Saturday, 14 December 2024
TheStatesTime

หมอสันต์ ใจยอดศิลป์ ย้ำอย่าตื่น ถอนงานวิจัยฟ้าทะลายโจร ระบุเป็นการถอนต้นฉบับ เพื่อแก้ไขตัวเลขที่คำนวณผิดพลาดเท่านั้น ไม่ได้มีข้อสรุปเลยว่าใช้รักษาโควิดไม่ได้ผล ชี้ขนาดยาฟาวิพิราเวียร์ที่ใช้รักษาโควิดก็ยังมีข้อมูลวิจัยน้อยมาก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ศัลยแพทย์หัวใจและผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ครอบครัว โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 8 ส.ค. 64 โดยระบุ "เมื่อวานนี้ผมเล่าเรื่องคณะผู้วิจัยชาวไทย ที่ทำวิจัยฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดได้ขอถอนต้นฉบับของตัวเองกลับออกมาจากเว็บไซต์งานวิจัยรอตีพิมพ์ (medRxiv) เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในการคำนวณเชิงสถิติในประเด็นการคิดค่านัยสำคัญทางสถิติ (p-value) คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ตัดเอาบทความของผมครึ่งบรรทัดไปโพนทะนาผ่านทางหนังสือพิมพ์และสื่อต่าง ๆ ว่าฟ้าทะลายโจรใช้รักษาโควิดไม่ได้ผลเสียแล้วควรต้องเลิกใช้...ไปโน่นเลย ผู้คนก็พากันกระต๊าก กระต๊ากต่อ ๆ กันไป ซึ่งเป็นการตัดบทความของผมเอาไปแค่บรรทัดเดียวแล้วเอาไปกระเดียดที่ได้ผลแบบอะเมซซิ่งทิงนองนอยมากส์

ตัวผมเองไม่ถือสานะครับ เพราะเรื่องก็ดี ชื่อก็ดี ภาพของผมก็ดี มักมีคนชอบเอาไปทำยำใหญ่ใส่สาระพัดเป็นประจำอยู่แล้ว เอาไปขายยาสีฟันก็ยังเคยมีเลย หิ หิ ครั้งนี้ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่กลับมองเห็นเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ผู้คนได้หันมาสนใจและพยายามทำความเข้าใจงานวิจัยทางการแพทย์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จะได้ไม่ถูกคนกระเดียดข้อมูลให้ตื่นตกใจได้ง่าย ๆ

ขอย้อนไปเริ่มต้นที่สนามหลวงก่อนนะ

เมื่อมีโรคโควิด-19 มา ได้มีการทำวิจัยในห้องทดลองที่ไต้หวันและในเมืองไทย แล้วสรุปผลได้ตรงกันว่าฟ้าทะลายโจรระงับยับยั้งเชื้อไวรัสซาร์สโค วี2 ซึ่งเป็นเชื้อต้นเหตุของโรคโควิด-19 ทั้งนอกเซลและในเซลได้ [1,2]

ต่อมาก็ได้มีการทดลองใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ในคนกลุ่มเล็ก (case series) จำนวน 6 คน ซึ่งสรุปผลได้ว่าฟ้าทะลายโจรในขนาดที่ใช้ (180 มก. ของแอนโดรกราฟโฟไลด์ต่อวัน นาน 5 วัน) สัมพันธ์กับการที่ไวรัสลดจำนวนลงและหมดไปจากตัว (viral shedding) ได้ โดยที่ไม่มีผลข้างเคียงที่มีนัยสำคัญ งานวิจัยนี้ไม่ได้ตีพิมพ์ แต่นำเสนอในที่ประชุมวิชาการโดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

ต่อมาพัฒนาการทางวิชาการในเรื่องนี้ก็แยกกันทำไปสองทาง ทางหนึ่งคือได้มีการทำวิจัยแบบย้อนหลังตามดู (retrospective cohort study) กลุ่มคนไข้โควิด-19 ที่ได้รับการรักษาต่างกันสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งใช้ฟ้าทลายโจร 309 คน อีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้ใช้ฟ้าทลายโจร 526 คน แล้วพบว่ากลุ่มที่ได้ฟ้าทลายโจรเป็นปอดบวม 3 คน (0.9%) กลุ่มที่ไม่ได้ฟ้าทลายโจรเป็นปอดบวม 77 คน (14.64%) ซึ่งเป็นความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.001) งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในรูปของรายงานสรุป (short communication) ในวารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

