Wednesday, 8 May 2024
Politics

นายกเตรียมเปิดบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว พร้อมทดลองนั่งรถไฟฟ้าไร้คนขับสายสีทอง เที่ยวแรก 16 ธ.ค. 63 นี้

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเป็นประธานการเปิดบริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรอง สายสีทอง 

โดยนายกรัฐมนตรีและสื่อมวลชน จะได้ร่วมโดยสารรถไฟฟ้าสายสีทองที่เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียวจากสถานีกรุงธนบุรี ไปยังสถานีคลองสาน เพื่อเป็นการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีทอง เที่ยวปฐมฤกษ์ ในวันพุธ ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้ 

ด้วยการพัฒนาระบบรถขนส่งมวลชนแบบไร้รอยต่อระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีทองนี้ ทำให้สามารถเชื่อมการเดินทางของประชาชนถึง 3 จังหวัด คือ ปทุมธานี กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ เพิ่มทางเลือกในการเดินทางสำหรับประชาชน รวมทั้งรถไฟฟ้าสายสีทองยังเป็นระบบรถไฟฟ้าล้อยางไร้คนขับสายแรกของประเทศไทย ช่วยลดมลพิษและประหยัดพลังงานอีกด้วย

ทั้งนี้ การเปิดให้บริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เพิ่มจำนวน 7 สถานี (สถานีพหลโยธิน59 สถานีสายหยุด สถานีสะพานใหม่ สถานีโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช สถานีพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ สถานีแยกคปอ. และสถานีคูคต)

ซึ่งเป็นส่วนสุดท้าย เป็นผลให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ประสบความสำเร็จ ในการเปิดให้บริการครบทุกสถานี  ตลอดเส้นทาง ทั้ง 59 สถานี รวมระยะทางกว่า 68 กิโลเมตร คาดว่าเมื่อรวมกับเส้นทางที่เปิดสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 1,500,000 เที่ยว/คนต่อวัน  

ขณะที่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีทองเป็นโครงการขนส่งมวลชนขนาดรอง ระยะที่ 1 มีระยะทาง 1.8 กิโลเมตร ประกอบด้วย 3 สถานี คือ กรุงธน - เจริญนคร - คลองสาน  เป็นระบบขนส่งมวลชนแบบนำทางอัตโนมัติ Automated Guideway Transit (AGT) หรือรถไฟฟ้าระบบ Automated People Mover (APM)  คาดการณ์ผู้โดยสาร 42,000 เที่ยวคน/วัน ซึ่งสามารถเชื่อมโยงการเดินทางด้วยระบบล้อ ราง รวมทั้งการเดินทางด้วยเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยาอีกด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลทั้ง 14 สาย ระยะทางกว่า 553.41 กิโลเมตร ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 9 เส้นทาง และตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปจะมีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าในทุกๆ ปี เช่น พ.ศ.2564 ได้แก่ สีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต) สีแดงอ่อน (บางซื่อ–ตลิ่งชัน) ปี พ.ศ.2565 สีชมพู (แคราย-มีนบุรี)  สีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และ ปี พ.ศ.2566  สีแดงเข้ม (รังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต)  สีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-ศาลายา) - สีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-ศิริราช) เป็นต้น  

"ทั้งนี้ รัฐบาลยังมีการลงทุนพัฒนาระบบราง ทั้งรถไฟฟ้า​  รถไฟ​ทาง​คู่ รถไฟ​ทางสาย​ใหม่​ และ​รถ​ไฟความเร็ว​สูง​ที่อยู่รหว่างการดำเนินสูงถึง 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อเป็นแกนหลักการเดินทางและขนส่งของประเทศ ยกระดับการเดินทางของประชาชนในกรุงเทพฯ และภูมิภาคต่างๆ ให้มีความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน" โฆษกรัฐบาลกล่าวย้ำ

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (12 ธันวาคม พ.ศ.2563)


ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 12 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,192 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 12 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 3,915 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 217 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 12 ราย เป็นสวีเดน 1ราย สหราชอาณาจักร 1 ราย เยอรมัน 1 ราย บาห์เรน 7 ราย อินเดีย 1 ราย คูเวต 1 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 147 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 357 ราย รักษาหายแล้ว 307 ราย  ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.99 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.92 แสน เสียชีวิต 18,336 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 33 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 78,499 ราย รักษาหายแล้ว 66,236 ราย เสียชีวิต 396 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.04 แสน ราย รักษาหายแล้ว 82,813 ราย เสียชีวิต 2,201ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.46 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.09 แสน ราย เสียชีวิต 8,701 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,297 ราย รักษาหายแล้ว 58,188 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,385 ราย รักษาหายแล้ว 1,225 ราย เสียชีวิต 35 ราย
 

“ศรีสุวรรณ” ย้ำรัฐบาลต้องฟังเสียง ประชาชน หลังชาวจะนะ ปักหลักชุมนุมรอคำตอบยกเลิกโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ

นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏว่า มีประชาชนชาวจะนะ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาและเครือข่าย เดินทางมาปักหลักชุมนุมบริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ หน้าทำเนียบรัฐบาลและถูกให้ย้ายไปอยู่ริมฟุตบาทถนนพระราม 5 เลียบคลองเปรมประชากรเพื่อรอคำตอบจากรัฐบาลเพื่อขอให้ยกเลิกโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ

โครงการดังกล่าว เป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่ ครม. ปี 2562 พยายามที่จะผลักดันนิคมอุสาหกรรมจะนะให้เกิดขึ้นในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและอุตสาหกรรมหนัก-เบา รวมทั้งการเปลี่ยนพื้นที่ตามผังเมืองจากเดิมเป็นสีเขียวเป็นสีม่วง และการที่รัฐบาลกำหนดให้ ศอ.บต เป็นกลไกหลักในการผลักดันโครงการดังกล่าวก็ถือว่าเป็นการผิดฝา ผิดตัว ซึ่งทำให้กลไกทางกฎหมายผิดเพี้ยนไปเสียสิ้น 

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ เป็นกิจการของเอกชนมิใช่ของรัฐ และต้องใช้เนื้อที่กว่า 16,700 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 3 ตำบล คือ ตำบลสะกอม ตำบลตลิ่งชัน และตำบลนาทับ ถือได้ว่าเป็นโครงการนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้

ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับประชาชนในพื้นที่ในหลายมิติ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม การกัดเซาะชายฝั่งทะเล มลพิษ สูญเสียแหล่งจับสัตว์น้ำของชาวประมงพื้นบ้าน เสียพื้นที่เพาะปลูก รวมถึงสังคมวัฒนธรรมของชาวไทยพุทธ และชุมชนชาวมุสลิมที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่สามารถหวลกลับมาได้ ดังเช่น กรณีมาบตาพุด เป็นตัวอย่างที่เห็นกันได้ชัด ๆ การผลักดันโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ส่อไปในทางที่ขัดต่อกฎหมายหลายประการ มีการเร่งรีบในการผลักดันอย่างน่าเกลียด โดยไม่ฟังเสียงประชาชนในพื้นที่และประชาชนผู้เป็นเจ้าของทรัพยากร

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า “การปรากฏตัวของตัวแทนประชาชนชาวจะนะ ที่ข้างทำเนียบรัฐบาล เพื่อหยุดยั้งนิคมอุตสาหกรรมจะนะก้าวหน้าแห่งอนาคต คือ ความกล้าหาญในทวงคืนสิทธิชุมชน ทวงคืนความเป็นธรรมของพวกเขาและชุมชน 


“การปักหลักรอคำตอบของประชาชนชาวจะนะโดยสงบสันติ เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งรัฐบาลที่อ้างว่าเข้าใจและฟังเสียงของประชาชนมาโดยตลอด จะต้องเงี่ยหูรับฟังเจตจำนงของชาวจะนะเหล่านั้น ด้วยความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และจะต้องมีคำตอบที่งดงามให้กับชาวจะนะ ในการหวลกลับคืนบ้านเกิดในวันข้างหน้า หาใช่ใช้วิธีการอันไม่เหมาะสมในการยุติการชุมนุมโดยสงบของพี่น้องชาวจะนะ


