Wednesday, 22 May 2024
NewsFeed

‘กีรติ รัชโน’ ปลัดพาณิชย์ เสียชีวิตอย่างสงบ ในวัย 56 ปี หลังเข้ารับการรักษาตัวจากอาการป่วยวูบ-ล้มในบ้านพัก

(19 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีอาการป่วยวูบและล้มที่บ้านพัก เมื่อคืนวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ก่อนส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดีนั้น

ล่าสุดทางครอบครัวรัชโน แจ้งให้ทราบว่า “พ่อจั่น ได้จากไปแล้วอย่างสงบ ในวันที่ 19 เม.ย. 2567 เวลา 03.28 น. ก่อนที่พ่อจั่นจะจากไป พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ได้เทศน์นำทางก่อนลมหายใจสุดท้ายผ่านทางโทรศัพท์”

“ร่างกายเสมือนเป็นบ้าน บ้านของคุณกีรติตอนนี้กำลังจะผุพัง เราจึงไม่ควรไปห่วงหาอาลัยในบ้านที่กำลังจะพังทลายหลังนี้ เมื่อถึงเวลาที่บ้านพังลงมาแล้วก็ขอให้สละบ้านหลังนี้ เพื่อไปยังบ้านหลังใหม่ที่ดีกว่า บ้านที่สร้างจากคุณงามความดีตลอดชีวิตที่คุณกีรติได้สั่งสมมา”

“คุณกีรติไม่ต้องเป็นห่วงคนในครอบครัว ทั้งคุณแม่ ภรรยา และลูกทั้งสองคน ทุกคนจะสามารถอยู่ได้อย่างดีด้วยคุณงามความดีที่คุณกีรติได้ทำไว้ แม้ว่าคุณกีรติจะไม่อยู่แล้ว”

“ตอนนี้คุณกีรติกำลังจะต้องเดินทางไกล สัมภาระอะไรต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเอาไป ความห่วงใยกังวลใจทั้งหลายก็ทิ้งเอาไว้ ขอให้เอาพระรัตนตรัยเป็นสิ่งนำทางในการเดินทางไกลครั้งนี้ สิ่งที่ติดตัวไปคือความดีและบุญกุศลที่สร้างสมมา”

“พ่อจั่นได้อยู่ท่ามกลางครอบครัวอย่างใกล้ชิดจนลมหายใจสุดท้าย และพ่อจั่นได้เดินทางไปสู่สุคติแล้ว หมายกำหนดงานศพจะแจ้งให้ทุกท่านทราบอีกครั้งหนึ่ง”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้สมัยที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายกีรติ ได้ขอย้ายออกจากตำแหน่ง เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ พบว่า เส้นเลือดในสมองมีปัญหา แต่ต่อมาได้กลับเข้ารับราชการอีกครั้ง เมื่อปี 2564 ในตำแหน่งรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ก่อนจะขึ้นดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ แทนปลัดกระทรวงคนเก่าที่เกษียณอายุ 30 ก.ย. 2565

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 เม.ย.67 บุตรสาวของนายกีรติ โพสต์ข้อความว่า “ขออนุญาตรายงานอาการปัจจุบันของคุณพ่อค่ะ วันนี้คุณพ่อมี ชีพจรเร็ว ความดันต่ำ สาเหตุจากการติดเชื้อในกระแสเลือดค่ะ ซึ่งอาการอยู่ช่วงที่วิกฤต ทางครอบครัวอยากใช้เวลากับคุณพ่อให้ได้มากที่สุด จึงขออนุญาตงดเยี่ยมคุณพ่อในช่วงนี้ค่ะ ทางครอบครัวขอขอบคุณความห่วงใยและกำลังใจจากทุกท่าน และขออภัยในความไม่สะดวกค่ะขอบพระคุณค่ะ”

สำหรับประวัติ นายกีรติ รัชโน เกิดเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2510 ปัจจุบันอายุ 56 ปี มีชื่อเลนว่า ‘จั่น’ จบชั้นประถมจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล, ชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย , ปริญญาตรี คณะรัฐศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาสังคมวิทยา, จบปริญญาโท คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สาขาการคลัง สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และระดับปริญญาเอก บริหารธุรกิจ ยูไนเต็ด สเตตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล ยูนิเวอร์ซิตี้ สาขาธุรกิจระหว่างประเทศ และการตลาดระหว่างประเทศ

>> ประสบการณ์การทำงาน

ปัจจุบัน - ปลัดกระทรวงพาณิชย์
พ.ศ. 2564 - 2565 รองปลัดกระทรวงพาณิชย์
พ.ศ. 2562 - 2563 อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
พ.ศ. 2561 - 2562 ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์
พ.ศ. 2559 - 2562 รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
พ.ศ. 2556 - 2559 ผู้อำนวยการกองบริหารการค้าสินค้าทั่วไป กรมการค้าต่างประเทศ
พ.ศ. 2554 - 2556 ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสินค้าข้อตกลง กรมการค้าต่างประเทศ
พ.ศ. 2553 - 2554 ผู้อำนวยการกองนโยบายการค้าและพัฒนาระบบบริหาร

