Sunday, 28 April 2024
Music

เลียม กัลลาเกอร์ ฟร้อนแมนโอเอซิส สตรีมมิ่งไลฟ์คอนเสิร์ต

พรุ่งนี้ FC เลียม กัลลาเกอร์ นักร้องนำแห่งวงร็อกโอเอซิส เตรียมเฝ้าหน้าจอรอชมการสตรีมมิ่งไลฟ์คอนเสิร์ตของเขากันได้เลย นี่ถือเป็นการไลฟ์การแสดงดนตรีผ่านช่องทางออนไลน์อย่างเป็นเรื่องเป็นราวหนแรกของร็อกเกอร์คนดังอีกด้วย

งานนี้เจ้าตัวได้บันทึกการแสดงดนตรีครั้งนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และเตรียมปล่อยลงสู่โลกออนไลน์เพื่อให้เหล่าแฟนๆ ได้ชมกันในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้ ซึ่งเวลาที่จะได้รับชมนั้น มีความแตกต่างกันไปตามโซนแต่ละทวีป เริ่มที่อังกฤษ และฝั่งยุโรป ก่อนจะไปที่อเมริกา และตามมาด้วยฟากฝั่งออสเตรเลีย ส่วนเอเชียและประเทศไทยนั้น จะได้ชมกันในวันที่ 6 ธันวาคม ตามมาติด ๆ

ส่วน set list หรือรายชื่อเพลงในคอนเสิร์ตออนไลน์ Down by the Thames River จะมีทั้งบทเพลงจากอัลบั้มเดี่ยว  และเพลงคลาสสิกของ Oasis ที่เลียมแทบไม่เคยหยิบมาเล่นอีกเลย อย่าง "Hello" ซึ่งถือว่ากลับมาเล่นอีกครั้งในรอบ 18 ปีเลยทีเดียว รวมถึง "Columbia" และ "Fade Away" ที่หาฟังยากมากๆ และแน่นอนว่า ไฮไลต์คือการเปิดตัว "All You're Dreaming Of" ซิงเกิ้ลใหม่ล่าสุดที่เพิ่งปล่อยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

รายชื่อเพลงอื่น ๆ ที่จะได้ชมกันมีดังนี้

- Hello

- Wall of Glass

- Halo

- Shockwave

- Columbia

- Fade Away

- Why Me? Why Not

- Greedy Soul

- The River

- Once

- Morning Glory

- Cigarettes & Alcohol

- Headshrinker

- Supersonic

- Champagne Supernova 

- All You're Dreaming Of

ใครที่สนใจ สามารถซื้อบัตรเข้าชมกันได้ที่ http://liamgallagher.com/ และขั้นตอนการซื้อบัตร https://bit.ly/2JoNYRr งานนี้แฟน ๆ เลียมและโอเอซิส ไม่ควรพลาด ของดีไม่มีบ่อย ๆ แน่นอน


ขอบคุณข้อมูล: เพจ All About RKID

 

บทเพลง BTS & BLACKPINK ติด 50 อันดับ เพลงดีที่สุดในปี 2020

Rolling Stone นิตยสารเเละเว็บไซต์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา เผย 50 เพลงจากทั่วโลกที่ดีที่สุดในปี 2020 โดย BTS ศิลปินบอยแบนด์ชื่อดังจากเกาหลีใต้ ติดอยู่ในอันดับที่ 7 จากเพลง Dynamite ซิงเกิลภาษาอังกฤษเพลงแรกของพวกเขา ซึ่งถูกปล่อยออกมาเมื่อเดือนสิงหาคม แถมยังสามารถสร้างประวัติศาสตร์เป็นศิลปินจากเกาหลีใต้วงแรกที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ อัลบั้มของพวกเขา Map of the Soul: 7 ก็ยังติดอยู่ในอันดับที่ 16 จาก 50 อันดับอัลบั้มที่ดีที่สุดประจำปี 2020 ของ Rolling Stone ด้วยเช่นกัน ด้านเกิร์ลกรุ๊ปสุดฮอต BLACKPINK ก็ไม่น้อยหน้า นำบทเพลง Ice Cream ซึ่งเป็นผลงานที่พวกเธอสร้างสรรค์ร่วมกับ เซเลนา โกเมซ ติดอยู่ในอันดับที่ 13 