“รัฐบาลที่ดี ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ เป็นโครงการที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรง เป็นโครงการจะละเมิดทำลายทรัพยากรธรรมชาติเเละสิ่งเเวดล้อมโดยไม่สามารถเรียกฟื้นเอากลับคืนมาได้ หากรัฐบาลจะอ้างการพัฒนาจะต้องตั้งอยู่บนความถูกต้องชอบธรรม เคารพต่อวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ จึงจะชอบ”

“เทพไท” ชี้ความแตกแยกร้าวลึกกว่าอดีต แนะรัฐบาลจัดการผู้ดึงเบื้องสูงมาเป็นคู่ขัดแย้ง

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงบรรยากาศทางการเมืองของประเทศในขณะนี้ว่า ความขัดแย้งทางการเมืองและความแตกแยกในสังคมกำลังร้าวลึกมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา  ที่เป็นความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนระบอบทักษิณ กับกลุ่มที่ต่อต้านระบอบทักษิณ 

จนเกิดการชุมนุม หรือม็อบสีเสื้อขึ้นมา และขยายผลมาเป็นการชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จากกลุ่ม กปปส. จนมีการยุบสภา และบอยคอตการเลือกตั้ง เพราะต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง จนบ้านเมืองเข้าสู่ทางตัน และมีการรัฐประหารของ คสช. เข้ามาควบคุมการบริหารประเทศในฐานะคนกลาง 

เพื่อต้องการให้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติไม่มีความขัดแย้งใดๆต้องการสลายสีเสื้อทางการเมือง จึงมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา เพื่อใช้ปกครองประเทศ และจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เป็นการคืนอำนาจให้กับประชาชน จึงได้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ คสช. ยกร่างขึ้นมาเอง จนเป็นที่มาของการสืบอำนาจ และเป็นจุดเริ่มต้นความขัดแย้งในปัจจุบันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งกำลังลุกลามไปอย่างกว้างขวาง 

มีการดึงเอาสถาบันเบื้องสูงเข้ามาเกี่ยวข้องทางการเมืองด้วย ซึ่งแตกต่างกับความขัดแย้งในอดีต ที่เกิดขึ้นระหว่าง ความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มการเมือง2กลุ่มเท่านั้น แต่ปัจจุบันเป็นความขัดแย้งที่พยายามจะดึงสถาบันเบื้องสูงเข้ามาเป็นคู่ขัดแย้งด้วย มีการเคลื่อนไหวยื่นข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบัน และมีการเคลื่อนไหวให้ยกเลิกการใช้มาตรา 112 ซึ่งเป็นข้อขัดแย้งที่ก้าวข้ามรัฐบาลในการเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออก หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปแล้ว 

นายเทพไท กล่าวอีกว่า “จึงขอให้รัฐบาลได้รีบตัดไฟแต่ต้นลม ตัดตอนความขัดแย้งไม่ให้ลุกลามไปถึงสถาบันเบื้องสูง และต้องไม่ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแอบอ้างดึงสถาบันเบื้องสูง มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของฝ่ายตัวเอง และห้ามไม่ให้มีการจาบจ้วง ก้าวล่วงถึงสถาบันเบื้องสูงอีกด้วย  ถ้าหากรัฐบาลไม่รีบตัดตอนหรือแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง จำกัดให้เป็นแค่คู่ขัดแย้งกับรัฐบาล ก็จะทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน อาจจะพัฒนาไปสู่การเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นได้ แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ”
 

หัวหน้าการ์ด​ WEVO ผุด 'เวียดกงโมเดล'​ ป่วนเมืองแบบคล่องแคล่ว ว่องไว ซ่องสุ่ม รอคอย และล่าถอยเมื่อภัยมา ยึดพิกัดประท้วงตามตรอกซอกซอย​ หวังให้รัฐหัวหมุน