>> ผ่านการอบรม

- หลักสูตรนักบริหารระดับสูง : ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และคุณธรรม (นบส.) รุ่น 79
- หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการค้าและการพาณิชย์ (TEPCoT) รุ่นที่ 11
- หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 63 (วปอ.63)

>> เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดที่ได้รับ

- มหาวชิรมงกุฎ
- ประถมาภรณ์ช้างเผือก

วิเคราะห์ทุนนิยมสไตล์ 'อเมริกัน' VS 'จีน' ฝ่ายหนึ่งละ ฝ่ายหนึ่งแทรกแซงกิจการชาติอื่น

เมื่อพูดถึงเรื่องของ ‘ทุนนิยม’ ผู้คนต่างก็มักจะมองไปยังโลกตะวันตกโดยเฉพาะ ‘สหรัฐอเมริกา’ โดยลืมไปว่า ‘สาธารณรัฐประชาชนจีน’ ก็มีระบบเศรษฐกิจที่มีความเป็น ‘ทุนนิยม’ เฉกเช่นเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่มีระบอบการปกครองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือ ‘คอมมิวนิสต์’ กับ ‘ประชาธิปไตย’ 

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับสองตามติดสหรัฐอเมริกาชนิดหายใจรดต้นคอได้ก็ด้วยเพราะ ระบบเศรษฐกิจแบบ ‘ทุนนิยม’ นับตั้งแต่ท่านเติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำจีนในยุค 1980 ได้นำหลักการตามแนวคิด ‘ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ ก็คือแมวที่ดี’ มาใช้ขับเคลื่อนประเทศ

ด้วยระบบเศรษฐกิจแบบ ‘ทุนนิยม’ นี้เองที่ทำให้จีนใช้เวลาเพียงไม่ถึง 40 ปี ในการเปลี่ยนแปลงประเทศจากความล้าหลังมากมาย จนกลายเป็นความล้ำสุด ๆ และที่สำคัญที่สุดคือ ‘กลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรมของโลก’ ได้เกือบทุกชนิดในราคาที่ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ โดยมี ‘สหรัฐอเมริกา’ ประเทศที่ขนาดเศรษฐกิจอันดับหนึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุด

ทั้งนี้ หากนำความหมายของคำว่า ‘ทุนนิยม’ (Capitalism) อันเป็นระบบเศรษฐกิจซึ่งนายจ้างเป็นเจ้าของปัจจัยในการผลิต ควบคุมการค้า อุตสาหกรรม และวิถีการผลิต โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรในเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี จะมีลักษณะที่สำคัญดังนี้...

(1) เอกชนสามารถถือครองทรัพย์สินได้มากเท่าที่จะหามาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 
(2) การแข่งขันเสรี ซึ่งจะทำให้ผู้ขายเสนอราคาที่เหมาะสมที่สุดด้วยศักยภาพการผลิตที่ดีที่สุด 
(3) ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ซึ่งอนุญาตให้เอกชนสามารถลงทุนในการผลิตหรือใช้จ่ายเงินเพื่อหาซื้อสินค้าและบริการได้ตามความสามารถและความต้องการ โดยไม่มีกฎระเบียบหรือข้อบังคับจากรัฐบาล ด้วยเชื่อว่าที่สุดแล้วจะทำให้ราคาของสินค้าและบริการอยู่ในจุดสมดุลที่ผู้ซื้อและผู้ผลิตเห็นตรงกันว่าราคาอยู่ในช่วงที่เหมาะสม 
(4) มีความอิสระในการบริหาร โดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐบาล 

ด้วยบริบทดังกล่าวนี้ที่ว่ามานี้ ทำให้ระบบ ‘ทุนนิยม’ ของจีนและสหรัฐอเมริกา จึงไม่ได้มีความแตกต่างกันแต่อย่างใดเลย

นับตั้งแต่จีนปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจเป็นไปตามแนวทาง ‘ทุนนิยม’ ระบบเศรษฐกิจของทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างก็เกื้อหนุนกันมาโดยตลอด ระบบเศรษฐกิจของจีนโดยรวมก็เติบโตและมีความแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สหรัฐฯ เองบรรดาผู้ประกอบการ ผู้นำเข้า และนักลงทุนในจีนต่างก็ได้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องเช่นกัน 

ทว่า ก็มีความแตกต่างจากประโยชน์ของสองประเทศที่ได้รับ อาทิ จีนเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจโดยภาพรวมกับประชาชนทุกระดับชั้น ในขณะที่สหรัฐฯ กลับอยู่กับเพียงคนกลุ่มเดียว (ผู้ประกอบการ ผู้นำเข้า และนักลงทุนในจีน) ในขณะที่ประชาชนชาวอเมริกันได้ประโยชน์เพียงการได้บริโภคสินค้าราคาถูกจากจีน 

อย่างไรก็ตาม ระบบ ‘ทุนนิยม’ ของสองประเทศนี้ต่างก็สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชาวโลก 

ถึงกระนั้น หากดูหากภูมิหลัง ความต่อเนื่อง และบริบท ฯลฯ จะพบบทบาทและลักษณะที่เกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจของโลกที่มีความแตกต่างกันจากทั้งสองประเทศ ดังนี้...

