Tuesday, 8 July 2025
TheStatesTimes

สำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมภาคีเครือข่าย มอบรางวัลพลเมืองดีส่งคลิปผู้ขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมายตาม 'โครงการอาสาตาจราจร' พร้อมเตือนการใช้โทรศัพท์ในขณะขับขี่ เสี่ยงอุบัติเหตุ

วันนี้ (20 สิงหาคม 2567) เวลา 09.30 น. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ , คุณพงศ์พันธ์ ประภาศิริลักษณ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) , ผู้แทนจากสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และสถานีวิทยุ จส.100 ร่วมแถลงผลการมอบรางวัลและเกียรติบัตรโครงการอาสาตาจราจร ณ ห้องศรียานนท์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมอบรางวัลให้กับประชาชนเจ้าของคลิปกล้องหน้ารถ ที่บันทึกอุบัติเหตุทางถนนหรือการกระทำผิดกฎจราจรที่สำคัญ ประจำเดือนมิถุนายน 2567 รวมรางวัลทั้งสิ้น 10 รางวัล เงินรางวัลสูงสุด 20,000 บาท รวมเงินรางวัลที่จะมอบในวันนี้ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 50,000 บาท โดยบริษัท วิริยะประกันภัย เป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัล

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการสร้างความปลอดภัยทางถนน โดยเฉพาะโครงการอาสาตาจราจร เป็นกิจกรรมขับเคลื่อนความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่มีผลประจักษ์ชัด ได้รับความสนใจจากภาคประชาชน ร่วมส่งคลิปการกระทำผิดกฎจราจรมาให้คณะทำงานพิจารณาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มโครงการ ข้อมูลเบาะแสเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาการจราจร เพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนให้กับผู้ใช้ทาง สำหรับผู้กระทำผิดที่ถูกบันทึกคลิปวิดีโอเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำไปตรวจสอบและติดตามมาดำเนินคดี  โครงการนี้มุ่งหวังให้ผู้ขับขี่ยับยั้งชั่งใจในการกระทำความผิด เพื่อมุ่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น 

สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรม สามารถส่งคลิปผู้ฝ่าฝืนกฎจราจรมายังช่องทางที่หลากหลาย ได้แก่ เพจอาสา ตาจราจร , เพจตำรวจทางหลวง , เพจกองบังคับการตำรวจจราจร รวมถึงเพจเครือข่ายที่ร่วมโครงการ ทั้งเพจมูลนิธิเมาไม่ขับ , สวพ.91 และ จส.100 คลิปที่มีเนื้อหาน่าสนใจผ่านการคัดเลือก 

นอกจากได้รับเงินรางวัลแล้วยังได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะพลเมืองดี ช่วยส่งพยานหลักฐานเพื่อช่วยคนดีชี้คนผิด เป็นส่วนหนึ่งในการลดอุบัติเหตุทางถนน 

ทางด้าน นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวเสริมว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการสร้างการตระหนักรู้ในการขับขี่ปลอดภัย ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร การมีส่วนร่วมดังกล่าวเป็นการสร้างมาตรฐานทางสังคมให้เกิดความยับยั้งชั่งใจในการกระทำความผิด

นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความห่วงใยผู้ขับขี่และผู้ใช้รถใช้ถนน เรื่องการใช้โทรศัพท์ในระหว่างการขับขี่รถ ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เนื่องจากพบว่า มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากผู้ขับขี่ที่ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถเพิ่มสูงขึ้น ทั้งการคุยโทรศัพท์ และการใช้ในวัตประสงค์อื่น เพราะการใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ส่งผลให้สมาธิในการควบคุมรถ การรับรู้ต่อสิ่งแวดล้อมบนถนนลดลง ในระดับที่เป็นอันตรายส่งผลต่อการเกิดอุบัติเหตุ จึงขอให้ใช้เครื่องมือช่วยในการรับฟัง หรือหยุดรถในจุดปลอดภัยก่อน หรือหากงดใช้จะเป็นแนวทางที่สร้างความปลอดภัยได้ดีที่สุดสำหรับทุกคน รวมไปถึงคนเดินเท้า โดยเฉพาะในขณะข้ามถนน หากใช้โทรศัพท์จะเป็นความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

🔎คาดการณ์ 18 รายชื่อ สส.ในสังกัด ‘ร.อ.ธรรมนัส’ หลังแยกทาง ‘บิ๊กป้อม-พลังประชารัฐ’