อีกด้านหนึ่งก็มีการทำวิจัยการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด-19 ในรูปของการวิจัยแบบสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) ซึ่งถือว่าเป็นระดับหลักฐานชั้นสูงสุดของการวิจัยทางการแพทย์ รายละเอียดของงานวิจัยมีอยู่ว่าผู้วิจัยได้ใช้ผู้ป่วย 57 คน สุ่มตัวอย่างแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่ง 29 คน ให้กินฟ้าทะลายโจรซึ่งมีเนื้อยาแอนโดรกราฟโฟไลด์ 180 มก.ต่อวัน กินนาน 5 วัน อีกกลุ่มหนึ่ง 28 คน ให้กินยาหลอก โดยใช้การเกิดปอดอักเสบ (pneumonia) เป็นตัวชี้วัด

พบว่ากลุ่มที่กินยาหลอกเกิดปอดอักเสบ 3 คน (10.7%) ขณะที่กลุ่มที่กินฟ้าทะลายโจรไม่เกิดปอดอักเสบเลย (0 คน) เป็นความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.039) ซึ่งคณะผู้วิจัยได้ส่งผลไปตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ โดยเผยแพร่นิพนธ์ต้นฉบับล่วงหน้าในเว็บไซท์งานวิจัยรอการตีพิมพ์ (medRxiv) [5] แต่ต่อมาคณะผู้วิจัยพบความผิดพลาดในการคำนวณค่า p-value ว่าที่คำนวณได้ p = 0.039 นั้นผิดไป ที่ถูกต้องเป็น p = 0.1 จึงได้ขอถอนนิพนธ์ต้นฉบับกลับมาแก้ไขความผิดพลาดดังกล่าว

ผมได้เล่าเรื่องการขอถอนต้นฉบับกลับมาแก้ไขให้แฟนบล็อกฟัง และแจ้งเปลี่ยนข้อสรุปของผมเองที่เคยพูดว่าหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนให้ใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 มีมากพอแล้วนั้น ผมต้องขอแก้ไขคำพูดใหม่ เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนให้ใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ในคนยังมีไม่มากพอ (เพราะยังขาดงานวิจัยระดับ RCT) จึงต้องทำวิจัยซ้ำโดยการขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้น

เพราะการที่กลุ่มตัวอย่างเล็กได้ค่า p มากกว่า 0.05 ก็บอกได้แค่ว่ายังบอกไม่ได้ว่าความแตกต่างในผลการรักษา (คือการเกิดปอดบวม) ในทั้งสองกลุ่มมันต่างกันจริงหรือไม่ การจะรู้ได้ก็ต้องมีกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่กว่านี้

ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรสักแอะเดียวที่จะบ่งชี้ว่าการใช้ฟ้าทลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ไม่ได้ผล ฟังให้ดีนะ “ยังไม่มั่นใจว่ามันได้ผลจริงหรือเปล่า” ไม่เหมือนกับ “ใช้แล้วไม่ได้ผล”

ซึ่งยาคู่แข่งกันที่ใช้ในเมืองไทยอีกตัวคือ Favipiravir ก็มีข้อมูลน้อยประมาณเดียวกัน คือทุกอย่างติดอยู่ที่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือนับถึงวันนี้การใช้ Favipiravir แล้วจะทำให้ไวรัสโควิด-19 หายไปจากตัวเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ..รึก็เปล่า จะทำให้ใช้ออกซิเจนน้อยลง..รึก็เปล่า จะทำให้ต้องเข้าไอซียู.น้อยลง..รึก็เปล่า และที่สำคัญจะทำให้คนป่วยตายน้อยลง..รึก็เปล่า

แต่ฟ้าทะลายโจรมันมีความพิเศษกว่า Favipiravir ตรงที่แค่ทำวิจัยซ้ำขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้นอีกนิดเดียว ก็จะเห็นดำเห็นแดงแล้วว่าได้ผลหรือไม่ได้ผลต่างจากยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ เท่าที่ผู้รู้ทางสถิติคำนวณให้คร่าว ๆ หากพิจารณาจากอัตราการเป็นปอดบวมของผู้ใช้และผู้ไม่ใช้ฟ้าทะลายโจรในงานวิจัย retrospective cohort ที่ได้รายงานไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แค่ขยายกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัย RCT ไปให้ได้กลุ่มละ 40 คน คือขยายอีกกลุ่มละ 10 คน ก็จะเห็นดำเห็นแดงกันแล้ว