ความเป็น ‘ทุนนิยม’ ของสหรัฐฯ มีมาต่อเนื่องยาวนานกว่าร้อยปี จึงมีพัฒนาการและการแผ่ขยายและแพร่กระจายที่เห็นได้ชัดเจนกว่า โดยสหรัฐฯ ตั้งอยู่บนทวีปอเมริกาเหนือและเชื่อมต่อกับทวีปอเมริกาใต้ การขยายตัวด้านเศรษฐกิจและการค้าทางภาคพื้นดินจึงทำได้เพียงสองประเทศ 

ในขณะที่จีนตั้งอยู่ในทวีปเอเชีย ซึ่งเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและประชากรมากที่สุด ทั้งยังสามารถขยายตัวด้านเศรษฐกิจและการค้าทางภาคพื้นดินได้จนถึงทวีปยุโรปซึ่งอยู่ติดกัน อันเป็นที่มาของนโยบาย ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative (BRI) หรือ One Belt One Road (OBOR))’ เพื่อเชื่อมจีนกับสังคมโลกด้วยระบบเศรษฐกิจเครือข่าย

กลับกัน สหรัฐฯ ซึ่งหากจะเชื่อมต่อกับทวีปอื่น ๆ จำเป็นต้องใช้การขนส่งทางน้ำและทางอากาศ สหรัฐฯ จึงยังคงใช้นโยบาย ‘เรือปืน’ (Gunboat Diplomacy) ด้วยการมีฐานทัพทางทหารอยู่ทั่วโลกกว่า 800 แห่ง มีกำลังทางเรือและกำลังทางอากาศที่สามารถปฏิบัติการได้ทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง 

ดังนั้น หากมองพัฒนาการ ‘ทุนนิยม’ ของสหรัฐฯ ที่มีความต่อเนื่องยาวนานกอปรกับนโยบาย ‘เรือปืน’ ปฏิสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ทั่วโลก จึงมีความเป็นระบบมากกว่า และดำเนินการโดยบริษัทการค้าข้ามชาติของสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ และได้รับการสนับสนุนด้านนโยบายที่เอื้อประโยชน์ในด้านต่าง ๆ จากรัฐบาลอเมริกัน 

จากนั้น บริษัทอเมริกันต่าง ๆ จึงสามารถดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศได้อย่างสะดวกสบายโดยมีรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหลังพิง (Back-up) ตราบใดที่ยังคงเสียภาษีให้กับรัฐอย่างถูกต้อง ไม่ทำผิดกฎหมายสหรัฐฯ (และให้การสนับสนุนพรรคการเมืองใหญ่ของอเมริกันทั้งสองพรรค) 

ทั้งนี้ หากมองปฏิสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า ซึ่งเป็นไปในระดับบนหรือระดับชาติเป็นส่วนใหญ่นั้น เพราะสหรัฐฯ เองเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่มากเกือบเท่ากับจีน แต่กลับมีประชากรเพียงหนึ่งในสี่ของประชากรจีน ประกอบด้วยรัฐต่าง ๆ จึงแทบจะไม่เห็น พ่อค้า นักธุรกิจ ชาวอเมริกันมาประกอบธุรกิจขนาดเล็กในประเทศต่าง ๆ 

ขณะที่จีน ซึ่งมีพลเมืองกว่า 1.4 พันล้านคน จะพบว่ามีพ่อค้า นักธุรกิจ ชาวจีนออกมาประกอบธุรกิจมากมายหลายอย่าง ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยของเรา

ฉะนั้น ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ พ่อค้า นักธุรกิจ ชาวจีน จะออกมาประกอบธุรกิจการค้าในต่างแดน โดยไม่มีรัฐบาลจีนเป็นหลังพิง (Back-up) เหมือนกับบรรดาบริษัทอเมริกันทั้งหลาย จึงต้องทำตามกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติของตามแต่ละประเทศนั้น ๆ 

แน่นอนว่า ในประเทศที่ผู้บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัดในการปฏิบัติ ก็จะไม่มีปัญหาในการลักลอบกระทำผิดกฎหมายของคนเหล่านั้น แต่กลับกันในประเทศที่ในประเทศที่ผู้บังคับใช้กฎหมายหย่อนยาน ไม่เคร่งครัด ในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ละโมบ โลภมาก ก็จะมีปัญหาในการลักลอบกระทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น ดังเช่นเรื่อง 'จีนเทา' ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ซึ่งต้องยอมรับว่า เกิดจากความหย่อนยานในการปฏิบัติ ความละโมบโลภมาก เห็นแก่อามิสสินจ้าง ความเกรงกลัวต่ออิทธิพลของผู้มีอำนาจ ฯลฯ ของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเหล่านั้น 

อันที่จริงเรื่องของการกระทำผิดกฎหมาย อาชญากรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในสังคม หากเราทราบเรื่อง มีเบาะแส เกี่ยวกับความไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นทั้งหลายทั้งปวง ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดำเนินการทันที 

...และหากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเพิกเฉยละเลย ในปัจจุบันก็มีช่องทางมากมายในการติดตามหรือเร่งรัด ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัด, กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.), คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องของรัฐสภา, สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลปกครอง เป็นต้น

