 68)นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กในวันอาทิตย์ (6 ก.ค.) เกี่ยวกับข้อเสนอล่าสุดของไทยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูง โดยระบุว่า ไทยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มปริมาณการค้าทวิภาคีกับสหรัฐฯ และลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลง 70% จากปัจจุบันที่ 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ภายในเวลา 5 ปี โดยตั้งเป้าว่าจะทำให้การค้าระหว่างสองประเทศถึงจุดสมดุลในระยะเวลา 7-8 ปี

นายพิชัยเปิดเผยด้วยว่า ภาษีศุลกากรที่ระดับ 10% ถือเป็นอัตราที่ดีที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็เสริมด้วยว่า ภาษีระหว่าง 10% - 20% ก็ยังเป็นอัตราที่ยอมรับได้

รายงานระบุว่า นายพิชัยคาดว่าจะยื่นข้อเสนอที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ก่อนวันที่ 9 ก.ค. ซึ่งหากข้อเสนอดังกล่าวได้รับการยอมรับ ไทยจะสามารถยกเว้นภาษีนำเข้าหรือมาตรการอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภาษีสำหรับสินค้าส่วนใหญ่ได้ทันที ในขณะที่ข้อจำกัดสำหรับสินค้าอื่น ๆ จะทยอยยกเลิกอย่างค่อยเป็นค่อยไป

นอกจากนี้ นายพิชัยยังกล่าวด้วยว่า สินค้าสหรัฐฯ หลายรายการที่จะเข้าถึงตลาดไทยได้มากขึ้นนั้น เป็นสินค้าที่ขาดแคลนในประเทศ จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรหรือผู้ผลิตของไทย

ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยในอัตรา 36% หากทั้งสองประเทศไม่สามารถเจรจาเพื่อลดหย่อนภาษีได้ก่อนวันที่ 9 ก.ค. ซึ่งเป็นวันครบกำหนดการผ่อนผันเรียกเก็บภาษีเป็นเวลา 90 วันของทรัมป์

สำหรับข้อเสนอที่ได้รับการปรับปรุงใหม่นี้มีขึ้นหลังจากนายพิชัยได้พบปะเจรจากับเจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และไมเคิล ฟอลเคนเดอร์ รมช.คลังของสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (3 ก.ค.) ซึ่งเป็นการเจรจาภาษีระดับรัฐมนตรีครั้งแรก

ทรัมป์เลื่อนใช้ภาษีนำเข้าใหม่ เริ่มใช้ 1 ส.ค. ลั่น!! เก็บภาษีเพิ่ม 10% กับประเทศพันธมิตร BRICS

(7 ก.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า สหรัฐฯ เตรียมส่งจดหมายแจ้งอัตราภาษีนำเข้าใหม่ให้ประเทศคู่ค้า โดยจะมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม แทนที่จะเป็นสัปดาห์นี้ตามกำหนดเดิมที่สิ้นสุดในวันที่ 9 กรกฎาคม ซึ่งท่าทีดังกล่าวสร้างความสับสนต่อทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และทำให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงทันที

รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ฮาเวิร์ด ลัทนิค (Howard William Lutnick) ยืนยันว่า ภาษีนำเข้าใหม่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม แม้ทรัมป์จะพูดไม่ชัดเรื่องกำหนดเวลา แต่เขายืนยันว่า สหรัฐฯ ได้เตรียมทั้งจดหมายแจ้งอัตราภาษี และทำข้อตกลงกับบางประเทศไปแล้ว พร้อมเตือนว่า หากประเทศใดสนับสนุนกลุ่ม BRICS จะถูกเก็บภาษีเพิ่มอีก 10% โดยไม่มีข้อยกเว้น

