Monday, 20 May 2024
Politics

'รทสช.' รุกคืบอีกขั้น!! หลัง 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' เริ่มเข้าถึงใจคน ช่วยตอกย้ำภาพ การเมืองน้ำดีสไตล์ 'พีระพันธุ์-รทสช.' พูดจริง-ทำจริง

ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน ๆ บนโลกใบนี้ นักการเมือง 'น้ำดี' เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งที่สุด เพราะการเมืองขาดการยุ่งเกี่ยวกับ ‘อำนาจและผลประโยชน์’ ไม่ได้ ด้วยสองสิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งทางการ จึงทำให้ 'นักการเมือง' ขาดคน 'ที่ดี มีคุณภาพ และมากด้วยคุณธรรม' ยิ่งบ้านเราแล้วยิ่งชัด เพราะมีเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตและการกระทำผิดกฎหมายของนักการเมืองซึ่งยังดำรงตำแหน่งเกิดขึ้นมากมายกระทั่งกลายเป็นคดีความแล้วนักการเมืองเหล่านั้นยังคง ‘หน้าด้าน’ อยู่ในตำแหน่งต่อเพื่ออาศัยเอกสิทธิ์คุ้มครองซึ่งทำให้กระบวนการในการดำเนินคดีเกิดความล่าช้าอันเป็นการถ่วงเวลาหาวิธีเอาตัวรอดจากความผิดที่ตนเองก่อขึ้น

แม้การเมืองจะเป็นเรื่องของประชาชนคนไทยทุกคนก็ตาม แต่การเมืองก็แทบจะกลายเป็นเรื่องที่สิ้นหวังสำหรับคนไทยที่ดี มีคุณภาพ มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม มีความรัก ความเชื่อมั่น ความศรัทธา ในสถาบันหลักทั้งสามของชาติบ้านเมือง กลายเป็น 'นักการเมืองคือผู้ทำงานสาธารณะเพื่อประโยชน์ส่วนตัว' แต่ด้วยอานุภาพแห่งสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาเมืองไทยทำให้บ้านเมืองไม่สิ้นคนดี ยังคงมีนักการเมืองที่ดีและมีคุณภาพที่เหลืออยู่รวมตัวกันสร้างพรรคการเมืองที่เป็นความหวังของชาวไทยผู้รัก ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ร่วมกันสร้างพรรคการเมืองที่ชื่อว่า ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ขึ้นมา

‘รวมไทยสร้างชาติ’ พรรคการเมืองที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี 8 ปีของไทยที่มีผลงานมากมายโดยเฉพาะด้านสาธารณูปโภค มั่นใจว่า ผลงานด้านนี้ของพลเอกประยุทธ์ไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใดในประวัติศาสตร์ชาติไทยสามารถเทียบเทียมได้ เป็นผู้นำพรรคฯ ก่อนอำลาการเมืองไปดำรงตำแหน่งอันมีเกียรติยิ่ง อย่าง ‘องคมนตรี’ และหลังจากการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2566 ผ่านไปไม่ถึงปี มีผู้เปรียบเทียบผลงานนายกรัฐมนตรีคนก่อนและคนปัจจุบันก็เป็นดังที่สังคมไทยได้เห็นอยู่ หากพิจารณาด้วยความเป็นวิญญูชนแล้วน่าจะสรุปได้อบ่างง่ายดายมาก ๆ 

ในขณะที่ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผู้เป็นอดีตผู้พิพากษา อดีต สส. 7 สมัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) สามารถสร้างผลงานในตำแหน่งหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ทั้ง ๆ ที่กระทรวงพลังงานเป็นกระทรวงที่ได้รับงบประมาณน้อยที่สุดเพียง 2.53 พันล้านบาท แต่ต้องดูแลรับผิดชอบงานด้านพลังงานทั้งหมดซึ่งมีมูลค่าปีละหลายล้านล้านบาท ทั้งพลังงานยังเป็นแกนหลักสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศทั้งระบบในทุกมิติอีกด้วย

แต่เรื่องที่แตกต่างไปจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนอื่น ๆ ก็คือ ความมุ่งมั่นตั้งใจในการลดราคาพลังงานให้กับประชาชนคนไทยด้วย (1) การผลักดันการลดค่าไฟฟ้าโดยสามารถตรึงราคาค่าไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น (2) การลดราคาน้ำมันขายปลีกลงโดยใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกลไกทางภาษีด้วยความร่วมมือจากกระทรวงการคลัง การเร่งรัดในการจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเพลิงยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานและสร้างเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิง การออกประกาศให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งข้อมูลต้นทุนน้ำมันเพื่อป้องกันการค้ากำไรเกินควร ด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่ผ่านมาบางคนก็ไม่ได้สนใจที่จะหามูลเหตุของปัญหาเพื่อดำเนินแก้ไขแต่อย่างใดหรือบางคนก็เป็นอดีตผู้บริหารบริษัทน้ำมัน เรื่องราวที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนชาวไทยเช่นนี้จึงไม่เคยเกิดขึ้น

แม้แต่ปัญหาต่าง ๆ ของพี่น้องประชาชนที่ไม่สามารถพึ่งพานักการเมืองและพรรคการเมืองเจ้าของพื้นที่ได้ เช่นกรณีของ ‘นุจรีย์ ศรีสำราญ’ ชาวบ้านปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ ผู้ที่ประสบปัญหาจากการกู้หนี้นอกระบบจนกำลังจะเสียบ้านและที่ดินของพ่อซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยให้กับเจ้าหนี้ ด้วยยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นทบต้นทบดอกจากหลักแสนต้น ๆ เป็นกว่า 700,000 บาท เธอได้ไปขอความช่วยเหลือมาแล้วหลายหน่วยงาน หลายพรรคการเมือง แต่ผลที่ได้รับก็คือคำสัญญาที่ว่างเปล่า 