สำหรับบ้านเราแล้ว ปัญหาจาก ‘ทุนนิยม’ จีน สามารถจัดการแก้ไขได้ง่ายกว่าปัญหาจาก ‘ทุนนิยม’ อเมริกัน เพราะในเรื่องของการทำผิดกฎหมายแล้ว รัฐบาลจีนจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวแทรกแซงกับกิจการภายในของประเทศที่ชาวจีนหรือบริษัทไปสร้างปัญหาหรือทำผิดกฎหมาย ถ้ากระบวนการยุติธรรมของประเทศนั้น ๆ เป็นไปด้วยความถูกต้องและเที่ยงธรรม 

หากแต่ถ้าเป็นประเทศตะวันตกอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาแล้ว รัฐบาลอเมริกันพร้อมที่จะเข้าไปแทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศที่ชาวอเมริกันหรือบริษัทอเมริกันไปสร้างปัญหาหรือทำผิดกฎหมายในเรื่องของเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ไม่ว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศนั้น ๆ เป็นไปด้วยความถูกต้องและเที่ยงธรรมหรือไม่ก็ตาม 

น้ำท่วมหนัก 'นครดูไบ' กระทบ 'ไฟฟ้า-น้ำประปา' ใช้งานไม่ได้ ด้านผู้ประสบภัยเซ็ง ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดเข้ามาช่วยเหลือ

(19 เม.ย.67) น้ำท่วมหนักนครดูไบยังคงวิกฤติ ไฟฟ้าและน้ำประปายังใช้งานไม่ได้ ด้านผู้ประสบภัยบอกว่า ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดเข้ามาช่วยเหลือ

สถานการณ์น้ำท่วมหนักในนครดูไบยังคงวิกฤติ อาสาสมัครนำเรือยางออกไปช่วยรับส่งประชาชนตามอาคารต่าง ๆ ซึ่งต้องเดินทางสัญจรไปบนท้องถนนที่จมอยู่ใต้น้ำ ในขณะที่ไฟฟ้าและน้ำประปายังใช้งานไม่ได้ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาขาดแคลนอาหาร เนื่องจากปัญหาการขนส่ง ด้านผู้ประสบภัยบอกว่า ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดเข้ามาช่วยเหลือ ขณะที่สื่อของทางการรายงานว่า ประธานาธิบดีชีค โมฮัมเหม็ด บิน ซาเยด อัล นาห์ยัน สั่งให้ทางการประเมินความเสียหาย และเร่งให้การช่วยเหลือครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม 

สุนัข ‘ซาร่า’ ขาดใจอย่างทรมาน เพราะเทศบาลจับผิดวิธี แต่ปิดบังความจริง แล้วบอกว่า “หมาหลุด หนีหายไป”

(19 เม.ย. 67) กรณีโซเชียลประกาศตามหาหมาไทยเพศผู้ วัย 4 ปี ชื่อ 'ซาร่า' หลังเจ้าของบ้านติดต่อให้เทศบาลมาจับตัวไป ด้วยเหตุผลที่ว่าซาร่ากัดเจ้าของ ต่อมาหมาซาร่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในขณะขนย้าย กลุ่มคนรักสัตว์จึงประกาศตามหา พร้อมตั้งเงินรางวัลหลักแสน

ล่าสุด มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ Watchdog Thailand Foundation - WDT รายงานว่า นายชูเกียรติ บุญมี นายกเทศมนตรี ต.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ได้เปิดเผยแล้วว่า สุนัชชื่อ 'ซาร่า' ตายแล้ว เพราะการจับผิดวิธีของเจ้าหน้าที่เทศบาล ซึ่งมีทีมจับ 5 ราย

“สุนัขตกใจดิ้นสะบัด ทีมจับกดหัวลงพื้นเพื่อจับสุนัข อีกคนช่วยกดปากกดตัวเพื่อให้สุนัขนิ่ง ระหว่างนั้นหมาช็อกหยุดหายใจ ทีมเทศบาลต่างกลัวความผิดที่ทำหมาตายจึงนำร่างไปฝัง แล้วปิดบังความจริงด้วยการบอกว่า หมาหลุด หนีหายไป”

ทั้งนี้เพจรักสัตว์ ‘มะลิ กะปิ’ ได้โพสต์แสดงความเสียใจเกี่ยวกับประเด็นนี้ นายกเทศบาลรับสารภาพแล้วว่า ซาร่าตายตั้งแต่วันแรกที่ถึงเทศบาล

จากการจับผิดวิธี นั่นคือจุดเริ่มต้นของการโกหกปิดบัง ประชาชนคนรักสัตว์ทั้งประเทศ นี่ไงความจริง ความจริงตามที่เราบอก อยู่ที่ว่าจะยอมรับเมื่อไหร่ สุดท้ายก็ต้องยอมรับ  