กลุ่มม็อบได้ยุทธวิธีป่วนครั้งใหม่​ ผ่าน​รูปแบบ​ 'เวียดกงโมเดล'​ โดย​ ปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้ อายุ 30 ปี หัวหน้าการ์ดอาสาวีโว่ (WEVO) อดีตผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 1 พรรคอนาคตใหม่ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 'โตโต้ ปิยรัฐ - Piyarat Chongthep'​ ระบุว่า

"การเคลื่อนไหว 'เวียดกงโมเดล'​ ต่างจากฮ่องกง โมเดล คือ ความคล่องแคล่ว ว่องไว ซ่องสุ่ม รอคอย และล่าถอยเมื่อภัยมา

"โดยตรอกซอกซอยในกรุงเทพมหานคร คือชัยภูมิที่ดีและเหมาะที่สุดในการลำเลียง เสมือนเส้นสายช่องทางใต้ดินของถ้ำเวียดกง ที่ใช้ต่อกรกับมหาอำนาจอเมริกา การเคลื่อนไหวรูปแบบนี้รัฐไทยรับมือไม่ทัน และหัวหมุนกันมากทีเดียว เพราะไม่รู้จะโผล่รูไหน ออกรูไหน หนีรูไหน พอล้อมเรา เราก็ทะลุตรอกซอกซอยไปล้อมคืน และเลี่ยงการปะทะ

"คนมือเปล่าทำได้มากสุดก็เท่านี้ การประท้วงรูปแบบนี้ WEVO เรียกว่า "บางกอกโมเดล" โปรดติดตามตอนต่อไป"

สำหรับเวียดกงที่ ปิยรัฐ กล่าวอ้าง เป็นแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติเวียดนามใต้ หรือ เวียดกง ตัวแทนของพรรคคอมมิวนิสต์ในเวียดนามใต้ เพื่อต่อต้านรัฐบาลเวียดนามใต้ที่สหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุน ในยุคที่เวียดนามแยกประเทศออกเป็น 2 ส่วน

ได้แก่ เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเวียดกงมุ่งเน้นก่อการร้ายและจราจล ใช้กลยุทธ์การรบแบบกองโจร คอยดักซุ่มโจมตีทหารอเมริกันแบบเฉียบพลัน และอาศัยความชำนาญภูมิประเทศหลบหนีอย่างไร้ร่องรอย สุดท้ายร่วมกับกองทัพประชาชนเวียดนามยึดกรุงไซ่ง่อนที่เรียกว่า 'ไซ่ง่อนแตก'​ ในปี พ.ศ. 2518

ทำให้เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้กลับมารวมประเทศกันอีกครั้ง ภายใต้รัฐระบอบคอมมิวนิสต์

ทักษิณ​ 'ทวิ​ตพ้อ'​ คนในบ้านกำลังทิ้งกัน หลังการเมืองบ้านเพื่อไทยระส่ำ​ หลายคนพร้อมเท แต่มั่นใจคนยังรัก​ เชื่ออุดมการณ์พรรคจะนำเพื่อไทยหวนกลับมายิ่งใหญ่

ภายหลังการเมืองและความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทยเริ่มระอุ​ ล่าสุด​ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จึงได้ทวีตข้อความ ในทวิตเตอร์บัญชี Thaksin Shinawatra ขอบคุณทุกคน ที่ยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย ยืนยันไม่เสียใจที่วันนี้มีคนเดินจากไป เพราะไปบังคับหัวใจใครให้อยู่กับพรรคตลอดไปไม่ได้ ย้ำยังมั่นคงในอุดมการณ์ และรักพรรคนี้ที่สร้างขึ้นมากับมือ

"ช่วงนี้ได้ข่าวมีหลายคนที่เดินออกจากพรรคเพื่อไทย หลายคนออกมาโจมตีบ้านเดิมของตัวเอง ผมในฐานะคนที่รักพรรคนี้ซึ่งเป็นพรรคที่ได้วางรากฐานมาตั้งแต่ครั้งเป็นไทยรักไทยมาจากอุดมการณ์อันแน่วแน่ที่ต้องการเห็นประเทศพัฒนาไปข้างหน้าภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่แข็งแรง

