Tuesday, 21 May 2024
Dataism

‘ดร.สุวินัย’ หวั่น!! ยุคดาต้านิยม แฮกความเป็นมนุษย์ ด้วยทุนนิยมสอดแทรก ‘เด็ก-เยาวชน’ เหยื่อโอชะ จิตวิญญาณข้างในค่อยๆ ถูกฆ่าให้ตาย

(10 ต.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suvinai Pornavalai’ ระบุว่า…

แลไปข้างหน้าในยุคดาต้านิยม (Dataism) : ยุคแห่งมิคสัญญีท่ามกลางกระบวนการ ‘ย้ายอำนาจ’ (Power Shift)

โลกนี้วุ่นวายหนอ แต่เพจนี้ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ขอเธอจงตั้งใจอ่านเถิด

วันนี้เรามาหัดมองป่าทั้งป่ากัน เพื่อเข้าใจว่าเรากำลังอยู่ในยุคอะไร และกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ เพื่อรับมือกับคลื่นสึนามิลูกยักษ์ที่กำลังมา ไม่ให้ ‘นาวาสยาม’ ลำนี้ของเราล่มสลาย

ปัจจุบัน ‘ยุคดาต้านิยม’ (Dataism) ได้เริ่มต้นแล้ว และกำลังเข้ามาทดแทนยุคทุนนิยม (Capitalism) ที่ชาวโลกคุ้นเคย

มนุษย์จะไม่ใช่ ‘ตัวตนอันมีอิสระ’ (แบบเสรีนิยม) ที่ถูกขับเคลื่อนด้วย ‘เรื่องเล่า’ ที่ตัวตนประดิษฐ์ขึ้นมาเหมือนยุคก่อนๆ อีกต่อไป

แต่มนุษย์จะถูกกลืนจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอัลกอริทึมระดับโลกอันมหึมาในที่สุด… โดยเป็นส่วนหนึ่งที่มีแต่จะถูกลดระดับความสำคัญลงเรื่อยๆ ในเครือข่ายระดับโลกอันมหึมานี้ (ขอให้ขีดเส้นใต้ตรงนี้… “มนุษย์จะถูกลดระดับความสำคัญลงเรื่อยๆ ในเครือข่ายอัลกอริทึมระดับโลก”)

การเกิดวิกฤติเศรษฐกิจกับ Global Politic ผ่าน ‘สงครามใหญ่’ อย่าง ‘สงครามยูเครน-รัสเซีย’ ตามมาด้วยสงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน และต่อไปจะลุกลามไปที่เกาะไต้หวันกับคาบสมุทรเกาหลี 

คือส่วนหนึ่งของกระบวนการ ‘The Great Reset’ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระดับโลก พร้อมกับการสถาปนาระบบ Technocracy (เทคโนโลยีเป็นใหญ่) เพื่อมาแทน Democracy (ประชาธิปไตยเป็นใหญ่) ที่ถูกรองรับด้วยปรัชญามนุษย์นิยมที่กำลังล่มสลาย

ภายใต้ระบบ Technocracy… เทคโนโลยีในยุคดาต้านิยม ทำให้อัลกอริทึมภายนอกสามารถ ‘แฮกความเป็นมนุษย์’ ได้ทุกคน ทำให้มันสามารถรู้จักคนผู้นั้นดีกว่าที่ผู้นั้นรู้จักตัวเองเสียอีก…

คนทุกคนที่ใช้โซเชียลมีเดีย ล้วนถูกมัน ‘แฮกความเป็นมนุษย์’ ทั้งสิ้น เพราะอีกชื่อหนึ่งของ ‘ดาต้านิยม’ คือ ‘ทุนนิยมสอดแนม’ (Surveillance Capitalism) ที่อยู่ภายใต้เงื้อมมือของบรรษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ที่แนบแน่นกับ ‘รัฐลึก’ (Deep State) ของประเทศมหาอำนาจทั้งสองฝ่ายที่กำลังแย่งชิง-ท้าทาย ‘ความเป็นเจ้าโลก’ ของมหาอำนาจเจ้าโลกเดิม