(20 ส.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับความเคลื่อนไหวในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มีกระแสข่าว ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค หลุดจากตำแหน่ง รมว.เกษตรและสหกรณ์ และไม่ได้ร่วมในครม. ‘แพทองธาร 1’ โดยร.อ.ธรรมนัส นัด สส. พรรคพปชร.ในสังกัด ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และจะแถลงจุดยืนของ ‘สส.กลุ่มธรรมนัส’ 

ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่า ร.อ.ธรรมนัส และสส.ในสังกัด จะย้ายไปอยู่ ‘พรรคกล้าธรรม’ ที่มีนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นหัวหน้าพรรค

สำหรับ สส.พลังประชารัฐ ในสังกัด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มีดังนี้

1.นายอัครแสนคีรี โล่ห์วีระ สส.ชัยภูมิ เขต 7
2.นายคอซีย์ มามุ สส.ปัตตานี เขต 2 
3.นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา สส.ราชบุรี เขต 2
4.นายจตุพร กมลพันธ์ทิพย์ สส.ราชบุรี เขต 3
5.นายชัยทิพย์ กมลพันธ์ทิพย์ สส.ราชบุรี เขต 5

6.นายอนุรัตน์ ตันบรรจง สส.พะเยา เขต 2
7.นายจีรเดช ศรีวิราช สส.พะเยา เขต 3
8.นายฉกาจ พัฒนกิจวิบูลย์ สส.พังงา เขต 2
9.นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส.สงขลา เขต 4
10.นายทวี สุระบาล สส.ตรัง เขต 2

11.นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ สส.เชียงใหม่ เขต 9
12.นายปกรณ์ จีนาคำ สส.แม่ฮ่องสอน เขต 1
13.นายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร เขต 1
14.นายเพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ สส.กำแพงเพชร เขต 2
15.นายภาคภูมิ บูลย์ประมุข สส.ตาก เขต 3

16.นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 2
17.นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 3
18.นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา เขต 2

'ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์' ติง!! ‘นักวิชาการ’ วิพากษ์ ‘ศาสนาพุทธ’ ‘อ่านไม่แตก-ขาดความรู้’ แล้วยังกล้ายกยอตนเป็นผู้เชี่ยวชาญ

(20 ส.ค. 67) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ กลุ่มวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Phermsak Chariamphan โดยระบุว่า

“บางทีนักวิชาการที่ชอบวิพากษ์ศาสนาพุทธอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็ไม่แน่ใจว่า เขาเข้าใจหลักธรรมของศาสนาพุทธมากน้อยแค่ไหน เพราะส่วนใหญ่เขาเป็นมาร์กซิสต์อะครับ อย่าว่าแต่หลักธรรมของศาสนาพุทธเลย บางคนทฤษฎีตะวันตกหรือมาร์กซ์ยังอ่านไม่แตกใช้ไม่คล่อง ดีแต่วิพากษ์อย่างเดียว น้อยคนที่จะเข้าใจลึกซึ้ง (คนที่เข้าใจก็มีนะ บางคนนี่เขาคิดว่า เข้าใจมาร์กซ์มากกว่ามาร์กซ์เข้าใจตัวเองเสียด้วยซ้ำ ต้นกำเนิดลัทธิแก้ ตัวเองแก้ได้คนเดียวแต่คนอื่นห้ามแก้ ผิด ฮา) บางคนเป็นมาร์กซิสต์จิตนิยม ไหว้พระไหว้เจ้าก็มี ไม่รู้ว่าทำไปเพราะแสร้งทำหรืออะไรยังไง ไม่ได้อยากรู้คำตอบด้วยครับไม่ต้องมาตอบ

อย่างผม ผมมองว่าถ้ายังไม่สามารถอ่านเขียนภาษาบาลี สันสกฤต อ่านพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และปกรณ์จนแตกฉานทั้งหมด รวมไปถึงคิด พูด ทำ ให้สมกับภูมิธรรมที่ตัวเองมีด้วย เช่นหลวงพ่อชา ท่านพุทธทาส ท่านปยุต ท่านชยสาโร ฯลฯ ถ้าไม่มีคุณสมบัติแบบนี้อย่ามาเรียกตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญและวิพากษ์ศาสนาพุทธอย่างนั้นอย่างนี้เลยครับ อายคนมีภูมิเขาบ้าง (ถ้าไม่อายก็ทำไป ด้านได้อายอด)