โดยเพลงนี้ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา เนื้อเพลงส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ มีเพียงท่อนเเร็ปของ ลิซ่า ที่มีภาษาเกาหลีปนอยู่ อีกหนึ่งความโดดเด่นของงานเพลงชิ้นนี้ คือมิวสิควีดีโอของพวกเธอที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส มาในโทนชมพูพิงค์ ๆ ที่ใครได้ชมเป็นต้องหลงเลิฟฟฟฟ

ถือเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของทั้ง 2 ศิลปินจากเกาหลี และจัดว่าเป็นปีทองของ BTS และ BLACKPINK อย่างแท้จริง

 

เรื่องราวของ ‘ร็อกสตาร์ฆ่าไม่ตาย’ Oasis

“Oasis คือวงดนตรีที่โลกอนุญาตให้ปากหมาได้ตลอดกาล” ประโยคนี้คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงนักเมื่อเทียบกับวีรกรรมสุดห้าวของสองพี่น้องกัลลาเกอร์ที่ปรากฏบนหน้าสื่อตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากผลงานเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นในยุค ‘90s แล้ว ส่วนผสมที่ลงตัวแต่เข้ากันไม่ค่อยได้ของ ‘โนล กัลลาเกอร์’ มือกีตาร์ และ ‘เลียม กัลลาเกอร์’ ฟรอนต์แมน ดูเหมือนจะยิ่งสร้างสีสันให้แฟนๆ หันมาสนใจพวกเขามากยิ่งขึ้น ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า Oasis คือวงดนตรีที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อประวัติศาสตร์บริตป๊อบ (Britpop) ของเกาะอังกฤษ

 

วง Oasis ได้ยุติบทบาทลงในปี 2009 หลังโนลตัดสินใจลาออกจากวงและไม่พูดจากับน้องชายนานร่วม 10 ปี ปัจจุบันนี้พี่น้องกัลลาเกอร์ต่างก็ผันตัวเป็นศิลปินเดี่ยว แต่แฟนเพลงกลับทำเหมือน Oasis แค่พักวงชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาเฝ้ารอวันที่วงดนตรีที่พวกเขารักจะกลับมารียูเนียนกันอีกครั้ง ความน่าสนใจคือแม้ Oasis จะเป็นวงดนตรียุค ‘90s ทว่ากระแสความนิยมไม่ได้ลดลง ยังคงมีแฟนเพลงเดนตายติดตามอย่างเหนียวแน่นโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่บนโลกออนไลน์ เพลง “Wonderwall” ของวง Oasis ก็ยังเป็นเพลงแรกจากยุค ‘90s ที่มียอดสตรีมมิ่งผ่าน Spotify ทะลุ 1,000 ล้านครั้ง!

 

 

เรื่องราวของวง Oasis เต็มไปด้วยสีสันและเรื่องราวเฮฮาที่น่าสนใจ บางเรื่องอาจเกรียนชนิดที่ศิลปินยุคนี้ไม่มีทางทำแน่ๆ เมื่อคนรุ่นใหม่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตพวกเขาสามารถสืบค้นข้อมูลและรับรู้ข้อมูลอีกด้าน ซึ่งแตกต่างจากที่หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ในยุค ‘90s เคยประโคมข่าว ทำให้มุมมองที่มีต่อวง Oasis ในยุคนี้เต็มไปด้วยเรื่องสนุกที่เล่ากันไม่รู้เบื่อ ซึ่งมีหลายปัจจัยด้วยกันที่จุดกระแสความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ตามไทม์ไลน์ดังต่อไปนี้…

 

จากครอบครัวชนชั้นแรงงานสู่ ‘ร็อกสตาร์’