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยประกาศเก็บภาษีนำเข้าขั้นต่ำ 10% และอาจสูงสุดถึง 50% กับหลายประเทศ แต่ได้เลื่อนการเริ่มใช้จริงมาหลายครั้ง ล่าสุดเขาให้เวลาประเทศต่าง ๆ เจรจาเพิ่มเติมอีก 3 สัปดาห์ ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ทรัมป์เตรียมส่งจดหมายถึงกว่า 100 ประเทศที่ยังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจา หากยังไม่ดำเนินการใด ๆ จะถูกเรียกเก็บภาษีตามอัตราเดิมที่เคยกำหนดไว้เมื่อ 2 เมษายน

ทั้งนี้ การประกาศของทรัมป์มีขึ้นหลังการประชุมผู้นำกลุ่ม BRICS ที่ประเทศบราซิล ซึ่งผู้นำกลุ่มได้ออกแถลงการณ์ร่วม แสดงความกังวลต่อการที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีฝ่ายเดียว เพราะอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลก 

ด้านทำเนียบขาวระบุว่า ยังมีโอกาสผ่อนปรนให้ประเทศที่แสดงความจริงใจในการเจรจา และทรัมป์จะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะขยายเส้นตายออกไปหรือไม่

วิเคราะห์ 2 สแกมเมอร์แลนด์ ดินแดนธุรกิจสีเทา จีนพร้อมอุ้ม ‘เมียนมา’ ส่วน ‘กัมพูชา’ กำลังถูกโดดเดี่ยว

(7 ก.ค. 68) ช่วงที่ผ่านมาเอย่าคิดแล้วคิดอีกว่าจะเขียนเรื่องกองทัพไทยที่ถูกโซเชียลนำภาพที่เหล่าพวกคนจีนโพสต์ทั้งภาพและคลิปลงบนสื่อออนไลน์ดีหรือไม่  แต่สุดท้ายเอย่ามองว่าขนาดผู้เสียหายอย่างกองทัพไทยยังทำตาบอดหูหนวกเลย งั้นเอย่าไม่เขียนดีกว่า  หลายเรื่องที่เอย่าได้ยินมาว่ามันไม่จริงแต่ถ้าหลายเรื่องมีมูลแต่ไม่คิดจะชี้แจงใครก็ช่วยพวกท่านไม่ได้นะคะ อย่าลืมว่า อำนาจเป็นสิ่งไม่เที่ยง มีได้หมดได้ ช่วงที่มีอำนาจก็ควรทำดีและพยายามชี้แจงด้วยหากทำเพื่อบ้านเมืองเพราะคนไม่ดีที่รอท่าน ๆ ล้มเขาหาจังหวะซ้ำท่านอยู่

ว่าแล้วเราก็พักเรื่องจีนเทาในไทยมาคุยถึงเรื่องจีนเทารอบบ้านเราดีกว่า ประเด็นคือล่าสุดไม่กี่วันที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนเข้าพบ มิน อ่อง หล่าย หารือเรื่องการปราบปรามจีนเทาตามชายแดนอีกครั้งคาดว่ารอบนี้จะจัดการให้ราบคาบเพราะทราบจากรอบที่แล้วว่ามีการหลบหนีจากเหนือลงใต้อย่างไร กลุ่มชาติพันธุ์ใดให้การช่วยเหลือ  เอย่ามองว่าอีกไม่นานจะมีการปราบปรามครั้งใหญ่ในฝั่งเมียนมาซึ่งส่งผลให้เกิดสงครามย่อมๆได้เลยอย่างที่เราเห็นมาอย่างเนือง ๆ ว่ากลุ่มชาติพันธุ์มีการให้การสนับสนุนกลุ่มจีนเทาเหล่านี้อยู่ 

ในขณะที่หากมองจากฝั่งกัมพูชา การปกครองพื้นที่เป็นแบบเบ็ดเสร็จผ่านรัฐบาลกลางหากกลุ่มจีนเทาหรือสแกมเมอร์ต้องการจะทำธุรกิจอะไร นั่นจำเป็นต้องติดต่อกับบุคคลที่มีอำนาจในรัฐบาล  ซึ่งจุดนี้จะต่างจากฝั่งเมียนมาโดยสิ้นเชิง