อีกทั้งฟ้าทะลายโจรเป็นพืชสามัญในท้องถิ่น หาง่ายกว่า ราคาถูกกว่า มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติมากกว่าไปซื้อยาเขามาทั้ง ๆ ที่ผลการรักษาก็แปะเอี้ย ในแง่การค้าขายระดับนานาชาติ หากจะขายฟ้าทะลายโจร ก็ต้องมีงานวิจัยระดับ RCT สนับสนุน ตัวหมอสันต์จึงลุ้นตัวโก่งให้ทำงานวิจัยนี้ต่อให้เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำโดยยินดีช่วยทุกอย่างเท่าที่หมอแก่คนหนึ่งจะช่วยได้"


ที่มา : https://drsant.com/2021/08/อย่าเพิ่งกระต๊ากตามเขา.html?


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'นายกสมาคมสื่อ' จับมือ 'ภาครัฐ เอกชน' มอบอุปกรณ์เฝ้าระวังโควิด ให้ จนท.ด่านหน้าภาคใต้ - โควิดยังอ้วม PPE ขาดแคลน  

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย  นายอะหมัด รามันห์สิริวงศ์ ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ประจำจังหวัดยะลา นายอับดุลฮาดี เจะยอ ข่าวสดยะลา นายนิแอ สามะอาลี นักประชาสัมพันธ์ สำนักประชาสัมพันธ์จังหวัดยะลา น.ส.เลขา เกลี้ยงเกลา สำนักข่าวอิศรา กลุ่มร่วมด้วยช่วยกันชายแดนใต้ ลงพื้นที่ มอบ อุปกรณ์เฝ้าระวังโควิด-19  และ ขนมเด็ก กล่องโควิด แคร์ ถุงยังชีพ ให้ เจ้าหน้าที่ ด่านหน้า รพ.สต. อสม. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่ ต.ลูโบ๊ะยือไร อ.มายอ ต.วัด อ.ยะรัง จ.ปัตตานี , ต.ยะหา จ.ยะลา , ต.สะบ้ายอย จ.สงขลา โดยมี ผู้นำในพื้นที่ จ.ยะลา จ.สงขลา และ นายซุลกิฟลี สาหะ ผอ.รพ.สต.วัด อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พร้อมด้วยทีมอสม.ต.วัด และนายหมาด โต๊ะปะ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 3 ต.วัด รับมอบ

กิจกรรมในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก นายแพทย์ฆนัท ครุธกูล นายกสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ นายเฉลิมชัย ครุอำโพธิ์ เจ้าของธุรกิจโรงโม่หิน บริษัท เขาบันไดนางศิลา จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.ท่าช้าง อ.บางกล่ำ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ. กองบัญชาการกองทัพไทย ,หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา โดย นพค.42 สนภ.4 นทพ.  พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต.นพ.ชัยวัฒน์ เตชะไพทูรย์  บรรณาธิการบริหารเนชั่นทีวี สำนักข่าวอิศรา ข่าวสดยะลา นักประชาสัมพันธิ์ จ.ยะลา คุณปัตมา บาเหม

ในส่วนของกลุ่มร่วมด้วยช่วยกันชายแดนใต้ ซึ่งเป็นองค์กรร่วม ระหว่างสื่อ ข้าราชการ ครู ทหาร ตำรวจ ในพื้นที่ ร่วมทำกิจกรรมดีๆ ช่วยเหลือชาวบ้าน แยกได้ดังนี้  1.ร้องเรียน ด้านพฤติกรรม เจ้าหน้าที่รัฐ และบุคคลากรอาสาสมัครของรัฐ จำนวน 3,953 ราย  2.ร้องขอความช่วยเหลือ  ปรับปรุง อาหาร การบริหารจัดการ  ในศูนย์ LQ  , HQ และ SQ  จำนวน 4506 ราย 3.ร้องขอเครื่องมืออุปกรณ์การเฝ้าระวังและป้องกันโควิด และ รถยนต์เพื่อเข้าระบบการรักษา 3,956 ราย 4.ร้องขอความช่วยเหลือ ให้ปลอบผู้สูงอายุ และเด็ก กินยา ป้องกันตัวเอง จูงใจให้เกิดการรักษา และฉีดวัคซีน จำนวน 3,437 ราย 5.ร้องขอความช่วยเหลือด้าน ยาสามัญประจำบ้าน อาหารแห้ง จำนวน 6,897 ราย