บังเอิญวันหนึ่งเธอเจอคลิปหาเสียง ‘TikTok’ ที่มีข้อความ ‘สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง’ ของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เธอจึงตัดสินใจมาหา ‘ที่พึ่ง’ ซึ่งเหมือนการเปิดทางของฟ้าและทำให้เธอได้พบทางออกของชีวิตด้วยการช่วยเหลือของ ‘พีระพันธุ์’ และการประสานงานของทีมงานพรรครวมไทยสร้างชาติจนสามารถแก้ไขปัญหาได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทุกวันนี้ชีวิตของ ‘นุจรีย์’ และครอบครัวสามารถนอนหลับได้เต็มตาอย่างมีความสุข ซึ่งเป็นอีกบทพิสูจน์คำมั่นสัญญาของพรรครวมไทยสร้างชาติที่พร้อมจะ ‘สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง’ อย่างจริงจังด้วยความจริงใจ ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกสภาฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมอย่างยั่งยืน

เรื่องราวต่าง ๆ ของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ และ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ จึงเป็นแรงดึงดูดให้ ‘เช็ค’ สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ อดีตพิธีกรรายการ ‘คน ค้น ฅน’ เข้ามาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติในฐานะ ‘อาสาสมัคร’ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ 

‘เช็ค’ ได้เล่าว่า “ตอนที่ท่านพีระพันธุ์ หรือที่ตนเรียกติดปากว่า ‘พี่ตุ๋ย’ ได้ตั้งพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ทางทีมงานของพี่ตุ๋ย มีแนวคิดที่จะแนะนําตัวพี่ตุ๋ยกับประชาชน โดยจะเน้นไปที่ผลงานหรือสิ่งที่พี่ตุ๋ยเคยใช้เคยทำมาในอดีต รวมถึงต้นทุนที่ตัวเองมีในการทําหน้าที่ทั้งช่วงที่เป็นข้าราชการและนักการเมือง ในตอนนั้น ทีมงานมาหาและถามว่า สามารถช่วยทําสิ่งนี้ได้หรือไม่ ซึ่งในขณะนั้น ต้องบอกก่อนเลยว่าโดยส่วนตัวแล้ว ตนเป็นคนที่พยายามจะอยู่ห่างการเมือง เพราะเคยเข้าไปสัมผัสแล้ว มีความรู้สึกว่า เคมีไม่เข้ากัน ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบนักการเมือง แต่ไม่ชอบความเป็นนักการเมืองหรือว่าวัฒนธรรมของนักการเมืองมากกว่า” 

เขาเล่าต่ออีกว่า “ผมเคยเจอนักการเมืองเยอะ ผมมีเพื่อนที่เป็นนักการเมือง มีรุ่นพี่ที่เป็นนักการเมือง เรียกได้ว่าโคตรการเมืองเลย แต่สำหรับพี่ตุ๋ย ผมกลับมีความรู้สึกว่าไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่คนที่พูดเท่ ๆ เพื่อที่จะให้ได้คะแนน แต่เป็นคนที่อยากใช้สิ่งที่ตัวเองมี ทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง เพื่อประชาชนจริง ๆ ตลอดเวลาที่สัมผัสได้ทำงานร่วมกัน ทำให้ผมเชื่อได้สนิทใจเลยว่า คน ๆ นี้แหละที่สามารถฝากความหวังได้และประเทศไทยขาดคนแบบนี้จริง ๆ”

(ทีมงาน THE STATES TIMES) จึงขอเป็นกำลังใจและเอาใจช่วยให้ท่าน ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ และ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ นักการเมืองและพรรคการเมือง ‘น้ำดี’ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีความครบเครื่องทั้ง คุณภาพ จิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม ความรัก ความเชื่อมั่น ความศรัทธา ในสถาบันหลักทั้งสามของชาติบ้านเมือง ได้ปฏิบัติภารกิจ ‘สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง’ ให้กับสังคมไทยและพี่น้องประชาชนได้สำเร็จลุล่วงด้วยดีตลอดไป

‘ณณัฏฐ์’ สวน!! ‘ก้าวไกล’ ปมวิจารณ์นายกฯ ลงพื้นที่ จ.ระยอง ย้ำ!! รบ.ทำงานหวังผลสัมฤทธิ์ ไม่ใช่เพื่อแสง หรือใช้ปากทำงาน

เมื่อวานนี้ (2 พ.ค.67) นายณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคก้าวไกล วิจารณ์การลงพื้นที่โรงงานสารเคมีที่เกิดไฟไหม้ที่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 เม.ย.67 ว่า ไฮไลต์เดียวในการลงพื้นที่ คือการไปต่อว่าอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม จนประกาศลาออกในที่ประชุมคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ว่า ก่อนการลงพื้นที่โรงงานไฟไหม้ที่ จ.ระยอง นายเศรษฐา ได้รับทราบข้อมูล และได้สั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้เร่งแก้ไขปัญหาเรียบร้อยแล้ว การไปลงพื้นที่ก็เพื่อติดตามผลการดำเนินงานด้วยตัวเอง ไม่ได้ต้องการทำให้ตัวเองเป็นข่าวกับทุกเรื่อง เพราะนายกฯ มุ่งเน้นที่ผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นหลัก

“เข้าใจว่า คุณชุติพงศ์ อาจไม่มีประสบการณ์การทำงานเป็นรัฐบาลมาก่อน ทำให้ขาดความรู้ความเข้าใจ ในบทบาท หน้าที่ และโครงสร้างการทำงานว่า ขับเคลื่อนกันอย่างไร จนอาจจะเข้าใจผิดในเรื่องการบริหารงาน ว่าต้องลงไปทำเองทุกขั้นตอน โดยไม่พิจารณาผลลัพธ์ แต่หวังเพียงหน้าสื่อ แบบนั้นไม่เรียกว่าการบริหารงานแต่เรียกว่า หิวแสง ซึ่งไม่ใช่สไตล์การทำงานของท่านนายกฯ และรัฐบาลชุดนี้” นายณณัฏฐ์ ระบุ

นายณณัฏฐ์ กล่าวต่อว่า การทำงานของรัฐบาล ในฐานะฝ่ายบริหารนั้น มีโครงสร้าง มีการแบ่งส่วนงานรับผิดชอบ ทั้งฝ่ายนโยบาย และฝ่ายปฏิบัติ ในแต่ละกรม หรือกระทรวง รวมถึงการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นเพื่อให้การทำงานสำเร็จรวดเร็วเพื่อแก้ไขปัญหาให้แก่พี่น้องประชาชน