พอ ๆ กับทฤษฎีตะวันตกนั้นแหละ อธิบายอย่างนั้นอย่างนี้เป็นวรรคเป็นเวร พอไล่ไปถึง Epistemology หรือญาณวิทยา ก็มีแต่หลักกูหรือคิดขึ้นมาเองทั้งนั้น แล้วเที่ยวไปไล่ตัดสินคนอื่น อย่างว่าตามประสาปุถุชน หลอกได้แค่คนไม่เรียนมาหรือคนตามไม่ทันวาทกรรมของเขาแค่นั้นแหละ

แต่สุดท้ายแล้วมีปากก็วิพากษ์ไปเถิดครับ ปากเป็นของท่าน ศอกเป็นของผม

ปล. ตามแนวคิดของพุทธศาสนานั้น พุทธองค์ท่านให้ถือธรรม หรือความถูกต้องเป็นใหญ่หรือธรรมาธิปไตย

ส่วนประชาธิปไตย ในทางพุทธศาสนาถือเป็นระบอบการปกครองที่พุทธองค์ไม่ยกย่อง เพราะถือเป็นโลกาธิปไตย คือเอาความเห็นของคนในโลกเป็นใหญ่ ถ้าความเห็นของคนส่วนใหญ่ในโลกมันดี มีหลักคุณธรรม มีความละอายต่อบาปค้ำจุนอยู่ในกมลสันดานบ้างมันก็ดีไป แต่ถ้าคนส่วนใหญ่ในโลกมันบ้า ไร้คุณธรรม ไม่รู้ดีรู้ชั่ว มันก็เป็นระบอบการปกครองของคนบ้าและคนชั่ว หรืออุปมาดั่งแมลงวันตอมสิ่งโสโครกตามที่หลวงพ่อชาและหลวงพ่อพุทธทาสได้วิเคราะห์เอาไว้ครับ”

‘ดร.สุวินัย’ ชี้!! ‘ชนชั้นปกครอง’ เดินเกม ‘พาไทยให้รอดจากศึกช้างชนกัน’ มองการเมืองโลกในความเป็นจริง ละทิ้ง ‘ความรัก-ความชัง’ มุ่งพาชาติพ้นภัย

(20 ส.ค. 67) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ การจับมือกันเพื่อดำเนินยุทธศาสตร์ ‘เอาไทยให้รอดจากช้างชนกัน’ ระบุว่า…

ถ้ามองหมากทั้งกระดานจากสายตาของ ผู้คุมเกม ไม่มีเรื่องราวใดสำคัญไปกว่าความอยู่รอดของบ้านเมือง ท่ามกลางบริบทของสงครามใหญ่ (ช้างชนกัน) หรือ ‘สงครามโลกครั้งที่ 3’ ที่เริ่มต้นแล้วในทางพฤตินัย จากสงครามยูเครน (NATO) กับรัสเซีย และสงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและฝ่ายต่อต้านที่มีอิหร่านเป็นแกนนำ

ตอนนี้ดูเหมือนว่าในระดับชนชั้นปกครอง ได้มีการ ‘แบ่งงาน’ และ ‘แบ่งอำนาจ’ กันระหว่างทหารกับทักษิณและอนุทิน อย่างค่อนข้างชัดเจนและลงตัวแล้ว

'ทหาร' สร้างสัมพันธ์อันดีกับทางจีน รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย

'ทักษิณ' สร้างสัมพันธ์อันดีแบบแน่นปึ้กกับทางตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา

'อนุทิน' รับงานทำหน้าที่ปรับสมดุลแห่งสมการทางอำนาจ ปิดทางทักษิณจับมือกับธนาธร

นี่คือความเป็นจริงของ Real Politics ที่นักยุทธศาสตร์และนักกลยุทธ์ทั้งหลายไม่ว่าสังกัดค่ายพรรคใด จะต้องก้าวข้ามอคติความเกลียดชังส่วนบุคคลที่มีต่อทหาร หรือต่อทักษิณให้จงได้

เพราะเกมยุทธศาสตร์เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ช้างกำลังชนกัน ... เกมมันต้องเดินทรงนี้ทรงเดียวเท่านั้น เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของคนไทยทั้งประเทศ

การที่ทักษิณหวนกลับมาสู่สมการอำนาจไทยอย่างเท่ ๆ ได้อีกครั้ง มันย่อมมีราคาที่ทักษิณต้องจ่ายหรือต้องเสี่ยงเช่นกัน