‘วันนอร์’ ลั่น!! ไม่เคยยึดติดตำแหน่ง แต่รับไม่ได้ ปรับครม.ลามเปลี่ยนปธ.สภาฯ

(19 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์กรณีกระแสการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีการเชื่อมโยงมาถึงการเปลี่ยนตำแหน่งประธานสภาฯ มีการส่งสัญญาณมาหรือไม่ ว่า ยังไม่มีสัญญาณอะไร แต่การปรับ ครม.กับตำแหน่งประธานสภาฯ เป็นคนละเรื่องกัน การปรับ ครม.เป็นอำนาจนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ ส่วนตำแหน่งประธานสภาฯ ต้องมีการเสนอชื่อเพื่อเลือกในที่ประชุมสภาฯ มีผู้รับรอง แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขณะที่วาระการดำรงตำแหน่งประธานสภาฯเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงข้อบังคับการประชุมสภาฯ

“ในส่วนตัวของผม ไม่เคยติดยึดกับตำแหน่งใด ๆ ถ้าทำได้เพื่อประโยชน์ของประชาชน ผมก็ต้องทำเต็มที่ แต่ถ้าทำไม่ได้ หรือไม่สามารถทำได้ ผมก็ไม่ติดยึด พร้อมที่จะไป แต่ผมขอเรียนว่าตำแหน่งประธานสภาฯ เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติเป็นเสาหลักประชาธิปไตย ต้องทำหน้าที่เป็นกลาง ไม่สามารถมีใครมาแทรกแซงได้ นอกจากนี้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน กำหนดชัดเจน ประธานและรองประธานสภาฯ ต้องไม่เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองใด ๆ เพื่อไม่ให้เกิดความผูกพัน หรือมีการแทรกแซงจากพรรคการเมือง ยืนยันอีกครั้งว่าการปรับครม.เป็นเรื่องของนายกฯ แต่ตำแหน่งประธานสภาฯ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับฯ ผมไม่มีอะไรส่วนตัว แต่เกียรติศักดิ์ศรีสภาฯ ผมในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติต้องรักษาไว้” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว

เมื่อถามว่าตำแหน่งประธานสภาฯ เลือกมาจากที่ประชุมฯ จึงไม่มีเหตุใดที่จะต้องเปลี่ยนกลางคัน? นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า “ประเพณีที่เคยปฏิบัติมาไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง ตำแหน่งประธานสภาฯ ต้องมีความเป็นกลาง ไม่ใช่เครื่องมือของพรรคการเมืองใด”

เมื่อถามว่ายืนยันจะทำหน้าที่นี้ต่อไปหรือไม่? นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า “เป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติ ถ้าตนละเลย เท่ากับว่าตนไม่รักษาระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมอบให้ไว้ ยืนยันอีกครั้งว่าไม่มีใครส่งสัญญาณมา ถึงส่งสัญญาณก็เป็นสัญญาณที่รับไม่ได้”

“มันไม่มีเหตุใด ๆ ที่จะต้องเปลี่ยนตำแหน่ง ถ้าปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ก็ต้องไปเอง ผมถือว่าต้องให้ประโยชน์ประชาชนเกียรติศักดิ์ศรีสภาฯ เดินไปให้ตรงแนวทาง จะมาบิด ๆ เบี้ยว ๆ เพื่ออย่างใดอย่างหนึ่งผมว่าไม่ถูก ถ้าถามว่าให้ประเมินว่าผมยังทำหน้าที่ได้หรือไม่ ผมประเมินเองไม่ได้ สื่อและประชาชนจะเป็นคนประเมิน” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีกระแสวิพากษ์วิจารณ์การใช้งบประมาณของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่มีใช้งบฯจำนวนมากเดินทางไปดูงานต่างประเทศ? นายวันมูหะมัดนอร์ ในฐานะประธานรัฐสภา ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม โดยกล่าวว่า “ต้องขออภัย เรื่องนี้เป็นเรื่องของวุฒิสภา ดังนั้นต้องเป็นอำนาจหน้าที่ของประธานวุฒิสภา”

‘โตโยต้า’ เรียกคืนรถรุ่น Prius กว่า 1.3 แสนคัน ในญี่ปุ่น หลังพบความเสี่ยง ‘ประตู’ อาจเปิดอ้าระหว่างขับขี่

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป เปิดเผยการเรียกคืนรถยนต์ไฮบริด รุ่นพรีอุส (Prius) ในญี่ปุ่น จำนวน 135,305 คัน เนื่องจากพบความเสี่ยงว่าประตูอาจเปิดอ้าออกระหว่างขับขี่

ทั้งนี้ รายงานการเรียกคืนรถยนต์ที่โตโยต้ายื่นต่อกระทรวงคมนาคมของญี่ปุ่น เมื่อวันพุธ (17 เม.ย.) ระบุว่า ปัจจุบันมีการร้องเรียน 3 กรณีที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของมือจับประตูด้านหลัง แต่ยังไม่มีรายงานยืนยันพบการเกิดอุบัติเหตุ

โดยโตโยต้า เปิดเผยว่า รถรุ่นที่พบปัญหาคือรุ่นที่ผลิตระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2022 จนถึงเดือนเมษายน 2024 พร้อมเสริมว่า บริษัทจะระงับการผลิตและหยุดรับคำสั่งซื้อจากตัวแทนจำหน่ายจนกว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้

ด้านกระทรวงฯ กล่าวว่า ระดับการกันน้ำที่ไม่เพียงพออาจส่งผลให้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของประตูรถเกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้หากโดนน้ำ ซึ่งอาจทำให้ประตูเปิดออกในขณะที่รถกำลังขับเคลื่อนอยู่