“ส่วนเรื่องการใช้ปากทำงาน ผมในฐานะ สส.เพื่อไทย คงไม่อาจเอื้อมไปแข่งขันกับพรรคก้าวไกล เพราะในประเด็นนี้ เชื่อว่าเกินกึ่งหนึ่งในสภาฯ เห็นพ้องต้องกัน ว่าไม่มีใครเก่งไปกว่าพรรคก้าวไกลแล้ว และอยากฝากให้ สส.ก้าวไกล คำนึงไว้เสมอด้วยว่า แม้การใช้ปากทำงานจะเป็นชุดทักษะที่เหมาะสมกับการเป็นฝ่ายค้าน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การเป็นฝ่ายค้าน จะทำให้พวกคุณมีบัตรผ่านฟรีพาส ที่จะใช้ปากโจมตีใครอย่างไรก็ได้อยู่ฝ่ายเดียว โดยไม่ต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริง ไม่ต้องรับผิดชอบผลของการสร้างวาทกรรม ชี้นำสังคมอย่างที่ทำมาตลอด” นายณณัฏฐ์ กล่าว

'สว.สมชาย' ฟันธง 'พิชิต' ขาดคุณสมบัติ จี้!! กกต.ส่งศาล รธน.สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่

(3 พ.ค. 67) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของ นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า…

คุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนายพิชิต มีความเสี่ยงที่จะขาดคุณสมบัติและอาจขัดรัฐธรรมนูญ กกต. มีหน้าที่เร่งส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและขอให้ศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน

ตามที่ปรากฏข้อสงสัยในคุณสมบัติของความเป็นรัฐมนตรีนายพิชิตนั้น ขอเสนอข้อมูลข้อกฎหมายและข้อเสนอแนะนำเพื่อให้คณะกรรมการเลือกตั้งหรือ กกต. ที่มีหน้าที่เร่งเรื่องส่งไปศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรธน. มาตรา 82 ประกอบ มาตรา 170 วรรคสาม และ มาตรา 160 (4) โดยเร็ว เพื่อขอให้วินิจฉัยว่านายพิชิตขาดคุณสมบัติหรือไม่ ด้วยเหตุผลดังนี้

1) รัฐมนตรี ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 160 กำหนดทุกอนุมาตรา ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดมิได้ จะทำให้ขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีเฉพาะตัวมาตรา 17 ทันที

โดยเรื่องนี้มีประเด็นสงสัยตาม รธน. มาตรา 160 (4) (5) ในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และการประพฤติผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่

เพราะนายพิชิต เคยเป็นทนายความและเป็นจำเลยที่ 1 เคยต้องคำสั่งศาลให้จำคุก 6 เดือน

“ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องละเมิดอำนาจศาลที่วินิจฉัยว่า การกระทำเป็นความผิดละเมิดอำนาจศาลโดย เห็นว่า เงินที่มอบให้ม.ล.ฐิติพงศ์ เพื่อนำไปแบ่งกันกับเจ้าหน้าที่ในแผนกมีจำนวนมากถึง 2,000,000 บาท มีเจตนาที่จูงใจให้ม.ล.ฐิติพงศ์และเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ซึ่งอาจเชื่อมโยงไปเป็นประโยชน์แก่จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยบริเวณศาล เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 (1), 33 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และน่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงาน การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม เป็นการกระทำที่อุกอาจ ท้าทายและเกิดขึ้นที่ศาลฎีกา จึงลงโทษในสถานหนัก เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป ให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามคนละ 6 เดือน”

2) รมต. ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 หาใช่มีคุณสมบัติเพียงแค่ที่ส่งไปถามให้กฤษฎีกาตีความแบบเฉพาะเจาะจงบางอนุมาตราใน รธน. มาตรา 160 แค่ (6) (7) หากยังต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และไม่ประพฤติผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 160 (4) และ (5) ด้วย ปรากฏชัดตามหนังสือตอบที่เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ลับ ลงวันที่ 1 ก.ย. 66 ที่มีเลขาธิการ ครม. ถามไปเพียงแค่บางประเด็น หาใช่การตอบครอบคลุมถึงคุณสมบัติรัฐมนตรีทั้งหมด ตาม รธน. ทั้งมาตรา 160 กำหนดหรือตามที่นายกรัฐมนตรีกล่าวอ้างแต่ประการใด

3) กรณีมีข้อสงสัยว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงหรือไม่ แม้เมื่อรัฐมนตรีเข้าสู่ตำแหน่งแล้ว แต่อาจมีเหตุที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงได้ โดยเฉพาะกรณีที่รัฐมนตรีผู้นั้นขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ หรือกระทำการบางอย่างอันมีลักษณะเป็นการขัดกันแห่งประโยชน์ กกต. มีหน้าที่และมีผู้ไปร้องแล้ว จึงควรเร่งดำเนินการและควรร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้อง ‘หยุดปฏิบัติหน้าที่’ จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยด้วยเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา

#กกตมีหน้าที่ #ส่งศาลรธน

‘คปท.’ จี้!! นายกฯ นำบุคคลขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรง ต้องรับผิดชอบ ทั้งทางอาญาและวินัย

(3 พ.ค. 67) มีประเด็นต่อเนื่องจากกรณีสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรี เฉพาะตามมาตรา 160 (6) ประกอบกับมาตรา 98 (7) และมาตรา 160 (7) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 

โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีหนังสือลงวันที่ 1 ก.ย.66 ตอบกลับเลขาธิการคณะรัฐมนตรี คือ เรื่องคุณสมบัติตาม มาตรา 160 (4) ‘มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์’ และ (5) ‘ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง’ ไม่ได้ตอบ เนื่องจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ไม่ได้ถามในประเด็นดังกล่าว

ต่อมานายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการร้องเรียนให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติของนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบวินัยร้ายแรงนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นผู้เสนอชื่อ ว่า ก่อนจะเสนอชื่อ ได้ส่งรายชื่อให้ตรวจสอบ โดยคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว

ล่าสุดนายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กแสดงความเห็นถึงเรื่องดังกล่าวว่า...