อีกไม่เกิน 30 ปีข้างหน้า (ภายในปี 2050) ความเชื่อในแนวคิดปัจเจกบุคคลของปรัชญามนุษย์นิยมคงถึงคราวล่มสลาย โดยที่ ‘อำนาจ’ จะย้ายเคลื่อนจาก ‘มนุษย์ผู้เป็นปัจเจก’ ไปยัง ‘อัลกอริทึม’ ที่โยงกันเป็นเครือข่ายมหึมาแทน…

กระบวนการ ‘ย้ายอำนาจ (Power Shift)’ นี้ มันเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2010 แล้ว และคงจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2050 ขณะที่คนทั้งโลกกำลังใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางกระบวนการ ‘ย้ายอำนาจ’ กระบวนการนี้

ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่ฉับพลัน รุนแรง คาดไม่ถึง และไม่เคยปรากฏมาก่อนในอดีต… เราต้องทำความเข้าใจมันด้วยมุมมองของ ‘ดาต้านิยม’ และ ‘กระบวนการย้ายอำนาจ’ ที่เกิดขึ้นแล้ว และกำลังดำเนินอยู่ คืบหน้าอยู่ด้วยอัตราเร่ง

ในราวๆ ปี 2050 มนุษย์คงจะต้องยอมศิโรราบต่ออัลกอริทึมโดยสิ้นเชิง แล้วถอดใจหันมามองตัวเองเป็นแค่ ‘จิ้งหรีด’ ที่เป็นกลุ่มกลไกทางชีวเคมี ที่ถูกเครือข่ายอัลกอริทึมอิเล็กทรอนิกส์คอยเฝ้ามอง และชี้นำจูงจมูกอย่างต่อเนื่อง…

นี่คือความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความแปลกแยกที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ (Alienation) ที่ ‘คาร์ล มาร์กซ์’ เคยชี้ให้เห็นตอนเขาวิเคราะห์ระบบทุนนิยม และเรียกร้องให้ทุกคนที่รู้สึกแปลกแยกที่ถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ ลุกฮือขึ้นทำการปฏิวัติกรรมาชีพ เพื่อโค่นล้มระบบทุนนิยม… จะกลายเป็นของเด็กๆ ที่น่ารักน่าคำนึงถึง เมื่อเทียบกับความแปลกแยกที่ลดทอนความเป็นมนุษย์อันเกิดจากระบบดาต้านิยม

พวกเด็กและเยาวชน ซึ่งมีจิตใจเปราะบางกว่าคนวัยอื่น คือ เป้าหมายหรือเหยื่ออันโอชะรายแรกๆ ของเครือข่ายอัลกอริทึม

- เป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง
- ติดพนันออนไลน์
- คลั่งการเมืองแบบฝูงซอมบี้
- นิยมความรุนแรง เห็นชีวิตเป็นผักปลาเพราะติดเกมออนไลน์
- เป็นหนี้อย่างหนัก เพราะถูกกระตุ้นให้สร้างหนี้เพื่อการบริโภค
ฯลฯ

ดังนั้น ภายในปี 2050 ภายใต้ระบบดาต้านิยมที่กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในอัตราเร่งอยู่นี้ พวกเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นลูกหลานของเราจำนวนมากจะถูกลดคุณค่าอย่างถึงที่สุด จนกลายเป็น ‘สิ่งไร้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ’ หรือ ‘สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์’ หรือ ‘สวะ’ สำหรับระบบดาต้านิยม