สั้น ๆ 'ทักษิณ' ยังเป็นหมากที่มีคุณค่าสำหรับชนชั้นปกครองไทย ในยุทธศาสตร์ ‘เอาไทยให้รอดจากช้างชนกัน’

ทั้งทหาร ทักษิณ และอนุทินต้องอยู่ด้วยกัน เพื่อสร้างยุทธศาสตร์เอาตัวรอดจากช้างชนกัน

ฝ่ายหนึ่งกุมจุดอ่อนของอีกฝ่ายหนึ่งเอาไว้เพื่อต่อรองและป้องกันการหักหลัง แล้วจึงปล่อยให้เจ้าตัวสนุกกับการเล่นเกมบนเวทีอำนาจอีกครั้งในช่วงบั้นปลายชีวิต ขณะที่อีกฝ่ายซุ่มซ่อนตัวอยู่หลังฉากในฐานะที่เป็นรัฐพันลึก (deep state)

ขณะนี้ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ปี ค.ศ. 2030 หรืออีกหกปีข้างหน้า โลกจะดำดิ่งเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) และสงครามใหญ่ที่เป็นสงครามโลกครั้งที่สาม

อนาคตอันรุ่งโรจน์ของไทยย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถของชนชั้นปกครองไทยในการนำพาบ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยยุทธศาสตร์ ‘เอาไทยให้รอดจากช้างชนกัน’ ที่กำลังดำเนินอยู่ผ่านหมากทหาร หมากทักษิณ และหมากอนุทิน

ตราบใดที่มวลชนไม่ว่าสังกัดค่ายพรรคสีใด ยังมอง ‘การเมืองในโลกแห่งความเป็นจริง’ ด้วยสายตารักหรือชังอยู่ ตราบนั้นพวกเขาก็คงไม่สามารถมองเกมแห่งอำนาจให้ทะลุอย่างมองเห็นหมากทั้งกระดานได้

หากยังทำใจให้มองความเป็นจริงอย่างเยือกเย็นและไร้อารมณ์ไม่ได้ ก็จงเตรียมตัวให้พร้อมด้วยความไม่ประมาท เพื่อเอาตัวรอดให้ได้จากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำยืดเยื้อและสงครามใหญ่ต่อจากนี้เถิด

...เพราะมันมาแน่และเกิดขึ้นแน่

ด้วยความปรารถนาดี

~ สุวินัย ภรณวลัย

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ชม 'อีลอน มัสก์' เป็นคนฉลาด-เก่งมาก แย้ม!! พร้อมทาบทามนั่งที่ปรึกษาหรือคณะรัฐมนตรี

(20 ส.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน ขึ้นเวทีปราศรัยในเมืองยอร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ได้กล่าวกับสำนักข่าวว่า เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการแต่งตั้ง 'อีลอน มัสก์' ซีอีโอของเทสลา ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาหรือคณะรัฐมนตรีหรือไม่นั้น เขาได้กล่าวว่า 'อีลอน มัสก์' เป็นคนที่ฉลาด เขาเคยคุยกันอย่างสนุกสนานเมื่อไม่กี่วันก่อน และถ้าหากเขาตกลงดึง 'อีลอน มัสก์' เข้ามาทำงานในรัฐบาลของเขาอย่างแน่นอน เพราะ 'อีลอน มัสก์' เป็นคนที่เก่งมาก

โดย 'อีลอน มัสก์' ประกาศสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกในการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขณะที่ทางเทสลายังไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ เกี่ยวกับการประกาศสนับสนุนดังกล่าวของอีลอน มัสก์ 

หากทรัมป์ชนะเลือกตั้งเขาอาจยกเลิกกฎของกระทรวงการคลังที่ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ได้รับประโยชน์จากเครดิตภาษี EV มูลค่า 7,500 ดอลลาร์หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 250,000 บาท ได้ง่ายขึ้น หรืออาจเรียกร้องให้สภาคองเกรสยกเลิกทั้งหมดในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยทรัมป์เคยพยายามยกเลิกเครดิตภาษี EV แต่ถูกขยายเพิ่มเติมโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐในปี 2565 ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลา

โดยเขายังได้กล่าวว่า "เขายังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนี้ เขาเป็นแฟนตัวยงของรถยนต์ไฟฟ้า แต่ก็เป็นแฟนตัวยงของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงเหมือนกัน"