นายกฯ ผิดเต็มๆ

งานนี้นอกจาก พิชิต ชื่นบาน จะซวยแล้ว คนที่ผิดเต็มประตูคือ นายเศรษฐา ทวีสิน

คุณตั้งคำถามกับกฤษฎีกาแบบเลี่ยงบาลี เหมือนศรีธนญชัย คุณไม่ถามให้เต็มมาตรา 160 แต่คุณกลับถามเฉพาะ (6) (7) แล้วยังจะมาอ้างว่าถามกฤษฎีกาแล้ว

ดังนั้น นายกฯ นำบุคคลที่ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรง ต้องรับผิดชอบ ทั้งทางอาญาและวินัย

รับใช้ทักษิณมาก ก็รับกรรมเพราะทักษิณ

อาทิตย์หน้า คปท. กองทัพธรรม ศปปส. จะไปยื่น ป.ป.ช.เอาผิด นายกฯ รัฐมนตรี

#Saveประเทศไทย

'เพื่อไทย' ลั่น!! รถไฟฟ้าต้อง 20 บาททุกสาย ชี้!! นี่คือความกล้าหาญที่พรรคอื่นไม่กล้าทำ

(3 พ.ค.67) ในงาน ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ ของพรรคเพื่อไทย (พท.) งานแสดงวิสัยทัศน์ และความคืบหน้าในนโยบายต่าง ๆ พร้อมประกาศเป้าหมายการทำงานในอนาคต

นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ สส.กทม. กล่าวว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นวิสัยทัศน์ของพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่สมัย 2549 เพราะการเข้าถึงขนส่งสาธารณะเป็นสวัสดิการพื้นฐานของประชาชน วันนี้รัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะเดินหน้าเรื่องนี้อย่างเต็มที่ โดยทันทีที่เป็นรัฐบาล ไม่ถึงหนึ่งเดือนที่นายกรัฐมนตรีรับตำแหน่ง วันที่ 16 ตุลาคม 2566 รถไฟฟ้า 2 สาย คือสายสีแดง และสีม่วง ลดค่าบริการลงมาที่ราคา 20 บาท ได้สำเร็จ หลังจากลดค่าโดยสารลงแล้ว ส่งผลให้ปริมาณผู้โดยสารสายสีแดงเพิ่มขึ้น 26.62% สายสีแดงเพิ่มขึ้น 14.43%

จากนั้น กระทรวงคมนาคม กางแผนโรดแมป เพื่อดำเนินการให้รถไฟฟ้าทุกเส้นทาง คิดค่าบริการตลอดเส้นทาง ‘20 บาท’ ภายในปี 2568 ผ่านร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... หรือ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมร่าง พ.ร.บ.รายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นรายงาน การวิเคราะห์ผลกระทบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรองและอื่นๆ โดยสำนักงานขนส่งและนโยบายและแผนการจราจร (สนข.) ดำเนินการ จากราคารถไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 107 บาท หาก พ.ร.บ.ตั๋วร่วมสำเร็จ ประชาชนจะจ่ายเพียง 20 บาท ผ่านการมีกองทุนที่สะสมรายได้จากส่วนอื่น ๆ มาชดเชยส่วนต่างค่าโดยสารแทนประชาชน

“ไม่มีพรรคการเมืองใดที่เสนอทำราคารถไฟฟ้าให้เหมาะสมกับรายได้ เป็นสวัสดิการของประชาชนอย่างแท้จริง รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย คือความกล้าหาญของพรรคเพื่อไทยที่จะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อพี่น้องประชาชน เป็นการจัดการระบบการเดินทาง ที่มีสัมปทานหลายเจ้าครั้งใหญ่ อะไรที่เคยติดขัด เป็นอุปสรรค จะถูกคลี่คลาย เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายการเดินทางของประชาชน”

นางสาวธีรรัตน์ กล่าวอีกว่า ภายในปี 2568 ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ทุกสาย, พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ต้องสำเร็จ, ลดราคาค่าทางด่วนลงรถเมล์แอร์ EV ต้องสำเร็จ เป้าหมายใหญ่ คือเพิ่มการเข้าถึงขนส่งสาธารณะ ลดการใช้รถส่วนตัว ลดปริมาณรถบนถนน แก้ปัญหารถติด แก้ปัญหาฝุ่น ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน และสามารถเปิดให้ขยายทางสัญจรทางเท้า ให้ กทม.เป็นเมืองที่เดินได้ เมืองที่เป็นมิตรกับคนทุกกลุ่มมากขึ้น เพื่อยกระดับขนส่งสาธารณะ ให้เป็น ‘การบริการสาธารณะ’ อย่างแท้จริง

'เพื่อไทย' เดินหน้า '30 บาทรักษาทุกที่' มั่นใจครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ ธ.ค.นี้

(3 พ.ค.67) ในงาน ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ ของพรรคเพื่อไทย (พท.) งานแสดงวิสัยทัศน์ และความคืบหน้าในนโยบายต่าง ๆ พร้อมประกาศเป้าหมายการทำงานในอนาคต

ทันตแพทย์หญิง ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อและรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงนโยบาย ‘30 บาทรักษาทุกโรค’ ว่า ในวันที่ 1 เมษายน 2544 รัฐบาลไทยรักไทย ทำฝันที่ไม่มีใครกล้าฝัน ทำสิ่งที่ทุกคนปรามาสว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ โดยการนำร่อง ‘บัตรทอง’ หรือ ‘บัตร 30 บาท รักษาทุกโรค’ ใน 6 จังหวัด แล้วขยายครอบคลุมทั้งประเทศในเวลาไม่ถึง 1 ปี ทำให้ชีวิตประชาชนเปลี่ยนไปในวันเดียว คนไทยได้รับการรักษาเท่าเทียมกันด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เรา ‘คิดใหญ่ ทำเป็น’ ทำนโยบายสำเร็จ แม้ในช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่มีเทคโนโลยี แต่รัฐบาลไทยรักไทยต้องการสร้างระบบข้อมูลคนไข้ทั้งระบบ เชื่อมโยงกันในระบบคอมพิวเตอร์ ระบบจองนัดคิว เลือกวัน เวลา ได้ ‘เลือกหมอ’ ได้ ทำให้ในปัจจุบัน ‘การเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพในระบบสาธารณสุข’ เกิดขึ้นจริง 30 บาท รักษาทุกที่ เป็นจริงใน 137 วันแรก ของการจัดตั้งรัฐบาล