ส่วนคนที่ยังมีคุณค่าใช้สอยในระบบดาต้านิยม คือคนยอมกลายเป็นส่วนหนึ่ง หรือชิ้นส่วนอินทรีย์ของเครือข่ายอัลกอริทึมอันมหึมาเท่านั้น คนประเภทนี้ต้องมีทักษะทางดิจิทัลที่สูง ทำงานร่วมกับอัลกอริทึมได้ เขียนโปรแกรมซอฟท์แวร์ได้ หรือไม่ก็ต้องเป็นคนที่มีความสามารถใน ‘งานบริการขั้นสูง’ ที่หุ่นยนต์หรืออัลกอริทึมยังทำไม่ได้หรือทำได้ไม่ดีพอ…

มีแต่คนแบบนี้เท่านั้น ถึงจะอยู่รอดในโลกอนาคตแห่งยุคดาต้านิยมได้

ในยุคดาต้านิยมนี้ อัลกอริทึมเริ่มต้นจากเป็น ‘เทพพยากรณ์ผู้รอบรู้ทุกสิ่ง’ (Oracle) ให้คนใช้ มันเป็นประโยชน์มาก และเป็นข้ารับใช้ที่ยอดเยี่ยมสำหรับมนุษย์

ปัจจุบันยุคดาต้านิยมเพิ่งอยู่ในขั้นนี้เท่านั้น

แต่อีกไม่นาน เมื่อยุคดาต้านิยมพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งในอีก 30 ปีข้างหน้า อัลกอริทึมจะวิวัฒนาการตนเองไปเป็น ‘ผู้แทน’ ที่ช่วยตัดสินใจแทน หรือทำงานแทนมนุษย์ในขอบเขตที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ จนครอบคลุมทุกสิ่งทุกเรื่องในที่สุด

มันจะกลายเป็น ‘ผู้นำ’ หรือ ‘ผู้ตัดสินใจ’ ที่ยอดเยี่ยมกว่ามนุษย์ ที่มีข้อจำกัดในเรื่องความเครียด อารมณ์และความเหนื่อยล้า ในการตัดสินใจ

สุดท้าย ในที่สุดไม่ช้าก็เร็ว ก็จะมาถึงขั้นตอนสูงสุดแห่งยุคดาต้านิยม เมื่ออัลกอริทึมกลายเป็น ‘พระเจ้า’ หรือ ‘ผู้มีอำนาจสูงสุด’ เสียเอง

ช่วงเวลาร้อยปี หรือสองร้อยสามร้อยปีหลังจากนี้ จึงมิใช่ช่วงเวลาอื่นใด แต่คือ ช่วงเวลาแห่งการพัฒนาไปสู่ขั้นตอนที่มีวุฒิภาวะมากขึ้นเรื่อยๆ ของระบบดาต้านิยมเท่านั้น

ทบทวนอีกครั้ง เทคโนโลยีใหม่ของศตวรรษที่ 21 จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘การปฏิปักษ์ปฏิวัติมนุษย์นิยม’ หรือการถอดรื้อการปฏิวัติมนุษย์นิยม ผ่านการริบยึดอำนาจไปจากมนุษย์ และมอบโอนอำนาจให้แก่อัลกอริทึมซึ่งไม่ใช่มนุษย์แทน

ต่อไปสิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุคดาต้านิยม คือการที่ปัจเจกบุคคลจะถูกบดขยี้ให้แหลกลาญจากภายในเอง แทนที่จะถูกบดขยี้อย่างโหดร้ายจากภายนอก

ฟังให้ดีนะ ต่อไปลูกหลานของเรา… จะถูกบดขยี้จากภายใน พวกเขาจะถูกบดขยี้ทางจิตวิญญาณ ให้ย่อยยับไม่มีชิ้นดีจากภายใน จากข้างใน ในระดับลึกสุดถึงจิตวิญญาณ

โรคซึมเศร้าจะแพร่กระจายในหมู่คนทุกวัยทั่วทั้งสังคม แต่จะแพร่มากที่สุดในเด็กและเยาวชน

ต่อไป อัตราการฆ่าตัวตายจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าอัตราการถูกฆาตกรรมเสียอีก

เนื่องเพราะ ‘การตายทางจิตวิญญาณข้างใน’ ย่อมนำมาซึ่งการฆ่าตัวตายทางกายภาพ ไม่ช้าก็เร็ว

นี่คือสัญญาณช่วงต้นๆ ที่บ่งบอกถึงการถูกบดขยี้จากภายในของปัจเจกบุคลทั้งหลายในยุคดาต้านิยม…

แต่นี่เป็นแค่น้ำจิ้มเอง!!