รวมทั้งหมด มีร้องเรียน และ มี ผู้เดือดร้อน  ในด้านต่างๆ จำนวน 22,749 ครอบครัว ทีมได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ และ ให้ความช่วยเหลือไปแล้ว จาก วันที่ 7 มี.ค.64 ถึงวันที่ 10 พ.ย.64  ในจำนวนนี้ ยังไม่รวม เคสที่ร้องเรียนและ อยู่ระหว่าง ตรวจสอบก่อนให้ความช่วยเหลือ อีก  767 ราย นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย กล่าวว่า พวกเราเป็นเหมือนตัวกลาง ที่นำสิ่งของทั้งหมด เพื่อเฝ้าระวังโควิด-19 และ ขนมเด็ก ที่นำมามอบให้เจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ใน สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอาศัยผู้ ที่จิตกุศล บริจาค โดยอาศัย กลุ่มร่วมด้วยช่วยกันชายแดนใต้ ซึ่งเป็นการ รวมตัว ของ สื่อมวลชน หลายเขนง และจากหลากหลายอาชีพ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ รวมตัวทำกิจกรรมดีๆช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ที่เข้าใจพื้นที่ รู้ปัญหา ก็ได้นำสิ่งของที่ได้รับ บริจาค จากผู้ที่มีจิตศรัทธา มามอบให้ เจ้าหน้าที่ องค์กร ภาคประชาชนต่าง จะได้นำไปใช้ เพื่อเฝ้าระวังการติดเชื้อโควิด-19  

สิ่งที่เรากังวล ตอนนี้ คือการติดเชื้อในครัวเรือที่ยังมีข้อข้างสูง โดยเฉพาะวันนี้ ในพื้นที่ตรงนี้ หลายหมู่บ้านหลายอำภอหลายตำบล ที่ถือว่า ยังมีผู้ติดเชื้อ ข้องข้างสูง หวังว่า สิ่งของเล็กๆน้อยๆ ที่ได้รับจากผู้บริจาคมา เราเป็นสื่อกลาง กลไกเล็กที่น่าจะมีส่วนในการลดการระบาดของโควิด-19 อย่างเป็นลำดับ จนที่น่าพอใจ

‘ไทยภักดี’ ซัดก๊วนปลุกยกเลิกเลขไทย ที่แท้กลุ่มเดียวกับรื้อมาตรา 112

(30 พ.ค.65) นายปฏิยุทธ ทองประจง กรรมการบริหารพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า... 

แค่ผมโพสต์ว่า ตอนเด็กผมโคตรภูมิใจมาก เมื่อเขียนเลขไทยได้ แต่ก็แปลกใจที่มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาบูลลี่ผม

แคปโพสต์บางโพสต์ที่ผมโพสต์ มีเลขอารบิก คือ นโยบายไทยภักดี ลดค่าครองชีพประชาชน ผลิตปุ๋ยยูเรีย 750 บาท ไฟฟ้าชุมชน 2.50บาท ก๊าซหุงต้มกิโลกรัมละ 7 บาท อินเทอร์เน็ตเดือนละ 49 บาท เอามาเป็นประเด็นบูลลี่ผม

เอาจริง ๆ นะครับ เราเกิดเป็นคนไทย เราก็รักอะไรที่เป็นไทย เลขไทย ภาษาไทย ใครๆ ก็รัก ส่วนเลขอารบิก อะไรที่ไม่เป็นทางการเราก็นำมาใช้สลับกับเลขไทยเป็นปกติ

เอาประเด็นยกเลิกเลขไทย ยกเลิกภาษาไทย มาเป็นประเด็นเพื่อสร้างความแตกแยก และเปลี่ยนแปลงการปกครอง คนไทยรู้ทัน อย่าคิดทำครับ