"เราจึงได้รวบรวมคนที่มีแนวคิด และอุดมการณ์เดียวกันกับเราจนมาเป็นพรรคการเมืองใหญ่

" ที่ผ่านมา เพื่อรักษาอุดมการณ์นั้น ผมได้ต่อสู้ และสูญเสียอะไรไปมาก ทั้งการไม่ได้อยู่ในแผ่นดินเกิด ไม่ได้อยู่กับครอบครัว และคนที่ผมรัก

"ผมทำเต็มที่มาตลอดเพื่อเดินบนเส้นทางแห่งอุดมการณ์ที่ผมได้ให้สัญญาไว้กับพี่น้องประชาชน และคนที่ฝากความหวังไว้ ดังนั้นผมไม่เสียใจที่วันนี้จะมีคนเดินจากไปเพื่อไปมีเส้นทางใหม่ เพราะผมคงไปบังคับหัวใจใครให้อยู่กับพรรคตลอดไปไม่ได้

"ผมจึงขอขอบคุณคนที่ยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย พรรคที่ผมเคยวางรากฐานไว้ ผมเชื่อว่า อุดมการณ์ที่มั่นคงของพรรคจะนำพาพรรคไปสู่ความสำเร็จได้อย่างที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในอดีต และจะยังสามารถเป็นที่พึ่งที่หวังให้ประชาชนได้อย่างที่เคยเป็นมา" ทักษิณระบุ

ย้อนมองอดีตเส้นทางชีวิต ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ จากอดีตผู้บริหารไทยซัมมิท สู่อดีตหัวหน้า 'อนาคตใหม่' และเงาแห่งผู้บัญชาการทัพม็อบล้มตู่

โดยพรรคการเมืองเลือดใหม่นี้ถูกจุดขึ้นจากอุดมการณ์ของ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" อดีตผู้บริการเครือไทยซัมมิท ที่ต้องการเปลี่ยนหน้าการเมืองไทยให้สะเทือน

หากมองย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของ ‘ธนาธร’ ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่เกมการเมืองอย่างเต็มตัวในปี 2561 เขาคือรองประธานกรรมการบริหารกลุ่มไทยซัมมิท ธุรกิจของครอบครัว ตั้งแต่ปี 2545 เป็นเวลาร่วม 16 ปี ซึ่งเรียกได้ว่าบริษัทผู้ผลิตและส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่อันดับต้น ๆ ของประเทศ

เจาะลึกถึงขุมทรัพย์ ‘ไทยซัมมิท’ ของครอบครัว ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ ที่ปัจจุบันมี สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ แม่ของธนาธร เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

หลังจากพ่อของธนาธร หรือนายพัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ เสียชีวิต ธนาธร จึงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยแม่บริหารธุรกิจ พร้อมน้อง ๆ อีก 3 คนถือหุ้นที่เหลือและร่วมบริหาร ด้วยประสบการณ์การบริหาร ความไว้วางใจกับคู่ค้า และอีกหลายๆ เหตุผลทำให้ไทยซัมมิท สามารถทำรายได้เติบโตต่อเนื่อง จากหลักพันล้าน สู่หมื่นล้าน และหลายหมื่นล้าน​ (80,000 ล้านบาท)​ อย่างในปัจจุบัน

มีธุรกิจในเครือข่ายทั้งอดีตและปัจจุบันราว 102 บริษัท โดยบริษัทที่ 'ธนาธร' เคยเป็นกรรมการมีอยู่ประมาณ 60 บริษัท และในจำนวนนี้ ตามข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่ามีบริษัทที่ยังดำเนินการอยู่ราว 25 บริษัท

นอกเหนือจากธุรกิจใจครอบครัว ธนาธร ยังเคยนั่งตำแหน่งกรรมการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) เนื่องจากเครือญาติเข้าไปถือหุ้นในบริษัทมติชน ตั้งแต่ปี 2556 ต่อมา 14 มี.ค.2561 มติชนแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ธนาธร ได้ลาออกจากตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อย