เด็กหนุ่มจากครอบครัวชนชั้นแรงงานในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ รวมตัวกันตั้งวงดนตรีชื่อ The Rain ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น ‘Oasis’ ในเวลาต่อมา เมื่อ ‘เลียม กัลลาเกอร์’ เข้ามาทำหน้าที่ฟรอนต์แมนของวง เขาชักชวนพี่ชาย ‘โนล กัลลาเกอร์’ ที่ทำงานเป็นเด็กขนเครื่องดนตรีประจำวงดนตรีท้องถิ่น Inspirals Carpets ให้มาร่วมวงในฐานะนักแต่งเพลงและมือกีตาร์ของ Oasis ไม่มีใครคาดคิดว่าบทเพลงที่โนลเคยแต่งไว้เล่นๆ จะได้นำมาใช้จริงๆ โดยเพลงส่วนใหญ่นอกจากจะพูดถึงวัฒนธรรมวัยรุ่นอังกฤษแล้ว ยังมีเนื้อหาที่สะท้อนการมองโลกในแง่ดีและความต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น “Whatever” เป็นเพลงที่โนลแต่งขึ้นสมัยทำงานเป็นกรรมกรในไซต์ก่อสร้างตามที่พ่อแนะนำ แต่เขาอยากจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง จึงแต่งเพลงนี้เพื่อระบายความรู้สึกที่ต้องการเป็นอิสระ หรือเพลง “Live Forever” มีเนื้อหาที่พูดถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ เป็นต้น ในที่สุดพวกเขาก็แจ้งเกิดในฐานะศิลปิน โดยปล่อยอัลบั้มชุดแรก ‘Definitely Maybe’ ในปี 1994 ยกระดับสถานะทางสังคมจากชนชั้นแรงงานสู่ครอบครัวที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เริ่มมีชื่อเสียงและเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก

 

             

1995-1997 ‘ยุคทอง’ ของ Oasis

อัลบั้มที่สร้างชื่อเสียงให้พวกเขามากที่สุดคือ ‘(What’s The Story) Morning Glory?’ อัลบั้มชุดที่ 2 ที่วางจำหน่ายในปี 1995 เต็มไปด้วยเพลงฮิตมากมาย เช่น “Wonderwall” และ “Don’t Look Back In Anger” ทำให้กระแสความนิยมของ Oasis เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาทะยานสู่การเป็นวงบริตป๊อบอันดับต้นๆ แย่งความนิยมกับวง Blur อย่างดุเดือดจนนำไปสู่เหตุการณ์ ‘สงครามบริตป๊อบ’ ที่ทั้ง 2 วงเลือกปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ในวันเดียวกัน ชื่อเสียงของ Oasis ทำให้พวกเขาสามารถจัดคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ที่ Knebworth ในปี 1996 ซึ่งมีแฟนเพลงกว่า 2.5 แสนคนเดินทางมาชม อีกทั้งยังได้รับรางวัลการันตีความนิยมจากหลายสถาบัน ส่งผลให้การปล่อยอัลบั้มชุดที่ 3 ‘Be Here Now’ ในปี 1997 เกิดปรากฏการณ์แฟนเพลงแห่มายืนรอหน้าร้านขายซีดีทั่วอังกฤษเพื่อรอซื้ออัลบั้ม โดยในวันแรกที่ปล่อยอัลบั้มสามารถขายอัลบั้มได้กว่า 4.2 แสนก๊อปปี้ พิสูจน์ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว Oasis คือวงดนตรีที่ขึ้นไปยืน ณ จุดสูงสุดของวงการบริตป๊อบอย่างแท้จริง

 

 

 