ความแปลกแยกที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ น่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคดาต้านิยม โดยออกมาในรูปของมิคสัญญี…

- สงครามโลก 
- ความล่มสลายของทุกสถาบันหลักในสังคม โดยเฉพาะสถาบันครอบครัว  
- โรคระบาดระดับโลกโดยจงใจ (อาวุธชีวภาพ) 
- ความวุ่นวายไม่รู้จบสิ้นในแต่ละประเทศ หลังการล่มสลายทางเศรษฐกิจ
- สงครามกลางเมือง ที่มีที่มาจากความแตกแยกทางความคิดเป็นสองขั้วอย่างรุนแร งเพราะต่างฝ่ายต่างโดนปลุกปั่นด้วยอัลกอริทึม จนมันระเบิดออกมาแบบรวมหมู่ในที่สุด
ฯลฯ

ยุคของมวลชนและยุคเพื่อมวลชน ใกล้จะจบสิ้นแล้ว พร้อมๆ กับการรุดหน้าแบบก้าวกระโดดของระบบดาต้านิยมหลังจากนี้

ภายใต้ยุคดาต้านิยม คงจะเกิดศาสนาใหม่ขึ้นที่เรียกว่า ‘ศาสนาดาต้า’ (Data Religion) ซึ่งเป็นลัทธิบูชาดาต้าเทคโนโลยีแบบวัตถุนิยมสุดโต่งประเภทหนึ่ง

เพราะ ‘ศาสนาดาต้า’ ให้สัญญาแก่ผู้คนว่า จะนำพาผู้คนให้หลุดพ้นได้ด้วยอัลกอริทึมที่ ‘อัปเกรดจิตใจมนุษย์’ และด้วยเทคโนโลยีพันธุกรรม

สเปกตรัมของสภาวะจิต (Spectrum of mental state) ที่นักวิทยาศาสตร์ยุคดาต้านิยมใช้ในการสร้างอัลกอริทึมที่อัปเกรดจิตใจมนุษย์ มาจากภาคส่วนเล็กๆ 2 ภาคส่วนเท่านั้น คือ ส่วนพร่องจากบรรทัดฐาน (Sub-normaltive) และกลุ่ม WEIRD ที่มาจากคำหน้าของคำว่า Western, Educated, Industrialsed, Rich, Democratic คือ ใช้สภาวะจิตและระดับจิตเฉลี่ยของพลเมืองในสังคมประเทศตะวันตกเป็นข้อมูลพื้นฐานเท่านั้น

ตรงนี้แหละ คือข้อจำกัดของพวกดาต้านิยมในการทำความเข้าใจเรื่องจิต!!

เพราะพวกบรรษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่บูชา ‘ลัทธิดาต้านิยม’ ก็ยังยึดติดอยู่ในกรอบความคิดแบบวัตถุนิยมประวัติศาสตร์อย่างสุดโต่ง

แนวคิดแบบวัตถุนิยมประวัติศาตร์ของพวกดาต้านิยม คือมิจฉาทิฐิที่ร้ายแรงที่สุดในยุคนี้… ที่โลกได้เข้าสู่ยุคดาต้านิยมแล้ว

โลกทัศน์แบบวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ที่สุดโต่งของพวกนักวิทยาศาสตร์ และนักเทคโนโลยีในวงการปัญญาประดิษฐ์ระดับแนวหน้าของโลกตอนนี้  คือสิ่งกำหนดทิศทางของยุคดาต้านิยมในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน

ในฐานะที่เป็นคนฝึกจิต ผมทราบดีว่าเรื่องที่เขียนข้างต้นนี้เป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก สำหรับชาวบ้านที่ยังต้องปากกัดตีนถีบดิ้นรนทางเศรษฐกิจไปวันๆ

แต่ลองตั้งใจอ่านบทความข้างต้นของผมทุกบรรทัด ทุกตัวอักษรเถิด แล้วใช้มุมมองนี้ไปทำความเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และกำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้… บางทีท่านผู้อ่านอาจได้คิด หรือสำเนียก แลเห็นสิ่งที่ตัวเองไม่เคยเห็นหรือเคยเฉลียวใจมาก่อนก็เป็นได้

รู้ไว้นะ คนที่อ่านอนาคตได้ขาด คนที่มองอนาคตได้กระจ่าง มีไม่มากนักหรอก ไม่ว่าในยุคใด

จะมีก็แต่คนประเภทนี้เท่านั้น ที่สามารถนำพาผู้คนโต้คลื่นแห่งยุคสมัยได้ โดยไม่ถูกคลื่นสึนามิกระหน่ำซัดจนล่มสลายเหมือนเรือลำอื่น

‘ดร.สุวินัย’ เผย ถึงเวลาโละทุกระบบ รับมือความเปลี่ยนผันสู่ ‘ยุคดาต้านิยม’ ชี้!! ปัญญา-กลยุทธ์ของ ‘ผู้นำวิถีปราชญ์’ คือหัวใจหลัก พาสังคมฝ่ามหาวิกฤติ

เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 66 ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ในหัวข้อ ‘ทบทวน The Great Reset : ใครรู้ทันและเตรียมพร้อม คนนั้นรอด’ โดยระบุว่า…

‘The Great Reset’ หมายถึง การ ‘โละ’ ระบบทุกอย่างในโลกใบนี้ ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 เพื่อเข้าสู่ยุคดาต้านิยม (Dataism) เต็มตัว

ที่ผ่านมา โลกได้ผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรมมาแล้ว 4 ครั้ง

๐ ครั้งที่ 1 อยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1760-1840 เป็น ‘การปฏิวัติใช้เครื่องจักรไอน้ำ’ ในทุกอุตสาหกรรม ซึ่งนำไปสู่การผงาดขึ้นของยุคทุนนิยมช่วงต้น

๐ ครั้งที่ 2 อยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1820-1925 เป็น ‘การปฏิวัติใช้ไฟฟ้า’ ในทุกอุตสาหกรรม เริ่มมีการใช้สายพานในการผลิต ทำให้เกิดการผลิตแบบแมส  (Mass Production) ในระบบทุนนิยม ตามมาด้วยการเกิดชนชั้นกลาง (Middle Class) ในฐานะที่เป็นผู้บริโภคหลักของเศรษฐกิจทุนนิยม

๐ ครั้งที่ 3 อยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1969-2010 เป็น ‘การปฏิวัติใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต’ มาใช้ในทุกอุตสาหกรรมในยุคทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ที่เป็นยุคทุนนิยมช่วงปลายๆ ที่งอมแล้ว (Mature Capitalism)

๐ ครั้งที่ 4 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 เป็นต้นมา เป็น ‘การปฏิวัติใช้อัลกอริทึมและปัญญาประดิษฐ์’ ในทุกอุตสาหกรรม ทะยานจากยุคเก่า (หรือทุนนิยม) เข้าสู่ยุคใหม่ หรือ ‘ยุคดาต้านิยม’ (Dataism) แทน

เพราะเหตุนี้เอง การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 จึงเป็นการ ‘โละระบบ’ ครั้งใหญ่สุดในรอบ 100 ปีที่คนในโลกไม่เคยเจอมาก่อน