การคว่ำบาตรกัมพูชามีความแตกต่างจากการคว่ำบาตรของเมียนมาหากเข้าใจบริบท 2 สิ่งที่มีในเมียนมาแต่ไม่มีในกัมพูชา

1. แร่โดยเฉพาะ แร่หายากและพวกแร่กัมมันตภาพรังสีที่มีอยู่จำนวนมาก ซึ่งนี่ทำให้เมียนมาถูกหมายตาจากนานาชาติมาตลอด

2. เมียนมาเป็นจุดเชื่อมต่อออกมหาสมุทรอินเดียของจีน  หากทำสำเร็จจีนจะย่นเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางอ้อมช่องแคบมะละกาซึ่งจะช่วยย่นระยะเวลาและเพิ่มการขยายอำนาจของจีนได้  ในขณะที่กัมพูชาไม่มี 2 สิ่งนี้เลย ทางการจีนไม่จำเป็นต้องขยายอำนาจมากัมพูชาเพราะจีนมีอำนาจเหนือเวียดนามอยู่แล้ว รวมถึงความสัมพันธ์ทางการทูตที่แน่นแฟ้นมากกับไทย

ดังนั้นการคส่ำบาตรที่เกิดขึ้นในเมียนมาเป้าหมายคือการพยายามหยุดการขยายอำนาจจากจีนมากกว่าการแก้ปัญหาเรื่องสแกมเมอร์โดยอ้างคำว่าเผด็จการกองทัพทั้ง ๆ ที่การรัฐประหารรอบนี้แตกต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิงทั้งบริบทและสาเหตุ นั่นทำให้เมียนมายังมีประเทศที่เป็นพันธมิตร ในขณะฝั่งกัมพูชามีแต่ประเทศเริ่มตีจาก เพราะเริ่มระแคะระคายว่าผู้นำประเทศอาจจะอยู่เบื้องหลังในการสนับสนุนกลุ่มธุรกิจจีนเทา

หากว่าไปแล้วจีนไม่จำเป็นต้องเข้ามาจัดการจีนเทาในกัมพูชา เพราะสามารถจัดการผ่านประเทศที่สามอย่างไทยหรือเวียดนามได้อยู่แล้วเพราะมากกว่า 50% ของกัมพูชาพึ่งพาสาธารณูปโภคจากไทยและเวียดนาม และความโกลาหลก็เกิดขึ้นเมื่อผู้นำประเทศเลือกจะเริ่มตัดความช่วยเหลือจากฝั่งไทย

ในขณะที่หลายปีที่ผ่านมาที่เมียนมาปล่อยจีนเทาให้สร้างเมืองตามชายแดนและยกกรรมสิทธิ์ในการตรวจสอบดูแลให้กับกองกำลัง BGF ในพื้นที่ซึ่งนั่นทำให้ง่ายต่อการถูกคอร์รัปชันและบิดพริ้วสัญญาที่ลงนามไว้ตั้งแต่ต้นดังปรากฏให้เห็นที่ฉ่วยก๊กโกแล้วว่าการขยายเขตเมืองออกไปนั้นไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลกลางแต่เป็นการตัดสินใจของกลุ่มกองกำลังในพื้นที่

แต่ขณะเดียวกันที่สีหนุวิลด์นั้นต่างออกไปการเข้าครอบครองเมืองตากอากาศที่รัฐบาลสร้างขึ้นมาไม่ใช่เรื่องง่าย ๆหากผู้นำของรัฐบาลไม่เห็นชอบให้เหล่าจีนเทาเหล่านี้เข้ามา

และนี่คือทั้งหมดทั้งมวลของความเหมือนที่แตกต่างของสแกมเมอร์แลนด์ใน 2 ฝั่งภูมิภาคล้อมรอบไทยเรานี้นั่นเอง

ชาวมาเลเซียกว่า 300 ชีวิต รวมตัวประท้วงเรียกร้องนายกฯ ‘อันวาร์’ ลาออก เหตุค่าครองชีพพุ่ง