โดยภายในเดือนมกราคม 2567 30 บาทรักษาทุกที่ นำร่อง 4 จังหวัดแรกสำเร็จ ได้แก่ แพร่ ร้อยเอ็ด เพชรบุรี และ นราธิวาส , มีนาคม 2567 นำร่องเพิ่ม 8 จังหวัด ได้แก่ เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ นครราชสีมา สิงห์บุรี สระแก้ว พังงา , เดือนพฤษภาคม 2567 นำร่องเพิ่ม 33 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน พะเยา ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร พิจิตร ชัยนาท อุทัยธานี สระบุรี นนทบุรี ลพบุรี อ่างทอง นครนายก พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี อุดรธานี สกลนคร นครพนม เลย หนองคาย บึงกาฬ ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ สงขลา สตูล ตรัง พัทลุง ปัตตานี ยะลา ทั้งหมดรวม 45 จังหวัด และภายในเดือนธันวาคม 2567 โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ จะดำเนินการได้ครบ 77 จังหวัดทั้งประเทศ ถือเป็นการปฏิรูประบบบริการสาธารณสุขครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี เป็นการ ‘ทำต่อ’ จากที่เราเคยทำเอาไว้เมื่อ 23 ปีที่ผ่านแล้ว

สำหรับสิทธิประโยชน์ของ 30 บาทรักษาทุกที่ ได้แก่ เจ็บป่วยเล็กน้อย รับยาที่ร้านขายยาใกล้บ้าน , ตรวจเลือดที่แล็ปใกล้บ้าน ข้อมูลปรากฏที่โรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้น , รักษาที่โรงพยาบาล กลับไปรับยาที่ร้านขายยาใกล้บ้านได้ , เลือกโรงพยาบาลได้ โดยไม่ต้องกังวลค่าใช้จ่าย เพราะสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะดูแลทั้งหมด ด้วยการทำงานหนักของทีมสาธารณสุขไทย รวมถึงนโยบายฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับหนึ่งของผู้หญิงไทย โดย ณ วันที่ 24 เมษายน 2567 กระทรวงสาธารณสุข ฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูก ในผู้หญิงอายุ 11 - 25 ปี แล้ว 1,668,000 ล้านโดส (ชนิด 2 เข็ม : 1.2 ล้านเข็ม , ชนิด 1 เข็ม : 4 แสนเข็ม ) จากเป้าหมาย 5 ล้านคน ภายในปี 2568 พร้อมวางเป้าหมายจะลดอัตราการเสียชีวิตของผู้หญิงจำนวน 2,400 คนต่อปี

นอกจากนี้ จะดำเนินการสานต่อนโยบาย 50 เขต 50 โรงพยาบาล โดยปีนี้ เปิดโรงพยาบาลเขตแล้ว 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลนพรัตนธานี คุ้มเกล้า (มีนบุรี) และโรงพยาบาลพระมงคลเทพมุนี พร้อมมีแผนขยายเพิ่ม โรงพยาบาลประจำเขตอย่างน้อย 10 แห่ง ภายในปี 2570 โดยจะเพิ่มโรงพยาบาลเขตภาษีเจริญ เขตคลองสามวา เขตทุ่งครุ เขตสายไหม วางแผนยกระดับโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) กรมการแพทย์ทหารอากาศ เป็น โรงพยาบาลเขตดอนเมืองขนาด 120 เตียง รวมทั้งสถานชีวาภิบาล สถานที่ให้บริการผู้ป่วยระยะสุดท้าย โดยในระยะเวลา 10 เดือนที่ไม่รอ ได้สร้างสถานชีวาภิบาลในชุมชนไปแล้วกว่า 166 แห่งทั่วประเทศ โดยความร่วมมือกับคณะสงฆ์ และภายในปี 2570 ทุกตำบล จะต้องมีสถานชีวาภิบาลตำบลละ 1 แห่งให้ได้

"เวลาไม่รอใคร และเราจะไม่รอ ขอทำงานต่อเพื่อพี่น้องประชาชน" ทันตแพทย์หญิง ศรีญาดา กล่าว

‘เพื่อไทย’ จัดอีเวนต์ใหญ่ ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ ด้าน ‘อุ๊งอิ๊ง’ ยัน!! ตัดสินใจถูกที่ไม่รอ 10 เดือน มั่นใจ!! ‘ครม.เศรษฐา 2’ ถูกฝาถูกตัว ชี้!! นโยบายการเงินต้องดันเศรษฐกิจประเทศด้วย

(3 พ.ค. 67) พรรคเพื่อไทย (พท.) จัดงาน ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย สำนักงานใหญ่ มีการแสดงวิสัยทัศน์และความคืบหน้านโยบายต่างๆ ของพรรคเพื่อไทย หลังจากจัดตั้งรัฐบาลเข้าสู่เดือนที่ 9 พร้อมประกาศเป้าหมายการทำงานในอนาคต โดยภายในงานมี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี, น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, คณะรัฐมนตรีสัดส่วนของพรรคเพื่อไทย, กรรมการบริหารพรรค, ผู้บริหารพรรค, สส., ว่าที่ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ของพรรคเพื่อไทย และบุคลากรของพรรค เข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ในนามหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขอยืนยันว่า เราตัดสินใจถูกต้องมากที่จัดตั้งรัฐบาลผสมเมื่อ 10 เดือนที่แล้ว ปัญหาปัจจุบันที่หมักหมมไว้จากการปฏิวัติรัฐประหาร ทั้งระบบราชการที่โตเกินไป ความอืดอาดในการทำงาน ด้วยโครงสร้างที่ไม่ทันต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และภัยคุกคามทางความมั่นคงที่พัฒนาไปเร็วมาก รวมถึงภัยต่อเยาวชนชาติจากยาเสพติด ทำให้ประชาชนของชาติอ่อนแอ ประชาชนขาดโอกาสในการทำมาหากิน เศรษฐกิจใต้ดินสูงเป็นประวัติการณ์

‘เพื่อไทย’ เป็นพรรคการเมืองที่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมากที่สุด หากไม่เป็นแกนนำรัฐบาลผสม คงยากที่ปัญหาหมักหมมจะแก้ไขได้ กฎหมายพยายามจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอิสระจากรัฐบาล เรื่องนี้เป็นปัญหาและอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะนโยบายการคลังถูกใช้งานข้างเดียวอย่างหนัก จนทำให้หนี้สูงขึ้นทุกปี จากการตั้งงบประมาณขาดดุล ถ้านโยบายการเงินที่บริหารโดยธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ยอมเข้าใจและร่วมมือ ประเทศจะไม่มีทางลดเพดานนี้ได้ 10 เดือนที่ผ่านมา เราใช้ความพยายามในการวิเคราะห์ เข้าใจ เพื่อแก้ปัญหาที่ยาก และซับซ้อน และก้าวเดินต่อในทุกมิติ เพราะเราเสียเวลาและโอกาสไปถึงเกือบ 2 ทศวรรษจากการรัฐประหาร เรามั่นใจว่าเราทำได้ และจะทำให้ได้คะแนนเต็ม 10 ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า