จุดแตกหักของพี่น้องกัลลาเกอร์

แม้จะเป็นพี่น้องแท้ๆ แต่ลักษณะนิสัยของโนลและเลียมกลับต่างกันสุดขั้ว โนลเคยเปรียบเทียบว่าเขาคือแมว จริงจังและมีโลกส่วนตัวสูง ส่วนเลียมเป็นหมาที่พร้อมจะเล่นทุกครั้งที่มีคนโยนลูกบอลให้ เมื่อทั้งคู่ต้องมาทำงานใกล้ชิดกันเป็นเวลานานก็ย่อมมีปัญหากระทบกระทั่ง โนลที่มีความรับผิดชอบสูงจึงเอือมระอาพฤติกรรมของน้องชายที่บางครั้งหายไปโดยไม่บอกกล่าว ปล่อยให้เขาต้องทำหน้าที่ฟรอนต์แมนเอง ในขณะที่เลียมเองก็บอกว่าพี่ชายซีเรียสจนเกินไป การตัดสินใจทั้งหมดของวงแทบจะรวมอำนาจไว้ที่โนลแต่เพียงผู้เดียว รวมถึงการเขียนเพลงในแต่ละอัลบั้ม ความสัมพันธ์พี่น้องเริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 2009 ระหว่างที่ Oasis เตรียมขึ้นเล่นคอนเสิร์ตที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เลียมอาละวาดหลังเวที และพังกีตาร์ตัวโปรดของพี่ชาย ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่โนลตัดสินใจหันหลังให้วงดนตรีที่เขาอยู่มานานถึง 18 ปี และเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็นำไปสู่การยุติบทบาททางดนตรีของวง Oasis

 

 

 

ตัวตนใหม่เมื่อศิลปินมี ‘สื่อเป็นของตัวเอง’

ภายหลังโนลได้ผันตัวเป็นศิลปินเดี่ยว ภายใต้ชื่อ Noel Gallagher’s High Flying Birds ในปี 2011 ส่วนเลียมก็เป็นศิลปินเดี่ยวในปี 2017 เช่นกัน ทั้งคู่ต่างมีเส้นทางดนตรีเป็นของตัวเอง ได้ทดลองทำเพลงใหม่และเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก แน่นอนว่าในเซ็ทลิสต์ก็ยังมีบทเพลงของวง Oasis ให้แฟน ๆ ได้ฟังกันเช่นเดิม แต่สิ่งที่ทำให้ยุคนี้แตกต่างจากยุค ‘90s คือโซเชียลมีเดีย ศิลปินมีช่องทางสื่อเป็นของตัวเองในการประชาสัมพันธ์ผลงาน สื่อสารกับแฟนเพลง และแถลงตอบโต้ต่อประเด็นข่าวต่าง ๆ พร้อมทั้งสามารถสร้างการรับรู้ใหม่ให้แฟนๆ อย่างตรงไปตรงมาด้วยตัวตนและคาแรกเตอร์ของศิลปินที่สื่ออาจไม่เคยนำเสนอมาก่อน เช่น เลียมรับอุปการะแมวไร้บ้าน โนลบริจาคค่าลิขสิทธิ์เพลงให้เหยื่อก่อการร้าย เป็นต้น ทำให้ศิลปินได้สื่อสารกับแฟน ๆ โดยตรง ขณะที่แฟนเพลงเองก็ได้เห็นภาพลักษณ์ใหม่ของศิลปินที่ทำให้รู้สึกใกล้ชิดมากขึ้น อย่างตอนที่เลียมไปทัวร์คอนเสิร์ตที่เกาหลีใต้ เขาทำท่าเลียนแบบ MV เพลง ‘กังนัมสไตล์’ ทำให้ได้เห็นมุมน่ารักสวนทางกับท่าทีขึงขังที่สื่อหลักเคยเสนอมาตลอดหลายปี หรือแม้แต่การสนับสนุน #BlackLiveMatter ก็สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของศิลปินที่สนใจความเป็นไปของสังคม แน่นอนว่าการแสดงออกที่มี Value เหล่านี้ย่อมโดนใจกลุ่มคนรุ่นใหม่

 

 

 