เช้าวันนี้ (7 ก.ค. 68) มีประชาชนกว่า 300 คนรวมตัวกันที่ลานจอดรถ เขตเซกชัน 9 เมืองชาห์อาลัม ประเทศมาเลเซีย เพื่อประท้วงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) ลาออกจากตำแหน่ง โดยผู้ชุมนุมไม่พอใจเรื่องค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น และการขยายการเก็บภาษีขายและบริการ (SST) ที่เริ่มใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ผู้ประท้วงเริ่มรวมตัวตั้งแต่ 8 โมงเช้า ภายใต้การดูแลของตำรวจ พร้อมถือป้ายข้อความ เช่น “Turun Anwar” (อันวาร์ลงจากตำแหน่ง), “Rakyat Susah” (ประชาชนลำบาก) และ “Rakyat Terbeban” (ประชาชนแบกรับภาระ) โดยมีแกนนำจากหลายฝ่ายร่วมด้วย เช่น แกนนำพรรคเปจวง พีเอเอส และกลุ่มนักศึกษาอิสลาม

ฮานิฟ จามาลุดดิน รองหัวหน้าหน่วยเยาวชนพรรค PAS เผยกับสื่อว่า การชุมนุมครั้งนี้เป็นเพียงกิจกรรมย่อย ก่อนการชุมนุมใหญ่ที่จัตุรัสเมอร์เดกาวันที่ 26 ก.ค. ซึ่งคาดว่าจะมีอดีตนายกฯ มหาธีร์ โมฮัมหมัด (Dr.Mahathir Mohamad), ประธานพรรคเบอร์ซาตู มูห์ยิดดิน ยัสซิน (Muhyiddin Yassin) และประธานพรรค PAS ฮาดี อาวัง (Abdul Hadi Awang) เข้าร่วม

ด้านเอซัม นอร์ (Ezam Nor) อดีตสมาชิกพรรค PKR ระบุว่า ประชาชนรู้สึกผิดหวังในตัวอันวาร์ ที่ไม่สามารถทำตามสัญญาเดิม เช่น การลดราคาน้ำมัน พร้อมย้ำว่าการชุมนุมครั้งนี้ไม่ใช่การต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจของประชาชน ทั้งคนจนและคนรวย ที่ล้วนได้รับผลกระทบจากภาษีที่เพิ่มขึ้น

‘สุชาติ’ ปัดฝุ่นแนวคิดตั้ง ‘ธนาคารพุทธศาสนา’ ดูแลทรัพย์สินวงการสงฆ์ แยกเงินพระ - วัดให้ชัด

(7 ก.ค. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าในส่วนของการแบ่งงานตนจะได้หารือกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แต่ส่วนตัวทำได้ทุกเรื่อง เพราะอยู่การเมืองมาเกือบ 40 ปี เป็นรัฐมนตรีหลายครั้ง และเคยเป็นรองประธานสภาฯ

เมื่อถามว่า ถ้าต้องดูสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะมีความหนักใจหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่าขณะนี้เกิดวิกฤตวงการสงฆ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้พุทธศาสนิกชนมีความไม่สบายใจ มีความเศร้าหมอง เกี่ยวกับความศรัทธา เพราะฉะนั้น คงต้องรีบดำเนินการแก้ไขโดยดูว่าปัญหามาจากตรงไหน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องทรัพย์สินของวัด การประพฤติของเจ้าอาวาสหรือพระผู้ใหญ่ ที่ได้รับการบริจาคจำนวนมากจึงต้องไปจัดการที่ต้นตอ