น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า ในมิติทางเศรษฐกิจเริ่มต้นด้วยการเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพราะเงินถูกดูดออกจากระบบไปมาก จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในอาเซียน และค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเป็น 400 บาท จะทำให้ทุกคนต้องปรับตัว เพิ่มผลผลิตจากความพอกินของพนักงาน พรรคเพื่อไทยจะผลักดันเศรษฐกิจในทุกมิติ ไม่ใช่แค่เติมเงินและเพิ่มค่าแรง แต่รวมไปถึงเม็ดเงินใหม่จากต่างประเทศจะเข้ามาจากการลงทุนและการสร้างโอกาสให้คนไทยทุกคน โดยการนำของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน

ในมิติของการบริหารราชการแผ่นดิน จะเปลี่ยนจากรัฐบาลอุ้ยอ้าย อืดอาด ไม่โปร่งใส เป็นรัฐบาลดิจิทัล บริหารด้วยความรวดเร็ว โปร่งใสตรวจสอบการทำธุรกรรมต่างๆได้ และมี super app ในการบริการทุกมิติของภาครัฐ และเราจะปรับโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม ใหม่อีกครั้งหนึ่งเร็วๆ นี้ พร้อมจะแก้กฎหมายทางเศรษฐกิจอีกหลายฉบับ ทั้งการยกเลิกกฎหมายล้าสมัย เขียนกฎหมายใหม่ให้ไทยกลับมาเป็น Hub ทั้งการบินและการเงินของอาเซียนให้ได้ ในด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ จะผูกมิตรกับทุกมหาอำนาจ และยินดีให้ไทยเป็นที่เจรจาความขัดแย้งจากทุกฝ่าย

พรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่มีศักยภาพ มีนโยบายที่ดี มีรัฐมนตรีที่เก่ง สร้างอนาคตให้ประเทศไทย และที่สำคัญ จะต้องสามารถผลักดันนโยบายให้เกิดขึ้นจริงในอนาคต แม้คู่แข่งพยายามทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อเรา ด้อยค่าในสิ่งที่เราทำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ ในสมัยไทยรักไทย เกิดวาทกรรม ‘30 บาทตายทุกโรค’ แต่ทุกอย่างผ่านไป ด้วยการทำงานนโยบายสำเร็จ ผลงานเท่านั้นจะพิสูจน์ ไม่ใช่วาทกรรม หรือการใส่ความต่อว่าจากใคร เพราะ 30 บาทรักษาทุกโรค ใช้ได้จริง และกำลังเดินหน้าพัฒนาครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี เป็น 30 บาทรักษาทุกที่

น.ส.แพทองธาร ยังได้ประกาศวิสัยทัศน์ พรรคเพื่อไทยในอนาคต จะเป็นพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่มีศักยภาพ มีนโยบายที่ดี สร้างอนาคตให้ประเทศไทย พร้อมเปิดตัว ทีม PTP Academy อย่างไม่เป็นทางการ (Soft Launch) หน่วยงานพัฒนาศักยภาพบุคลากร สร้างองค์ความรู้ทางวิชาการ เปิดพื้นที่เชื่อมโยงการทำงานของพรรคกับหน่วยงานข้างนอก ซึ่งได้เริ่มดำเนินการแล้วระยะหนึ่ง มีการจัดอบรมเพิ่มองค์ความรู้ให้กับ ส.ส.ของพรรค เพื่อให้การทำงานการเมืองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

"พรรคเพื่อไทยจะครองสติ ไม่หวั่นไหว ไม่เล่นเกมโต้ตอบไปมาเพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เรามีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบอยู่ในมือซึ่งกำลังลงมือทำ และเราทำได้ อย่างแน่นอน ในขณะที่นโยบายกำลังเดินไปข้างหน้า พรรคเพื่อไทยก็กำลังพัฒนาไม่หยุดยั้งเพื่ออนาคตของประเทศไทย รัฐบาลเพิ่งปรับ ครม.ซึ่งมีเสียงจากนักวิชาการหลายท่านที่น่าเชื่อถือได้ให้คำยืนยันว่า ถูกฝาถูกตัวมากที่สุด ทุกอย่างกำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่มีทางเลยที่เราจะแย่กว่าเดิม เรารู้ว่าการทำงานให้บ้านเมืองนั้น เป็นงานที่ Thank Less and End Less ต้องทุ่มเทและไม่มีวันสิ้นสุด แต่เราเต็มใจที่จะทำ เพราะเราเป็นพรรคการเมืองแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อความเจริญของประเทศ" น.ส.แพทองธาร กล่าว

‘เศรษฐา’ ห่วงปัญหาภัยแล้ง สั่ง!! ‘ก.กลาโหม’ บริหารจัดการ เร่งจัดหารถบรรทุกน้ำทหาร บรรเทาความเดือดร้อนเกษตรกร

(3 พ.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชัน X ถึงปัญหาภัยร้อนและภัยแล้งว่า ภัยร้อนและภัยแล้งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ รัฐบาลทราบถึงปัญหา และมีความเป็นห่วงว่าจะส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งภาคเกษตรกรรม ความเป็นอยู่ การลงทุน รวมถึงการท่องเที่ยว จึงสั่งการให้ทุกหน่วยงานวางแผนบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรมเพื่อรับมือและบรรเทาสถานการณ์ และช่วยเหลือพี่น้องประชาชน