มุกดาหาร สรรพสามิตพื้นที่ตรวจยึดสุรา 145 ขวด ยาสูบ 25,940 ซอง รวมมูลค่าประมาณ 1,786,635 บาท ส่งขายออนไลน์

สรรพสามิตพื้นที่มุกดาหาร ตรวจยึดสุรา 145 ขวด และยาสูบ จำนวน 25,940 ซอง รวมมูลค่าประมาณ 1,786,635 บาท ที่บริษัทขนส่งเอกชน สาขามุกดาหาร เขตตำบลบางทรายใหญ่ อ.เมืองมุกดาหาร

วันที่ 20 ส.ค. 67 ภายใต้การอำนวยการสั่งการของ ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต นายพยุง บุญสมสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม นางภาวนา เกียรติชูศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 4 สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่มุกดาหาร โดยนายสันทัด รังคพุทธมานะ สรรพสามิตพื้นที่มุกดาหาร ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่มุกดาหาร ทุกสาขาทุกพื้นที่ ดำเนินการปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดสินค้าตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยเฉพาะสินค้าสุรา ยาสูบ ที่ลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามแนวชายแดน และส่งขายผ่านช่องทางออนไลน์อย่างเข้มงวด กระทั่งวันที่ 19 สิงหาคม 67 นายสันทัด รังคพุทธมานะ สรรพสามิตพื้นที่มุกดาหาร รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการส่งสุรา ยาสูบที่ผิดกฎหมายให้กับผู้สั่งซื้อทางออนไลน์ จากขนส่งเอกชนแห่งหนึ่งในมุกดาหาร จึงบูรณาการสายตรวจปราบปรามสรรพสามิตพื้นที่มุกดาหารทุกสาย เข้าดำเนินการ นำโดย นายยุทธนา หวังกลับ สรรพสามิตพื้นที่สาขาเมืองมุกดาหาร เข้าไปยังบริษัทขนส่งเอกชนสาขามุกดาหารแห่งหนึ่ง โดยแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่พร้อมแจ้งว่ามีผู้จะมีการลักลอบส่งสุรา ยาสูบ ผิดกฎหมาย ณ บริษัทขนส่งเอกชน จึงขออนุญาตตรวจค้น โดยตัวแทนขนส่งเอกชนได้อนุญาตและยินยอมพร้อมนำพาการตรวจจนแล้วเสร็จ ผลการตรวจสอบพบกล่องพัสดุตามที่ได้รับแจ้ง ภายในกล่องพัสดุบรรจุยาสูบชนิดบุหรี่ซิกาแรตและสุราที่มิชอบด้วยกฎหมายยี่ห้อต่างๆ ดังนี้ ยาสูบชนิดบุหรี่ซิกาแรต 1. ยี่ห้อ JN GREEN จำนวน 9,920 ซอง 2. ยี่ห้อ กรองทิพย์ 90 จำนวน 580 ซอง 3. ยี่ห้อ JN RED จำนวน 3,820 ซอง 4. ยี่ห้อ BATOS 8 (สีเขียว) จำนวน 2,070 ซอง 5. ยี่ห้อ BATOS 8 (สีฟ้า) จำนวน 460 ซอง 6. ยี่ห้อ เพ็ด (สีทอง/น้ำตาล) จำนวน 3,420 ซอง 7. ยี่ห้อ เพ็ด (สีแดง) จำนวน 2,130 ซอง 8. ยี่ห้อ LM สีแดง (BLEND OF U.S.A) จำนวน 550 ซอง 9. ยี่ห้อ LM สีเขียว (BLEND OF U.S.A) จำนวน 400 ซอง 10. ยี่ห้อ JN Slim (สีฟ้า) จำนวน 1,400 ซอง 11. ยี่ห้อ MARLBORO สีแดง จำนวน 480 ซอง 12. ยี่ห้อ MARLBORO สีเขียว จำนวน 260 ซอง 13. ยี่ห้อ TEXAS 5 สีเขียว จำนวน 130 ซอง 14. ยี่ห้อ TEXAS 5 สีแดง จำนวน 120 ซอง 15. ยี่ห้อ TEXAS 5 สีฟ้า จำนวน 160 ซอง 16. ยี่ห้อ TEXAS 5 สีทอง จำนวน 40 ซอง
ตรวจพบสุราต่างประเทศมิชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้