นายสุชาติ กล่าวว่า นโยบายของตนคือจะดำเนินการจัดการทรัพย์สินของวัดให้เป็นระบบ เช่น ควรจำแนกว่าทรัพย์สินของวัดนี้มีจำนวนเท่าไหร่ เป็นของวัดเท่าไหร่ เป็นของพระเท่าไหร่ ซึ่งควรแยกออกจากกันให้ชัดเจน และดำเนินการให้ถูกต้อง และมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ โดยไม่ปล่อยปละละเลย อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาจนเกิดวิกฤตขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเราก็ไม่ทราบว่าเป็นขบวนการด้วยหรือไม่ เพราะมีเรื่องเกิดขึ้นต่อเนื่อง วิกฤตศรัทธาตรงนี้ต้องรีบแก้ไข บ้านเราประชาชนนับถือศาสนาพุทธเป็นจำนวนมาก เมื่อเกิดวิกฤตแบบนี้ก็เกิดความไม่สบายใจ

นายสุชาติ กล่าวด้วยว่า จะต้องหารือกับมหาเถรสมาคม และอาจมีการตั้งธนาคารพระพุทธศาสนาขึ้นมาเพื่อดูแลทรัพย์สินของศาสนาโดยเฉพาะ ซึ่งเรื่องนี้ต้องออกกฎหมาย และต้องดูระเบียบทุกอย่างให้ชัดเจน เพราะที่ผ่านมามีระเบียบกฎหมายแต่ทำไมยังมีการฝ่าฝืน ซึ่งตนจะเร่งดำเนินการ และรายงานให้สังคมทราบเป็นระยะ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นเวลา 09.09 น. นายสุชาติ ได้สักการะพระภูมิเจ้าที่ และศาลตายาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล หลังจากเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

‘สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ’ ทรงขับเคลื่อนยารักษามะเร็งในไทย ประสบความสำเร็จผลิตยามะเร็งชนิดมุ่งเป้า ‘อิมครานิบ 100’

(7 ก.ค. 68) ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการพัฒนายารักษาโรคมะเร็งชนิดมุ่งเป้า (Targeted Therapy) ชื่อว่า “อิมครานิบ 100 (IMCRANIB 100)” ซึ่งเป็นยารูปแบบเม็ดตำรับแรกที่ผลิตในประเทศ โดยใช้ตัวยาสำคัญ “อิมาทินิบ” (IMATINIB) ขนาด 100 มิลลิกรัม ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย. เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 พร้อมให้บริการผู้ป่วยที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ในเดือนกรกฎาคมนี้

ยานี้ใช้กลไกยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซีนไคเนส ทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างจำเพาะ ช่วยลดผลข้างเคียงและควบคุมการลุกลามของโรค มีประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดซีเอ็มแอล มะเร็งเนื้อเยื่อในระบบทางเดินอาหาร และมะเร็งผิวหนังหายาก

ความสำเร็จนี้เกิดจากพระวิริยะอุตสาหะและพระปณิธานอันแน่วแน่ของ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ที่ทรงก่อตั้งโรงงานผลิตเภสัชภัณฑ์ ณ พระตำหนักพิมานมาศ จังหวัดชลบุรี เพื่อให้คนไทยเข้าถึงยารักษามะเร็งคุณภาพสูง ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ

โรงงานแห่งนี้ยังได้รับการรับรองมาตรฐานสากล GMDP PIC/s และมีศักยภาพในการวิจัยและพัฒนายาระดับอุตสาหกรรม พร้อมถ่ายทอดความรู้แก่บุคลากรไทย เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านยาและพัฒนาขีดความสามารถด้านเภสัชกรรมของประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนายาชีววัตถุ “HERDARA” ซึ่งเป็นทราสทูซูแมบ (Trastuzumab) เวอร์ชันไทย สำหรับรักษามะเร็งเต้านม ภายใต้โครงการ “ศูนย์วิจัยและพัฒนาชีววัตถุ” โดยนักวิจัยไทยทั้งหมด

‘เอกนัฏ’ ส่ง “มอก.วอทช์” AI สแกนสินค้าไม่ได้มาตรฐาน พร้อมโปรเดือด 7.7 จ่อฟันแพลตฟอร์มออนไลน์ 777 คดี