“นอกจากนี้ ผมได้ประสานสั่งการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทยซึ่งกำกับบรรเทาสาธารณภัยให้ดูแลเรื่องน้ำ ซึ่งขณะนี้มีรถผลิตน้ำดื่มเคลื่อนที่ และรถขนน้ำไปให้บริการประชาชน รวมถึงกำลังเร่งการขุดลอกแหล่งน้ำ และซ่อมบำรุงระบบประปาแก่ชุมชนด้วย ผมยังสั่งการไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้นำสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ภัยแล้ง โดยให้กองบัญชาการทหารพัฒนา กรมการทหารช่าง มณฑลทหารบกทุกมณฑล และหน่วยทหารทุกหน่วยที่อยู่ใกล้ชุมชน ใช้รถบรรทุกน้ำของทหารฯ ที่มีอยู่ทั่วประเทศเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกร (โดยเฉพาะพืชที่มีมูลค่าสูง) ร่วมกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ในรูปแบบกองกำลังเฉพาะกิจ ซึ่งผมได้กำชับให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องรายงานสถานการณ์มาทุกระยะเพื่อพิจารณาปรับแผนการดำเนินการที่เหมาะสมครับ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

‘นายกฯ เศรษฐา’ ร่วมงาน ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ ลั่น!! การจะเดินไปถึงเป้าหมาย ต้องมีช่วงเวลาที่ ‘อัพแอนดาวน์’ วอน!! โฟกัสส่วนที่ดี

(3 พ.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวในหัวข้อ ‘4 ปีรัฐบาลเปลี่ยนประเทศ เติมประเทศไทยให้เต็ม 10’ ภายในงาน ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ว่า “ช่วงหนึ่งปีที่ตนก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ ตั้งแต่การลงพื้นที่หาเสียง การตั้งรัฐบาลมีอะไรหลายอย่างที่อาจขัดสายตา มีวาทกรรมต่าง ๆ แต่หน้าที่เราคือ การฟอร์มรัฐบาลที่มีความมั่นคง ทำงานร่วมกันเพื่อดูแลทุกคนอย่างทั่วถึง” 

นายเศรษฐา กล่าวว่า “10 เดือนที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์ การที่เราไม่เสียเวลาไป 10 เดือน เราได้อะไรมาบ้าง อย่างตอนลงพื้นที่อุบลราชธานี ได้รับข้อมูลว่าน้ำท่วมมาโดยตลอด ก็ได้พูดคุยกับกรมชลประทาน / รมว.เกษตร แม้จะเป็นคนละพรรค สิ่งที่ตามมาปีนี้น้ำไม่ท่วม ตอนไป จ.ศรีสะเกษ ทราบว่าราคาหอมแดงอยู่ที่ ราคา 7-8 บาท ตอนไปตลาด อตก.เห็นราคา 200 บาท 193 บาทหายไปไหน ตนเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือว่าราคาหอมแดงต้องเป็น 13-15 บาท เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กแต่เป็นแรงบันดาลใจอีกอย่างหนึ่ง วันนี้ราคาสินค้าการเกษตรหลักขึ้นยกแผง แต่พืชรองเราให้ความเท่าเทียมที่จะดูแล ราคาต้องถูกยกขึ้นหมด เราจะเปิดตลาดใหม่ ให้เป็นเคพีไอใหม่ให้กระทรวงพาณิชย์”

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า “ปัญหาฝุ่น PM2.5 ก็ดีขึ้นถ้าเราไม่ได้เข้ามา ตัวเลขคงสูงกว่านี้ เรื่องราคารถไฟฟ้า ตนก็พูดกับนายสุริยะมาโดยตลอดเพื่อให้ฝันเราเป็นจริง ถ้าไม่มีรัฐบาลมา 10 เดือนเรื่องเหล่านี้อยู่ตรงไหน เราอยู่ใต้กติกาที่ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน เราต้องหยิบเรื่องนี้ขึ้นมา และอีกเรื่องหนึ่งที่เราให้ความสำคัญคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีพระชนมายุครบ 72 พรรษา เรื่องนี้รัฐบาลมีแผนงานหลายอย่างที่จะช่วยเหลือประชาชนผ่านโครงการต่าง ๆ ขอให้ทุกคนช่วยกันน้อมรับปฏิบัติและช่วยกันคิดว่าจะช่วยกันทำอะไรที่เป็นสาธารณกุศลได้ ตนเชื่อว่าระยะเวลาอันใกล้พรรคเราจะมีนโยบายอย่างชัดเจน”

นายเศรษฐา เผยต่อว่า “เหลือเวลา 3 ปีนิด ๆ เราเตรียมนโยบายไว้หลายอย่างเพื่อไปถึงเป้าหมาย การจะเดินไปถึงเป้าหมายได้ ต้องผ่านอะไรอีกหลายอย่าง ต้องมีช่วงเวลาที่อัพแอนดาวน์ มีเวลาที่เสียใจ พอใจ ถูกใจ ไม่ว่าในมิติไหน ทั้งนิติบัญญัติ บริหาร ตำแหน่งต่าง ๆ ที่ต้องดูแลกัน ตนเชื่อว่าถ้าเราทุกคนมุ่งมั่น มีความสามัคคี เข้าใจซึ่งกันและกัน เห็นใจเขาเห็นใจเรา เชื่อว่าถนนที่เดินไปข้างหน้าจะสะดวกขึ้น ง่ายขึ้น การทำงานของ สส.ร่วมกับคณะทำงานในพรรค ร่วมกับฝ่ายบริหารเป็นกลไกสำคัญ 7-8 เดือนที่ผ่านมา เราเกือบไม่มีการประสานงานกันเลย แต่ตอนนี้เราทำงานกันได้ดีขึ้น อยากให้โฟกัสส่วนที่ดีที่ทำกันมา อยู่ด้วยกันมาอาจจะพอใจกันมาพอใจ 60 ไม่พอใจ 40 ตนก็จะขอให้โฟกัสที่ 60 ที่เรารักกันเข้าใจกันมีความปรารถนาดี แล้วสร้างให้เป็น 61 62 63 ไม่ใช่โฟกัสที่ 40% ที่เราไม่พอใจกัน ไม่เช่นนั้นมันจะเพิ่มขึ้น เชื่อว่าหัวหน้าพรรค ผู้ใหญ่ในพรรค สส.ทุกคน เห็นความมุ่งมั่นของทุกคน ไม่ใช่แค่ของตน ของรัฐมนตรีหรือของกรรมการบริหารอย่างเดียว เชื่อว่าทุกคนเห็นถึงความตั้งใจจริงและจุดประสงค์ที่เรามาร่วมอยู่ตรงนี้ ตนไม่ได้มาเพื่อตำแหน่งนายกฯ แต่ต้องการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่คนไทยทุกคน เป็นหน้าที่ของทุกคนที่อยู่ในนี้ ไม่ว่ารุ่นใหม่รุ่นเก่า เป็นรัฐมนตรีหรือไม่เป็นรัฐมนตรี แต่เราอยู่ด้วยจิตใจที่อิงอยู่กับประชาชน อยากให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เชื่อว่านโยบายที่เราเสนอไปเป็นที่ประจักษ์ว่าเรามีความตั้งใจจริง”