ยกเลิก มาตรา ๑ กฎหมายรัฐธรรมนูญ ยกเลิก ม.๑๑๒ ยกเลิกผู้ว่าฯ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ล้วนแล้วเป็น กลุ่มคนกลุ่มเดียวกันครับ


ที่มา: https://www.thaipost.net/x-cite-news/151448/?fbclid=IwAR0M1oih2sNaPPL6DW7BcWY_WF-1DvCYFQkeejhe7-7K3wMaHdE7iddYn78

รัฐบาลประยุทธ์ 'อนุมัติค่าตอบแทน-เสี่ยงภัยโควิด' ย้อนหลัง

ครม.อนุมัติวงเงิน 2,100 ล้านบาท เป็นค่าตอบแทน อสม. และ อสส. จำนวน 1.05 ล้านคน  ระยะเวลา 4  เดือน ตั้งแต่ มิ.ย. - ก.ย. 65 รวม 2,000 บาท/คน

คณะรัฐมนตรี อนุมัติงบกลาง วงเงิน 2,100.61 ล้านบาท สำหรับโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัย สําหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชน  

ประกอบด้วย อสม. จำนวน 1,039,729  คน และ อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) จำนวน 10,577 คน รวมทั้งสิ้น 1,050,306 คน ในอัตรา 500 บาท/คน/เดือน ระยะเวลา 4 เดือน  ตั้งแต่เดือน มิถุนายน - กันยายน 2565 รวมเป็น 2,000 บาท/คน

ทูตจีนประจำสหรัฐฯ ขอบคุณ 'อีลอน มัสก์' หลังแนะ ‘ไต้หวัน’ ยอมเป็นเขตปกครองพิเศษของจีน

เอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐฯ กล่าวขอบคุณ ‘อีลอน มัสก์’ มหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของโลก ที่อุตส่าห์แนะนำให้ไต้หวันยอมเป็นเขตปกครองพิเศษของจีนเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม ขณะที่ผู้แทนไทเปประจำวอชิงตันโต้เดือด ‘เสรีภาพและประชาธิปไตยซื้อขายกันไม่ได้’

เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว มัสก์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง ‘เทสลา’ และ ‘สเปซเอ็กซ์’ ได้ออกมาเสนอแผนสันติภาพ ‘รัสเซีย-ยูเครน’ และเปิดโพลให้ชาวทวิตเตอร์โหวตจนโดนทัวร์ลงยับ ทว่าผ่านมาไม่กี่วันเขาก็เรียกแขกอีกครั้ง ด้วยการให้สัมภาษณ์กับสื่อไฟแนนเชียลไทม์สว่า ไต้หวันควรยอมสละอำนาจปกครองดินแดนบางส่วนให้ปักกิ่งเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม

“สิ่งที่ผมแนะนำก็คือ... ลองคิดหาวิธีจัดตั้งเขตปกครองพิเศษ (special administrative zone) สำหรับไต้หวันที่พอจะยอมรับได้ แม้จะไม่ทำให้ทุกฝ่ายแฮปปี้ก็ตาม” มัสก์ กล่าว

ข้อเสนอของ มัสก์ ดูจะเป็นที่ถูกอกถูกใจจีนอย่างมาก โดย ฉิน กัง เอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐฯ ได้ออกมาทวีต “ขอบคุณ” มัสก์ เมื่อวันเสาร์ (8 ต.ค.) ที่ช่วยเสนอทางออกสำหรับความขัดแย้ง และเอ่ยย้ำข้อเรียกร้องของปักกิ่งที่ต้องการ ‘รวมชาติกับไต้หวันโดยสันติ’ ภายใต้การปกครอง ‘หนึ่งประเทศ-สองระบบ’

“ผมขอขอบคุณ @elonmusk ที่ออกมาเรียกร้องสันติภาพในช่องแคบไต้หวัน และเสนอแนวคิดในการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษของจีนขึ้นในไต้หวัน” ฉิน ระบุ

“อันที่จริงแล้ว การรวมชาติอย่างสันติและการปกครองแบบหนึ่งประเทศ-สองระบบ คือหลักการขั้นพื้นฐานของเราในการแก้ไขปัญหาไต้หวันอยู่แล้ว และเป็นแนวทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้การรวมชาติเป็นจริงได้”