(7 ก.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยในการแถลงข่าวเปิดตัว ระบบตรวจสอบสินค้าออนไลน์อัจฉริยะ “มอก.วอทช์” ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ยกระดับมาตรการคุมเข้มตรวจสอบการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ด้วย AI ซึ่งริเริ่มให้ดำเนินการโดยคณะกรรมการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม (INDX) นำโดยนายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน เป้าหมายสำคัญเพื่อนำระบบ AI มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการคัดกรองสินค้าไม่ได้มาตรฐานจากโลกออนไลน์ ปกป้องผู้บริโภคไทยจากการใช้สินค้าด้อยคุณภาพ ลดปัญหาการนำเข้าสินค้าราคาถูก แต่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ 

“ขณะนี้ ระบบตรวจสอบสินค้าออนไลน์อัจฉริยะ “มอก.วอทช์” สามารถตรวจจับลิงค์ขายสินค้าต้องสงสัยได้แล้ว จำนวน 109,819 รายการ ซึ่งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้ดำเนินการปิดลิงค์ที่จำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐานไปแล้ว 2,885 URL เตรียมดำเนินคดี 777 URL และอยู่ระหว่างการตรวจสอบอีก 3,559 URL โดยในช่วงเวลา 5 เดือนที่ใช้งานระบบมา พบว่าสินค้าที่ละเมิดกฎหมายสูงสุด 3 ลำดับแรก คือ “พลาสติกสัมผัสอาหาร ของเล่นเด็ก และท่อไอเสียรถจักรยานยนต์” ซึ่งอยู่ในจำนวน 147 รายการสินค้าควบคุม ที่ต้องมีมาตรฐาน มอก. เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค แต่กลับมีการนำเข้าจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์อย่างแพร่หลาย ส่งผลกระทบต่อร้านค้าท้องถิ่น ผู้ประกอบการไทย และสร้างความเสี่ยงต่อประชาชนผู้บริโภค” นายเอกนัฏ กล่าว

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้ง 777 คดีนี้ มาจากผลการตรวจของ มอก.วอทช์ ที่พบบนแพลตฟอร์ม อีคอมเมิร์ซเจ้าใหญ่ โดยมาจากแพลตฟอร์มสีม่วง จำนวน 529 คดี และแพลตฟอร์มสีส้ม จำนวน 248 คดีซึ่งหลังจากนี้เราจะดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และลดการนำเข้าสินค้าด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมยกระดับ “มอก.วอทช์ 1.0“ นี้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในเวอร์ชั่นต่อไป โดยเล็งเพิ่มฟังก์ชัน 1) คัดกรองสินค้าและการสวมใบอนุญาตปลอม ไม่ใช่แค่คัดกรองสินค้าไม่มี มอก. เท่านั้น  แต่ยังสามารถตรวจสอบสินค้า ที่สวมใบอนุญาตไม่ตรงกับผลิตภัณฑ์ ผ่านสารบบของสมอ. 2) ตรวจสอบฐานข้อมูลสินค้าไม่ได้ มอก. ผู้บริโภคสามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น 3) เชื่อมต่อแพลตฟอร์ม “แจ้งอุตฯ” ของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถร้องเรียนลิงค์ที่จำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้ามาได้ทันที และ 4) พร้อมผนึกกำลังกับหน่วยงานพันธมิตร แชร์ฐานข้อมูลและเทคโนโลยีของ "มอก.วอทช์" ไปยังหน่วยงาน

เกี่ยวข้องอย่างสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) , สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หรือตำรวจไซเบอร์ เพื่อการบูรณาการสู้รบกับสินค้าห่วยออนไลน์เพื่อประชาชนเต็มรูปแบบ

“ด้วยมาตรการที่เข้มข้นและเทคโนโลยี Ai ที่ถูกนำมาใช้ กระทรวงอุตสาหกรรมนำโดยรัฐมนตรีเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ มุ่งมั่นที่จะทำให้ประเทศไทยไม่ใช่ตลาดสำหรับสินค้าด้อยคุณภาพอีกต่อไป แต่จะเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยสินค้าที่มีมาตรฐานและปลอดภัย เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน และให้ SME - ผู้ประกอบการไทยยังแข่งขันได้ ในกติกาที่เป็นธรรม” นายพงศ์พล กล่าวปิดท้าย