อีกหนึ่งธุรกิจที่เกี่ยวข้องและเป็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือ การถือ "หุ้นวี - ลัค" หรือหุ้นบริษัท วี - ลัค มีเดีย จำกัด (มหาชน) ของธนาธร ที่เข้าข่าย เข้าข่ายเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เนื่องจากถือหุ้นในธุรกิจสื่อ

ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัยคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้พิจารณาว่าสมาชิกภาพการเป็น ส.ส. ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) เนื่องจากถือหุ้นสื่อ บริษัทวี - ลัค

แม้ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าการบริหารธุรกิจครอบครัวเพื่อความมั่งคั่งจะยังไปได้สวย แต่ตลอดระยะเวลาที่นั่งตำแหน่งบริหารธุรกิจ 'ธนาธร' ยังคงตั้งเป้าเดินตามอุดมการณ์ทางการเมืองของตัวเอง ที่เป็นเรื่องที่สนใจตั้งแต่สมัยเรียน และอยากสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในการเมืองไทย

ทำให้ ธนาธร ขอพ้นจากทุกตำแหน่งในบริษัทเครือไทยซัมมิท ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา เพื่อลุยการเมืองเต็มตัวภายใต้ พรรคอนาคตใหม่ ในฐานะ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ อย่างเป็นทางการ

แน่นอนว่า เส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรืออาจจะไม่มีกลีบกุหลาบในเส้นทางการเมือง เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ธนาธร ยังคงต้องรับมือกับจุดเปลี่ยนผ่านที่คาบเกี่ยวระหว่างการเป็น ‘นักธุรกิจ’ สู่ ‘นักการเมือง’ อย่างเต็มตัว ที่ต้องรุกไปให้ถึงเป้าหมายที่ตัวเองและพรรคอนาคตใหม่วางเอาไว้ และต้องตั้งรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นแบบไม่คาดคิดด้วยเช่นกัน

หนึ่งในนั้นคือวันศุกร์ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 เวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีเงินกู้พรรคอนาคตใหม่ โดยมีคำวินิจฉัยขององค์คณะตุลาการ ได้มีมติสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ ตามมาตรา 92 ในคดีกู้เงิน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค จำนวน 191.2 ล้านบาท ขัดต่อรัฐธรรมนูญและ เพิกถอนสิทธิกรรมการบริหาร และ ห้ามจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่ เป็นเวลา 10 ปี ตามมาตรา 94

หลังจากสิ้นสุดสถานะการเป็นพรรคการเมืองของอนาคตใหม่​ ก็เกิดเมล็ดพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า​ 'ก้าวไกล'​ ขึ้นมาทดแทน

จากวันนั้นประเทศไทย​ ก็เริ่มเข้าสู่บรรยากาศแห่งการแตกแยกอีกครั้ง​ และเกิดกลุ่มม็อบหลากคอนเซ็ปต์​ ทั้งคณะราฎร​ ปลดแอก​ และอีกมากมาย​ ที่เดินตามแนวทางของ​ ธนาธร

เป้าหมายชัด​ ไม่ใช่แค่ซัดรัฐบาลหรือลุงตู่​ให้ร่วง​ ผ่านพลังของคนรุ่นใหม่ แต่ดูจะเหนือกว่านั้น​ จนวันนี้ไม่แน่ใจว่าเขาจะหาทางลงที่สวยงามได้​รึเปล่า​ ในสถานการณ์ที่ดูเหมือน

เป็นรองลงไปทุกวัน...