1. สุราขาว ขนาดบรรจุ 0.350 ลิตร จำนวน 130 ขวด 2. สุราผสม BLUE WHISKY ขนาดบรรจุ 0.700 ลิตร จำนวน 15 ขวด รวมของกลาง ยาสูบจำนวน 25,940 ซอง และสุราจำนวน 145 ขวด มูลค่าของกลางประมาณ 1,786,635 บาท คิดเป็นค่าภาษียาสูบประมาณ 1,119,839 บาท ค่าภาษีสุราประมาณ 5,061 บาท รวม 1,124,900 บาท เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันตรวจยึดของกลางทั้งหมดไปที่ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่มุกดาหาร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

‘เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ’ พระราชทานดอกไม้ยินดีกับ 3 จอมพลังไทย หลังคว้าเหรียญโอลิมปิกปารีส จนสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติ

เมื่อวานนี้ (19 ส.ค.67) ที่ห้องโถงชั้นล่าง อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ (ตึก 25 ชั้น) การกีฬาแห่งประเทศไทย ถนนรามคำแหง กรุงเทพมหานคร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา โปรดให้ พลเอกศิวะ ภระมรทัต กรมวังผู้ใหญ่ ประจำวังศุโขทัย เป็นผู้แทนพระองค์ พระราชทานดอกไม้ แสดงความยินดีแก่ 3 นักยกน้ำหนักทีมชาติไทย ที่คว้า 2 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดง จากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปารีส 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส 

สร้างความปลื้มปิติ เป็นล้นพ้น แก่ นายธีรพงศ์ ศิลาชัย เหรียญเงิน รุ่น 67 กิโลกรัมชาย นายวีรพล วิชุมา เหรียญเงิน รุ่น 73 กิโลกรัมชาย และ นางสาวสุรจนา คำเบ้า เหรียญทองแดง รุ่น 49 กิโลกรัมหญิง ตลอดจน คณะกรรมการบริหารสมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย เจ้าหน้าที่ และผู้ฝึกสอน ในโอกาสอันเป็นมงคลนี้

ทั้งนี้ ในโอกาสดังกล่าว นายสุรศักดิ์ เกิดจันทึก รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ฝ่ายกีฬาเป็นเลิศ และวิทยาศาสตร์การกีฬา, พลตรีอินทรัตน์ ยอดบางเตย นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย, พลเอกวิสุทธ์ เดชสกุล เลขาธิการสมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย และ คณะกรรมการบริหารสมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมด้วย

28 สิงหาคม พ.ศ. 2480 วันก่อตั้ง ‘โตโยต้า’ ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น สู่ก้าวสำคัญแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ที่ทั่วโลกต่างรู้จัก

แบรนด์รถยนต์อันดับต้น ๆ ที่ครองใจคนไทยและทั่วโลกปฏิเสธไม่ได้เลยว่าย่อมมีชื่อของ ‘โตโยต้า’ (Toyota) อยู่ด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกคนทราบหรือไม่ว่า วันนี้เมื่อ 87 ปีก่อน หรือวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2480 คือวันก่อตั้ง ‘โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน’ บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์โตโยต้าขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งได้รับการก่อตั้งโดย ‘คิอิจิโร โทโยดะ’

โตโยต้า มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองโทโยตะ จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2557 โดยมีพนักงานในเครือบริษัททั่วโลกรวมแล้วกว่า 338,875 คน และในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2557 ได้รับการจัดอันดับเป็น 1 ใน 12 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกวัดตามรายได้ และตั้งแต่ปีพ.ศ. 2557 เป็นต้นมา โตโยต้ายังเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (วัดตามจำนวนคันผลิต) แซงหน้า ‘โฟล์กสวาเกน กรุ๊ป’ และ ‘เจเนรัลมอเตอร์’ ซึ่งในปีนั้นโตโยต้ารายงานว่าได้ผลิตรถยนต์คันที่ 200 ล้าน นับแต่ก่อตั้งบริษัท 

นอกจากนี้ โตโยต้ายังเป็นบริษัทแรกของโลกที่มีกำลังการผลิตรถยนต์เกิน 10 ล้านคันต่อปี และยังเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดทุนญี่ปุ่นที่ใหญ่และมีรายได้มากที่สุดของญี่ปุ่น ห่างจากอันดับสองคือ SoftBank กว่าสามเท่าตัว