อธิบดีกรมอุทยานฯ สั่งชุดพญาเสือล่านายทุนสั่งเต่าปูลู ส่งนอกหลังจับผู้กระทำผิดได้ที่อุทยานผาแดง เกรงลุกลามไปในพื้นที่ป่าอื่นๆล่าสุดพบหลักฐานทั้งคนกลางและชาวต่างชาติคนสั่งซื้อ

วันที่ 18 เมษายน 2567 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่าได้รับรายงานจากนายกริชสยาม คงสตรี ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 เชียงใหม่ โดยเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2567 ที่ผ่านมานายประกาศิต  ระวิวรรณ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติผาแดง ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติผาแดง ร่วมกับชุดทหารชุดเฉพาะกิจไชยานุภาพ บก.ผาดง ร่วมกันตั้งจุดสกัดเพื่อคัดกรองคนเข้าป่า ตามยุทธการเสือเฝ้าป่าบริเวณบ้านรินหลวง หมู่ 3 ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ 

กระทั่งเวลาประมาณ 21.30 น. ของวันดังกล่าว พบชายขับรถจักรยานยนต์เพื่อจะผ่านด่านตรวจ มีท่าทางพิรุธ เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจค้น พบ เต่าปูลู ในกระสอบปุ๋ยซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าเป้ที่สะพายอีกชั้นหนึ่ง จำนวน 17 ตัว (16 ตัวยังมีชีวิตอยู่ 1 ตัว ได้ตายไปแล้ว) น้ำหนักรวม 7.8 ก.ก. เจ้าหน้าที่จึงทำการจับกุมชายดังกล่าวไว้เนื่องจากเต่าปูลูเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 พร้อมทำการสอบสวนขยายผล ทราบชื่อผู้ต้องหาภายหลัง ชื่อนาย ยูดะ อายุ 50 ปี ราษฎรบ้านแกน้อย (หย่อมบ้านนาศิริ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ 

จากคำให้การของนายยูดะ ฯ ให้การว่า ตนได้รับการว่าจ้างจากนายแดง ไม่ทราบนามสกุล คนอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งรู้จักตอนไปทำงานด้วยกันที่ในเมืองเชียงใหม่เมื่อประมาณเดือนที่แล้ว ซึ่งได้ติดต่อกันผ่านช่องทาง messager โดยนายแดงใช้ชื่อดาเนียล  ซึ่งจากการตรวจสอบพบข้อความการสนทนาซื้อขายเต่าปูลูและการนัดหมายส่งของ โดยนายแดงได้ว่าจ้างให้หาเต่าปูลู โดยจะให้ค่าจ้างหลังส่งเต่าเสร็จ ในราคากิโลกรัมละ 2,400 บาท ซึ่งนายยูดะ ฯ ได้ทำการล่าตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย.67 เป็นต้นมาใช้เวลาล่าอยู่ประมาณ 10 วัน และได้นัดหมายส่งเต่าปูลูกันที่บ้านห้วยป่าฮ่อม หมู่ 5 ต.ทุ่งข้าวพวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ แต่มาโดนเจ้าหน้าที่จับเสียก่อน เจ้าหน้าที่ได้ขอเพื่อตรวจสารเสพติด โดยการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดเบื้องต้น ผลตรวจเป็นบวก คือ พบสารเสพติดหรือพิษในร่างกาย ซึ่งรับสารภาพว่าเสพยาบ้า 1เม็ดครึ่ง เมื่อ4วันที่แล้ว ในระหว่างการล่าเต่าปูลู 

โดยเมื่อวันที่ 17เม.ย.67 เจ้าหน้าที่ให้นายยูดะ ฯ พาไปชี้จุดเกิดเหตุว่าจับเต่าปูลูมาจากที่ใด ครั้นจนมาถึงจุดที่นายยูดะฯ พามา คือป่าต้นน้ำบ้านนาศิริ บริวณลำห้วยน้ำเฮื้อง หรือลำห้วยผาแดง พิกัด 485753E 2176440 N ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติผาแดง โดยเต่าปูลูเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 1 ตาม พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ห้ามผู้ใดล่า ค้า หรือครอบครอง รวมทั้งซากของสัตว์ป่าดังกล่าว ผู้ใดฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ต้องหา ส่งพนักงานสอบสวน สภ.นาหวาย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายและแจ้งข้อกล่าว ดังนี้ 

1. ฐาน ร่วมกัน นำสัตว์ป่าออกไปหรือกระทำให้เป็นอันตรายแก่สัตว์ป่าด้วยประการใด ๆ ในเขตอุทยานแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 19 (3) และ มาตรา 43 ผู้ใดฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือ ปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 2. ฐาน เข้าไปในอุทยานแห่งชาติ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้สั่งให้ปฏิบัติตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 20 และ มาตรา 47 ตามประกาศอุทยานแห่งชาติผาแดง ฉบับลงวันที่ 31 มกราคม 2567 เรื่องห้ามเข้าไปในเขตป่าอุทยานแห่งชาติผาแดง ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษ ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