คาบสมุทรสทิงพระ จ.สงขลา น้ำท่วมขังเริ่มส่งกลิ่นเหม็น “นิพนธ์ รมช.มท.” สั่งเร่งระบายน้ำ ย้ำชัด อุทกภัยภาคใต้รัฐดูแลเต็มที่

นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่อำเภอกระแสสินธุ์(บนคาบสมุทรสทิงพระ)จังหวัดสงขลา เพื่อติดตามการมอบมอบถุงยังชีพให้แก่พี่น้องประชาชนบ้านโคกแห้ว ตำบลโรง อำเภอกระแสสินธุ์ จำนวน 200 ชุด ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในพื้นที่ในช่วง 2 - 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา

นายนิพนธ์ ได้กล่าวว่า "ได้นำความห่วงใยจากรัฐบาล ท่านนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีทุกท่านมายังพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยทุกคน ซึ่งตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน คณะรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้มีปริมาณน้ำมากกว่าปกติ ทำให้มีผู้เสียชีวิตในพื้นที่ภาคใต้ถึง 30 ราย ถือเป็นตัวเลขที่สูง และทางรัฐบาลไม่อยากให้เกิดขึ้น 

“พร้อมขอย้ำให้พี่น้องประชาชนดูแลความปลอดภัยชีวิตเป็นอันดับแรก อย่าประมาท โดยเฉพาะบุตรหลาน อย่าปล่อยให้ลงเล่นน้ำ นอกจากนี้ผู้เสียชีวิตบางคนเกิดจากความประมาท เช่น ออกดักปลา จับปลา ฯลฯ ขณะน้ำท่วม โดยคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แต่เนื่องจากปริมาณน้ำมาเร็ว และแรง ทำให้ไม่สามารถต้านทานแรงน้ำได้ จึงทำให้จมน้ำเสียชีวิตในที่สุด"

"อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีการสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำอุปกรณ์ เครื่องจักรกล และเครื่องมือต่าง ๆ ออกมาช่วยพี่น้องประชาชนอย่างใกล้ชิด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ด้วยความห่วงใยของรัฐบาล ยังคงเน้นย้ำให้รักษาชีวิตเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนเรื่องอื่น ๆ ไม่ต้องกังวล ไม่ว่าจะเป็นด้านปศุสัตว์ หรือด้านเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ขอให้ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นหลักฐาน เพื่อแจ้งข้อมูลแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามความเป็นจริง ในการให้ความช่วยเหลือตามระเบียบของทางราชการต่อไป ซึ่งตั้งแต่เกิดสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ในช่วงที่ผ่านมา ก็ได้มีการสั่งการไปยังหน่วยงานรับผิดชอบอย่างเต็มที่รวมถึงการเยียวยาความเสียหายหลังน้ำลด เพื่อให้ความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว" 

จากนั้น รมช.มท. และคณะได้เดินทางไปตรวจติดตามการเร่งระบายน้ำท่วมขังออกจากพื้นที่ตำบลโรง และตำบลเชิงแส อำเภอกระแสสินธุ์ ที่ขณะนี้สภาพน้ำท่วมขังเริ่มเน่าเสีย ส่งกลิ่นรบกวน กระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่แล้ว

ในการนี้รมช.มท.ได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้มีการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องโดยใช้เครื่องสูบน้ำของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ลดปัญหาความเดือดร้อนจากน้ำเน่าเสียให้แก่พี่น้องประชาชน และได้เดินทางไปยังอำเภอสิงหนคร เพื่อติดตามการนำถุงยังชีพไปแจกจ่ายบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ตำบลชะแล้ อำเภอสิงหนคร จำนวน 500 ชุด อีกด้วย

ทั้งนี้ สำหรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลา ตามที่ได้เกิดฝนตกหนัก ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน - 12 ธันวาคม พ.ศ.2563 มีพื้นที่ประสบสาธารณภัย รวม 15 อำเภอ 81 ตำบล 470 หมู่บ้าน 68 ชุมชน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 58,828 ครัวเรือน 166,026 คน อพยพ 32 คน มีผู้เสียชีวิต 2 คน และในขณะนี้สถานการณ์ปัจจุบันได้มีการคลี่คลายแล้ว จำนวน 11 อำเภอ และส่งผู้อพยพกลับไปยังบ้านเรือนที่อยู่อาศัยเรียบร้อยแล้ว และยังคงมีพื้นที่น้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่ม จำนวน 4 อำเภอ บนคาบสมุทรสทิงพระ ประกอบด้วย อำเภอกระแสสินธุ์ อำเภอสิงหนคร อำเภอระโนด และอำเภอสทิงพระ รวม 15 ตำบล 46 หมู่บ้าน 1,419 ครัวเรือน 4,455 คน