อย่างไรก็ตาม โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน เป็นการแตกบริษัทออกมาจาก ‘โตโยต้า อินดรัสทรีส์’ ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย ‘ซากิจิ โทโยดะ’ ซึ่ง 3 ปีก่อนหน้าในปีพ.ศ. 2477 ในช่วงที่ยังเป็นแผนกหนึ่งในโตโยต้า อินดรัสทรีส์ โตโยต้าก็ได้ผลิตสินค้าอย่างแรกเป็นของตนเองคือ เครื่องยนต์ Type A และในปีพ.ศ. 2479 ก็ได้ทำการผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลคันแรกคือ Toyota AA ในปัจจุบัน โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ผลิตรถยนต์ภายใต้ 5 เครื่องหมายการค้า อันประกอบด้วย Toyota, Hino, Lexus, Ranz และ Scion และยังถือหุ้น 51.2% ในไดฮัทสุ, ถือหุ้น 16.66% ในฟุจิเฮวี่อินดรัสทรีส์, ถือหุ้น 5.9% ในอีซูซุ และ ถือหุ้น 0.27% ในเทสลา

รวมทั้งยังดำเนินกิจการร่วมค้าผลิตรถยนต์กับอีกสองบริษัทในจีน (GAC Toyota และ Sichuan FAW Toyota Motor), กับหนึ่งบริษัทในอินเดีย (Toyota Kirloskar), กับหนึ่งบริษัทในสาธารณรัฐเช็ค (TPCA) และบริษัทผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่อื่น ๆ อีกมากมาย

‘ธรรมนัส’ ประกาศอิสรภาพ หลุดพ้น ‘บิ๊กป้อม-พปชร.’ เอ่ยชัด “ผมว่า…ผมพอแล้ว” หลังถวายหัวรับใช้มา 6 ปี

หลัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกมาเปิดเผยโผรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ โดยไม่มีชื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ โดยให้เหตุผลสั้น ๆ ว่า พรรคร่วมเขาไม่เอา ซึ่งพรรคร่วมน่าจะหมายถึงพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล ที่ไม่ต้องการให้มลทินทั้งหลายไปกระทบต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของแพทองธาร เหมือน ‘เศรษฐา ทวีสิน’ โดนมาแล้ว กรณีไร้จริยธรรม แต่งตั้ง ‘พิชิต ชื่นบาน’ เป็นรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่มีมลทิน

แต่ที่น่าสนใจ มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้าว่า รัฐบาลใหม่ไม่เอา ‘วงษ์สุวรรณ’ ซึ่งหมายถึงไม่เอา ‘พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ’ นั้น แต่ในโผรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ กลับมีชื่อ พล.ต.อ.พัชรวาท นั่งเก้าอี้เดิม แต่เตะโด่ง ‘ร.อ.ธรรมนัส’ ออกนอกสนามแข่ง มี ‘สันติ’ มานั่งว่าการกระทรวงเกษตรแทน และให้ ‘ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์’ เสียบแทนสันติในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข

ไม่เอา ‘วงษ์สุวรรณ’ อันเกิดจากความไม่พอใจของหัวเรือใหญ่เพื่อไทย ไม่พอใจต่อท่าทีที่เมินเฉยต่อพรรคเพื่อไทยของ ‘พล.อ.ประวิตร’ ที่ไม่เข้าร่วมประชุมสภาโหวตให้แพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ออกแรงห้าม 40 สว.ที่ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความฐานะของนายกฯ เศรษฐา ผิดจริยธรรมทางการเมือง จนต้องพ้นจากตำแหน่ง

เกือบ 6 ปีที่ประชาชนได้รู้จักชื่อของ ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’ ในฐานะนักการเมืองที่สร้างแรงสะเทือนอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่เขาให้สัมภาษณ์หรือปรากฏตัว มักมีสัญญาณทางการเมืองที่สำคัญ เคยถูก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ปลดพ้นรัฐมนตรีมาแล้ว หลังร่วมกันวางแผนล้ม พล.อ.ประยุทธ์กลางสภา และเคยออกจากพรรคพลังประชารัฐ ไปตั้งพรรคใหม่ ‘เศรษฐกิจไทย’ แต่สุดท้ายก็กลับมาพลังประชารัฐอีกครั้งและรับบทเป็นแม่บ้านเลขาธิการพรรค

“จากประสบการณ์ 6 ปีที่ผ่านมา ผมเองรับใช้บุคคลหนึ่งและพรรคหนึ่งมามากพอสมควรแล้ว จึงถึงเวลาที่ต้องเดินออกมาโดยไม่ทะเลาะกับใคร วันนี้ถึงเวลาที่ต้องประกาศความเป็นอิสรภาพของตัวเองแล้ว” 