“เมื่ออธิปไตย ความมั่นคง และผลประโยชน์ด้านการพัฒนาของจีนถูกรับรอง ไต้หวันภายหลังการรวมชาติจะได้รับสิทธิปกครองตนเองขั้นสูงในฐานะเขตปกครองพิเศษ และมีพื้นที่สำหรับการพัฒนาอย่างกว้างขวางด้วยเช่นกัน”

พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมคณะร่วมพิธีเปิดโครงการฝึกเอาชีวิตรอดและการบริหารเหตุการณ์วิกฤต กรณีมือปืนยิงกราดสำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

วันนี้(อาทิตย์ที่ 13 พ.ย.65)เวลา 09.30 น. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว รอง ผบช.น., พ.ต.อ.อภิสัณห์ หว้าจีน รอง ผบก.อก.บช.น., พ.ต.อ.ปราโมทย์ จันทร์บุญแก้ว ผกก.ฝอ.5 บก.อก.บช.น., นายจำนงค์ ผลลำไย ประธานชมรมครูฝึก รปภ.ไทย พร้อมผู้แทนสมาคมรักษาความปลอดภัยและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมพิธีเปิดโครงการฝึกเอาชีวิตรอดและการบริหารเหตุการณ์วิกฤต กรณีมือปืนยิงกราดสำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ณ ศูนย์ฝึกอบรมกลาง ศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม


 สำหรับโครงการดังกล่าว ได้ดำเนินการตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติในเรื่องของการสร้างความรู้และการรับมือกับเหตุการณ์วิกฤต กรณีมือปืนยิงกราด เนื่องในปัจจุบันมีการก่อเหตุอาชญากรรมในลักษณะดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เหตุกราดยิงที่จังหวัดนครราชสีมา เหตุกราดยิงที่จังหวัดหนองบัวลำภู พนักงานรักษาความปลอดภัยรับอนุญาตจึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้เบื้องต้นในการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งวิทยากรหลักสูตรการรักษาความปลอดภัย ตามพระราชบัญญัติธุรกิจรักษาความปลอดภัยพ.ศ.๒๕๕๘ เป็นผู้ที่มีความสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ การสร้างแนวความคิด ทักษะ และวิธีการปฏิบัติงานด้านการรักษาความปลอดภัยจึงสมควรที่จะมีการอบรมให้ความรู้และกำหนดมาตรฐานการสอนของวิทยากรสถานฝึกอบรมหลักสูตรการรักษาความปลอดภัย เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานธุรกิจและเสริมสร้างศักยภาพของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรับอนุญาตให้มีคุณลักษณะตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรการรักษาความปลอดภัย ซึ่งจะนำไปพัฒนาองค์กรหรือหน่วยงานรักษาความปลอดภัยอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

‘บิ๊กตู่’ เปิดประชุมวิชาการเอเปค ที่จุฬาฯ ชู ‘ภาคการศึกษา’ พื้นฐานขับเคลื่อน ศก. – สังคม

เริ่มทางการแล้วประชุมวิชาการเอเปค ‘บิ๊กตู่’ ร่ายยาว เปิดงาน APEC University Leaders ย้ำความร่วมมือระหว่างกันเป็นหัวใจสำคัญในการนำพาประเทศให้ก้าวผ่านวิกฤตไปได้ ขอคนไทยโชว์รัก สามัคคี พร้อมต้อนรับด้วยยิ้มแห่งสยาม 

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 16 พ.ย. ที่อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมเป็นประธานกล่าวเปิดงาน APEC University Leaders’ Forum: “Preventing the Next Pandemic (AULF) ภายใต้หัวข้อการเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดครั้งต่อไป โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า 

ยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมทางวิชาการ APEC University Leaders Forum 2022 ในวันนี้ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างสมาคมมหาวิทยาลัยภาคพื้นแปซิฟิกกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งสอดรับกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจภายใต้ APEC โดยเป็นโอกาสให้เครือข่ายการศึกษาทั่วโลกได้พัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในระดับนานาชาติ และเป็นเวทีในการแบ่งปันประสบการณ์ในมิติต่าง ๆ รวมถึงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆที่ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่และอาจต้องเผชิญอีกในอนาคตโดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนนั้น เป็นพื้นฐานสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างภูมิคุ้มกันจากความท้าทายดังกล่าว อีกทั้งเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการฟื้นฟูและเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมั่นคงและยั่งยืน ได้ต่อไป