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (13 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 17 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,209 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 8 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 3,923 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 226 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 17 ราย เป็นคนไทย 13 ราย สัญชาติอินเดีย 1 ราย สวิสเซอร์แลนด์ 1 ราย ปากีสถาน 1 ราย อังกฤษ 1 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 147 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 357 ราย รักษาหายแล้ว 307 ราย  ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 6.05 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.927 แสน เสียชีวิต 18,511 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 33 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 80,309 ราย รักษาหายแล้ว 67,173 ราย เสียชีวิต 402 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.06 แสน ราย รักษาหายแล้ว 84,338 ราย เสียชีวิต 2,220 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.47 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.09 แสน ราย เสียชีวิต 8,709 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,305ราย รักษาหายแล้ว 58,192ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,391 ราย รักษาหายแล้ว1,238ราย เสียชีวิต 35 ราย

รมว.แรงงานประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารสำนักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง สาขาปลวกแดง อำนวยความสะดวกให้แก่นายจ้างและผู้ประกันตน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารสำนักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง สาขาปลวกแดง ณ สถานที่ก่อสร้างอาคารสำนักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง สาขาปลวกแดง ตำบลแม่น้ำคู้ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง

พร้อมด้วยนายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในพิธี

โดยมีนายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวต้อนรับ และนายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวรายงาน

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวชื่นชมยินดีกับคณะเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดระยองที่ได้มีการสร้างสำนักงานใหม่ ยินดีกับผู้ประกันตน นายจ้าง เจ้าของสถานประกอบการ ตลอดจนประชาชนทั่วไป ที่จะมีสถานที่ติดต่อราชการแห่งใหม่ที่สะดวกสบายมากขึ้น ทั้งทางด้านการเดินทาง และการอำนวยความสะดวกด้านการให้บริการ จากสำนักงานประกันสังคม

"สำนักงานประกันสังคมมุ่งเน้นนโยบายการให้บริการ การอำนวยความสะดวกผู้ประกันตนและนายจ้างเป็นสำคัญ ที่ผ่านมาสำนักงานประกันสังคมได้พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองการให้บริการที่สะดวกรวดเร็ว ทันสมัย รวมถึงเรื่องอาคารสถานที่ในการรองรับการให้บริการที่เพียงพอและพร้อมต่อการให้บริการเพื่อความพึงพอใจและมีประสิทธิภาพสูงสุดแก่ผู้ประกันตน ตลอดจนนายจ้างเจ้าของสถานประกอบการ ซึ่งเป็นหัวใจของสำนักงานประกันสังคม เป็นภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร อีกทั้งเป็นขวัญกำลังใจ ความภาคภูมิใจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุก ๆ คน ที่พร้อมนำส่งการบริการที่ยอดเยี่ยมในทุกมิติ" รมว.แรงงาน กล่าวในตอนท้าย

สำนักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง สาขาปลวกแดง มีนายจ้างในความรับผิดชอบ จำนวน 2,856 แห่ง ลูกจ้าง 250,000 คน ที่ทำการปัจจุบันเป็นอาคารเช่า เกิดการคับแคบ คณะกรรมการกองทุนประกันสังคม จึงได้อนุมัติเมื่อปี 2562 ให้มีการก่อสร้างที่ทำการใหม่

เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นายจ้างและผู้ประกันตนเป็นสำคัญ และตอบสนองการให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว และทันสมัย รองรับการให้บริการที่เพียงพอและพร้อมต่อการให้บริการ เพื่อความพึงพอใจสูงสุดและเป็นภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร อีกทั้ง เป็นขวัญกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุก ๆ คน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top