พร้อมกล่าวด้วยว่า “พี่น้องคงเห็นแล้วว่าสมัยรัฐบาลที่แล้ว ผมก็รักคนคนหนึ่งมาก ใช้ผมไปตาย ผมยังไปตายเลย แล้วท้ายที่สุดผมก็ประสบอุบัติเหตุทางการเมือง ผมว่าผมพอแล้ว และการที่ พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ก็ไม่ได้ถามผมและไม่ได้คุยอะไรกัน”

คำพูดเหล่านี้ไม่ต้องแปล เข้าใจกันได้ง่าย ๆ ‘แตกหักกันแล้ว’ แต่ ร.อ.ธรรมนัสก็ยังไปไหนไม่ได้ จะย้ายพรรคก็ยังไม่ได้ เพราะถ้าลาออกเองก็จะพ้นจากความเป็น สส. ก็ต้องอยู่เป็นก้างขวางคอไปเรื่อย ๆ จนกว่า พรรคเขาหมั่นไส้ ไม่ออกเอง แล้วไปหาพรรคใหม่

พรรคใหม่ก็ไม่ต้องไปควานหา หรือดิ้นรนอะไรมาก ‘พรรคกล้าธรรม’ ที่ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ไปตั้งพรรครอไว้เรียบร้อยแล้ว

ก็ต้องติดตามกันต่อไปสำหรับก้าวย่างของชายผู้กล้าได้กล้าเสียคนนี้ในนาม ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’

‘การรถไฟไทย-มาเลฯ’ เห็นชอบเปิดเดินรถ ‘กรุงเทพอภิวัฒน์-บัตเตอร์เวอร์ธ’ เชื่อมต่อการเดินทาง-กระตุ้นท่องเที่ยว-เศรษฐกิจ ระหว่าง 2 ประเทศ

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 13-16 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา นายอวิรุทธ์ ทองเนตร รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนการรถไฟฯ เดินทางเข้าประชุมร่วมระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟมาเลเซีย ครั้งที่ 42 (42nd KTMB - SRT Joint Conference) ณ เมืองโคตา คินาบาลู รัฐซาบาห์ สหพันธรัฐมาเลเซีย เพื่อขยายความร่วมมือการให้บริการเดินรถเชื่อมต่อระหว่างไทย-มาเลเซีย อำนวยความสะดวกการเดินทางแก่ประชาชน การขนส่งสินค้าของทั้งสองประเทศแบบไร้รอยต่อ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยวตามนโยบายของ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐบาล

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การเดินทางไปร่วมประชุมฯ ของนายอวิรุทธ์ ทองเนตร รองผู้ว่าการการรถไฟฯ และคณะผู้แทนการรถไฟฯ กับการรถไฟมาเลเซียครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความร่วมมือการให้บริการขนส่งทางรางของทั้ง 2 ประเทศร่วมกันในทุกมิติ ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบหลักการจัดเดินขบวนรถจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์-ปาดังเบซาร์-บัตเตอร์เวอร์ธ รัฐปีนัง สหพันธรัฐมาเลเซีย เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางของชาวไทยและชาวมาเลเซียให้ไปมาหาสู่กันแบบไร้รอยต่อ ซึ่งเป็นการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบให้มีการขยายเส้นทางขบวนรถไฟท่องเที่ยว MySawasdee จากมาเลเซียมาไทย จากเดิมเปิดให้บริการถึงสถานีชุมทางหาดใหญ่ ให้ขยายมาถึงสถานีสุราษฎร์ธานี หลังขบวนรถท่องเที่ยว MySawasdee ได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยม มีจำนวนผู้โดยสารเต็มทุกเที่ยว การขยายเส้นทางรถไฟท่องเที่ยวนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว และนำรายได้เข้าสู่ประเทศเพิ่มขึ้น โดยหลังจากนี้ทั้ง 2 หน่วยงานจะมีการตกลงรายละเอียด และระยะเวลาที่เหมาะสมต่อไป

ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ประชุมฯ เห็นชอบในหลักการแล้ว จะได้มีการตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อพิจารณาการเปิดให้บริการขบวนรถไฟเส้นทางต่อขยายจากสถานีกลางกรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ ไปยังสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ โดยในช่วงแรกจะเป็นการทดลองการเดินรถเป็นระยะเวลา 6 เดือน  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top