‘Oasis: Supersonic’ กระแสเรียกฐานแฟนเพลงคืนสู่อ้อมอก

ต้องยอมรับว่าหมุดหมายสำคัญที่ทำให้กระแส Oasis กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้งในหมู่แฟนเพลงก็คือ ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Oasis: Supersonic กำกับโดย Mat Whitecross ออกฉายเมื่อปี 2016 นับเป็นการเรียกแฟนเพลงกลับสู่อ้อมอกวงดนตรีวงนี้อีกครั้ง อีกทั้งสร้างฐานแฟนเพลงใหม่ ๆ ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เนื่องจากเป็นสารคดีที่ดำเนินเรื่องได้น่าสนใจ สนุกสนาน มีบทสัมภาษณ์และข้อมูลเอ็กซ์คลูซีฟทั้งจากฝ่ายโนล เลียม อดีตสมาชิกวง และผู้ที่เคยร่วมงานกับวง Oasis เล่าตั้งแต่เรื่องครอบครัวในวัยเด็ก ปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัวของพ่อบังเกิดเกล้า จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งวง การเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทาง รวมถึงการเปิดเผยหญิงสาวปริศนาที่เป็นแรงบันดาลใจให้เพลง “Talk Tonight” ซึ่งไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนนานถึง 20 ปี สารคดีนำเสนอมุมมองใหม่ ๆ ให้แฟนเพลงได้รับรู้ สร้างการรับรู้ในแง่มุมที่น่าสนใจ ได้เห็นความตั้งใจในการทำงาน การรับมือกับดราม่าต่าง ๆ พิสูจน์ว่าพวกเขาคือร็อกสตาร์ที่ฆ่าไม่ตาย ที่สำคัญ Oasis: Supersonic ยังเป็นภาพยนตร์สารคดีที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในประเทศไทย ถูกพูดถึงอย่างมากในสื่อโซเชียลมีเดีย ดึงความสนใจให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจวงดนตรีจากยุค ‘90s วงนี้!

 

 

คอนเสิร์ตเดี่ยวของ ‘โนล-เลียม’ ในประเทศไทย

หลังจากกระแส Oasis เริ่มจุดติดอีกครั้งในปี 2016 จากภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Oasis: Supersonic ตามมาด้วย เลียม กัลลาเกอร์ ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกในปี 2017 ก็ยิ่งทำให้ได้รับความสนใจมากขึ้น เลียมกลับมาด้วยภาพลักษณ์เท่และคูลเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือใกล้ชิดแฟน ๆ มากขึ้น เลียมใช้ทวิตเตอร์ส่วนตัวในการอัปเดตความเคลื่อนไหวกับแฟนๆ กว่า 3.3 ล้านคนที่ติดตามเขา แถมยังขยันตอบคอมเม้นท์ด้วยตัวเอง ทุกครั้งที่มีประเด็นสำคัญ ๆ เลียมไม่พลาดที่จะตอบทวีตแฟน ๆ รวมถึงเหตุการณ์หมูป่า 13 คนติดถ้ำหลวง กระแสความนิยมในตัวศิลปินนำสู่คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในประเทศไทย Liam Gallagher Live in Bangkok 2018 ที่ถูกพูดถึงในทวิตเตอร์จนติดเทรนด์อันดับ 1 ทำให้คนที่ไม่รู้จักเลียมเกิดความสงสัยว่าเขาเป็นใครขึ้นมา จนกระทั่งปลายปี 2019 กัลลาเกอร์คนพี่อย่าง โนล ก็เดินทางมาเล่นคอนเสิร์ตในประเทศไทยเช่นกัน Noel Gallagher’s High Flying Birds Live in Bangkok 2019 จนแฟนเพลงต่างแซวกันว่าเมื่อพี่น้องไม่ถูกกัน แฟน ๆ จะชมคอนเสิร์ตทั้งทีก็ต้องแยกกันชม ซึ่งลึก ๆ ก็ต่างรอวันที่โนลและเลียมคืนดีเพื่อขึ้นเวทีเดียวกันอีกครั้ง

 

 

เลียม: “ผมฟังผลงานเพลงใหม่ของโนลแล้ว เหมือนพวกมังสวิรัติพยายามจะขายเคบับเลยว่ะ”

โนล: “เพลงของไอ้เลียมคือเพลงที่ไม่ซับซ้อน เขียนขึ้นโดยคนที่ไม่ซับซ้อน และทำให้คนที่ไม่ซับซ้อนฟัง”

 

 