ชาวโลกส่วนใหญ่จึงมองไม่ออกว่า อนาคตจะเป็นยังไงต่อไป…

แต่ที่แน่ๆ อาชีพเก่าๆ จะหายไปมากกว่าครึ่ง โดยจะมีอาชีพใหม่เข้ามาแทน รายได้ของคนส่วนใหญ่ที่ไม่ปรับตัวจะลดลง คนส่วนใหญ่จะไม่สามารถทำอาชีพใหม่ที่สร้างเงินดีๆ ได้ มีแต่คนส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถปรับตัว โดยการ Reskill ได้

ปัญหาความเหลื่อมล้ำจะยิ่งทวีความรุนแรง รวมทั้งปัญหาทางสังคม ระบบราชการ หากไม่ปรับตัวจะอยู่ไม่ได้ เพราะประชาชนจะกดดันผ่านเครือข่ายโซเชียล ขณะเดียวกัน ปัญหาต่างๆ จะถาโถมกดดันรัฐบาลไม่หยุดหย่อน

คนไทยควรตระหนักให้ดีว่า… ประเทศไทยเรากำลังเผชิญกับโลกที่ไม่ใช่ใบเดิมอีกต่อไป

ผู้ที่จะนำพาองค์กร นำพาสังคม นำพาบ้านเมืองให้ฝ่าผ่านวิกฤตโละระบบทั้งหมด (Great Reset) นี้ได้จะต้องเป็นผู้ที่สามารถ ‘คิดเชิงระบบ’ (Systems Thinking) อย่างเป็นนักยุทธศาสตร์ ได้เท่านั้น

ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของเทคโนโลยีในยุคดาต้านิยม โดยเฉพาะอัลกอริทึมคือ มันทำให้คนเรา ‘มีความเป็นมนุษย์น้อยลง’ (Downgrading Humans)

ผลที่ตามมาคือมันกำลังทำลาย ‘สังคม’ แบบที่มนุษย์ควรจะมี กลายเป็น ‘สังคมเสมือน’ ที่แตกแยก แตกร้าวเกินเยียวยา และช่วงชิงความใส่ใจเพื่อนมนุษย์ (Human Attention) ที่เราควรมีให้กับมนุษย์ด้วยกันที่อยู่ตรงหน้าหรือรอบข้าง ให้ไปอยู่ที่หน้าจอมือถือของแต่ละคนแทน

ผู้นำประเทศหรือนักการเมืองที่คิดเชิงระบบไม่ได้ หรือไม่สามารถเห็นผลกระทบเชิงลบที่ระบบย่อยต่างๆ ส่งผลต่อระบบใหญ่องค์รวม หรือ ‘โลกกาย่า’ (Gaia) ใบนี้ได้… ย่อมนำพาประเทศของตัวเองไปสู่หายนะ

เพราะผู้นำแบบนี้ย่อมไม่สามารถทำให้ประชาชนของตนตื่นรู้ และตระหนักถึงผลรวมแห่งการกระทำของแต่ละคน และชี้ทางออก-ทางสว่างที่เป็นความหวังให้แก่คนทั้งประเทศได้

ผู้นำที่คิดเชิงระบบอย่างนักยุทธศาสตร์ได้ ย่อมสามารถจัดการวิกฤติระบบที่เป็นปัญหา Complexity ได้ เพราะ The Great Reset คือรูปแบบหนึ่งของปัญหา Complexity เชิงระบบนั่นเอง

นิยามของผู้นำ (Leader) ในยุควิกฤติ คือ ผู้ที่สามารถนำพาผู้คนก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดและอุปสรรคทั้งปวงได้

ภูมิปัญญากลยุทธ์ของผู้นำและวิถีปราชญ์ผู้นำ คือหนึ่งในหัวข้อหลักที่คนไทยต้องติดอาวุธทางปัญญาให้แก่ตัวเอง ในช่วงวิกฤติใหญ่ ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญมาก เพราะมันสามารถเปลี่ยนอนาคตของประเทศไทยไปอย่างไม่หวนกลับได้