 3. ฐาน ร่วมกัน ล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 มาตรา 12 และ มาตรา 89 ผู้ใดฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

4. ฐาน ร่วมกัน มีไว้ครอบครองซึ่งสัตว์ป่าคุ้มครอง หรือซากสัตว์ป่าคุ้มครอง ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 มาตรา 17 และมาตรา 92 ผู้ใดฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือ ปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

5.ฐาน ร่วมกัน ค้าสัตว์ป่าคุ้มครอง ซากสัตว์ป่าดังกล่าว หรือผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่าดังกล่าวตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 มาตรา 29 และมาตรา 89 ผู้ใดฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ นายอรรถพลฯ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้กำชับสั่งการให้หัวหน้าหน่วยงานพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทุกแห่ง เข้มงวดสอดส่องดูแลการล่าสัตว์ในพื้นที่โดยเฉพาะเต่าปูลู ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองหายาก เพื่อป้องกันขบวนการลักลอบจับเต่าปูลู โดยหากพบการกระทำผิด ให้จับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเฉียบขาดทุกราย ล่าสุดได้สั่งชุดพญาเสือดำเนินการสืบสวนหาตัวกลุ่มนายทุนผู้อยู่เบื้องหลังที่สั่งเต่าปูลูส่งนอก หลังจับกุมผู้กระทำผิดได้ที่อุทยานแห่งชาติผาแดง เกรงลุกลามไปในพื้นที่ป่าอื่นๆ เนื่องจากพบหลักฐานทั้งคนกลางและชาวต่างชาติซึ่งเป็นคนสั่งซื้อ

ส่งมอบพลังใจผ่านรถเข็นวีลแชร์ให้ผู้พิการที่ยากไร้ โดย ตำรวจภูธรภาค 1 ร่วมกับ มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์

วันที่ 19 เมษายน 2567 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ และนางสาวนภสร ลำธารทอง รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการสื่อสารแบรนด์และสื่อสารองค์กร พร้อมด้วยทีมงานมวลชนสัมพันธ์ (CSR) กลุ่มไทยสมายล์ลงพื้นที่มอบรถเข็นวีลแชร์ และอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ณ ห้องรับรองชั้น 1 ตำรวจภูธร ภาค 1 โดยมี พล.ต.ท.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เป็นผู้รับมอบ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ เปิดเผยว่า มูลนิธิฯ  นำรถเข็นวีลแชร์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ จำนวน 10 คัน โดยรับการสนับสนุนจาก กลุ่มไทยสมายล์ (รถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า) มามอบผ่านตำรวจภูธรภาค 1 เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับประชาชนทั่วไป ผู้พิการที่มาทำกิจธุระ รวมถึงแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจต่างๆ การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ มามอบผ่านตำรวจภูธรภาค 1 ในครั้งนี้ เพื่อต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ที่มาติดต่อธุระทางราชการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อสังคม และชุมชน

ด้าน พล.ต.ท.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 กล่าวว่า ต้องขอบคุณทางมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ที่ได้มามอบรถเข็นวีลแชร์ให้แก่ตำรวจภูธรภาค 1 ในครั้งนี้ สำหรับรถเข็นวีลแชร์ที่ทางมูลนิธิฯมอบให้ จะถูกจัดสรรไปยังสถานีตำรวจที่อยู่ในความดูแลของเราทั้ง 9 จังหวัด 134 สถานี (ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ อยุธยา สระบุรี อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท) ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนที่เข้ามาติดต่อราชการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

อุทยานฯสิมิลัน ดักซุ่มวางแผนจับกุมคนแอบวางลอบดักจับสัตว์น้ำตามที่ได้รับแจ้งแล้ว คาดไหวตัวทันจึงเตรียมเข้าเก็บกู้

วันที่ 18 เมษายน 2567 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ตามที่เพจ Thon Thamrongnawawawat ซึ่งโพสต์ข้อความระบุว่าเกาะตาชัย เป็นเกาะที่เราพยายามเก็บไว้เพื่อรักษาธรรมชาติในยุคที่โลกกำลังย่ำแย่ การลักลอบจับสัตว์น้ำในพื้นที่ไม่ควรเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เพื่อนธรณ์ที่ไปดำน้ำแถวนั้นกรุณาแจ้งมาว่าพบลอบ จึงได้ประสานอธิบดีกรมทะเล ในฐานะประธานคณะที่ปรึกษาอุทยานทางทะเลเรียบร้อยแล้ว คงมีการจัดการอย่างรวดเร็ว