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเป็นเจ้าภาพ APEC ของไทยในปีนี้ เรามุ่งผลักดันการสร้างความร่วมมือภายใต้แนวคิด 'Open. Connect. Balance.' เพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกในยุคหลังโควิด - 19 โดยในส่วนของเรื่อง Open เน้นการผลักดันให้เอเปคนำเรื่องเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิกมาหารือใหม่ เพื่อให้เอเปคสามารถรับมือกับความท้าทายและใช้โอกาสจากบริบทโลกแบบใหม่ อาทิ เศรษฐกิจดิจิทัล การค้ากับโรคระบาด และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

ในส่วนของ Connect ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูความเชื่อมโยงของภูมิภาคในทุกมิติ ทั้งการเดินทางข้ามพรมแดนอย่างสะดวกปลอดภัย และความเชื่อมโยงทางดิจิทัล เพื่อให้เอเปคมีแนวทางการรับมือกับวิกฤตโรคระบาดในอนาคต โดยยังสามารถรักษาการเดินทางและกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากที่สุด และสุดท้าย Balance เน้นการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สมดุล ยั่งยืน และครอบคลุม โดยส่งเสริมโมเดลธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจ BCG ที่สร้างผลกำไรควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม และชับเคลื่อนเศรษฐกิจไปพร้อมกันทั้งสังคม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งผลลัพธ์สำคัญของการเป็นเจ้าภาพเอเปคในครั้งนี้ คือ ไทยจะเสนอให้ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค รับรองเอกสารเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG เพื่อนำแนวคิดเศรษฐกิจ BCG ของไทยมาเร่งกระบวนการทำงานในเอเปค และวางบรรทัดฐานใหม่ให้เอเปคมุ่งเน้นการสร้างเสริมการค้าการลงทุนควบคู่ไปกับการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับการประชุมในครั้งนี้ที่นอกจากจะให้ความสำคัญกับด้านเศรษฐกิจแล้ว ยังมุ่งขยายความสำคัญไปถึงการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัยเพื่อยกระดับองค์ความรู้ใหม่ในการพัฒนาสังคมและสร้างความปลอดภัยในชีวิตให้แก่ประชาชนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ตนเชื่อว่าขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ ผู้วางนโยบาย และผู้นำธุรกิจจะได้มาร่วมมือกันสร้างสรรค์นโยบาย ออกแบบทิศทางและแผนการบริหารประเทศที่สอดรับกับวิถีความปกติใหม่ของโลก โดยเฉพาะความปลอดภัยด้านสาธารณสุข ที่แม้ว่าเราจะก้าวผ่านการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 มาแล้ว แต่องค์ความรู้ด้านการแพทย์และสาธารณสุขยังต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ความจำเป็นเร่งด่วนของทั่วโลกในขณะนี้คือการทำวิจัยที่เกี่ยวกับชีวการแพทย์ การบำบัดโรค และการพัฒนาเทคโนโลยีการแพทย์ที่พร้อมต่อการรับมือกับโรคอุบัติใหม่ โดยสิ่งที่สำคัญที่สุด คือนวตกรรมเชิงป้องกัน และการนำงานวิจัยมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเกิดผลเป็นรูปธรรมสำหรับประชาชนอย่างทั่วถึง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในวิกฤตสาธารณสุขที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่า ความถูกต้องของข้อมูลและการเผยแพร่ รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนในการบริหารสถานการณ์วิกฤตของรัฐบาล การเผยแพร่ข้อเท็จจริงสู่สาธารณชน ต้องอาศัยความถูกต้องทางวิชาการ ทั้งจากการศึกษา ค้นคว้า ซึ่งภาคการศึกษา มหาวิทยาลัย นักวิชาการ เป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งในการชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องแก่สังคม เพื่อขจัดข้อมูลเท็จ โฆษณาชวนเชื่อ และข่าวปลอมที่แพร่กระจายและเป็นภัยอยู่ในสังคม ยกตัวอย่างเช่นในช่วงต้นของการให้บริการวัคซีนโควิด-19 ที่ประชาชนบางส่วนมีความกังวลใจเกี่ยวกับผลค้างเคียงของวัคซีนจากข้อมูลข่าวสารที่อาจไม่ถูกต้อง 