อย่างไรก็ตาม อีกเหตุผลที่ทำให้แฟนเพลงต่างติดตามเรื่องราวของวง Oasis และพี่น้องกัลลาเกอร์อย่างเหนียวแน่นก็เพราะความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยระหว่างโนลและเลียม ซึ่งมักจะตอบโต้กันอย่างเจ็บแสบผ่านสื่อทำให้แฟนๆ ได้อ่านเรื่องราวเฮฮาเป็นประจำ รวมถึงกระแสการรียูเนียนวงดนตรีที่หลายคนเฝ้ารอให้เกิดขึ้นเร็ววัน แต่ดูเหมือนทุกครั้งที่เข้าใกล้ความหวังก็มักจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้การรียูเนียนห่างไกลไปเสมอ

 

เรื่อง: Tatiya

ภาพ: Everwhere in Oasis

 

“NCT” บอยแบนด์สัญชาติเกาหลีที่ก่อตั้งโดย SM Entertainment เป็นกลุ่มที่มีสมาชิกไม่จำกัดจำนวน และแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มย่อยตามเมืองต่างๆ ทั่วโลก

โดยในปีนี้ NCT ถือว่าได้สร้างปรากฎการณ์ความสำเร็จ

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม มีการประกาศว่าอัลบั้มล่าสุดของ NCT “RESONANCE Pt. 2” ทำยอดขายได้ 1,217,122 ชุด หลังจากวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน

หลังจากยอดขายที่น่าประทับใจของอัลบั้มก่อนหน้านี้ของ NCT “RESONANCE Pt. 1” ซึ่งทำสถิติยอดขายมากกว่าหนึ่งล้านชุดใน 7 วันและได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจาก Gaon Chart มีการแชร์กันว่าในวันที่ 22 ธันวาคม อัลบั้มขายได้ถึง 1,463,798 ชุด ส่งผลให้ยอดขายรวมของ“ RESONANCE Pt. 1” และ“ RESONANCE Pt. 2” รวมสูงสุด 2,680,920 ชุด

นอกจากนี้อัลบั้มเต็มชุดที่สอง NCT 127 “Neo Zone” ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมามียอดขาย 1,481,039 อัลบั้มในปีนี้ ในขณะที่เพลง“ Reload” ในอัลบั้ม NCT Dream ตั้งแต่เดือนเมษายนมียอดขาย 674,928 ชุด ด้าน WayV’s ที่ปล่อยอัลบั้มเต็มชุดแรก  “Awaken The World”  ตั้งแต่เดือนมิถุนายนยังมียอดขาย 280,133 ชุด ทำให้ยอดขายรวมของอัลบั้มทั้งหมดของกลุ่มในปีนี้อยู่ที่ 5,117,020 ชุด ณ วันที่ 22 ธันวาคม

ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของ NCT ในปีนี้ด้วยนะคะ 


ที่มา: https://www.soompi.com/article/1445044wpp/nct-soars-past-1-million-sales-for-album-resonance-pt-2

 

เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม เวลาประมาณ 06.30 น. ตามเวลาเกาหลี มิวสิกวิดีโอเพลง“ Ice Cream” มียอดวิวบน YouTube ทะลุ 450 ล้านครั้ง โดยในเพลงนี้มี Selena Gomez มาร่วมด้วย

“Ice Cream” เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม เวลา 13.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งหมายความว่าเพลงนี้ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน 27 วันและ 17 ชั่วโมงในการบรรลุเป้าหมาย

ถือเป็นมิวสิควิดีโอลำดับที่ 8 ของ BLACKPINK ที่มียอดวิวทะลุ 450 ล้านครั้ง หลังจากเพลง “How You Like That” “Kill This Love”“DDU-DU DDU-DU”“As If It's Your Last”“BOOMBAYAH” “Playing With Fire,” และ  “Whistle”


ที่มา: https://www.soompi.com/article/1445410wpp/blackpinks-ice-cream-becomes-their-8th-mv-to-hit-450-million-views

สมาคมอุตสาหกรรมดนตรีญี่ปุ่น (RIAJ) รับรองเพลง ‘Dynamite’ ของศิลปิน BTS ขึ้นระดับ Platinum ในประเภทสตรีมมิ่ง หลังจากที่เพลงมียอดสตรีมมากกว่า 100 ล้านครั้ง ด้าน TWICE ไม่น้อยหน้า ก้าวสู่ระดับ Gold และ Silver หลายเพลง