เหตุการณ์วันนี้และและการตัดสินใจของปัจเจกซึ่งเป็นตัวละครหลักในประวัติศาสตร์หน้านี้ มันจะกลายเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ในวันข้างหน้า โดยที่มันจะมีส่วนกำหนดเส้นทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทยต่อจากนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

ประวัติศาสตร์เป็นเพียงเส้นทางผ่านวิกฤติทั้งหลาย โดยตัวมันเองจึงหามี ‘จุดจบอันงดงาม’ ทางประวัติศาสตร์เสมอไปไม่

สถานการณ์โลกที่กำลังจะบานปลายจากวิกฤติโควิด ไปเป็นมหาวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำ และสงครามครั้งใหญ่ที่ใกล้จะเกิด

เครือข่ายมันสมองของประเทศนี้จากทุกฝ่ายทุกวงการ ต้องเข้ามาช่วยกันระดมความคิด ระดมสมอง เพื่อแก้ไขสถานการณ์วิกฤติระดับโลกจากทุกความเป็นไปได้ที่มี หรือมีทางที่เป็นไปได้มากกว่านั้น ขณะที่คนจำนวนมากรวมทั้งนักการเมืองส่วนใหญ่ ยังไม่ทันได้ตั้งตัวต่อทุกเหตุการณ์ที่โหมกระหน่ำเข้ามา

ภูมิปัญญากลยุทธ์เพื่อฝ่าวิกฤติของผู้นำจึงสำคัญมากถึงมากที่สุด

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมหาวิกฤติที่เหนือความคาดหมายสำหรับคนทั่วไป โดยปกติมักเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

เพราะการตัดสินใจเป็นเรื่องของ ‘การตัดสินด้วยใจของผู้นำ’

ดังนั้น ผู้นำจึงต้องมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธานในที่ประชุม เมื่อวิกฤติรอบด้านพากันมาชุมนุม คนเป็นผู้นำจึงต้องกุมสภาพจิตให้มั่นและต้องใช้ความกล้าหาญในการตัดสินใจ

การตัดสินใจที่ถูกที่ถูกเวลา คือ ยอดแห่งกลยุทธ์ทั้งปวง

ผู้นำที่เป็นจอมปราชญ์ คือ ผู้ที่ผ่านการฝึกตนจนชำนาญ ถึงขั้นที่สามารถหยั่งเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ จึงย่อมนำพาตนเองและคนอื่นออกจากภยันตราย โดยไม่รอให้ภัยมาถึงตัวก่อน

จอมปราชญ์จึงเป็นผู้มีสายตายาวไกล ผู้ผสานคัมภีร์หลากหลาย ให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิต
ปราชญ์ที่แท้ต้องเสนอ ‘ทางเลือก’ เพื่อพาสังคมออกจากมหาวิกฤติ

จะเห็นได้ว่า ปัญญาฝ่าวิกฤติของปราชญ์ คือ ‘หฤทัยแห่งพิชัยสงคราม’ ในทุกสมัย ซึ่งมีค่ายิ่งกว่าแก้วแหวนเงินทองใดๆ ในช่วงเผชิญกับวิกฤติในสมรภูมิชีวิต

มหาวิกฤตินี้จะมาในรูปของ ‘The Great Reset’ ซึ่งเป็นบททดสอบใหญ่ ที่ผู้คนทั้งประเทศจะได้เรียนรู้ร่วมกันครั้งใหญ่อีกครั้ง จากของจริงด้วยประสบการณ์จริง หลังจากวิกฤติโควิดหมดไปแล้ว 
ตอนนี้โลกกำลังเข้าสู่โหมดเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกกับสงครามใหญ่

สุวินัย ภรณวลัย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top