“แต่ระหว่างที่เรากำลังเดินทางไปต้องมีช่วงขึ้นและลงเป็นธรรมดาของความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเรากันเองหรือเรากับประชาชน แต่เรามีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ดูแลประชาชนให้ดีที่สุด ผมตระหนักดีเสมอ ไม่ว่าเป็นแค่สมาชิกพรรค เป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือนายกฯ ไม่มีอะไรสำคัญเท่า 4 ปี ชีวิตประชาชนจะต้องดีขึ้น” นายกฯ ทิ้งท้าย

จาก 'เศรษฐา' เกยตื้น 157 ถึงเกมลึกสกัดนายกฯ อบจ.สีส้ม

ปัญหาคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของ 'พิชิต ชื่นบาน' ที่ถูกยกชั้นเรียกขานกันใหม่ว่าเป็น 'รมต.ถุงขนม' อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล่น ๆ 

ใครที่ได้อ่านหนังสือลับมากที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตอบกลับสำนักเลขาธิการ ครม.ถามเรื่องคุณสมบัติต้องห้ามของ รมต.เฉพาะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (6) แล้ว พอจะอ่านออกว่าอะไรเป็นอะไร...

กรรมการกฤษฎีกาย้ำคำว่า “เฉพาะตามมาตรา 106(7)”...และตอนท้ายก็ย้ำอีกทีว่า คำถามที่ถามไป...ถามเฉพาะมาตรานี้เท่านั้น...

ต้องเท้าความสั้น ๆ กันลืมว่า นายพิชิตนั้นไปนอนคุก 6 เดือนเมื่อปี 2551 เพราะ 'คำสั่งให้จำคุก' ฐานละเมิดอำนาจศาล (กรณีถุงขนม) ยังไม่ถึงขึ้น 'ต้องคำพิพากษาให้จำคุก'

เมื่อตีความมาตรา 106 (6) ก็ว่าไปตามนั้น...ที่ผ่าน ๆ มา ก็ยังไปสมัคร สส.ได้ แต่รอบนี้เป็นรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการ ครม. ทำไมไม่ได้ถามถึง (4) และ (6) ของมาตรา 160 ด้วยเล่า...เพราะ 160 บัญญัติว่า ...รัฐมนตรีต้อง (4) มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ (6) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง....

คุณสมบัติของเสนาบดีนั้นเข้มข้นหรือสูงกว่า สส.

จัดครม.รอบแรกมีการแตะเบรกไม่เสนอชื่อ 'พิชิต' แต่ปรับ ครม.หนนี้ เมื่อ 'นายใหญ่' เคาะ 'นายกฯ นิด' มีหรือจะกล้าขวาง...ปัญหามีอยู่ว่าตอนนี้กลุ่มต่าง ๆ ได้ไปยื่นเรื่องนี้อย่างพร้อมพรึ่บ ทั้ง กกต., ปปช. และผู้ตรวจการแผ่นดิน...คำตอบสุดท้ายหากศาลรัฐธรรมนูญชี้เปรี้ยงปร้างว่า คุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญ...พิชิตคงไม่เป็นไร แต่คนชื่อ 'เศรษฐา' ก็คงต้องถูกฟ้องเอาผิดตามมาตรา 157 ทุจริตประพฤติมิชอบต่อหน้าที่...

ตกเก้าอี้...ตายน้ำตื้น คล้ายอดีตท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช เมื่อปี 2551 ก็เป็นได้...

แถมท้ายอีกเรื่อง...กรณี 'บิ๊กแจ๊ส' พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานีลาออกจากตำแหน่ง ก่อนครบวาระในวันที่ 19 ธ.ค. 2567 อ้างว่า ช่วง 6 เดือนหลังจังหวัดมีงานใหญ่งานสำคัญมากมาย ต้องใช้งบประมาณ และดำเนินการต่าง ๆ แต่ตามข้อกฎหมายเมื่อเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งจะทำอะไรแทบไม่ได้ กฎหมายห้าม...จึงตัดสินใจลาออกเพื่อเลือกตั้งใหม่ใน 60 วัน

ไม่เพียง 'บิ๊กแจ๊ส' เท่านั้นที่ลาออก แต่ยังจะมีอีก 2 เสือลุ่มน้ำเจ้าพระยา พล.ต.อ.สมศักดิ์ จันทะพิงค์ นายก อบจ.นครสวรรค์, 'กำนันตี๋' สุรเชษฐ์ นิ่มสกุล นายก อบจ.อ่างทอง...ลาออกเช่นกัน...

อ่านเกมผิวเผิน...เหตุผล 'บิ๊กแจ๊ส' พอรับฟังได้เล็กน้อย แต่ถ้าอ่านไพ่ให้ทะลุงานนี้ล้ำลึก...สรุปสั้น ๆ 

1) คู่แข่งตั้งตัวไม่ทัน  
2) บรรดา สจ.ยังอยู่ในตำแหน่ง ไม่ต้องเลือกตั้งใหม่ คนเป็นแม่ทัพประหยัดงบฯ ได้อื้อ 
3) หากชนะใช้งบประมาณสร้างผลงานต่อเนื่อง...

น่าสังเกตว่า ทั้ง 3 นายกฯ อบจ.ที่กอดคอกันลาออกรอบนี้ มีสายโยงใยไปถึงคนใหญ่คนโตภูมิใจไทย ทั้งอุทัยธานีและบุรีรัมย์...

งานนี้คนที่เข็มขัดสั้น...คาดไม่ถึงน่าจะชื่อ 'ธนาธร' แห่งคณะก้าวหน้า...ที่กำลังวาดภาพ นายกอบจ.สีส้มเต็มแผ่นดินต้นปี 2568 หลังกวาด สว.สีส้มในเดือนก.ค.ปีนี้...

เจอกระบวนท่านี้ สีส้มมีหมอง!!


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top