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา Recording Industry Association of Japan (RIAJ) ได้ใช้ระบบการรับรองใหม่สำหรับการสตรีมเพลงออนไลน์ นอกเหนือจากระบบการรับรองที่มีอยู่แล้วจากการจัดส่งอัลบั้มจริงและการขายแบบดิจิทัล ตามระบบใหม่เพลงจะได้รับการรับรองระดับ Silver เมื่อมียอดสตรีมถึง 30 ล้านสตรีม ระดับ Gold ที่ 50 ล้านสตรีม และระดับ Platinum ที่ 100 ล้านสตรีม

ในการรับรองชุดล่าสุด (พฤศจิกายน 2020) RIAJ ได้รับรองเพลง “Dynamite” ของ BTS อย่างเป็นทางการ ซึ่งได้รับการรับรองระดับ Platinum ในประเภทสตรีมมิง หลังจากที่เพลงมียอดสตรีมมากกว่า 100 ล้านครั้งในเวลาเพียงสามเดือน แม้ว่า BTS จะเคยได้รับการรับรองระดับ Platinum จาก RIAJ จากยอดขายแผ่น แต่ความสำเร็จครั้งล่าสุดนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เพลงของพวกเขาได้รับการรับรองระดับ Platinum จากการสตรีมเพลง

โดย “Dynamite” ถือเป็นเพลงแรกของศิลปินกลุ่มต่างชาติในประวัติศาสตร์ RIAJ ที่เคยได้รับการรับรองระดับ Platinum จากการสตรีมเพลง

นอกจากนี้ BTS ยังได้รับการรับรองระดับ Gold 2 รายการ จากเพลง“ DNA” และ“ Stay Gold” ซึ่งแต่ละรายการมียอดสตรีมทะลุ 50 ล้านครั้ง รวมถึงการรับรองระดับ Silver จากเพลง “Your Eyes Tell” ซึ่งเป็นเพลงภาษาญี่ปุ่นที่จองกุกร่วมแต่ง

ขณะที่ TWICE ก็ได้รับการรับรองหลายรายการในประเภทสตรีม จากกลุ่มเพลงฮิตอย่าง “What is Love?” และเพลง“ YES or YES” ได้รับการรับรองระดับ Gold และเพลงญี่ปุ่น “Candy Pop” ได้รับการรับรองระดับ Silver ทำยอดถึง 30 ล้านสตรีม

ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของ BTS และ TWICE ด้วยจ้า


ที่มา: https://www.soompi.com/article/1445689wpp/bts-becomes-1st-foreign-group-ever-to-receive-riaj-platinum-certification-for-streaming-in-japan-twice-goes-gold-and-silver-with-multiple-songs

 

7 เพลงฟังไม่ง่วง ขับรถทางไกลยังไงก็คึกคัก

พูดถึงวันหยุดยาวปีใหม่ คงหนีไม่พ้นการขับรถกลับถิ่นฐานบ้านเกิด รวมทั้งการท่องเที่ยวเดินทางไกล สำหรับใครที่บ้านอยู่ไกลหน่อยก็ต้องขับรถกันนานหลายชั่วโมง หันไปมองคนข้าง ๆ ก็อาจจะเผลอหลับปล่อยเราให้ขับรถคนเดียว วันนี้เรามี 7 เพลงแก้ง่วงมาฝากคนที่ต้องขับรถไปกลับทางไกลในช่วงหยุดยาวนี้! 

1.) เพลงคึกคะนอง ศิลปิน GENA DESOUZA, YOUNGOHM

เพลงนี้ได้นักร้องสาววัยรุ่นไฟแรงจีน่า มาร่วมร้องกับแรปเปอร์หนุ่มชื่อดัง ยังโอม เพลง คึกคะนอง เป็นเพลงเร็ว ต้องการสื่อถึงการที่เราจะกล้าออกไปทำอะไรสักอย่าง แต่บางคนยังไม่กล้า มีความคึกคะนองแต่ถูกซ่อนเร้นอยู่ เพลงนี้จะช่วยปลดล็อกความคึกคะนองในตัวคุณให้กล้าออกมาทำตามฝัน เหมาะกับการฟังแก้ง่วงช่วงขับรถ

ฟังได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=Se5dsd1hNBc

.