สำหรับกรณีดังกล่าว อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้รับรายงานจากนายโดม จันทร์สุวรรณ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ว่าได้รับข้อมูลและรูปภาพจากนักดำน้ำ ซึ่งส่งข้อมูลและรูปภาพ ให้กับเพจของอาจารย์ธรณ์ฯเช่นกัน ซึ่งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการ ใช้มีดกรีดทำลายลอบดักสัตว์น้ำดังกล่าวในทันที พร้อมทั้งได้วางแผนดักรอเพื่อจับกุมผู้กระทำผิด  โดยมีความจำเป็นที่ยังไม่อาจกู้ลอบดักสัตว์น้ำที่มีผู้ลักลอบวางไว้ขึ้นมาก่อนได้  เนื่องจากต้องการซุ่มจับกุมตัวผู้กระทำผิดให้ได้ พร้อมกับลอบดักสัตว์น้ำของกลาง แต่คาดว่าผู้กระทำผิด อาจรู้ตัวว่าเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจค้นพบลอบดังกล่าวแล้ว จึงไม่กลับมากู้ลอบ  อย่างไรก็ตาม อุทยานหมู่เกาะสิมิลัน ได้เน้นย้ำการเฝ้าระวังไม่ให้มีการลักลอบเข้าไปกระทำผิดอย่างเข้มงวด โดยมีเจ้าหน้าที่คอยลาดตระเวนสอดส่องบริเวณโดยรอบเกาะตาชัยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาทรัพยากรใต้ท้องทะเลให้คงอยู่อย่างปลอดภัย ทั้งนี้อุทยานหมู่เกาะสิมิลัน จะเข้าดำเนินการเก็บกู้ลอบดังกล่าว ในวันพรุ่งนี้ (19 เมษายน 2567)

‘เกรียงยศ-รทสช.’ ทวงสัญญา กทม.บูมคลองโอ่งอ่าง รับปากเร่งจัดกิจกรรมช่วยชาวชุมชน แต่สุดท้ายเงียบ

เมื่อไม่นานมานี้ นายเกรียงยศ สุดลาภา สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนออกมาตั้งกระทู้ถามในสภาผู้แทนราษฎรเรียกร้องให้กรุงเทพมหานครได้เข้ามาพัฒนาคลองโอ่งอ่าง เพื่อคืนความเป็นแลนด์มาร์กใจกลางกรุงเทพมหานครให้กลับมาเหมือนเดิม เนื่องจากที่ผ่านมาถูกปล่อยให้ทิ้งร้างไม่ได้รับการเหลียวแล ล่าสุดก็ยังไม่เห็นสัญญาณจาก กทม. ว่าจะเข้ามาดำเนินการอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันเหมือนที่รับปากกับประชาชนและผู้ประกอบการไว้ว่า ใน 2 เดือน 4 เดือนและ 6 เดือนจะมีโครงการต่าง ๆ ออกมา

นายเกรียงยศ กล่าวว่า เห็นนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นำอดีต สก.ลงพื้นที่คลองโอ่งอ่าง ก็ดีใจ ที่หลายฝ่ายออกมาร่วมมือผลักดันการพัฒนาคลองโอ่งอ่างให้กลับมาเหมือนเดิมตามความต้องการของชุมชน ชาวบ้านและผู้ค้า ทีมงานพรรครวมไทยสร้างชาติได้ลงพื้นที่หลายรอบเพื่อไปดูว่า มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่หลังจากได้ตั้งกระทู้ถามในสภาฯ 

ก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตนก็ลงไปคุยกับผู้ประกอบการในพื้นที่ ทว่าก็ยังไม่เห็นว่ากทม.ทำอะไรเหมือนที่รับปากไว้ พวกเขายังรออยู่ว่า จะมีการจัดกิจกรรมจริงหรือไม่ ขนาดเทศกาลสงกรานต์ กทม. ยังไม่จัดงานสงกรานต์ที่คลองโอ่งอ่างทั้งที่เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเทพฯ

“ผมขอเรียกร้องให้คนที่ลงมาช่วยพัฒนาคลองโอ่งอ่าง ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง อย่าลงมาเฉพาะช่วงมีเทศกาลหรือทำแบบฉาบฉวยหวังหาเสียง หรือเพียงแค่เกาะกระแสไปวัน ๆ ไม่ว่าใครจะลงมาช่วย ถือเป็นเรื่องดีทั้งหมด เพราะชาวบ้านและผู้ประกอบการได้ประโยชน์ หรือ กทม.จะมาร่วมกันทำ ผมก็ยินดีผมพร้อมจะไปคุยด้วย แต่เวลานี้ผู้ประกอบการและชาวบ้านในพื้นที่บอกว่า ยังไม่มีสัญญาณอะไรเลย มีแต่เพียงคำบอกเล่า ไม่เห็น กทม.ขยับ ผมก็จะจะติดตามแต่เรื่องนี้ต่อไปว่าสัญญาที่ให้ไว้กับชาวชุมชนและผู้ค้าจะดำเนินการเมื่อไร” นายเกรียงยศกล่าว

ทั้งนี้ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า “ได้ยินข่าวว่าทางกทม.ได้จัดงานตลาดนัดคนเดินหลายแห่ง ที่ดัง ๆ คือ ย่านดินแดง จึงอยากถามว่า ‘ดินแดง’ อัตลักษณ์ของพื้นที่คืออะไร ผู้ค้าที่มาค้าขายก็มาจากข้างนอกทั้งหมด แทบไม่มีคนในพื้นที่ การจัดลักษณะนี้คนในพื้นที่ไม่ได้ประโยชน์และไม่ได้โชว์อัตลักษณ์ทำไมถึงจัดได้ แต่คลองโอ่งอ่างถือเป็นแลนด์มาร์กที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันทั่วโลก แต่ไม่มีการจัดกิจกรรม อยากถามว่าผิดฝาผิดตัวหรือไม่”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top