ปธน.เกาหลีใต้ ทุ่มหนัก!! รัฐแจกเงิน 150,000 ต่อคน ครอบคลุมประชาชนและผู้อยู่อาศัยต่างชาติบางกลุ่ม

(7 ก.ค. 68) รัฐบาลเกาหลีใต้เตรียมแจกเงินอย่างน้อยคนละ 150,000 วอน (ราว 4,275 บาท) เริ่มตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศและฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเป็นนโยบายเศรษฐกิจสำคัญครั้งแรกของประธานาธิบดีอี แจมยอง (Lee Jae-myung) หลังเข้ารับตำแหน่ง

โดยชาวเกาหลีที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ วันที่ 18 มิถุนายน จะได้รับเงินช่วยเหลือขั้นต่ำคนละ 150,000 วอน โดยครัวเรือนที่มีรายได้น้อยและครอบครัวที่มีพ่อหรือแม่เลี้ยงดูลูกเพียงคนเดียว โดยไม่มีคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง จะได้รับเงินเพิ่มรวมสูงสุดถึง 300,000 วอน (8,550 บาท) และผู้ที่ได้รับสิทธิ์เงินช่วยเหลือพื้นฐานของรัฐอาจได้รับสูงถึง 400,000 วอน (11,400 บาท) 

นอกจากนี้ ยังมีเงินสนับสนุนเพิ่มเติม 30,000–50,000 วอน สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่นอกเขตเมืองใหญ่ หรือในพื้นที่ที่มีประชากรลดลงอย่างรุนแรง

เงินช่วยเหลือยังขยายไปถึงชาวต่างชาติบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่มีชื่อในทะเบียนบ้านร่วมกับพลเมืองเกาหลี และมีประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมถึงผู้ถือวีซ่าถาวร (F-5), คู่สมรสชาวเกาหลี (F-6) และผู้ลี้ภัย (F-2-4) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รัฐให้การช่วยเหลือผู้ลี้ภัย หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าการไม่ให้เงินเยียวยาโควิดแก่ผู้ลี้ภัยเมื่อปี 2020 เป็นการเลือกปฏิบัติ

สำหรับโครงการนี้อยู่ภายใต้งบประมาณเพิ่มเติม 31.8 ล้านล้านวอน หรือประมาณ 9.2 ล้านล้านบาท และใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “คูปองฟื้นฟูการดำรงชีวิต” โดยประชาชนสามารถสมัครรับเงินผ่านช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์ได้ถึง 12 กันยายน และต้องใช้เงินภายในพื้นที่ที่ตนเองอาศัยอยู่ก่อนสิ้นเดือนพฤศจิกายน

คูปองนี้ใช้ได้กับร้านค้าท้องถิ่น เช่น ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านตัดผม และร้านแว่นตา ที่มีรายได้ไม่เกิน 3 พันล้านวอนต่อปี และไม่สามารถใช้กับห้างสรรพสินค้า ร้านแบรนด์ต่างชาติ หรือซื้อของผ่านออนไลน์ได้ ยกเว้นกรณีจ่ายเงินสดผ่านแอปส่งอาหารบางแอปเท่านั้น

ทั้งนี้ ในรอบที่สอง รัฐบาลจะมอบเงินเพิ่มอีก 100,000 วอน ให้กับประชาชนกลุ่มรายได้ต่ำ 90% ระหว่างเดือนกันยายนถึงตุลาคม โดยจะคัดเลือกผู้มีสิทธิ์จากข้อมูลประกันสุขภาพแห่งชาติ และจะประกาศรายละเอียดเพิ่มเติมในภายหลัง นโยบายนี้เปลี่ยนจากการแจกเงินถ้วนหน้าเป็นการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและการดูแลการเงินของรัฐ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top