2.) ขาหมู ศิลปิน Tatto Colour

เพลงเก่าที่ฟังทีไรก็ยังรู้สึกคึกคัก สนุกสนาน เนื้อเพลงติดหูร้องตามกันได้ทั้งรถ แต่อย่าเผลอมันส์มากจนลืมดูทางซะล่ะ

ฟังได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=aHdtoDZlUKA

.

3.) อ้าว ศิลปิน Atom

เพลงที่แฝงความกวนประสาท เนื้อหาซ่อนความแสบปากร้าย แซะแฟนเก่าที่ทิ้งไปแล้วอยู่ ๆ วันนี้จะกลับมา บอกเลยว่าใครมีประสบการณ์ตรงจะอินมาก ร้องออกมาดัง ๆ ตอนขับรถจะได้รู้สึกตื่นตัว

ฟังได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=QyhrOruvT1c

.

4.) We don’t talk anymore ศิลปิน Charlie Puth, Selena Gomez

มาที่เพลงสากลกันบ้าง สำหรับเพลงนี้เอาไว้ใช้ตอนมีคนมาถามว่า ‘ไม่ได้คุยกับคนนั้นแล้วหรอ’ ปัดโธ่เอ้ย ก็ฟาดเพลงนี้กลับไปได้เลย บอกว่าไม่ได้คุยกันแล้วไง! ด้วยทำนองสนุก ๆ ฟังเพลิน ทำให้ไม่ง่วงนอน เหมาะกับการฟังขณะขับรถอีกเพลง

ฟังได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=3AtDnEC4zak

.

5.) ใกล้ ศิลปิน Scrubb

เพลงสุดน่ารัก ที่ฟังแล้วแสนจะเขิน ถ้านั่งรถไปกับคนที่ชอบหรือแฟนแล้วเพลงนี้ขึ้นมา บอกได้เลยว่าต้องมีคนเขินกันบ้างล่ะ เพราะด้วยเนื้อหาที่น่ารัก ร้องตามได้อย่างสนุกสนาน และทำนองมันส์ ๆ บอกเลยว่างานนี้ไม่มีง่วง

ฟังได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=jG9cuXcgv_s

.

6.) Lover Boy ศิลปิน Phum Viphurit

เพลงสากลจากนักร้องไทย ด้วยทำนองกีต้าร์ที่ฟังสบาย ๆ ทำให้แจ้งเกิดเป็นเพลงดังได้อย่างไม่ยาก ใครที่ชอบการขับรถชิล ๆ เรื่อย ๆ ลองเปิดเพลงนี้ฟังไปด้วย รับรองว่าถูกใจแน่นอน

ฟังได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=8HnLRrQ3RS4

.

7.) แดงกับเขียว ศิลปิน TaitosmitH

เพลงความหมายดี เชิงเตือนสติ แต่ทำนองกลับปลุกใจ ฟังแล้วฮึกเหิม ถ้าไม่ติดว่าขับรถอยู่คงคว้าไม้หน้าสามพร้อมไล่หวด แต่ถ้าฟังตอนขับรถรับรองว่าตื่นตัว มันส์ไปกับดนตรีและเนื้อร้องในเพลงแน่นอน

ฟังได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=DFEVA5-INzM

.

สำหรับใครที่ต้องขับรถกลับบ้านในช่วงหยุดยาวนี้ หรือต้องเดินทางกลับมาทำงานหลังช่วงวันหยุด ก็ขอให้เดินทางปลอดภัย ขับรถดี ๆ ประคองสติ ถ้าง่วงนอนก็ลองเปิดเพลงที่เราแนะนำ หรือถ้าไม่ไหวก็จอดแวะพักก่อนนะคะ สวัสดีปีใหม่ค่า


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top