แต่ในภายหลัง ความหวาดกลัวได้คลายลงเมื่อข้อมูลทางวิชาการที่เชื่อถือได้เริ่มปรากฏออกมามากขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดได้อย่างน่าพอใจ และในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้ การสร้างความร่วมมือระหว่างกันเป็นหัวใจสำคัญในการนำพาประเทศให้ก้าวผ่านวิกฤตไปได้ โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับคำชมจากองค์การอนามัยโลก และนานาประเทศถึงนโยบายและมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการดูแลประชาชน ทั้งการป้องกัน การควบคุมโรค การรักษาพยาบาล และการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และด้วยความสำเร็จนี้ องค์การอนามัยโลกได้เลือกให้ประเทศไทยเป็นประเทศต้นแบบในโครงการนำร่องการทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า เมื่อเดือนเมษายน 2565 ที่ผ่านมา ถือเป็นความภาคภูมิใจที่เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคการศึกษา ทั้งสถาบันการศึกษาและศูนย์วิจัยต่าง ๆ ตลอดจนอาสาสมัครและประชาชนทุกคน และมิตรประเทศ รวมถึงความม่งมั่นในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี ยารักษาโรค วัคซีน และเครื่องมือทางการแพทย์กับประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องด้วย

“ผมขอชื่นชมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและภาคการศึกษาทั้งหมดที่ได้ร่วมมือกับ ศบค. ในการช่วยเหลือประเทศภายใต้รูปแบบ นวัตกรรมเพื่อสังคมโดยได้นำผลการศึกษาวิจัยมาพัฒนาให้สามารถใช้งานได้จริง และนำมาช่วยเหลือสังคมในช่วงวิกฤต เช่น CU-RoboCOVID (ซี-ยู-โรโบ-โควิด) ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ให้การสนับสนุนด้านการแพทย์ภายในโรงพยาบาลสนาม และ Chula COVID-19 Strip Test (จุฬา-โควิด-19-สตริป-เทสต์) รวมถึงนวัตกรรมการรักษา 'วัคซีนใบยา' ที่เป็นวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA (เอ็ม-อาร์-เอ็น-เอ) ที่ทางมหาวิทยาลัยพัฒนาขึ้น โดยนวัตกรรมต่าง ๆ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเกิดขึ้นจากการร่วมมือพัฒนาของนักวิชาการและนักวิจัยสหสาขา 

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม ส่วนแบ่งยอดขายรถ EV ไทยสูงสุดในอาเซียน เร่งส่งเสริมการลงทุน - สร้างระบบนิเวศรองรับในอนาคต

นายกฯ ยินดีไทย มีส่วนแบ่งยอดขายรถ EV ประจำไตรมาสที่ 3 ปี 65 มากที่สุดในภูมิภาค พร้อมเดินหน้าส่งเสริมการลงทุน-สร้างระบบนิเวศรองรับตลาด

(28 ธ.ค. 65) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ประเทศไทยมีส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคล (EV) ประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2565 เกือบร้อยละ 60 ซึ่งมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

นายอนุชา กล่าวว่า ตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากรายงานของบริษัทวิจัยตลาด Counterpoint ซึ่งเปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคล (EV) เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2564 และพบว่าประเทศไทยมีมูลค่าการซื้อขายรถ EV สูงที่สุดในภูมิภาค คิดเป็นส่วนแบ่งทั้งหมดประมาณร้อยละ 59.2 ตามมาด้วยอินโดนีเซียร้อยละ25.2 และสิงคโปร์ ร้อยละ 11.8 

โดยรถยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle) มีมูลค่าการซื้อขายคิดเป็นร้อยละ 61 ของทั้งหมด ในขณะที่เหลือเป็นแบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) โดยบริษัทที่มียอดขายสูงสุดอันดับแรกคือ Wuling ตามด้วย Volvo, BMW, ORA และ Mercedes-Benz ตามลำดับ

‘บี พุทธ์พงษ์’ เผยเหตุผลหลักร่วมทัพภูมิใจไทย เพราะมีนโยบายปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์

“พรรคภูมิใจไทยยืนยันนโยบายปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมมายืนตรงนี้เพราะเรื่องนี้เป็นอันดับหนึ่ง” 

อุดมการณ์สำคัญที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top